LOGIN“แท้จริงแล้วท่านเคยรักข้าหรือไม่มู่เซี่ยหยาง” จู้ซูเหยียนเข้าใจแล้ว แม้ว่าการกระทำที่ผ่านมาของเขาล้วนแสดงออกเปิดเผยชัดเจนไม่น้อยทว่าคำถามกลับยังค้างคาอยู่ในใจ
นางรู้ดี… นางเข้าใจเรื่องทั้งหมดดี…แต่ทว่าน้ำตากลับไม่ยอมหยุดไหลเสียที ภายในใจบีบรัดแน่นจนปวดหนึบชาไปทั้งร่าง สายตาคมกริบของมู่เซี่ยหยางปรายมองสตรีตรงหน้าโดยไม่แสดงท่าทีใดนอกจากความนิ่งสงบ เขาไม่ได้เข้าไปปลอบนางแม้แต่น้อย “ตลอดหลายปีที่ผ่านมาข้าลงนามหย่าให้เจ้าอยู่หลายครา..แน่ใจหรือว่าไม่รู้คำตอบหรือแท้จริงแล้วจงใจเสแสร้งโง่งม ตาบอด มองไม่เห็นกันแน่จู้ซูเหยียน” น้ำเสียงของเขาที่เอ่ยออกมาทั้งเย็นชาและห่างเหินจนนางได้ยินแล้วพลันสะอึกจุกในคอทันที จู้ซูเหยียนเม้มริมฝีปากแน่น มองอีกฝ่ายผ่านม่านน้ำตาด้วยความเจ็บปวด “ข้าถามว่าท่านเคยรักข้าหรือไม่มู่เซี่ยหยาง!” “ไม่เคยรัก” เพราะพี่สาวของจู้ซูเหยียนบุตรสาวคนโตของสกุลจู้ได้รับเลือกเข้าวังทั้งยังได้เป็นถึงสนมขั้นเฟย มู่เซี่ยหยางจึงถูกกดดันอย่างไร้หนทางจำต้องรับจู้ซูเหยียนเป็นภรรยา หาไม่แล้ว ย่อมมิอาจหลีกพ้นโทษฐานลบหลู่เบื้องสูง! มู่เซี่ยหยางออกมาจากจวนสกุลจู้ก็พลันเป็นยามพลบค่ำท้องฟ้าเริ่มมืดสนิทแล้ว ตลอดทางมานั้นสีหน้าของมู่เซี่ยหยางเต็มไปด้วยความครุ่นคิด เขาพลางคิ้วขมวดมุ่นด้วยความสงสัยเต็มอกพร้อมกับภาพของสตรีนางนั้นพลันปรากฏขึ้นในห้วงคำนึงราวกับมิอาจสลัดให้เลือนหายไป เห็นได้ชัดว่านางเปลี่ยนไปราวกับคนละคน “คุณชายมู่…” “…” “มู่เซี่ยหยาง!” มู่เซี่ยหยางสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหยุดชะงักฝีเท้าก่อนจะปรายสายตาหันขวับไปมองทางต้นเสียง เขาพลางได้สติกลับคืนมา “คนบ้านข้าไม่เปิดประตูต้อนรับเจ้าอย่างงั้นหรือ” “เหอะ! แล้วเจ้าจะไปที่ใดกันมิใช่หน้าประตูจวนสกุลมู่ตั้งอยู่ที่นี่หรอกรึ” หานเฟิงเลิกคิ้วถามกลับ “ท่าทางเหม่อลอยเช่นนี้กำลังคิดถึงคุณหนูบ้านสกุลจู้อยู่หรืออย่างไร” “ข้าหรือจะคิดถึงนาง!” มู่เซี่ยหยางถลึงตาตอบทันที “เพ่ย! หากไม่ใช่แล้วเหตุใดถึงร้อนรนโมโหกันเล่า” ในตอนที่หานเฟิงกำลังจะเข้าจวนไปนั้น สายตาของเขาพลางมองเห็นเงาดำๆ มาทางนี้ก่อนจะพบว่าเป็นมู่เซี่ยหยางที่กำลังเดินเหม่อลอยมาแต่ไกล ซ้ำท่าทางของอีกฝ่ายดูเหมือนกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องบางอย่างอยู่ เขาเอ่ยเรียกครั้งแรกทว่าผู้ถูกเรียกกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใด ๆ ยังคงก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอยราวกับไม่ได้ยิน จนกระทั่งครั้งที่สองจึงตะโกนเสียงดังลั่นอีกฝ่ายจึงตั้งสติได้ สายตาคมกริบปรายมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจ อารมณ์ในตอนนี้ของมู่เซี่ยหยางย่ำแย่ไม่ดีอยู่มาก ภายในใจมีเรื่องต่างๆ ให้ต้องคิดให้กระจ่างแจ้ง ทว่าบุรุษผู้นั้นกลับยิ่งทำให้หงุดหงิดกว่าเดิม “มีเรื่องอันใดถึงโผล่มาทีนี้” มู่เซี่ยหยางเอ่ยถามขณะเดินเข้าประตูจวนไป หานเฟิงได้ยินดังนั้นก็ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา “ข้ามาหาเจ้าถึงจวนเพียงนี้จะให้มาพูดคุยเรื่องดินฟ้าอากาศหรืออย่างไร…แน่นอนว่าย่อมต้องมีเรื่องอยากรู้อยู่แล้ว” เขาพลางเร่งรีบเดินตามสหายเข้าไปในจวนเช่นกัน น้ำเสียงทุ้มของมู่เซี่ยหยางเอ่ย “ไฉนถึงสนใจเรื่องของข้าถึงเพียงนี้กัน…ไม่มีงานทำแล้วงั้นรึ” มู่เซี่ยหยางหันหลังถามมาถาม “เรื่องของเจ้าย่อมน่าสนใจกว่างานของข้า!” “กลับจวนเจ้าไปซะหานเฟิง” มู่เซี่ยหยางทั้งเหน็ดเหนื่อยทั้งเกียจคร้านจะพูดคุยกับผู้ใด เขาเอ่ยปากพลางโบกมือไล่อีกฝ่ายทันทีอย่างไร้มารยาท “เหอะ!” หานเฟิงแค่นเสียงออกมา “เจ้าคิดว่าไล่แล้วข้าจะกลับไปง่ายๆ งั้นหรือ” แน่นอนว่าย่อมไม่…มู่เซี่ยหยางย่อมรู้ว่าคนผู้นี้มีนิสัย ทว่ามีหรือมู่เซี่ยหยางจะสนใจคำพูดของหานเฟิง เขาเพียงแค่เดินต่อไปอย่างไม่สนใจด้วยท่าทางสงบเยือกเย็นของ แม้ว่าจะได้ยินเสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นข้างหลังก็ตาม “เพ่ย! มู่เซี่ยหยาง” “วันนี้จวนสกุลมู่ไม่รับแขก...กลับไปซะ!” น้ำเสียงเย็นชาของมู่เซี่ยหยางเอ่ยปากไล่อีกฝ่ายอย่างไร้เยื่อใย หานเฟิงไม่ได้ใส่ใจคำพูดของสหาย ทว่ามองตามแผ่นหลังของมู่เซี่ยหยางที่กำลังเดินไปเรื่อยๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “แล้วเรื่องของเจ้าและคุณหนูจู้เป็นอย่างไร...