ในขณะสมองเธอมีแต่ความสงสัย ทว่าไม่กล้าพอที่จะถาม ทั้งที่มันคือสิทธิส่วนบุคคล เธอมีสิทธิ์จะปกป้องตัวเองก็ได้ เมื่อรู้สึกไม่ปลอดภัย
"มองหน้าฉัน จะเอาอะไร"
ดวงตาคู่หวานหลบหลีกกระทันหันทันที หลังชำเลืองแอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขา แล้วถูกจับได้ เธอลอบมองอยู่หลายครั้ง ไม่คิดว่าครั้งนี้เขาจะหันกลับมาสบตา
"เปล่าค่ะ"
เอมิเลียปฏิเสธ ดวงตาสั่นระริก
"ฮึ เด็กน้อย เธอโกหกฉันไม่ได้หรอก "
"....."
"อยากจะรู้อะไร ถามมา"
ก่อนหัวใจทั้งดวงจะหล่นลงไปอยู่บนตาตุ่ม เอมิเลียเม้มปากแน่น ไม่คิดว่าจะถูกจับได้ อ้ำอึ้งอยู่อึดใจนึง ภาวนาให้คำถามของเธอนี้ ไม่ถูกเขาตะเพิดกลับมา
"เอมิ..."
"ทำไมต้องพาหนูไปด้วยคะ ทั้งที่คุณสามารถส่งหนูกลับไปก่อนได้ "
เธอหันขวับชิงถาม ครูซัสเลิกคิ้ว
"เธอหมายถึงอะไร?? จะบอกฉันว่าเธอคือคนอื่นไม่สมควรจะพาเข้าไป น่ะหรือ" ย้อนถามกลับ
"ใช่ค่ะ ทั้งที่มันเป็นความลับ"
"เธอจะบอกอะไรฉัน? "
"หนูไม่ควรจะมารับรู้ หรือได้ยินอะไรแบบนี้"
"เธอก็แค่ลืมมัน สาวน้อย... "
เอมิเลียถึงกับเม้มปากเป็นเส้นตรง ช่างใจ ไปไม่ถูก เมื่อชายหนุ่มแนะนำเธอเสียงเรียบ ไร้ท่าทีตื่นเต้นใดๆทั้งสิ้น ต่างจากเธอ ที่ตอนนี้เริ่มจะประหม่าเพราะกลัวเขาเข้าแล้วจริงๆ
"อยู่กับฉัน ยังไงก็ดีกว่าอยู่บ้าน อาจทำเธอเสียขวัญบ่อยหน่อย แต่เชื่อฉันสิ เธอจะปลอดภัย "
ครูซัสทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนจะนั่งนิ่งเหมือนเก่า ส่วนเอมิเลีย ก็เอาแต่นั่งก้มหน้า เพราะไม่กล้าจะถามต่อ เธอรู้ หากมากกว่านี้เขาหงุดหงิดแน่ เลยต้องปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมรถทั้งคันมาตลอดทาง จนกระทั่งถึงที่หมาย เอมิเลียเดินคอตกตามหลังชายหนุ่มมาติดๆ ในใจเต็มไปด้วยความอึดอัด เพราะไม่รู้จะสรรหาคำพูดแบบไหนมาพูดดี จึงปลีกตัวออกมาจากเขา ต่างกับเขาที่ตอนนี้นำหน้าเธอด้วยจังหวะการก้าวเดินปกติ ก่อนจะหยุดกะทันหันตรงหน้าบันได ทำเอมิเลียที่ไม่ทันมองหน้าจูบแผ่นหลังเขาเต็มๆ
ปึก!
