เข้าสู่ระบบอากาศวันนี้แจ่มใส แสงแดดอ่อน ๆ สาดส่องลงมากระทบผืนน้ำในสระบัวเป็นประกายระยับ จู้ซูเหยียนเอนกายพักผ่อนอยู่ในศาลากลางน้ำและข้างกายมีเหล่าสาวใช้ล้อมหน้าล้อมหลังคอยปรนนิบัติไม่ห่าง
มิหนำซ้ำยามที่สายลมพัดโชยมากระทบผิวก็พลันทำให้นางเคลิบเคลิ้มจนเกือบจะเผลอหลับไปบ่อยครั้ง ชีวิตของนางสุขสบายถึงเพียงนี้ ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนหรือมีเรื่องอันใดที่ต้องครุ่นคิดให้ปวดหัวแต่เหตุใดในตอนนั้นถึงได้ดิ้นรนอยากออกเรือนไปจากจวนนักเล่า พอมานึกดูแล้วนางช่างโง่เขลาจริงๆ ช่างเถอะ…คราวนี้จู้ซูเหยียนจะขอเป็นสตรีพรหมจรรย์ไม่คิดข้องเกี่ยวกับบุรุษผู้ใดอีก “ซูเหยียน…” !!! เหตุใดเสียงนี้ถึงฟังได้ดูคุ้นเคยนัก จู้ซูเหยียนขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะปรายสายตามองสาวใช้ข้างกายพลางเลิกคิ้วเอ่ยถาม “เจ้าได้ยินเสียงอะไรหรือไม่” เหล่าสาวใช้ที่อยู่ข้างกายพอได้ยินคำถามของจู้ซูเหยียน จู่ๆ ก็ขมวดคิ้วแน่นพลันรู้สึกขนลุกวูบขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ “เสียง…เสียงอันใดหรือเจ้าค่ะ” สาวใช้ผู้หนึ่งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ผู้คนในจวนต่างทราบกันดีว่า ในวันที่พบตัวคุณหนูนั้นร่างของนางจมลึกลงไปถึงก้นสระบัวแล้วมิหนำซ้ำตอนที่นำตัวขึ้นมา หมอหลวงที่ถูกเรียกมาตรวจดูยังพบว่าร่างของจู้ซูเหยียนเย็นเฉียบ ใบหน้าซีดเซียวและลมหายใจแผ่วรวยริน แม้แต่ท่านหมอยังต้องส่ายหน้า… หากฟื้นขึ้นมาได้ก็คงเป็นเพราะสวรรค์เมตตาแต่ก็มิอาจรับรองได้ว่านางจะรอดพ้นจากปรโลกแน่ ร่างของจู้ซูเหยียนนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงหนึ่งวันเต็ม ทั้งตัวของนางเย็นเฉียบราวกับว่าเป็นร่างที่ไร้วิญญาณไปแล้วจนกระทั่ง… รุ่งสางของวันต่อมา จู่ๆ คุณหนูเล็กกลับสะดุ้งตื่นขึ้นมาทั้งที่ก่อนหน้านี้หลับใหลไปนาน มิหนำซ้ำทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวนางยังเปลี่ยนไปไม่ว่าจะเป็นท่าที กิริยามารยาทหรือแม้กระทั่งวาจาที่เอื้อนเอ่ยออกมา…ราวกับว่าเป็นละคน จนกระทั่งเหล่าบ่าวรับใช้จึงพากันจับกลุ่มกระซิบกระซาบ กล่าวกันว่าวิญญาณของคุณหนูเล็กคงได้ละจากร่างไปยังปรโลกแล้ว ส่วนสตรีที่ลืมตาขึ้นมาในยามนี้…เกรงว่าอาจมิใช่คนเดิมแต่เป็นวิญญาณเร้นลับที่เข้ามาสวมร่างแทน! จู้ซูเหยียนพยักหน้าหงึกๆ หัวคิ้วขมวดมุ่นก่อนจะลุกขึ้นนั่ง “ข้าได้ยินจริงๆ” “ผู้ใดก็ต่างกล่าวว่าเจ้าเปลี่ยนไป…” ไป๋เจียวเหม่ยปรากฏตัวท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่สาดส่องกระทบลงบนใบหน้างามนั้นยิ่งขับให้โฉมสะคราญของนางดูโดดเด่นประหนึ่งเทพธิดาแห่งวสันต์ มิต่างจากบุปผาแรกแย้มที่ผลิบานกลางสายลม ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มบางๆ ไป๋เจียวเหม่ยยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อยก่อนจะก้าวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าสหายพลางเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ทว่าข้าเป็นสหายเจ้ามาตั้งแต่เยาว์วัย คำกล่าวหาเช่นนั้น ข้ามิเชื่อแน่และไม่ว่าอย่างไรแล้วจู้ซูเหยียนก็ยังคงเป็นจู้ซูเหยียนอยู่วันยังค่ำ” ไป๋เจียวเหม่ย…ดอกไม้งามเคลือบยาพิษ พอได้เผชิญหน้ากับอีกฝ่ายอีกครั้ง จู่ ๆ ภาพเหตุการณ์มากมายก็หลั่งไหลแล่นเข้ามาในหัวของจู้ซูเหยียน นัยน์ตาเมล็ดซิ่งฉายแววความแข็งกร้าวและโกรธเกรี้ยวออกมาอย่างปิดไม่มิด มือทั้งสองของนางกำแน่นจนเล็บจิกลงบน ฝ่ามือ ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยเพลิงโทสะที่อัดแน่นอยู่ภายใน สตรีในดวงใจของมู่เซี่ยหยาง…เขายอมหย่าขาดกับนางเพื่อแต่งสตรีผู้นี้เป็นภรรยา สหายรักที่หักหลัง… ทุกสิ่งทุกอย่างผุดขึ้นมาแจ่มชัดในความคิดของนางราวกับภาพวาดที่ถูกตวัดพู่กันซ้ำแล้วซ้ำเล่า… จู้ซูเหยียนกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก นางรู้สึกราวกับลำคอแห้งผากแม้แต่ลมหายใจยังติดขัด ดวงตาคู่งามจ้องมองสตรีตรงหน้าราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น น้ำเสียงหวานของนางเอ่ยขึ้นแผ่วเบาราวกับพึมพำพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัว “ไป๋เจียวเหม่ย… เป็นเจ้าจริงๆ งั้นหรือ” จู้ซูเหยียนเม้มริมฝีปากแน่น พอได้เห็นอีกฝ่ายปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ความโกรธที่เคยมีก็พลันปะทุขึ้นจนคับอกแต่ทว่าจู้ซูเหยียนยังคงสงวนท่าทีเอาไว้ “งดงามปานเทพธิดาเพียงนี้หากไม่ใช่คุณหนูไป๋เจียวเหม่ยแล้วยังจะเป็นผู้ใดได้เล่า” ไป๋เจียวเหม่ยหัวเราะคิกคัก ใบหน้าคนงามยังคงระบายยิ้มจางๆ นางแค่นเสียง มุมปากเหยียดยกขึ้นเล็กน้อย “เหอะ!....นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมาเยือนถึงเรือนข้า” จู้ซูเหยียนหัวเราะเยาะตัวเองอยู่ในใจ เกรงว่าไป๋เจียวเหม่ยคงมาเพื่อดูให้แน่ใจว่านางตายไปแล้วจริงๆ หรือไม่ หากนางสิ้นไปแล้ว สตรีผู้นั้นจึงจะสามารถถักทอสายใยเส้นด้ายแดงกับมู่เซี่ยหยางได้ อย่างเปิดเผยโดยไม่มีเงาของนางขวางกั้นอีกต่อไป เหอะ! ช่างโง่เขลาเสียจริง… ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเลือกสหายหรือกระทั่งเรื่องสามี นางล้วนแต่ตัดสินใจผิดพลาดโดยสิ้นเชิง มองไม่ออกจริงๆ หรือว่าถูกความโง่บดบังจนไม่อาจมองเห็นกันแน่ จู้ซูเหยียนพลางด่าทอตนเองในใจอย่างเหลืออด พอได้ยินถ้อยคำพูดของสหายตรงหน้าไป๋เจียวเหม่ยพลันชะงักร่างกายแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าเจื่อนลงทันที “ไฉนข้าจะไม่สนใจสุขภาพของสหาย” “ขอบคุณที่เป็นห่วง” แต่ไม่ต้อง! ทว่าประโยคสุดท้ายนั้นจู้ซูเหยียนไม่ได้กล่าวออกไป ที่นางมาเยือนจวนสกุลจู้ในวันนี้ย่อมมีเรื่องในใจที่อยากรู้ให้กระจ่างแจ้ง ไป๋เจียวเหม่ยเหลือบสายตามองอีกฝ่ายอย่างพินิจพิเคราะห์แต่สิ่งที่พบกลับทำให้นางรู้สึกประหลาดใจ สตรีตรงหน้าหาได้มีอาการเจ็บป่วยอันใด มิหนำซ้ำนางยังดูสงบนิ่งและเปี่ยมสุขยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ผิดกับสตรีที่ควรจะเป็นทุกข์เพราะถูกทอดทิ้งโดยสิ้นเชิง เกรงว่าข่าวลือที่จู้ซูเหยียนปฏิเสธการแต่งกับมู่เซี่ยหยางนั้นคงเป็นเท็จกระมัง ไป๋เจียวเหม่ยถูกเชิญให้นั่งลงก่อนครู่มาจะมีสาวใช้นำน้ำชาและขนมมาให้ “ขอบคุณเจ้าค่ะ” น้ำเสียงหวานเอ่ยอย่างอ่อนโยน สาวใช้ผู้นั้นพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะละจากไป จู้ซูเหยียนเคยผ่านโลกมามาก ในชาติก่อนนางพบเห็นผู้คนมากมายเพียงแค่ปรายตามองไป๋เจียวเหม่ยแวบเดียวนางก็ล่วงรู้ถึงจุดประสงค์ที่ซ่อนอยู่แล้ว “มองข้าเช่นนี้สงสัยอันใดกัน” นางเอ่ยเสียงเรียบ ไป๋เจียวเหม่ยสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกจับได้ก่อนจะตั้งสติ วางถ้วยชาลงแล้วเงยหน้าขึ้นสบตา หากพูดตรงไปตรงมาเช่นนี้นางก็จะกล่าวออกไปไม่อ้อมค้อม “หากเจ้ามองออกแล้ว เช่นนั้นข้าถามได้หรือไม่…ว่าเจ้าจะไม่แต่งกับคุณชายมู่แล้วจริงหรือ” เป็นดังที่นางคาดเอาไว้จริงๆ! จู้ซูเหยียนพยักหน้าก่อนหัวเราะออกมาราวกับไม่ใส่ใจ “บุรุษทั่วใต้หล้าหาได้มีเพียงแค่มู่เซี่ยหยางเท่านั้น” พอได้ยินคำตอบที่พึงใจเช่นนี้ ใบหน้าของไป๋เจียวเหม่ยระบายยิ้มกว้างออกมาอย่างปิดไม่มิด นางมัวแต่ปลาบปลื้มอยู่กับคำพูดนั้นจึงไม่ทันได้สังเกตว่ามีสายตาของจู้ซูเหยียนกำลังจ้องมองตนอยู่ ไป๋เจียวเหม่ยถามอีกครั้ง “เจ้าตัดใจจากคุณชายมู่ได้จริงหรือ” เหอะ! เหตุใดจะไม่ได้กัน จู้ซูเหยียนระบายยิ้มจางๆ พยักหน้ารับ “อย่าว่าแต่ตัดใจเลยคุณหนูไป๋…เรื่องระหว่างข้าและมู่เซี่ยหยางนั้นเส้นด้ายแดงที่เคยเกี่ยวโยงกันพลันขาดสะบั้นไปแล้ว” ณ โรงน้ำชา วันนี้ทั้งวันอารมณ์ของมู่เซี่หยางขุ่นมัวไม่สู้ดีอย่างไม่ทราบสาเหตุ ไม่ว่าผู้ใดที่พบเห็นแล้วก็พลันมักหลบหน้าหรือต้องเบนเบี่ยงเดินหลบหนีไปทางอื่นด้วยความหวาดกลัวแทน ใบหน้าหล่อเหล่าขมวดคิ้วมุ่นท่าทางคิดไม่ตก มู่เซี่ยหยางถอนหายใจหนักอึ้งครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับว่ามีก้อนหินขนาดใหญ่กดทับเอาไว้ “…” ปัง! ความอดทนของหานเฟิงสิ้นสุดลง เขากระแทกวางจอกน้ำชาลงกระทบโต๊ะจนเสียงดังลั่น สายตาของเขาหรี่ลงจ้องสังเกตเห็นท่าทางของมู้เซี่ยหยางที่ผิดปกติและเป็นเช่นนี้ทั้งแต่พบหน้า ไฉนมีเรื่องอันใดในใจไม่พูดออกมาเล่า…! “เจ้าเป็นอันใดไปกันแน่เซี่ยหยาง” หานเฟิงเลิกคิ้วถาม มู่เซี่ยหยางปรายตามองแวบหนึ่งก่อนจะเบนหันหนีมองออกไปทางอื่นแทน “ข้าสบายดีเพียงนี้หาได้เป็นอันใด” หานเฟิงถลึงตาตอบ “ถุ้ย! คิดว่าข้าตาบอดหรืออย่างไร” เห็นๆ อยู่ว่าเจ้าคนผู้นี้ไม่ปกติ! “นิสัยอันธพาลเช่นนี้เก็บไว้ใช้กับคนของเจ้าเถอะ” น้ำเสียงทุ้มของมู่เซี่ยหยางเอ่ยอย่างเย็นชา หากว่ากันตามตรงแล้วคำพูดของหานเฟิงกลับทำให้เขาชะงักจนต้องขบคิดบางอย่างขึ้นมาอีกครั้ง… คำพูดของสตรีคนนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัวของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความรู้สึกบางอย่างที่คุ้นเคยกำลังก่อกวนใจ มู่เซี่ยหยางรู้สึกคันยุบยิบอยู่ในอกเล็กน้อย ถ้อยคำนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน…? นับจากนี้นางจะไม่กลับมาให้เขาพบหน้าอีกหรือ… หานเฟิงกลอกตามองไปมาแล้วส่ายหน้าอย่างหมดความอดทน “ให้ข้าคาดเดาดูไหม... สภาพของเจ้าตอนนี้ไม่ต่างจากคนที่ถูกคุณหนูจู้ถอนทิ้งไปแล้วก็มิปาน” มู่เซี่ยหยางได้ยินเช่นนั้นก็หันขวับไปมองหานเฟิงตาขวางทันที มุมปากหนาเหยียดยกขึ้นเล็กน้อย “หึ! ข้าจะถูกนางทอดทิ้งงั้นหรือ...แม้แต่หน้านางนั้นข้าแทบไม่ปรายตามองด้วยซ้ำ” ที่ผ่านมาในใจของมู่เซี่ยหยางย่อมเกิดความรู้สึกรำคาญนางอยู่มาก ไม่ว่าจะไปที่ใดห่างออกไปสามก้าวนั้นย่อมมีจู้ซูเหยียนตามติดยิ่งกว่าลูกสุนัขมิหนำซ้ำแล้วผู้คนที่พบเห็นจะเข้าใจผิดกล่าวว่าช่างเป็นคู่กิ่งทองใบหยกที่เหมาะสม เหอะ!...เอาอันใดมองถึงคิดว่าเหมาะสม “เหอะ!” มู่เซี่ยหยางแค่นเสียงออกมาอีกครั้ง เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว!...