ตกลงเจ้าจะรับนางเป็นภรรยาจริงๆ หรือไม่” พอได้ยินถ้อยคำนี้มู่เซี่ยหยางชะงักฝีเท้า ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววครุ่นคิดออกมาอย่างชัดเจน หากเป็นเมื่อก่อนมู่เซี่ยหยางย่อมีคำถามลังเลเช่นนี้แน่ มู่เซี่ยหยางเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง “ภรรยาของข้าย่อมต้องเป็นสตรีในดวงใจหาใช่ผู้ใดก็ได้” จู้ฮูหยินจ้องหน้าบุตรสาวด้วยความประหลาดใจ เมื่อหลายสิบวันก่อนนางน้อยเนื้อต่ำใจถึงขั้นกระโดดลงสระบัวอย่างไม่คิดชีวิต ทว่าพอมาถึงตอนนี้ผ่านไปไม่ทันไรก็เอ่ยปากว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายแล้ว นางถอนหายใจเฮือกใหญ่คาดเดาความคิดของบุตรสาวผู้นี้ไม่ออกจริงๆ จู้ฮูหยินถอนหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า จู่ๆ ภายในใจเกิดความสงสัยขึ้นมา สตรีตรงหน้าผู้นี้คือบุตรสาวของนางจริงหรือ…? “…” ไฉนจู้ซูเหยียนจะไม่รับรู้ว่ามีสายตาของจู้ฮูหยินเพ่งมองอยู่นานครู่หนึ่งทว่ากลับเอาแต่ถอนหายใจไม่พูดอันใดออกมาแม้แต่สักครึ่งคำเลยด้วยซ้ำ จู้ซูเหยียนกลืนอาหารลงท้องก่อนจะวางตะเกียบลงตัดสิน ใจเป็นฝ่ายเอ่ยถามแทน “ท่านแม่มีอันใดก็พูดออกมาเถอะ” จู้ฮูหยินสะดุ้งตกใจเล็กน้อย นางกระพริบตาถี่ๆ พลางโบกมือปฏิเสธ “เอาไว้ก่อนเถอะ…” จากนั้นจึงคีบเนื้อปลานึ่งลงบนชามข้าวของบุตรสาว “เจ้าสมควรกินให้มากซูเออร์…ดูเสียว่ายามนี้ผอมผ่ายจนเห็นกระดูกหมดแล้ว” เรื่องนั้นช่างเถอะ...อย่างไรแล้วจู้ซูเหยียนก็คือบุตรสาวของนางอยู่ดี จู้ซูเหยียนสูดลมหายใจ “กำลังสงสัยเรื่องข้ากับมู่เซี่ยหยาง อยู่งั้นหรือเจ้าคะ” พอเห็นอีกฝ่ายเอาแต่อ้ำอึ้งเช่นนี้ นางก็พลันรู้สึกอึดอัดแทน จู้ฮูหยินตัดสินใจกล่าวออกมา “เพราะเหตุใดกันงั้นหรือ ซูเหยียน…มิใช่ว่าเจ้าต้องการแต่งงานกลายเป็นภรรยาของบุรุษผู้นั้นตลอดมามิใช่หรืออย่างไรกันแล้วไฉนวันนี้ถึงเอ่ยปากว่าจะไม่เกี่ยว ข้องกัน” นางคาดเอาไว้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องสงสัยเรื่องนี้ “ท่านแม่…” จู้ซูเหยียนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เพราะข้าไม่อยากแต่งแล้ว เป็นเช่นนี้ก็ดีไม่ใช่หรือ…ท่านแม่และนายท่านจู้ย่อมไม่ยินดีให้ข้าออกเรือนไปแล้วปานนี้” จู้ฮูหยินได้แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ “เป็นจริงอย่างที่เจ้าว่า…อยู่กับแม่ต่ออีกหน่อยเถอะอย่าได้เร่งรีบออกเรือนไปเลยซูเหยียน” ตามความคิดของจู้ฮูหยินหากบุตรสาวอยากจะอยู่ที่จวนตลอดไปย่อมได้ ไฉนนางจะเลี้ยงดูไม่ได้กัน “ท่านแม่…” พอจู้ซูเหยียนได้ยินคำพูดของมารดา นางก็สะอึกในอก ริมฝีปากเม้มแน่น นัยน์ตาสั่นระริกด้วยความรู้สึกผิด