โบสถ์ไม้เก่าแก่ มีแพลนจะทุบทิ้งแหล่ไม่ทุบแหล่ หวังสร้างใหม่ให้ดีกว่าเดิม ถูกยับยั้งไว้ด้วยปากคนคนเดียว ซึ่งทรงอำนาจที่สุดและรวยที่สุดในเมืองนี้
เรกาโด ครูซัส หรือ ฉายาในหมู่คนสนิทเรียกว่า ' บิ๊กครูซ ' เดินช้า ย่างกรายเข้ามาในเขตข้างใน เขาหาได้รุกล้ำไม่ ทว่าที่พากันแปลกใจ เนื่องจากสามปีที่แล้ว วันนี้ เพิ่งจะโผล่หน้าเข้ามา ดอกลิลลี่ช่อใหญ่ถูกวางไว้กลางหลุมศพ ร่างผู้หญิงใต้พื้นดินนั่น คงจะย่อยสลาย เนื้อหายกลายเป็นธุรีผง เหลือเพียงกระดูกไปแล้วกระมัง บ่งบอกให้รู้หล่อนตายมานาน มีเพียงดินนูนยกสูงให้ระลึกถึงเท่านั้น
ครูซัสไม่ได้เศร้าดั่งแต่ก่อน หน้าเขาแค่เรียบเฉยสัมพันธ์กับบุคลิก ที่คนสนิทมักรู้ดี เขานั้นไร้อารมณ์สุนทรีย์มากกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกัน
ใช่ ขณะที่ยืนมือล้วงกระเป๋ากางเกงราคาแพง ตามองหลุมศพอยู่นั้น เขายังไม่เอ่ยวาจาใดออกมาสักคำเดียว ได้แต่นึกถึงใบหน้าจืดซีด ที่เคยป่วยกระเซาะกระแซะ ไอเป็นเลือดสดๆ จนตาย และ อาลัยในใจ
...ผมยังรักษาคำสัญญา
...ผมจะดูแลเธอ เท่าที่ผมจะทำได้ ...
...หลับให้สบายนะครับแม่
รถซุปเปอร์คาร์สีดำแล่นเรื่อยมาจอดเทียบฟุตบาท ร่างสูงเดินลงจากเบาะหลัง พยักหน้าให้คนขับรถ ขับออกไป บ้านกึ่งไม้กึ่งปูนเล็กๆ เล็กมาก ถึงขนาดไม่มีที่ให้รถจอด มีรั้วไม้ต่ำๆ สีขาวล้อมรอบให้ดูเป็นโรงเรียนสำหรับเด็กกำพร้าไร้คนดูแล ไม่ได้ดูหรูมากมายนัก ทว่าอบอุ่นใจสำหรบคนพักพิง
เรกาโด ครูซัส ในคราบชุดดำทั้งชุดเดินเข้ามา ความลึกลับในตัวเขาดึงดูดความยำเกรงต่อผู้พบเห็น ทำเด็กซึ่งวิ่งเล่นอยู่ตรงสนามหญ้าถอยกรูดกันเป็นพรวน เขาดูเป็นผู้ใหญ่ และน่ากลัวกว่าคนอื่นๆที่ผ่านเข้ามาทำทาน หรือเพื่ออุปการะอย่างสิ้นเชิง พร้อมประโยคเรียบทุ้ม ทำหญิงวัยกลางคนกำลังเดินผ่านชะงักกลางคัน
"สวัสดีครับซิสเตอร์ ผมมารับเด็กคนนั้น ที่ครอบครัวทำเรื่องอุปการะไว้เมื่อสามปีก่อน"
โต๊ะไม้ข้างหน้าต่าง มีโคมไฟชนิดหักคอได้ วางตระหง่านชิดมุม ข้างกันมีหนังสือนิยายแนวลึกลับกองสูงเป็นเนินภูเขา ซ้อนทับกันไม่เป็นระเบียบนัก เสี่ยงหล่นลงมาทับหัวคนอ่านตายหลายรอบ แม้จะดูเก่ากึก ทรุดโทรม แต่มันก็คือมุมโปรดของเธอ
เอมิเลีย หรือเอมี่ สาวร่างบางอายุสิบแปดปีเศษ ฟุบโต๊ะรออะไรบางอย่าง ซึ่งได้รับมอบหมายให้เธอต้องเตรียมพร้อม เธอไม่รู้มาก่อน แต่หากเสื้อไหมพรมตัวหลวมโคล่งสีชมพู ซึ่งเป็นตัวสุดท้ายที่มาดามเรกาโด เกรชมอบให้ ถูกเก็บไว้นานเกือบลืมมาสวมใส่นั้น นั่นหมายความว่าเธอจะต้องไปจากที่นี่
แน่นอน เธอไม่อยากก้าวพ้นเขตนี้ออกไปแม้แต่นิดเดียว ความรู้สึกใจหาย เศร้าสลด กลัวจะคิดถึง ถูกกักเก็บไว้แค่ในใจ และแววตาหวานฉ่ำเท่านั้น ไม่สามารถเรียกร้องออกมาได้
"เอมี่ เสร็จหรือยัง"
ยิ่งต่อหน้าซิสเตอร์แล้วยิ่งแล้วใหญ่ อย่าหวังให้น้ำตาเอ่อล้นออกมาแม้แต่หยดเดียว!