"อ๊ะ ขอโทษค่ะ อีกแล้ว..." ก่อนลูบหัวตัวเองป้อยๆ
ครูซัส เก็บอาการในความเปิ่นซ้ำซากของเธอโดยการสูดลมหายใจเข้าปอดสุดลึก
"กลับห้องเธอไปได้แล้ว"
สั่งเธอโดยไม่หันมามอง เอมิเลียพยักหน้า ก่อนจะหมุนตัวกลับห้องตัวเองแต่โดยดี
"ค่ะ ขอบคุณนะคะ สำหรับมหาลัย" ทว่า กลับต้องชะงักด้วยคำทิ้งท้ายนี้
"ไม่เป็นไร มันคือหน้าที่ แม่ฉันอยากจะทำให้เธอ ฉันก็แค่รักษาสัญญา อย่าสร้างปัญหาก็แล้วกัน "
หญิงสาวเงียบกริบ ทั้งรู้สึกแย่ ทั้งขอบคุณมาดามเรกาโดในใจ ก่อนยิ้มอ่อน หันไปลดศีรษะให้เขา
" ....ค่ะ"
"อ้อ พรุ่งนี้ก่อนเก้าโมง ฉันจะให้ลูกน้องพาเธอไปซื้อเสื้อผ้านะ เตรียมตัวไว้ด้วยล่ะ "
"ค่ะ"
และอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกมาจริงๆ... ด้วยสภาพจิตใจที่ดูไม่จืด
เอมิเลียเดินห่อไหล่มาถึงห้อง ไม่ทันสังเกตุเห็นสายตาคู่หนึ่ง ทอดมองเหยียดมาจากอีกห้อง ซึ่งอยู่เยื้องกันกับเธอ เรกาโด เคลที่ กวักมือเรียกสาวใช้ ที่กำลังเดินใกล้เข้ามา เพื่อถามไถ่
"ยัยนั่นน่ะหรือ เด็กในอุปถัมภ์ของคุณแม่"
ซีอาร์หลบตาทันควัน หลังชะงักเท้าตอนหล่อนเรียก เม้มปากกว่าจะตอบ
"ค่ะ"
"มันชื่ออะไร? "
"คุณหนูเอมิเลียค่ะ"
เพี๊ยะ!
สาวใช้หน้าหันไปตามแรงมือ เสี้ยวแก้มชาเป็นแถบ หลังพูดคำนี้ออกมาไม่ทันจบ
"แกกล้ายกย่องมันมาเทียบฉันงั้นหรือ? "
เคลที่ตาลุกวาว ข่มเสียงต่ำอย่างเอาเรื่อง ซีอาร์ก้มหน้าสลด ปากสั่นระริก อยากจะร้องไห้ ทว่าต้องเก็บอาการไว้
"ซะ ซีอาร์ไม่กล้าค่ะ แต่นายท่านสั่ง"
"เฮอะ เลยต้องทำตามงั้นสิ"
"ฮึก.."
"ไสหัวไปให้พ้น! "
สิ้นสุดคำนี้ ซีอาร์ไม่รีรอ กุลีกุจอรีบรนรานออกมา โดยไม่หันกลับไปมองอีก ปล่อยเจ้านายเจ้าอารมณ์อยู่ข้างหลัง ด้วยความโกรธ โทสะหนักจนกู่ไม่กลับ ทำหล่อนต้องกำมือแน่น ถ้าไม่ติดว่า ตัวหล่อนเองก็เกรงกลัวพี่ชาย ยามเขาโมโหร้ายแล้วฟิวขาดมากกว่าหล่อนหลายเท่าเล่าก็ ยามนี้ขาคู่นี้คงพาหล่อนไปอาละวาดสมาชิกใหม่สมใจอยากเรียบร้อย
"มีโอกาสก่อนเถอะ แกไม่มีทางมายืนชูคอ ใกล้พี่ชายฉันแบบนี้แน่"
ทางด้านของเอมิเลีย หลังเดินมาถึงห้อง สิ่งแรกเริ่มที่ทำคือการนั่งเหม่อ ในอกแสนจะทรมานเพราะคิดถึงบ้านเก่าจับใจ ทว่าไม่รู้จะติดต่อกลับไปยังไง และไม่รู้ฝั่งโน้นจะให้ติดต่อไหม... เลยได้แค่นั่งเฉยอยู่แบบนี้
ก็อก ก็อก ก็อก
เสียงเคาะประตูดังเป็นจังหวะสามครั้งเช่นเคย ทำเอมิเลียหลุดออกจากภวังค์หันไปมอง
"ไม่ได้ล็อคจ้ะ"
ยิ้มอ่อนเมื่อเห็นว่าเป็นใคร ต่างจากซีอาร์เอาแต่ก้มหน้านิ่ง หญิงสาวหุบยิ้มลงทันควัน เริ่มผิดสังเกตุ
"พี่ซีอาร์ หน้าของพี่.."
ลุกพรวดลงจากเตียงไปยืนตรงข้าม ก่อนเพ่งมองให้เห็นเต็มตา ในขณะสาวใช้ก้มหน้า หลบตาไม่อยากให้เธอรับรู้ ทว่า เหมือนยิ่งห้ามยิ่งยุ มือบางนุ่มนิ่มยกขึ้นมาเกาะกุมกรอบหน้า ช้อนเบาๆให้หล่อนเงยขึ้นมาสบตากับเธอ
"ฮึก..."
และเมื่อเห็นรอยแดงช้ำเป็นรอยง่ามนิ้วทั้งห้า หญิงสาวถึงกับเบิกตาโพลงตกใจทันที
"ใครทำพี่คะ "
สาวใช้หลบตา เบือนออกไปทางอื่น เอมิเลียถอนหายใจพรืด เพิ่งนึกขึ้นได้เธอไม่ควรถาม มันอาจจะเป็นเรื่องส่วนตัวของหล่อน ซึ่งยากต่อการอธิบาย มือคู่บางจึงค่อยๆลดลงทัน หญิงสาวกรอกตาไปมา ก่อนถ่างขึ้นเล็กน้อย หมุนตัวไปหยิบยาดมที่พกติดไว้ในกระเป๋า แต่ไม่ค่อยได้ใช้ สาเหตุที่เก็บไว้กับตัวมาตลอด เพราะบ่อยครั้งในชีวิต เธอมักจะพบแต่คนเป็นลม ไม่คนแก่ชรา ก็เด็กขี้โรค
"ทายานี้นะคะ จะได้ไม่บวมมาก "
เอมิเลียยิ้มอ่อน ยื่นนิ้วมาแต้มตรงรอยช้ำนั้นด้วยความอ่อนโยน การกระทำของเธอทำให้ซีอาร์หัวใจพองโต เพราะไม่เคยได้รับความอบอุ่นและเอาใจใส่แบบนี้มาก่อน จากหน้าสลดกักเก็บน้ำตาไว้เต็มที่ ตอนนี้ปล่อยให้ไหลลงมาอาบแก้ม พร้อมมองหน้าเธอด้วยแววตาที่ซาบซึ้ง แทนคำขอบคุณ
"เก็บไว้นะคะ เผื่อวันไหนพี่ต้องใช้มัน "
เมื่อทาเสร็จ เธอยัดมันใส่อุ้งมือซีอาร์
"แต่ว่าคุณหนู..."
"ไม่ได้เอาไว้ใช้กับหนูหรอกค่ะ หนูพกไว้เผื่อเจอคนเป็นลมเฉยๆ"
"โถ้..."
สาวใช้ถึงกับเข่าอ่อน นึกไม่ถึงว่าจะเจอคนจิตใจอ่อนโยนขนาดนี้ และนึกไปไกลถึงอนาคต เธอจะอยู่ยังไง หากวันข้างหน้าถูกใครบางคนรังแก
ใช่ ปัญญาของหล่อน มีสถานะเพียงคนรับใช้เท่านั้น จะปกป้องอะไรได้
"รีบไหมคะ "
ซีอาร์หลุดจากความคิด ก้มมองยาดมซึ่งมาอยู่ในอุ้งมือของหล่อนเรียบร้อยแล้ว ช้อนตาขึ้นมองคนถาม สีหน้าเธอดูไม่จืด
"มีเก็บของ ล้างจาน ปัดกวาดอีกนิดหน่อยค่ะ คุณหนูมีอะไรหรือเปล่าคะ "
"มานั่งตรงนี้สิคะ "
เอมิเลียตบเบาะเตียงข้างตัวเองสองสามที
"ค่ะ "
รอให้ซีอาร์ทำตาม จึงพูด
"ต่อไปนี้ เรียกหนูว่า เอมี่ ก็พอค่ะ"
"คะ?"
ก่อนยิ้มอ่อน ค่อยๆเลื่อนมือตนไปกุมมือแข็งผิวกร้าน บ่งบอกถึงสภาพทำงานหนักมานานเกือบค่อนชีวิต
"หนูไม่ชอบคำที่พี่เรียกเลย "
"แต่คุณหนูคะ..."
เอมิเลียชิงส่ายหน้าไม่เปิดโอกาสให้หล่อนได้เถียง
"มันดูให้เกียรติกันเกินไป พี่เรียกหนูแบบนี้ เราจะสนิทกันยากนะคะ หนูอยากคุยกับพี่ได้ทุกเรื่อง "
"ไม่ได้หรอกค่ะ ถ้านายท่านทราบ จะไม่พอใจพี่มากๆ ...."