นางย่อมจำเหตุการณ์นั้นได้ดี… ตอนที่จู้ซูเหยียนแต่งงานครบสามวันกลับเยี่ยมบ้านเดิมก็พบว่าจู้ฮูหยินดูอิดโรยคล้ายกับคนป่วยยิ่งนัก จนกระทั่งภายหลังจากนางกลับมาได้ไม่นานก็พลันได้ข่าวว่าจู้ฮูหยินป่วยหนักถึงขั้นล้มลงนอนเตียงไม่สามารถเดินเหินได้เหมือนปกติอีกแล้ว สาเหตุมาจากภายในจวนใหญ่โตดูโดดเดี่ยวอ้างว้างจึงถูกความเงียบเหงากัดกินจนล้มป่วยก่อนจะสิ้นใจไปและส่วนนายท่านจู้นั้นพอภรรยาที่ร่วมเรียวเคียงหมอนมาร่วมกันนับครึ่งชีวิตจากไปก็ไม่อาจทนได้จากไปในเดือนถัดมาทันที ที่มารดาและบิดาต้องด่วนจากไปเช่นนี้ย่อมเป็นเพราะนางทั้งสิ้น…มิหนำซ้ำต้องตอนที่จู้ฮูหยินกำลังจะสิ้นใจไปหรือนอนอยู่ในโลงกำลังจะถูกฝังลงหลุมนั้น นางไม่มีโอกาสได้กล่าวลาอีกฝ่าย ตอนนั้นจู้ซูเหยียนเกิดแพ้ท้องหนักจนไม่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ นับว่านางอกตัญญูไม่น้อย พอตอนนายท่านั้นจู้นั้น…นางมัวแต่วุ่นวายเรียกร้องความสนใจจากมู่เซี่ยหยางไม่ยินยอมให้เขาแต่งสตรีอีกคน ว่ากันตามตรงแล้วนางนั้นอกตัญญูไม่น้อย… “ที่ผ่านมาข้าดื้อรั้นและเอาแต่ใจทำให้ท่านลำบากใจอยู่บ่อยครั้งได้โปรดอภัยให้ลูกได้หรือไม่” จู้ซูเหยียนกล่าว ใบหน้าของจู้ฮูหยินระบายยิ้มกว่า “มารดาหรือจะเคยโกรธเคืองเจ้า” นางอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นเดินเข้าไปโผล่กอดมารดาแน่น “ข้าจะไม่คิดถึงเรื่องที่จะแต่งงานออกเรือนไปกับบุรุษผู้ใดอีกแล้ว…มิสู้อยู่กับท่านแม่ไปจนกว่าผมขาวเลยดีหรือไม่” จู้ฮูหยินได้ยินถ้อยคำของบุตรสาวแล้วก็พลันหัวเราะตลกขบขันออกมา “เหอะ! มารดาจะเชื่อเจ้าได้อย่างไรกันซูเหยียน มิใช่ว่าวันพรุ่งนี้คงไม่ถวายตัวเข้าวังไปเช่นเดียวกับพี่เจ้ากระมัง” “ท่านแม่อยากให้ข้าทำเช่นนั้นหรือ…มิแน่ว่าข้าอาจได้เป็นถึงฮองเฮาแน่” พูดไม่ทันไรก็เป็นเช่นนี้อีกแล้ว จู่ฮูหยินถลึงตามองทันที “เพ่ย! ยังไม่ทันไรก็คิดหาเรื่องให้ข้าปวดหัวอีกแล้ว” จู้ซูเหยียนยิ้มอย่างอารมณ์ดี พลางหัวเราะคิกคัก “ท่านแม่วางใจเถอะ หากข้าต้องแต่งออกไปกับบุรุษสักคน...บุรุษผู้นั้นต้องรักข้ามากมายไม่แพ้ท่านเลย” และบุรุษผู้นั้นย่อมไม่ใช่มู่เซี่ยหยาง…!