"ค่ะ..."
"ลูกกำลังมีปีก มีโอกาส"
"แต่หนู..."
"หลุดจากกรงแล้ว ควรจะบินไปให้ไกลที่สุด อย่าได้หวนกลับมา"
"....."
"มหาลัยที่ผู้อุปถัมภ์เลือก คงจะเป็นที่ที่เหมาะสมกับลูก"
"ฮึก... "
"เอมี่... "
"หนูรู้ค่ะ คนร้องไห้มันดูโง่"
เธอช้อนตาขึ้นแทรก หลังก้มงุนสลดอยู่นาน ซิสเตอร์มองเข้าไปในตานั้นด้วยความอาลัยรัก อยากจะร้องไห้สั่งลาไม่น้อยไปกว่าเธอ ทว่า นี่คงไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีสักเท่าไหร่ โลกภายนอกมันช่างโหดร้าย อันตราย และมีอีกหลายอย่างที่หญิงสาวยังไม่รู้ เข้ามาสอนสั่งให้มนุษย์มีบทเรียนกันทุกคน หล่อนบอกศิษย์คนนี้เสมอ เด็กกำพร้าไร้ที่พึ่งซึ่งไม่รู้พ่อแม่คือใครมาก่อน มักจะอาภัพมากกว่าคนอื่น
ฉะนั้นคำสั่งสอนที่หล่อนฟูมฟักมาตั้งแต่เด็ก หวังให้เธอเข้มแข็งนั้น คือเกราะปกป้องกันที่ดี และจะได้ใช้จริงๆนับแต่วันนี้
ซิสเตอร์บีบมือเธอเป็นการบอกลาแทนคำพูด พลางหันไปตามเสียงฝีเท้าหนัก ซึ่งเดินเป็นจังหวะเข้ามาหยุดตรงหน้าของคนทั้งคู่
"ได้เวลาแล้ว"
หันไปบอกเธอเสียงแผ่ว แค่สายตาหวานชำเลืองปะทะเข้ากับดวงตานิ่ง ไม่ทันได้เห็นมันชัดเจน เอมิเลียก้มหน้างุนรนราน เปลี่ยนภาพนั้นเป็นรองเท้าคอมแบตสีดำราคาแพงทันที
ภายในรถ กว้างพอจะบรรจุคนเป็นสิบ กลับทำหญิงสาวอึดอัด ทัศนียภาพบรรยากาศวิวข้างทางสวยงาม เปี่ยมไปด้วยสีสัน ที่อาจจะทำให้คนไม่เคยเห็นเฉกเช่นเธอมาก่อน น่าจะตื่นเต้น และยินดีที่ได้พานพบกับมัน กลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เธอเอาแต่มองนอกกระจก ในตาสลด กะพริบถี่นับครั้งไม่ถ้วน สร้างความหนักใจให้แก่ผู้ปกครอง ที่ชำเลืองมองมานานๆครั้งไม่น้อย ทว่า แสร้งทำเป็นไม่สนใจเธอ เลือกที่จะเงียบขรึม ตามแบบฉบับของเขา ซึ่งชายหนุ่มไม่รู้ตัว การกระทำแบบนี้ ทำหญิงสาวเกร็งจนเท้าชาไปหมด
จนกระทั่งถึง....