ทว่า ซีอาร์ยังคงดื้อรั้น ค้านเธอท่าเดียว หญิงสาวเห็นอย่างนั้น จึงปั้นปากงอน
"เขาคงไม่ว่าอะไรหรอกพี่ซีอาร์ ถ้าให้พูดกันตรงๆ ที่มาของหนูมันต่ำกว่านี้ด้วยซ้ำไป อย่าให้เกียรติหนูเลย "
"โถ่ คุณหนู ฮึก.."
ซีอาร์ถึงกับร่ำไห้ บีบมือหญิงสาวแน่น ต่างกับเอมิเลียที่นั่งงงเมื่อเห็นหยดน้ำตานั้น
"พี่ร้องไห้ทำไมคะ "
"ปะ เปล่าค่ะ"
"....."
"อยู่ดีๆ เกิดนึกถึงน้องสาวขึ้นมา หากเธอยังอยู่ คงอายุราวๆกับคุณหนู "
"เอ๋..? ทำไมถึงไม่อยู่ เธอไปไหนหรือคะ?"
เอมิเลียเอียงคอถาม ไร้เดียงสา ก่อนจะเงียบไป หลังซีอาร์เงยหน้าขึ้นมาเล่า
"ตายไปแล้วค่ะ เมื่อยี่สิบปีก่อน ที่โรงเรียนพร้อมเพื่อนอีก 36 คน"
"กะ เกิดอะไรขึ้น?"
ใช่ เธอตกใจหนัก ถึงขั้นถามเสียงสั่น ถ่างตาเบิกกว้าง เอามือปิดปากตัวเองไว้ พลางอุทานเมื่อได้ยินคำตอบนั้น
"สงครามระหว่างผู้นำประจำหมู่บ้านค่ะ เธอถูกกราดยิง ส่วนพี่รอดมาได้ เพราะคุณพ่อของนายท่านช่วย.."
"โอ พระเจ้า.."
หลังพูดคุยกับซีอาร์อีกไม่กี่ประโยคและปล่อยหล่อนไปทำหน้าที่ของหล่อน เหลือเพียงสาวน้อยวัยละอ่อน จิตใจข้างในอ่อนโยนไม่สมกับสิ่งแวดล้อมที่พบเจอมา อยู่ลำพังเหมือนเดิม เธอยืนกอดไหล่ตรงหน้าต่าง สายตาทอดมองไปไกลลิบ เหม่อลอยไร้จุดหมาย ชีวิตที่นี่ ไม่ต่างกับติดคุกเหล็ก หากไม่มีช่วงเวลานึงที่จะต้องออกไปเรียนหนังสือ เธอคงไม่ต่างจากนักโทษ แม้ร่างกายเสมือนสบายก็เถอะ ทว่า สภาพจิตใจทรุดโทรมเต็มที
เมื่อนานมาแล้ว นับย้อนไปกี่ปีนั้นเธอไม่อาจจะจำมันได้ จำได้แค่ว่า เคยมีครั้งนึง ซิสเตอร์พาเธอ พร้อมเพื่อนกลุ่มเดียวกันออกไปข้างนอกรั้ว บำเพ็ญประโยชน์ให้แก่สังคม ครั้งนั้นเธอเจอหญิงสาวคนนึงยืนเหม่อลอยอยู่คนเดียว มองเพียงข้างหลังก็ทำให้รู้แล้วว่าหล่อนนั้นเป็นคนสวย ร่างบางสง่า เปี่ยมไปด้วยสีขาวสะอาดตา ไร้ความดุร้าย ข้างหน้าของหล่อนมีบ่อน้ำเล็กๆ หล่อนมองมันเสมือนมันคือสิ่งที่มีชีวิต เอมิเลียไม่รู้ว่าท่าทางนั้นหมายความว่าอะไร ทว่า เธอรับรู้ถึงความทุกข์ระทมได้
ใช่ หล่อนเศร้า...