“แท้จริงแล้วท่านเคยรักข้าหรือไม่มู่เซี่ยหยาง” จู้ซูเหยียนเข้าใจแล้ว แม้ว่าการกระทำที่ผ่านมาของเขาล้วนแสดงออกเปิดเผยชัดเจนไม่น้อยทว่าคำถามกลับยังค้างคาอยู่ในใจ นางรู้ดี…นางเข้าใจเรื่องทั้งหมดดี…แต่ทว่าน้ำตากลับไม่ยอมหยุดไหลเสียที ภายในใจบีบรัดแน่นจนปวดหนึบชาไปทั้งร่างสายตาคมกริบของมู่เซี่ยหยางปรายมองสตรีตรงหน้าโดยไม่แสดงท่าทีใดนอกจากความนิ่งสงบ เขาไม่ได้เข้าไปปลอบนางแม้แต่น้อย “ตลอดหลายปีที่ผ่านมาข้าลงนามหย่าให้เจ้าอยู่หลายครา..แน่ใจหรือว่าไม่รู้คำตอบหรือแท้จริงแล้วจงใจเสแสร้งโง่งม ตาบอด มองไม่เห็นกันแน่จู้ซูเหยียน”น้ำเสียงของเขาที่เอ่ยออกมาทั้งเย็นชาและห่างเหินจนนางได้ยินแล้วพลันสะอึกจุกในคอทันที จู้ซูเหยียนเม้มริมฝีปากแน่น มองอีกฝ่ายผ่านม่านน้ำตาด้วยความเจ็บปวด “ข้าถามว่าท่านเคยรักข้าหรือไม่มู่เซี่ยหยาง!”“ไม่เคยรัก”เพราะพี่สาวของจู้ซูเหยียนบุตรสาวคนโตของสกุลจู้ได้รับเลือกเข้าวังทั้งยังได้เป็นถึงสนมขั้นเฟย มู่เซี่ยหยางจึงถูกกดดันอย่างไร้หนทางจำต้องรับจู้ซูเหยียนเป็นภรรยา หาไม่แล้ว ย่อมมิอาจหลีกพ้นโทษฐานลบหลู่เบื้องสูง!มู่เซี่ยหยางออกมาจากจวนสกุลจู้ก็พลันเป็นยามพลบค
บทที่ ๒มู่เซี่ยหยางเกรงว่าสวรรค์คงกลั่นแกล้งให้นางได้หวนกลับมาพบเจอบุรุษต่ำทรามผู้นี้กระมังเมื่อได้ยินน้ำเสียงนี้อีกครั้ง จู้ซูเหยียนหยุดชะงักฝีเท้าหยุดอยู่ที่หน้าประตูพลางกำมือแน่นด้วยความเคียดแค้น นัยน์ตาเมล็ด ซิ่งดูแข็งกร้าวขึ้นมาทันทีมู่เซี่ยหยาง…บุรุษใจร้ายที่ผ่านมานางล้วนเป็นภรรยาที่ดีหวังว่ากลายเป็นภรรยาแล้วเขาจะให้ความสนใจนางบ้าง ทว่าทุกอย่างที่จู้ซูเหยียนกระทำลงไปนั้นในสายตาของมู่เซี่ยหยางย่อมมองว่าไร้ค่าอยู่ดีแม้จะแต่งงานหลายปีแล้วอย่างไรกันความสัมพันธ์ของนางและมู่เซี่ยหยางห่างเหินยิ่งกว่าคนแปลกหน้าเสียอีก ‘หึ!’ มู่เซี่ยหยางแค่นเสียงออกมา สายตาคมกริบปรายมองสตรีตรงหน้านิ่งๆ ‘ภายในใจของข้าย่อมไม่เคยและไม่มีวันมีเจ้าอยู่ข้างในจู้ซูเหยียน’‘เหลวไหลมู่เซี่ยหยาง! ท่านแต่งกับข้าแล้วซ้ำยังเป็นสามีของข้า…หากไม่มีข้าในใจแล้วจะมีสตรีอื่นได้งั้นหรือ’ จู่ๆ จู้ซูเหยียนก็นึกถึงเหตุการณ์ในครานั้นขึ้นมา นางในตอนนั้นช่างนางสมเพชเวทนาไม่น้อย เหตุใดนางถึงได้โง่งมไปร้องขอความรักจากเขากันหรือเพียงเพราะว่านางมีใจให้เขา…เขาจำต้องมีใจให้นางเช่นกันงั้นรึ ช่างเป็นความคิดที่โง่เขลาสิ้นดีจู
นางลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แสงแดดจากอาทิตย์สาดส่องจนต้องกระพริบตาถี่ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างกายยังคงสั่นสะท้านจากความเจ็บปวดราวถูกฉีกขาดเป็นเสี่ยงๆ เหตุการณ์ในคราวนั้น…ราวกับเป็นเพียงฝันร้ายตื่นหนึ่งจู้ซูเหยียนค่อยๆ ยกมือขึ้น ลูบไล้หน้าท้องอย่างแผ่วเบา หัวใจเต้นระส่ำด้วยความหวาดหวั่นหวังเพียงว่า... ทารกในครรภ์จะยังคงปลอดภัย“คุณหนูเจ้าคะ!” “…” นางพลันสะดุ้งเฮือกใหญ่“คุณหนูฟื้นแล้วเจ้าค่ะ!”จู้ซูเหยียนนอนแผราบอยู่บนเตียงก่อนจะปรายสายตาหันไปมองจากนั้นจึงเอ่ยขึ้น นางระบายยิ้มจางๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ข้ายังไม่ตายงั้นหรือ”มิใช่ว่าการของนางหนักหนาสาหัส แม้กระทั่งท่านหมอยังต้องส่ายหน้าบอกให้ทำใจมิใช่หรือ…แล้วเหตุใดถึงมีชีวิตต่ออีกอยู่เล่าสาวใช้ผู้นั้นได้ยินแล้วชะงักไปครู่หนึ่ง “คุณหนูจะตายได้อย่างไรกันเจ้าคะ” คุณหนูงั้นหรือ…?จู่ๆ ภาพเหตุการณ์สุดท้ายก่อนสิ้นลมหายใจก็พลันพรั่งพรูหลั่งไหลเข้าสู่ห้วงความคิด จู้ซูเหยียนจำได้ชัดเจนว่าอาภรณ์ของนางเปียกชุ่มไปด้วยเลือดสีสดจนกระทั่ง…นางสมควรตายไปแล้ว เหตุใดยามนี้นางถึงยังนอนอยู่บนเตียงเช่นเดิมอยู่อีก นัยน์ตาเมล็ดซิ
ปัง! ปัง!...ปัง!!ซ่า…าาา!ปังๆๆ“นายท่านเจ้าค่ะ!”ยามค่ำคืนของราตรีที่มืดมิดสนิท พายุฝนตกกระหน่ำโหมอย่างรุนแรง เสียงท้องฟ้าคำรามดังก้องพร้อมกับอัสนีบาตฟาดผ่าอยู่กลางอากาศราวกับกำลังโกรธเคือง ในขณะเดียวกันนั้น มีร่างของสาวใช้ยืนตัวสั่นยืนเปียกปอนอยู่หน้าประตูเรือน นางออกแรงเคาะบานประตูครั้งแล้วครั้งเล่าพร้อมทั้งร้องเรียกตะโกนจนน้ำเสียงแหบพร่ากลืนหายไปกับเสียงฝนตกกระหน่ำ“นายท่านเปิดประตูเถิดเจ้าค่ะ!”ปัง! ปัง! ปัง…บานประตูยังคงปิดสนิท ไร้เสียงเคลื่อนไหวจากข้างใน ปัง!...ปัง ซ่า...!นางจึงออกแรงทุบอย่างแรงอีกครั้ง ฝนยังคงตกกระหน่ำโปรยปรายลงมาไม่หยุดพลันสาดกระทบเรือนของนางจนอาภรณ์เปียกชุ่มไปทั่วทั้งร่าง “นายท่านเจ้าคะ!...แย่แล้วเจ้าค่ะ”ทันใดนั้น…บานประตูก็ถูกกระชากเปิดออกอย่างแรง มู่เซี่ยนหยางปรากฏตัวอยู่ในสภาพไม่ค่อยจะเรียบร้อยนัก ท่อนบนเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์เผยให้เห็นแผงอกกำยำและเม็ดหยาดเหงื่อไหลทั่วทั้งร่างจนเปียกชุ่มราวกับว่าเพิ่งผ่านพ้นค่ำคืนอันหนักหน่วงมา หัวคิ้วของเขาพลางขมวดมุ่นฉายแววความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน สายตาคมกริบดูเย็นยะเยือก“มีผู้ใดตายหรืออย