นางจะได้ไม่ทำตัววุ่นวายให้เขาต้องรู้สึกรำคาญอีกต่อไปมู่เซี่ยหยางปรายสายตามองจู้ซูเหยียนนิ่งๆ ไม่พูดอันใดออกมาราวหนึ่งก้านธูป ฝ่ามือหนาพลางยกขึ้นลูบไล้เรือนผมนางด้วยความอ่อนโยน “ยังไม่ตื่นอีกหรือ”จู้ซูเหยียนส่ายหน้าก่อนจะซุกไซร้เข้าไปในอ้อมกอดของอีกฝ่ายอย่างเอาแต่ใจ“ไม่” น้ำเสียงหวานเอ่ยออกมางัวเงียเขาแค่นเสียงหัวเราะเบาๆ มุมปากหนาโค้งยิ้มขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยพูดออกมา “หากเป็นเช่นนี้เกรงว่ากิจการของสกุลมู่คงขาดทุนเสียแล้ว”เหตุใดสตรีผู้นี้ถึงได้ขี้เซ้าเพียงนี้ ทั้งที่นอนหลับไปหลายชั่ว“สกุลมู่มีเพียงท่านทำงานอยู่ผู้เดียวหรือไร” นางพึมพำพูดเสียงอู้อี้อย่างเกียจคร้านไม่คิดจะลืมตาตื่นจากที่นอนพอจัดการสะสางเรื่องทุกอย่างแล้วสิ้นนั้นคล้ายกับว่าความรู้สึกหนักอึ้งในใจที่เสมือนถูกก้อนหินทับเอาไว้ถูกยกออกเสียที ยามนี้นางไม่มีเรื่องอันใดให้ต้องระแวงและกังวลใจอีกแล้วจากนี้นางขอใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างเกียจคร้านไม่ต้องมีเรื่องอันใดให้ต้องคิดหนักใจหน่อยเถอะนิ้วมือเรียวยาวพลันยกขึ้นมาเกลี่ยแก้มนวลของนางแผ่วเบาราวกับกำลังหยอกล้อ สายตาของมู่เซี่ยหยางที่มองนางล้วนเต็มไปด้วยความเอ็นดูไม่น้อยเหตุใดถึงคล้ายลูกแมวน้อยขี้เซ้านัก“อื้ออ…” จู้ซูเหยียนครางอ
เมื่อมู่เซี่ยหยางเอ่ยวาจาเช่นนั้นออกมา จู้ซูเหยียนพลันชะงักไปเล็กน้อย นางเงยหน้าขึ้นสบเข้ากับดวงตาคมกริบของเขาโดยไม่อาจหลบเลี่ยง สีหน้าของนางฉายแววครุ่นคิดอย่างชัดเจน ราวกับกำลังชั่งใจว่าควรเชื่อคำพูดของบุรุษตรงหน้าหรือไม่“…”มู่เซี่ยหยางเพียงจ้องมองนางนิ่งๆ ไม่บุ่มบ่ามหรือทำอันใดให้นางต้องรู้สึกไม่ดีสายตาคมกริบจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่งาม เห็นได้ชัดว่ายามนี่นางกำลังสับสนและลังเลไม่น้อย เขาเอ่ยออกมาเสียงเรียบ “ดึกเพียงนี้แล้วดับตะเกียงนอนเถอะ”จู้ซูเหยียนขยับริมฝีปากพูด “มู่เซี่ยหยาง…” นางถอนพลางหายใจเฮือกใหญ่ออกมา“หื้ม?”“ท่านและไป๋เจียวเหม่ยนั้น…” นางเงียบไปครู่หนึ่ง ชั่งใจว่าควรจะเอ่ยถามออกมาหรือไม่ มือทั้งสองข้างกำแน่นก่อนจะรู้สึกว่ามีฝ่ามือหนาของเขามากอบกุมเอาไว้มู่เซี่ยหยางระบายยิ้มจางๆ เขาเข้าใจได้ว่านางกำลังจะพูดสิ่งใดออกมา “คุณหนูไป๋และข้าได้มีความสัมพันธ์อันใดกันทั้งสิ้น” หากไม่ใช่เพราะคุณหนูผู้นั้นเป็นสหายกับจู้ซูเหยียนมานาน เขาเองก็ไม่คิดจะข้องเกี่ยวมีเรื่องสตรีให้นางต้องรู้สึกลำบากใจเห็นได้ชัดว่าสายตาของจู้ซูเหยียนฉายแววความลังเลอย่างไรในอดีตคนทั้งคู่ก็เคยมีความสัม