เศร้าเสียจนสิ่งรอบข้างหมองหม่นไปหมด
ภายใต้ดวงตาไร้เดียงสาของเด็กหญิงเอมิเลียจึงเห็นทุกอย่างเป็นสีเทา เธอแอบอยู่มุมเสา ก่อนจะค่อยๆเดินออกไปยืนข้างๆ ช้อนตามองจนกระทั่งหล่อนหันมา ดวงตาแดงก่ำ เต็มไปด้วยรอยช้ำรอบกรอบหน้า ก้มลงมามอง เด็กน้อย ที่ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไม่มีความรู้สึกตกใจ กับสภาพทรุดโทรมที่ได้เห็น บ่งบอกถึงผ่านการร้องไห้และอดหลับอดนอนเลยสักนิด แต่กลับยื่นมือน้อยๆไปจับมือบางนั้น บีบทิ้งน้ำหนักลงเบาๆ
*" คุณป้า เจ็บไหมคะ..."*
เอ่ยเสียงใส นั่นทำให้มาดามเรกาโดยิ้มอ่อน ส่ายหน้ากลับมา กลบเกลื่อนความจริงในใจ ทว่า ประโยคอีกประโยคสามารถทำให้หล่อนสะอื้นไห้อย่างเลี่ยงได้
"คุณป้าอย่าโดดลงไปเลยนะคะ คุณพ่อบอกเอมี่ว่า คนฆ่าตัวตายจะเป็นบาป"
"ฮึก....."
"ไปหาคุณพ่อกับเอมี่ไหมคะ ไปสารภาพทุกอย่างต่อหน้าพระเจ้า เผื่อจะทำให้คุณป้าเปลี่ยนใจได้"
"โธ่....."
ตอนนั้นเธอช่างไร้เดียงสา จวบถึงตอนนี้ก็ยังคงเดิมอยู่ ต่างกันแค่ว่า ไม่มีผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว คนที่เอ็นดูเธอ ถึงขนาดรับเธอเป็นลูกบุญธรรม นึกแล้ว เอมิเลียคิดถึงหล่อนเหลือเกิน
ด้านครูซัส หลังกลับมาพร้อมกัน ก็วุ่นอยู่แต่กับงานบนโต๊ะสลับกับโทรศัพท์ที่เดี๋ยวเข้าเดี๋ยวออกจนยุ่งเหยิงพาลให้ปวดหัว เขานั่งกุมขมับ ก่อนช้อนตาขึ้นเมื่อมีคนเข้ามา
"บอกกี่ครั้งแล้ว ให้เคาะประตู ฮึ"
เอ็ดตะโรเสียงทุ้มต่ำ ทว่า คนมาใหม่หาได้สนใจไม่ เดินปึงปังมายืนตรงหน้าเตรียมโวยวาย
"เอามันเข้ามาอยู่เสวยสุขทั้งที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าก็ว่าแย่แล้ว พี่ยังจะยกย่องมันเทียบเท่ากับฉันอีก คิดอะไรอยู่" ทำคนฟังถึงกับถอนหายใจพรืด
"ถ้านี่คือเรื่องสำคัญ น้องควรจะนั่งลง แล้วพูดกันดีๆ เคลที่"
ปรามหล่อนด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท ไร้อารมณ์เหมือนข้างใน นอกจากหล่อนจะยักไหล่ไม่แยแส ไม่สะท้กสะท้านกลับมาแล้ว เพราะรู้นิสัยพี่ชาย อย่างไรก็ตามใจหล่อน
"ขนาดเข้ามายังไม่เคาะประตูเลย "
ยังจะกวนประสาทอีก ครูซัสพ่นลมออก พลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ข่มเสียงต่ำ
"เราคุยกันแล้ว และจะไม่คุยอีก "
เดินมาทำงานต่อด้วยหน้าที่ตายสนิท ไม่แยแสยิ่งกว่าหล่อน ปล่อยให้น้องสาวอ้าปากเหวอ กรีดร้องขัดใจ แล้วเดินออกไปเอง