คฤหาสน์ใหญ่โอ่อ่า ทำด้วยอิฐหินแท้แข็งแรง บริเวณข้างๆกว้างขวางเหลือคณานับ พอๆกับบริวารของเขา ที่วิ่งกรูกันเข้ามา ยามเห็นรถคันนี้วิ่งผ่านรั้วเข้าไป เอมิเลียทึ่งจนยิ้มไม่ออก เธอไม่ได้ดีใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต แต่กลับห่อไหล่เกรงกลัวอำนาจของคนข้างๆมากยิ่งขึ้น เพราะคาดไม่ถึง ครอบครัวที่อุปถัมภ์เธอ จะรวยล้นฟ้าเช่นนี้
"ถึงแล้ว บ้านของเธอ"
และนี่คงเป็นครั้งแรก ที่เธอได้ยินเสียงเขาอย่างชัดถ้อยชัดคำ มันคือเสียงทุ้ม นุ่มแฝงสุขุม ใครได้ยินคิดจะเถียง เป็นอันต้องกลืนคำพูดนั้นๆ กลับลงคอกันเลยทีเดียว
"ค่ะ..."
เอมิเลียพยักหน้า เปิดประตูยืนรอกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเอง ชายหนุ่มเลิกคิ้ว
"รออะไร "
"กะ กระเป๋าหนู"
"ลูกน้องฉันจะยกให้ เธอไปแต่ตัวก็พอ"
เธอหลบตา ยอมทำอย่างที่เขาว่าแต่โดยดี แม้การเดินของเธอในแต่ละก้าว มันจะแข็งแทบพาเธอล้ม
ใช่ เธอประหม่า กลัวจนเหงื่อตก สูญเสียความควบคุมบางอย่างในร่างกาย ครูซัสมองเธอจนทิ้งห่างไปพอสมควร ก่อนพยักหน้าให้สาวใช้อีกคนเพื่อเดินตาม
"อย่าให้มีปัญหากับเคลที่ "
"ได้ค่ะ นาย"
เอมิเลียเดินห่อไหล่ก่อนหยุดชะงักเมื่อมาถึง บานประตูสลักสีทองโบราณ และรูปปั้นซีเมนต์สิงโตสองฝั่ง ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกกลัวเท่ากับภายในบ้านเลย เบื้องหน้าของเธอนั้นเสมือนอุโมงค์ลึกลับ หากเข้าไปแล้วยากจะออกมาได้
ใช่ บรรยากาศทำให้เธอรู้สึกว่า ข้างในนั้น มันยากแท้จะหยั่งถึง กว่าจะตัดสินใจก้าวเดินต่อ ก็ตอนชำเลืองไปเห็นสาวใช้ร่างอวบเดินตามมา พร้อมกระเป๋าซึ่งถูกยกนำหน้าเธอไป เอมิเลียเปลี่ยนเป็นชะลอตามหลังหล่อนแทน
"ที่นี่คือ..."