หานเฟิ่งยกน้ำชาขึ้นมาจิบพลางเหลือบสายตามองบุรุษตรงหน้าก่อนจะวางจอกน้ำชาลงพลางถอนหายใจออกมาแทน ท่าทางกลัดกลุ้มใจเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดมองเห็นแล้วก็คงคิดว่าคนผู้นี้ทะเลาะกับภรรยามาเป็นแน่“เปลี่ยนจากโรงเตี๊ยมเป็นหอคณิกาดีหรือไม่” หานเฟิ่งเลิกคิ้วเอ่ยถาม ดูแล้วบรรยากาศเช่นนี้คงไม่เหมาะที่จะดื่มชานัก มิสู้เปลี่ยนเป็นสุราแรงคงจะดีไม่น้อย“ก่อนหน้านี้ข้าทำอันใดให้นางไม่พอใจกัน” จู่ๆ มู่เซี่ยหยางที่เอาแต่นั่งเงียบอยู่จึงพูดขึ้น ใบหน้าของเขาขมวดคิ้วท่าทางครุ่นคิดหนักเหตุใดนางถึงไม่เชื่อใจเขา…เช่นนี้แล้วเขาควรทำอย่างไรดีมู่เซี่ยหยางอดย้อนคิดกลับไปไม่ได้ว่าแท้จริงแล้ว มีสิ่งใดที่เขาทำลงไปโดยไม่รู้ตัวไม่นึกถึงความรู้สึกของนางหรือไม่แน่นอนว่าย่อมมี! ทว่าเหตุการณ์เหล่านั้นล้วนเกิดก่อนที่เขาจะร่วมกราบไหว้ฟ้าดินกับนางทั้งสิ้น“…”“ต้องทำอย่างไรนางถึงจะคุยกับข้า”น้ำเสียงทุ้มของมู่เซี่ยหยางที่เอ่ยออกมาแผ่วเบาราวกับกำลังพึมพำพูดอยู่ในความคิดของตัวเอง ถ้อยคำที่นางเอ่ยออกมาเมื่อวานนี้ยังคงดังก้องวนเวียนอยู่ในความคิดของเขาซ้ำๆ“พูดกับข้าหรือ…?” หานเฟิ่งเลิกคิ้วถามกลับ“ตรงนี้ยังมีผู้ใดอีกนอกจากเจ้า” ม
ความรู้สึกของผู้อื่นหรือจะสำคัญเท่าภรรยา…หากนางทำผิดเขาก็จะหลับตาข้างหนึ่งเสแสร้งตาบอดมองไม่เห็นคิดว่าเป็นเรื่องถูกต้องมู่เซี่ยหยางยังคงยืนแน่นิ่งอยู่ที่เดิม ในขณะที่จู้ซูเหยียรเดินไปล้มตัวนอนบนเตียงคลุมผ้าห่มปกปิดทั่วทั้งร่างทันทีเขามองเห็นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาก่อนจะโบกมือไล่สาวใช้ในเรือนให้ออกไปก่อนจะปิดประตูลงทันที ยามนี้จึงเหลือเพียงแค่เขาและนางเท่านั้น…มู่เซี่ยหยางเดินไปนั่งอยู่ข้างเตียง น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามออก มาอย่างอ่อนโยน “เป็นอันใดไปหรือ” “อย่ามายุ่งกับข้า!”“จู้ซูเหยียน…” เขากดเสียงทุ้มต่ำก่อนจะยื่นมือไปเลิกผ้าห่มออกแต่ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายชักดึงกลับทันที มู่เซี่ยหยางไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ สตรีผู้นี้ถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้จู้ซูเหยียนพูดเสียงอู้อี้ “ออกไปให้พ้น!”“เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่มิใช่หรือ” มู่เซี่ยหยางถามอย่างใจเย็น สายตามคมกริบมองก้อนผ้าห่มตรงหน้านิ่งๆจู้ซูเหยียนไม่มีทางยอมโผล่หน้าออกไปคุยกับบุรุษผู้นี้แน่ เดิมทีนั้นไม่ว่านางจะผิดถูกหรือไม่ มู่เซี่ยหยางไม่เคยถามไถ่เหตุผลว่าเพราะเหตุใดและทำไม เขาเอาแต่ด่าทอนางด้วยถ้อยคำที่ฟังแล้วรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจทั้ง