เขตนอกชานเมือง กึ่งป่าดงดิบกึ่งป่าทึบ หากแหงนหน้าขึ้นไปข้างบน ตรงจุดนี้จะเป็นเนินเขาคล้ายเหวลึก เสียงสัตว์ป่าสงวนผสานเสียงกันจ้าละหวั่น หากใครสักคนต้องติดอยู่บริเวณนี้จนมืดค่ำ คงจะอ้างว้างน่าดู เวเดโน่ยืนน่าซีดเผือดหลังมาถึง และฟังคำบอกเล่าของคนแปลกหน้าที่ติดต่อมาด้วยความนิ่งสงบ ต่างกับใจที่ละเหี่ยเต็มที แม้จะบั่นทอนจิตใจ แต่ด้วยความจำเป็นที่จะต้องรู้ เขาจึงต้องฟัง จากพลเมืองดีตรงหน้า ที่คิดว่าชาตินี้จะไม่ได้เจออีกแล้ว ดวงตาสีดำสนิททั้งสี่คู่มองไปยังจุดนั้นเป็นจุดเดียว ในขณะหูนั้นฟังพร้อมนึกภาพตาม กับสีหน้าที่สลดสูงสุด เรกาโดต้องทรมานแค่ไหนจึงจะผ่านมาเหวนี้มาได้ เพราะความห่างระหว่างตึกองค์กรกับหน้าผามันไม่ใช่หนทางที่ง่ายเลย" ตอนนี้เขาอยู่ไหน "“ ยังไม่ได้สติครับ ““ พาพวกเราไปหน่อย “เวเดโน่ละสายตาเป็นคนแรก ก่อนแจ้งเจตจำนง แม้ท่าทางที่แสดงออกมาต่อหน้าคนอื่นจะดูเรียบเฉย ราวกับเรื่องตรงหน้า ไม่สำคัญให้ต้องตื่นเต้น เพราะเหตุการณ์แบบนี้ช่ำชองกับเขามานักต่อนัก การสูญเสียใครสักคนไปจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับมาเฟียอย่างพวกเขา เว้นแต่กรณีของเรกาโด ต่อให้กลบเกลื่อนความรู้สึกด้วยความขรึมยังไ
ร่างบางทิ้งเข่ายวบพื้นไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก หมดพลังและปัญญาจะอ้าปากพูด แม้แต่มือยังปล่อยปะละเลยไว้บนตัก เธอทำได้แค่สะอื้นในใจเท่านั้น นั่นไม่ใช่เพราะเสียใจน้อย แต่มันช็อคจนไม่รู้จะร้องไห้ยังไง มันทั้งเจ็บทั้งปวด ทรมานเกินจะบรรยาย" คะ คุณครูซ..."ต่อจากนั้นคงมีแต่ศีรษะที่เอาแต่ส่ายหน้า ซ้ำไปซ้ำมา ราวกับสลัดความมึนงง เธอต้องฝันไปแน่ๆ...ใช่ มันคือความฝัน ทว่า ทำไมน้ำตานับแสนเม็ด กับหัวใจของเธอที่แตกสลาย ไม่มีชิ้นดีนี้ แทนคำตอบของเธอได้ดีทีเดียว สัญชาตญาณกำลังบอกเธอ..มันคือเรื่องจริง!" ไม่จริ๊ง!!! "" เอมิเลีย! "ก่อนร่างทั้งร่างจะล้มตึงฟุบพื้นไม่เป็นท่า หากไม่ได้แขนพ่อของเธอเข้าช่วย มีหวังหน้าผากที่มนสวยคงแตกเกิดรอยตำหนิหนึ่งชั่วโมงผ่านไปโลกทั้งใบเป็นสีทึบ ทะเลทรายที่เคยขาวสะอาด มีแสงระยิบระยับราวกับกากเพชรยามถูกแดดส่องแปรเปลี่ยน ทุกอย่างดูอึมครึมไปทันที นับตั้งแต่เปลือกตาหวานละมุนปิดสนิท ออร์แกนพบข่าวด่วน ด่วนชนิดที่ทำเขารับมันไม่ทัน จะว่าเป็นข่าวดีก็มีส่วน หากแต่มาในช่วงเวลานี้ คงจะยินดีไม่ไหว" ท้องงั้นหรือ..."เสียงครางไม่อยากจะเชื่อเอ่ยขึ้น หลังหมอประจำตระกูลถูกเรียกตัวมาตรวจ