"ห้องนอนของคุณค่ะ"
หน้าสวยจิ้มลิ้ม กวาดตามองไปทั่ว หลังเข้ามายืนอยู่ภายใน
"หวังว่าคุณจะชอบ"
สาวใช้บอก หญิงสาวก้มหน้างุด ดวงตาสลด
"ขอบคุณค่ะ"
"ฉันชื่อซีอาร์นะคะ เป็นคนใช้ที่นี่มานานตั้งแต่รุ่นคุณพ่อของคุณท่าน มีหน้าที่อยู่ในครัว แต่ตอนนี้เปลี่ยนมาดูแลคุณแทน"
น้ำเสียงราบเรียบ ทำหญิงสาวสนใจใคร่รู้ เธอหันไปตั้งใจฟัง ก่อนแนะนำตัวเองบ้าง
"หนู.. เอมิเลียค่ะ"
"ค่ะ ดิฉันทราบ"
หล่อนยิ้มกว้าง เจ้าของชื่อยิ้มตอบ ทว่าดูอย่างไรก็ฝืนเต็มที สาวใช้รู้ดี แต่หล่อนเลือกที่จะนิ่ง ให้กำลังใจผ่านแววตาคู่แขกนั้น บ่งบอกถึงมิตรภาพที่ดี
"ทำไมต้องดูแลหนู เขาสั่งหรือ"
"ใช่ค่ะ นายท่าน คือผู้มีอำนาจที่สุดในคฤหาสน์นี้"
".... "
เธอเลิกคิ้ว ไม่คิดจะถามอะไรอีก ทั้งที่ในใจอยากรู้แทบแย่ ผู้อุปภัมภ์ที่แท้จริงคือใคร และมีหน้าตาเป็นยังไง เธอจำได้แค่ว่า ชื่อของหล่อนคือผู้หญิง...
ทำไมตอนนี้ กลับกลายเป็นผู้ชาย คนที่รับเธอมา และดูเย็นชาที่สุดแทน
ในขณะหญิงสาวกำลังเงียบ เอาแต่ก้มหน้า กลับต้องเงยขึ้นด้วยเสียงทุ้มนี้
"ออกไป"
เขาสั่งซีอาร์ สาวใช้คำนับรับ
"ค่ะ "
ซึ่งคราวนี้ เหลือแค่เขากับเธอเพียงสองคน เอมิเลียใจสั่น มือชาวาบ ก้มหน้ามองพื้นมากกว่าเดิม ชายหนุ่มถอนหายใจยาว เดินผ่านหน้าเธอ ไปเปิดหน้าต่างให้
"ซิสเตอร์บอก เธอเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ฉันเลยจัดมุมนี้ไว้"
เขาใช้นิ้วเคาะสันโต๊ะสองสามที หวังให้เธอเงยหน้าขึ้นมอง เพิ่งสังเกตุเห็น ว่าบนนั้นเต็มไปด้วยหนังสือ ซึ่งเป็นแนวที่เธอชื่นชอบ หญิงสาวเม้มปากแน่น ปากหนักไม่รู้จะเอ่ยคำไหนดี ได้แต่โน้มตัวคำนับแบบซีอาร์ ความรู้สึกบอกคลื่นเขานั้นหนาเหลือเกิน หนาจนหญิงสาวเกร็งไปหมด และเสมือนโชคเข้าข้าง เสียงสมาร์ทโฟนของเขาดังขึ้นช่วยชีวิตเธอพอดี ครูซัสละสายตาจากการจ้องหน้าเธอ มากดรับสาย เดินเลี่ยงไปคุยข้างนอก โดยไม่สนใจจะบอกลาเธอสักคำ
"ฮัลโหล ใช่ ผมไม่ได้ลืม กำลังจะไป"
กับคำสรรพนามที่เปลี่ยนไป ระหว่างคู่สนทนาปลาสาย ที่ต่างกับ.. เธอ
