“อะไรนะ! เลิกกันแล้วเหรอ เลิกกันทำไม แล้วเลิกตั้งแต่เมื่อไร ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง”
ยอมรับว่าตกใจและคาดไม่ถึง เพราะเท่าที่รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของสองคนนี้ มันก็ไม่มีสัญญาณบอกเหตุใดๆ ว่าเรื่องราวจะจบลงในรูปแบบนี้ “หมดความปรารถนาในกันและกัน แรงดึงดูดระหว่างกันไม่เหลือแล้ว” ถ้อยคำสวยงามของพิจิกา อาทิตย์คงไม่คิดจะติดใจ ถ้าน้ำเสียงนั้นไม่เหมือนการท่องจำมาบอก “เธอหรือนายกรณ์ที่รู้สึกอย่างนี้” “กรณ์บอกฉัน” อาทิตย์แทบพ่นลมหายใจเมื่อได้ยินคำตอบ คิดอยู่แล้วเชียว...อย่างยายพริกนะหรือที่จะรู้ตัวเองและเป็นฝ่ายบอกนายกรณ์ก่อน “แล้วเธอโอเคไหม” “ตอนแรกฉันก็งง ไม่รู้ว่าเวลาถูกบอกเลิกต้องทำตัวยังไง มันมึนๆ ตื้อๆ ไปหมด ฉันสอนเด็กไม่รู้เรื่องเลย เพื่อนนายนิสัยแย่มาก บอกเลิกฉันตอนเช้าในวันที่ฉันมีสอนเต็มวัน สรุปว่าวันนั้นฉันไม่มีสมาธิ ไม่รู้ว่านักศึกษาจะคิดยังไงกันบ้าง” พอได้ฟังเรื่องราวของแม่คุณ อาทิตย์ก็เป็นฝ่ายมึนตื้อขึ้นมาบ้าง “เดี๋ยวนะ เธอถูกบอกเลิก แล้ว...เธอไม่เสียใจเหรอ” “ฉันบอกแล้วไงว่าทำตัวไม่ถูก ตอนนั้นฉันงงและมึนไปหมด” “แล้วทำไมไม่โทร.มาล่ะ ตกลงเลิกกันเมื่อไหร่” “นั่นสินะ ทำไมฉันไม่โทร.หานาย” พิจิกาดูท่าจะยังมีอาการเบลอหลงเหลืออยู่ “ฉันเลิกกับกรณ์เกือบสองเดือนแล้วแหละ” “เธอไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เสียใจไม่นานหรอก ใช้ชีวิตของเธอไป เวลาจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น” “เหมือนตอนที่นายถูกสาวโคลัมเบียหักอก แล้วนายก็เมานอนจมขวดเหล้าอยู่ในห้องเป็นสัปดาห์ใช่ไหม” “แล้วเธอจะจำให้มันได้อะไรขึ้นมา ของพวกนี้ลืมๆ ไปบ้างก็ได้” “อ๋อเหรอ! ฉันไม่รู้นี่ว่าไม่ควรจำ” ด็อกเตอร์สาวอุทานขึ้นอย่างที่ทำให้อาทิตย์ต้องกลอกตามองเพดานอย่างหน่ายใจ เมื่อเธอพูดต่อ เขาก็ตั้งใจรับฟังอย่างใส่ใจ “ถ้าฉันเป็นอย่างที่นายเคยเป็นก็คงสบายใจแล้วละ แต่นี่หลังจากวันที่ฉันถูกเขาโทร.ข้ามทวีปมาบอกเลิก รุ่งเช้าอีกวันฉันก็ทำงานทำการได้ปกติ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองเสียใจหรือเปล่า แต่ความเสียดายน่ะมีแน่นอน เพราะฉันต้องเสียคนรู้จักไปคนหนึ่ง นายรู้ไหม พอบอกเลิกปุ๊บ กรณ์ก็ปิดช่องทางติดต่อกับฉันหมดเลย ทั้งที่ฉันไม่คิดจะตื๊อเขาสักหน่อย ยังคิดว่าเราน่าจะคุยให้เข้าใจกันได้ เปลี่ยนกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมก็ได้ เฮ้อ! ไม่เห็นต้องทำกันขนาดนี้” “แล้วเธอคิดว่ายังไง” “ฉันก็สงสัยตัวเองนะว่า การที่ฉันไม่ได้เสียใจ นอกจากเสียดาย อาจเป็นเพราะฉันหมดความปรารถนาในตัวเขาด้วยเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นตามนั้น ทำไมฉันถึงไม่รู้ตัวเหมือนเขา” คำถามที่ไม่มีคำตอบของพิจิกาทำให้อาทิตย์นิ่งงัน ก่อนจะพูดกับเธออย่างห่วงใยแทน “เธอไม่เสียใจก็ดีแล้ว ส่วนความสงสัยทั้งหลายแหล่ของเธอก็ไม่ต้องหาคำตอบหรอก ใช้ชีวิตของเธอไปตามปกติ” “แล้วนายเป็นเพื่อนกับกรณ์ ไม่กลัวเสียเพื่อนเพราะฉันหรือ” “ไม่หรอก ผู้ชายไม่คิดเล็กคิดน้อย” “อืม...