พอเห็นท่าทางของสตรีตรงหน้าผู้นี้โมโหเดือดดาลมิต่างจากน้ำต้มในกา ไป๋เจียวเหม่ยพลางยกมือปิดปากหัวเราะเยาะ สายตาปรายมองสตรีตรงหน้าอย่างดูแคลน นึกไม่ถึงว่าเรื่องเช่นนี้จะนำมาข่มขู่จู้ซูเหยียนได้“แท้จริงแล้วเจ้าต้องการอันใดกันแน่ไป๋เจียวเหม่ย”จู้ซูเหยียนขมวดคิ้วมุ่นปรายสายตามองอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ…แท้จริงแล้วไป๋เจียวเหม่ยต้องการอันใดจากนางกันแน่หรือเพียงเพราะต้องการยั่วยวนโทสะเท่านั้นไป๋เจียวเหม่ยยังหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี นางพลางโบกมือส่ายหน้าไปมาท่าทางเหนื่อยหน่าย“ข้าเพียงนำข่าวลือในวังหลวงมาแจ้งให้เจ้าทราบเท่านั้น”จู้ซูเหยียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาด้วยความรำคาญ ข่าวลือจากวังหลวงหรือข่าวลือจากลมปากของสตรีผู้นี้กันแน่ มีหรือนางจะเชื่อ… “เจ้าคิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบที่โง่งมจนเชื่อคำพูดของเจ้าเช่นนั้นหรือไป๋เจียวเหม่ย”ไป๋เจียวเหม่ยเลิกคิ้วถาม “เคยเชื่อมิใช่หรือ”คราวก่อนนั้นหากนางบอกว่าไปซ้าย...จู้ซูเหยียนก็เชื่อฟังเดินไปทางซ้ายโดยไร้ข้องกังหาและหากนางบอกว่าไปขวาแล้วจะดี มีหรือว่าสตรีโง่เขลาผู้นี้จะไม่หลงเชื่อ“ไป๋เจียวเหม่ย!” จู้ซูเหยียนกัดฟันกรอด ถลึงตามองด้วยความโกรธ ไม่ว่าจะเ
“เหอะ!”จู้ซูเหยียนแค่นเสียงออกมาอย่างเย้ยหยัน นัยน์ตาเมล็ดซิ่งปรายมองมู่เซี่ยหยางด้วยท่าทางไม่ไว้วางใจครั้งหนึ่งนางหลงรักมู่เซี่ยหยางและเคยเชื่อเขาจนกลายเป็นสตรีที่โง่งมที่สุดในใต้หล้า...เรื่องเช่นนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกครั้งเป็นรอบที่สองนางเอ่ยขึ้น “เชิญท่านตายลงโลงไปผู้เดียวเถิด”จู้ซูเหยียนแสดงออกมาชัดเจนว่าไม่อยากข้องเกี่ยวกับบุรุษผู้นี้อีกแล้วแม้จะต้องตายลงโลงก็ไม่ขอฝังกลบดินร่วมกัน“…”“หลีกไปได้แล้ว” นางเอ่ยขึ้นทว่ามู่เซี่ยหยางกับยังคงยืนแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน จู้ซูเหยียนจึงเบนเบี่ยงตัวหลบเดินไปอีกทางแทนแต่ทว่ากลับต้องชะงักเมื่อได้ยินถ้อยคำนั้นของเขา “เจ้าเริ่มเป็นอื่นตั้งแต่เมื่อใดกันจู้ซูเหยียน” มู่เซี่ยหยาง กล่าวออกมาเสียงเรียบจู้ซูเหยียนหัวเราะเบาๆ อย่างเย้ยหยันก่อนจะปรายมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “ท่านต่างหากมู่เซี่ยหยางที่เริ่มมีใจเป็นอื่น..”ณ จวนสกุลมู่“ท่านไม่เคยรักข้าเลย!”“…”“ไม่เคยรักเลยหรือมู่เซี่ยหยาง!” น้ำเสียงหวานตะโกนดังก้องไปทั่วบริเวณ แฝงความโกรธเคืองและความน้อยใจเอาไว้นัยน์ตาเมล็ดซิ่งสั่นระริกเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำสีใส จู้ซูเหยียนมองมู่เซี่ยหยางในอาภรณ์มงค