เขตนอกชานเมือง กึ่งป่าดงดิบกึ่งป่าทึบ หากแหงนหน้าขึ้นไปข้างบน ตรงจุดนี้จะเป็นเนินเขาคล้ายเหวลึก เสียงสัตว์ป่าสงวนผสานเสียงกันจ้าละหวั่น หากใครสักคนต้องติดอยู่บริเวณนี้จนมืดค่ำ คงจะอ้างว้างน่าดู เวเดโน่ยืนน่าซีดเผือดหลังมาถึง และฟังคำบอกเล่าของคนแปลกหน้าที่ติดต่อมาด้วยความนิ่งสงบ ต่างกับใจที่ละเหี่ยเต็มที แม้จะบั่นทอนจิตใจ แต่ด้วยความจำเป็นที่จะต้องรู้ เขาจึงต้องฟัง จากพลเมืองดีตรงหน้า ที่คิดว่าชาตินี้จะไม่ได้เจออีกแล้ว ดวงตาสีดำสนิททั้งสี่คู่มองไปยังจุดนั้นเป็นจุดเดียว ในขณะหูนั้นฟังพร้อมนึกภาพตาม กับสีหน้าที่สลดสูงสุด เรกาโดต้องทรมานแค่ไหนจึงจะผ่านมาเหวนี้มาได้ เพราะความห่างระหว่างตึกองค์กรกับหน้าผามันไม่ใช่หนทางที่ง่ายเลย" ตอนนี้เขาอยู่ไหน "“ ยังไม่ได้สติครับ ““ พาพวกเราไปหน่อย “เวเดโน่ละสายตาเป็นคนแรก ก่อนแจ้งเจตจำนง แม้ท่าทางที่แสดงออกมาต่อหน้าคนอื่นจะดูเรียบเฉย ราวกับเรื่องตรงหน้า ไม่สำคัญให้ต้องตื่นเต้น เพราะเหตุการณ์แบบนี้ช่ำชองกับเขามานักต่อนัก การสูญเสียใครสักคนไปจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับมาเฟียอย่างพวกเขา เว้นแต่กรณีของเรกาโด ต่อให้กลบเกลื่อนความรู้สึกด้วยความขรึมยังไ
ร่างบางทิ้งเข่ายวบพื้นไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก หมดพลังและปัญญาจะอ้าปากพูด แม้แต่มือยังปล่อยปะละเลยไว้บนตัก เธอทำได้แค่สะอื้นในใจเท่านั้น นั่นไม่ใช่เพราะเสียใจน้อย แต่มันช็อคจนไม่รู้จะร้องไห้ยังไง มันทั้งเจ็บทั้งปวด ทรมานเกินจะบรรยาย" คะ คุณครูซ..."ต่อจากนั้นคงมีแต่ศีรษะที่เอาแต่ส่ายหน้า ซ้ำไปซ้ำมา ราวกับสลัดความมึนงง เธอต้องฝันไปแน่ๆ...ใช่ มันคือความฝัน ทว่า ทำไมน้ำตานับแสนเม็ด กับหัวใจของเธอที่แตกสลาย ไม่มีชิ้นดีนี้ แทนคำตอบของเธอได้ดีทีเดียว สัญชาตญาณกำลังบอกเธอ..มันคือเรื่องจริง!" ไม่จริ๊ง!!! "" เอมิเลีย! "ก่อนร่างทั้งร่างจะล้มตึงฟุบพื้นไม่เป็นท่า หากไม่ได้แขนพ่อของเธอเข้าช่วย มีหวังหน้าผากที่มนสวยคงแตกเกิดรอยตำหนิหนึ่งชั่วโมงผ่านไปโลกทั้งใบเป็นสีทึบ ทะเลทรายที่เคยขาวสะอาด มีแสงระยิบระยับราวกับกากเพชรยามถูกแดดส่องแปรเปลี่ยน ทุกอย่างดูอึมครึมไปทันที นับตั้งแต่เปลือกตาหวานละมุนปิดสนิท ออร์แกนพบข่าวด่วน ด่วนชนิดที่ทำเขารับมันไม่ทัน จะว่าเป็นข่าวดีก็มีส่วน หากแต่มาในช่วงเวลานี้ คงจะยินดีไม่ไหว" ท้องงั้นหรือ..."เสียงครางไม่อยากจะเชื่อเอ่ยขึ้น หลังหมอประจำตระกูลถูกเรียกตัวมาตรวจ