ดีจริง แต่ตอนนี้ก็ดึกแล้ว แค่นี้นะ ฉันจะนอน” ด็อกเตอร์สาวบอกลาง่ายๆ ด้วยน้ำเสียงงัวเงีย ทั้งที่ก่อนนี้ยังคุยอยู่ได้ตั้งนานสองนาน จนอาทิตย์ต้องรีบเรียกไว้เพราะธุระของเขายังไม่จบ “เดี๋ยวสิพริก อย่าเพิ่งตัดสาย แล้วยายขนุนล่ะ จะทำยังไง ให้อยู่บ้านฉันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้นะ” “พรุ่งนี้ฉันต้องเดินทางไปเดนมาร์ก มีงานสัมมนาเชิงวิชาการที่นั่น ฉันต้องไปหลายวัน ยังไงฝากหนูจิณไว้กับนายก่อน ไว้กลับมาค่อยคุยแล้วกัน” สายตัดไปแล้ว อาทิตย์มองโทรศัพท์มือถือนิ่ง ความรู้สึกเปลี่ยนไปจากเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง พิจิกาเลิกกับกรณ์...แม้หล่อนจะแสดงออกว่าไม่เสียใจ แต่ลึกๆ ข้างในอาทิตย์ก็ไม่รู้ชัด ความรู้สึกของผู้หญิงซับซ้อน จนไม่กล้าฟันธงว่าพิจิกายังคงสบายดีตามที่บอกเขาจริงหรือเปล่า ส่วนปัญหาของเขา...เกี่ยวกับแม่ขนุนคนนั้น เมื่อพิจิกาไม่พร้อมจะช่วยหาทางออกให้ เขาก็ไม่เซ้าซี้ นาทีนี้ความห่วงใยในตัวเพื่อนสาวมีมากเกินสิ่งใด เฮ้อ! สงสัยช่วงนี้คงต้องกันแม่ แล้วก็นายโอ๊ตกับนายอู๋ไม่ให้มาบ้านนี้ บอกไปใครจะเชื่อว่ายายขนุนเป็นคนงานในบ้าน ขืนมีใครคิดบรรเจิดขึ้นมา ชีวิตนายอั๋นมีหวังยุ่งตายเลยเที่ยงวัน จิณณาเดินถือถาดเปล่าเข้ามาในครัว สีหน้าเจื่อนๆ ของเธอทำให้คนอาวุโสที่สุดในนั้นสังเกตเห็น
“เป็นอะไรไปล่ะหนูจิณ หน้าหงอยมาเชียว เมื่อกี้ตอนช่วยแม่อูนยกกับข้าวไปให้คนงานยังหน้าบานดีอยู่เลย” “ไม่มีอะไรค่ะป้าแวว แดดข้างนอกร้อน หนูเลยเหนื่อย” “งั้นหรือ งั้นก็หาอะไรทำในครัวนี่แหละ” เห็นหม้อและจานอยู่ในซิงก์ จิณณาจึงเดินไปหา นั่นคืองานที่หล่อนเชื่อมั่นว่าทำได้ดี หญิงสาวขัดล้างด้วยความตั้งใจ จนเมื่อเสร็จ วางคว่ำให้น้ำสะเด็ด ก็เปรยขึ้นเบาๆ “หนูทำงานไม่เก่ง ทำไม่เป็นสักอย่าง นอกจากงานล้างจาน กวาดบ้าน ถูพื้น หนูควรทำอะไรได้มากกว่านี้” นั่นทำให้อดีตแม่บ้านใหญ่ที่กำลังเด็ดผักตำลึงใส่ตะกร้าต้องหันมอง แล้วถามอย่างอยากรู้คำตอบ “ใครว่าอะไรมาล่ะ บอกป้ามาสิ”ในวันหยุดที่อากาศร้อนอบอ้าว อุณหภูมิทะลุไปถึงสี่สิบองศาเซลเซียส จิณณาซึ่งเป็นคุณแม่ลูกสี่ยังคอยดูแลลูกๆ ให้นั่งวาดภาพอยู่ในห้องโถงซึ่งอากาศเย็นกำลังดีด้วยเครื่องปรับอากาศหล่อนยังไม่ปล่อยให้ลูกทุกคนออกไปเล่นนอกบ้าน