คนพิการทางร่างกายหากแต่ใช่สมองนิ่วหน้า คงเจ็บระบมน่าดู เพราะฝ่าเท้าที่เหยียบอยู่ของมาเฟียรุ่นลูกนั้น น้ำหนักไม่ใช่น้อยๆ ความเจ็บปวดทางใจบอกผ่านนัยย์ตา เรกาโดจ้องมองเขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ จะร้องก็ไม่ร้องจะแสร้งเมินเฉยก็คงเกินความสามารถ วินาทีนี้หัวใจเขามันเหน็บชาไปหมด“บอกกูมา ว่าอยากจะตายอยู่ที่นี่หรือว่าจะรอดไปด้วยกัน”คนข้างล่างต่อลอง เขาแค่นหัวเราะก่อนจะยกยิ้มมองเปลือกตาไม่กระพริบ พลางทรุดตัวลงนั่ง“รู้อะไรไหมครับ ในชีวิตของผมเจอคนพิการแบบท่านมาก็เยอะ บางคนสงสารจับใจจนต้องยื่นมือเข้าช่วย จะทำเป็นไม่เห็นคงไม่ได้ แต่กับท่านเนี่ย....” โน้มหน้าไปกระซิบใกล้ๆ “ยิ่งตายอย่างทรมาน ผมโคตรยิ่งสะใจ”พลั่ก!จับหัวโขกพื้นไปทีนึง แล้วลุกขึ้นยืน ปล่อยให้โคโรธีนอนงอเข่า จุกเสียดอยู่ตรงนั้น ส่วนเขายืนเต็มความสูงอย่างหมดแรง แต่ก็ยังใช้เรี่ยวแรงที่เหลือนั้นค้นหาสมาร์ทโฟน หาเบอร์โทรเกือบจะล่าสุดกดโทรออก ไม่นานปลายสายก็รับ(ครับนาย นายเป็นอย่างไรบ้าง)“เอาโทรศัพท์ไปให้ เอมิเลีย”(อะไรนะครับ?)“ใช่หน้าที่ มึงต้องมาสงสัยหรือ เร็วๆ”(ครับๆ ได้ครับ)เขายืนรอสายอย่างใจเย็น ที่ช้าสำหรับเขาอยู่ตอนนี้ คาดว่าลูแค
ใช้เวลานานพอสมควร กับการสาดกระสุนใส่กันระหว่างสองพวก เรียกได้ว่านี้เป็นมหากาพย์ที่ดีที่สุดหากเปรียบเทียบเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ก็ว่าได้ทว่า..ไม่ใช่ สำหรับผู้ประสบพบเจออย่างทีมอัลฟ่า และคนชั่วอย่าง โคโรธี ทอน มันเป็นเรื่องที่บัดซบที่สุด นับตั้งแต่เกิดมาได้ครึ่งคน นี่คือผลงานชิ้นใหญ่ที่ทำเจ้าของถิ่นหัวเสียได้มากสุด อัลฟ่ามาเพื่อทำลายและล้างผลาญทรัพย์สมบัติเขาจริงๆ อย่างที่คิดไว้ ความเสียหายประดุจคำบอกเล่า ในเมื่อต้องการครอบครอง แบบไม่ผันก้มลงมองตัวเอง รังแต่ใช้อำนาจตัดสินอนาคตคนอื่น พรากออกจากโลกด้วยความตาย...ฉะนั้นคนกระทำก็สมควรตายตามไปด้วยเช่นกัน ถึงเวลาแล้ว และคนอย่างพวกเขาต้องทำให้สำเร็จ แม้นยามนี้จะกระทบใจใครอยู่ก็ตามที!“เลิกบ้าได้แล้ว ไอ้ครูซ”เสียงคำรามข่มต่ำทุ้มดังมาจากข้างหลัง เรกาโดชะงักสิ่งที่กำลังจะทำกลางคัน เขาจำเสียงนี้ได้แม่น แค่ไม่หันกลับไป นอกเสียจากแค่นหัวเราะในลำคอแทน“หึ...”“อย่าดันทุรัง”“พ่อต่างหาก ที่ดันทุรังอยู่ ปกป้องมันทำไม เพื่ออะไร...”ประโยคทิ้งท้ายแหบแห้ง มาเฟียแก่ผมขาว คงไม่รู้ หรือรู้แต่ไม่แสดงออกว่ายามนี้สิ่งที่ลูกชายเขามีมันคือความเจ็บปวดที่บีบหัวใจเข