คนพิการทางร่างกายหากแต่ใช่สมองนิ่วหน้า คงเจ็บระบมน่าดู เพราะฝ่าเท้าที่เหยียบอยู่ของมาเฟียรุ่นลูกนั้น น้ำหนักไม่ใช่น้อยๆ ความเจ็บปวดทางใจบอกผ่านนัยย์ตา เรกาโดจ้องมองเขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ จะร้องก็ไม่ร้องจะแสร้งเมินเฉยก็คงเกินความสามารถ วินาทีนี้หัวใจเขามันเหน็บชาไปหมด“บอกกูมา ว่าอยากจะตายอยู่ที่นี่หรือว่าจะรอดไปด้วยกัน”คนข้างล่างต่อลอง เขาแค่นหัวเราะก่อนจะยกยิ้มมองเปลือกตาไม่กระพริบ พลางทรุดตัวลงนั่ง“รู้อะไรไหมครับ ในชีวิตของผมเจอคนพิการแบบท่านมาก็เยอะ บางคนสงสารจับใจจนต้องยื่นมือเข้าช่วย จะทำเป็นไม่เห็นคงไม่ได้ แต่กับท่านเนี่ย....” โน้มหน้าไปกระซิบใกล้ๆ “ยิ่งตายอย่างทรมาน ผมโคตรยิ่งสะใจ”พลั่ก!จับหัวโขกพื้นไปทีนึง แล้วลุกขึ้นยืน ปล่อยให้โคโรธีนอนงอเข่า จุกเสียดอยู่ตรงนั้น ส่วนเขายืนเต็มความสูงอย่างหมดแรง แต่ก็ยังใช้เรี่ยวแรงที่เหลือนั้นค้นหาสมาร์ทโฟน หาเบอร์โทรเกือบจะล่าสุดกดโทรออก ไม่นานปลายสายก็รับ(ครับนาย นายเป็นอย่างไรบ้าง)“เอาโทรศัพท์ไปให้ เอมิเลีย”(อะไรนะครับ?)“ใช่หน้าที่ มึงต้องมาสงสัยหรือ เร็วๆ”(ครับๆ ได้ครับ)เขายืนรอสายอย่างใจเย็น ที่ช้าสำหรับเขาอยู่ตอนนี้ คาดว่าลูแค
ใช้เวลานานพอสมควร กับการสาดกระสุนใส่กันระหว่างสองพวก เรียกได้ว่านี้เป็นมหากาพย์ที่ดีที่สุดหากเปรียบเทียบเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ก็ว่าได้ทว่า..ไม่ใช่ สำหรับผู้ประสบพบเจออย่างทีมอัลฟ่า และคนชั่วอย่าง โคโรธี ทอน มันเป็นเรื่องที่บัดซบที่สุด นับตั้งแต่เกิดมาได้ครึ่งคน นี่คือผลงานชิ้นใหญ่ที่ทำเจ้าของถิ่นหัวเสียได้มากสุด อัลฟ่ามาเพื่อทำลายและล้างผลาญทรัพย์สมบัติเขาจริงๆ อย่างที่คิดไว้ ความเสียหายประดุจคำบอกเล่า ในเมื่อต้องการครอบครอง แบบไม่ผันก้มลงมองตัวเอง รังแต่ใช้อำนาจตัดสินอนาคตคนอื่น พรากออกจากโลกด้วยความตาย...ฉะนั้นคนกระทำก็สมควรตายตามไปด้วยเช่นกัน ถึงเวลาแล้ว และคนอย่างพวกเขาต้องทำให้สำเร็จ แม้นยามนี้จะกระทบใจใครอยู่ก็ตามที!“เลิกบ้าได้แล้ว ไอ้ครูซ”เสียงคำรามข่มต่ำทุ้มดังมาจากข้างหลัง เรกาโดชะงักสิ่งที่กำลังจะทำกลางคัน เขาจำเสียงนี้ได้แม่น แค่ไม่หันกลับไป นอกเสียจากแค่นหัวเราะในลำคอแทน“หึ...”“อย่าดันทุรัง”“พ่อต่างหาก ที่ดันทุรังอยู่ ปกป้องมันทำไม เพื่ออะไร...”ประโยคทิ้งท้ายแหบแห้ง มาเฟียแก่ผมขาว คงไม่รู้ หรือรู้แต่ไม่แสดงออกว่ายามนี้สิ่งที่ลูกชายเขามีมันคือความเจ็บปวดที่บีบหัวใจเข