รถกันกระสุนคันเดิมจอดห่างไกลตัวตึก เพื่อให้ชายหนุ่มนั่งข้างคนขับกระโดดลงไปอย่าทันให้ใครเห็น เวเดโน่ถอยรถกลับอย่างรวดเร็ว เกือบชนต้นไม้ในโพรงป่าทึบข้างกำแพงหลังพุ่งกันชนท้ายเข้าไป ก่อนจะตามเรกาโดไปติดๆ คราวนี้ทั้งคู่คงต้องรับบทเป็นนินจาเสียแล้ว' ประตูดีๆ ไม่มีให้พวกมึงเข้าไปหรือไงวะ 'เสียงซันดรูแทรกออกมา ท่ามกลางความเงียบรอบบริเวณที่พวกเขาอยู่" มึงคิดว่ามันยังต้อนรับพวกเราดีอยู่ว่างั้นเถ้อะ! "เวเดโน่ประชด ส่วนเรกาโดแค่นหัวเราะพร้อมหาช่องแคบทางลับจากจุดนี้ไปโผล่อีกทีหลังกำแพงอย่างช่ำชอง จุดนี้เป็นจุดสุดท้ายที่ไม่มีใครรู้ว่าเขานั้นรู้ เพราะตอนเป็นเด็กเขาเคยมาแล้วครั้งนึง เหตุผลทำไมไม่ไปในจุดที่รู้น่ะหรือ... เพราะคิดว่า โคโรธี ทอน เจ้าของคฤหาสน์หลังนี้ คงสั่งลูกน้องดักรอเชือดคอเขาเรียบร้อยแล้ว!" เฮ้ย ไอ้ครูซ เดี๋ยวรอกูด้วย... บ้าเอ๊ยยย ไม่ฟังกูเลย "เวเดโน่ชะงักกึกเปลี่ยนจากการกระซิบกับซันดรูเป็นกระซิบไล่หลังแทน พร้อมกิ่งไม้แห้งใกล้มือเขวี้ยงใส่ไปด้วย' อะไรกันวะ ' ส่วนฝั่งตรงข้ามถามกลับมา ทว่า..." หน้าที่ของมึงตอนนี้ หาเส้นทางรอดให้พวกกูก็พอ ไอ้ครูซมันเข้าไปแล้ว "กลับถูกเวเดโน่เอ
ชายหนุ่มสะดุ้งตกใจ หลังได้ยินเสียงข้อความผ่านสามาร์ทโฟนปลุกให้ตื่นจากฝันร้าย ร่างหนาถึกพยุงตัวเองขึ้นนั่ง พลางหันไปมองด้านขวา กลับไร้คนข้างๆมีเพียงพื้นที่ว่างเปล่า คิ้วหนาขมวดเข้ากันเป็นปม...เช้าขนาดนี้หล่อนไปไหน ก่อนจะบึ่งลงจากเตียงเดินอาดๆ ไปยังห้องน้ำในครัว นานทีจะมีนายหญิงลงมาทำอาหารเช้าเอง ความครึ้กครื้นปนวุ่นวายย่อมบังเกิด สาวใช้นับสิบยืนเรียงหน้ากระดานพากันมองร่างบางเท้าสะเอวคนน้ำพาสต้าแล้วยกขึ้นมาชิม สลับกับการเติมเครื่องปรุงไปด้วย เธอขะมักขะเม้นในการทำเป็นอย่างมาก ยกอะไรใส่ก็ล้วนแต่มั่นใจไปเสียหมด ไม่รวมถึงการหั่นเนื้อ หั่นผักที่ดูคล่องแคล่วถนัดนัก เล่นเอาสาวใช้ที่ยืนมองตั้งแต่เริ่ม ละอายตามกันเลยทีเดียว วันนี้เป็นวันพิเศษอะไรหนอ นายหญิงตัวน้อยของพวกหล่อนถึงเข้าครัวได้" โอเค เสร็จแล้ว ยกเสิร์ฟได้เลยจ้ะ"เอมิเลียบอกเสียงใส ตบมือเข้าหากันสองสามที ก่อนจะกอดอก ราวกับภาคภูมิในฝีมือตัวเองเต็มประดา แล้วหันมาพยักหน้าให้พวกหล่อน" เดี๋ยวยกไปให้หน่อยนะคะ ส่วนในหม้อที่เหลือนี้ พวกพี่ทานได้ ฉันทำเผื่อด้วย "และครั้งนี้ดูเหมือนว่าสาวใช้จะพากันเทใจให้กับหล่อนไปเต็มๆ หลังรับรู้ถึงความมี