รถกันกระสุนคันเดิมจอดห่างไกลตัวตึก เพื่อให้ชายหนุ่มนั่งข้างคนขับกระโดดลงไปอย่าทันให้ใครเห็น เวเดโน่ถอยรถกลับอย่างรวดเร็ว เกือบชนต้นไม้ในโพรงป่าทึบข้างกำแพงหลังพุ่งกันชนท้ายเข้าไป ก่อนจะตามเรกาโดไปติดๆ คราวนี้ทั้งคู่คงต้องรับบทเป็นนินจาเสียแล้ว' ประตูดีๆ ไม่มีให้พวกมึงเข้าไปหรือไงวะ 'เสียงซันดรูแทรกออกมา ท่ามกลางความเงียบรอบบริเวณที่พวกเขาอยู่" มึงคิดว่ามันยังต้อนรับพวกเราดีอยู่ว่างั้นเถ้อะ! "เวเดโน่ประชด ส่วนเรกาโดแค่นหัวเราะพร้อมหาช่องแคบทางลับจากจุดนี้ไปโผล่อีกทีหลังกำแพงอย่างช่ำชอง จุดนี้เป็นจุดสุดท้ายที่ไม่มีใครรู้ว่าเขานั้นรู้ เพราะตอนเป็นเด็กเขาเคยมาแล้วครั้งนึง เหตุผลทำไมไม่ไปในจุดที่รู้น่ะหรือ... เพราะคิดว่า โคโรธี ทอน เจ้าของคฤหาสน์หลังนี้ คงสั่งลูกน้องดักรอเชือดคอเขาเรียบร้อยแล้ว!" เฮ้ย ไอ้ครูซ เดี๋ยวรอกูด้วย... บ้าเอ๊ยยย ไม่ฟังกูเลย "เวเดโน่ชะงักกึกเปลี่ยนจากการกระซิบกับซันดรูเป็นกระซิบไล่หลังแทน พร้อมกิ่งไม้แห้งใกล้มือเขวี้ยงใส่ไปด้วย' อะไรกันวะ ' ส่วนฝั่งตรงข้ามถามกลับมา ทว่า..." หน้าที่ของมึงตอนนี้ หาเส้นทางรอดให้พวกกูก็พอ ไอ้ครูซมันเข้าไปแล้ว "กลับถูกเวเดโน่เอ
ชายหนุ่มสะดุ้งตกใจ หลังได้ยินเสียงข้อความผ่านสามาร์ทโฟนปลุกให้ตื่นจากฝันร้าย ร่างหนาถึกพยุงตัวเองขึ้นนั่ง พลางหันไปมองด้านขวา กลับไร้คนข้างๆมีเพียงพื้นที่ว่างเปล่า คิ้วหนาขมวดเข้ากันเป็นปม...เช้าขนาดนี้หล่อนไปไหน ก่อนจะบึ่งลงจากเตียงเดินอาดๆ ไปยังห้องน้ำในครัว นานทีจะมีนายหญิงลงมาทำอาหารเช้าเอง ความครึ้กครื้นปนวุ่นวายย่อมบังเกิด สาวใช้นับสิบยืนเรียงหน้ากระดานพากันมองร่างบางเท้าสะเอวคนน้ำพาสต้าแล้วยกขึ้นมาชิม สลับกับการเติมเครื่องปรุงไปด้วย เธอขะมักขะเม้นในการทำเป็นอย่างมาก ยกอะไรใส่ก็ล้วนแต่มั่นใจไปเสียหมด ไม่รวมถึงการหั่นเนื้อ หั่นผักที่ดูคล่องแคล่วถนัดนัก เล่นเอาสาวใช้ที่ยืนมองตั้งแต่เริ่ม ละอายตามกันเลยทีเดียว วันนี้เป็นวันพิเศษอะไรหนอ นายหญิงตัวน้อยของพวกหล่อนถึงเข้าครัวได้" โอเค เสร็จแล้ว ยกเสิร์ฟได้เลยจ้ะ"เอมิเลียบอกเสียงใส ตบมือเข้าหากันสองสามที ก่อนจะกอดอก ราวกับภาคภูมิในฝีมือตัวเองเต็มประดา แล้วหันมาพยักหน้าให้พวกหล่อน" เดี๋ยวยกไปให้หน่อยนะคะ ส่วนในหม้อที่เหลือนี้ พวกพี่ทานได้ ฉันทำเผื่อด้วย "และครั้งนี้ดูเหมือนว่าสาวใช้จะพากันเทใจให้กับหล่อนไปเต็มๆ หลังรับรู้ถึงความมี