เพราะสองวันก่อนด้วยสภาพอากาศที่ร้อนจัด ทำให้ลูกสาวคนสุดท้องวัยสองขวบต้องล้มป่วยลง และวันนี้หนูน้อยก็เพิ่งทุเลาจากอาการไข้ เจ้าตัวยังไม่แข็งแรงพอที่จะออกไปวิ่งเล่นข้างนอก จิณณาจึงต้องต้อนพี่ๆ ทั้งสามคนให้อยู่ภายในบ้านคอยเป็นเพื่อนหนูน้อย“คุณแม่ครับ เมื่อไรเราจะไปที่สวนป่ากันอีก พี่ขุนอยากเล่นน้ำในลำธาร”ลูกชายคนโตวัยหกขวบถามขึ้น เขาคงเบื่อที่ต้องมานั่งวาดภาพและร่วมทำกิจกรรมกับน้องๆ แล้วลูกสาวคนรองก็สนับสนุนตาม“ใช่ค่ะ เราพาน้องพลับพลึงไปว่ายน้ำ น้องจะได้หายไข้ไวๆ”ทฤษฎีรักษาไข้ของแม่หนูมะลิทำให้คุณพ่อที่ยังหล่อเหลาเดินมาแล้วได้ยินเข้าพอดีถึงกับหัวเราะขำ“ไม่ใช่ว่าเราอยากเล่นน้ำเองหรือมะลิ”เมื่อคุณพ่อดักคออย่างรู้ทัน มะลิน้อยก็ปิดปากหัวเราะคิก แต่ยังตอบกลับอย่างไร้เดียงสา“
หลังแต่งงาน จิณณาใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังใหญ่กลางไร่กว้างของอาทิตย์อย่างมีความสุข หลายสิ่งรอบตัวไม่ได้เปลี่ยนไป และหล่อนก็พอใจที่จะให้เป็นอย่างนั้นจิณณาเริ่มช่วยงานของแม่สามีอย่างจริงจังด้วยค่าจ้างเดือนละห้าหมื่นบาท ทุกเดือนหล่อนจะโอนให้แม่ลัดดาสามหมื่น ส่วนที่เหลืออีกสองหมื่นก็ติดกระเป๋าไว้หญิงสาวเรียนรู้งานอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนได้พบว่าหล่อนสนุกกับงานวางกลยุทธ์ในธุรกิจห้างสรรพสินค้าและค้าปลีกเสียแล้ว“เป็นเมียเศรษฐีก็ยังต้องทำงานอีกหรือพี่จิณ”ส้มโอนั่งเท้าคางมองสาวรุ่นพี่ที่วันนี้กลายเป็นเจ้านายสาวอีกตำแหน่งแล้ว“ต้องทำสิ แล้วงานของพี่ก็สนุกนะ”“คนที่ห้างฯ เขาพูดกันว่าคุณนายรักพี่จิณเหมือนลูกสาว ไม่ใช่ลูกสะใภ้ หนูว่าคุณอั๋นใกล้จะตกกระป๋องแล้วแหละ แถมพี่จิณได้เจอคุณนายบ่อยกว่าคุณอั๋นอีกด้วย”“พูดอะไรส้มโอ”เสียงที่แทรกเข้ามานั้นทำให้คนช่างพูดสะดุ้งสุดตัว ทุกวันนี้ส้มโอขยับมาเป็นคนสนิทของจิณณาแล้ว เพราะอาทิตย์ได้มอบหมายหน้าที่ใหม่ โดยให้คอยตามดูแลและอยู่เป็นเพื่อนจิณณา ไม่ว่าภร
ห้องแถวชั้นเดียวในชุมชนริมคลองของตัวอำเภอยังตั้งอยู่เช่นเดิม หากความรู้สึกของจิณณาในวันนี้ต่างกับวันก่อนที่มาหาแม่ลิบลับ“เข้ามาในบ้านก่อนสิคุณ หนูจิณพาพี่เขาเข้ามา ข้างนอกอากาศมันร้อน”ลัดดามีสีหน้ายิ้มแย้มขณะเชิญชวนลูกเขยให้เข้าบ้าน โดยไม่ลืมกำชับลูกสาวไว้ด้วย ส่วนตัวเองก็ปราดเดินนำเข้าไปก่อนจิณณายิ้มตาม หัวใจเหมือนจะโบยบินเสียให้ได้ หล่อนรักที่จะเห็นความยินดีและรอยยิ้มบนใบหน้าของแม่เหลือเกิน“ผมมาฝากเนื้อฝากตัวกับคุณอาไว้ก่อนครับ ส่วนแม่จะมาในสัปดาห์หน้าพร้อมกับผู้ใหญ่เพื่อสู่ขอหนูจิณกับคุณอา”อาทิตย์พูดขึ้นหลังจากทั้งสามคนเข้ามานั่งบนโซฟาในบ้านเรียบร้อยแล้วจิณณามองรอบตัวปราดเดียวก็รู้ว่าแม่ตั้งใจจัดเก็บบ้านอย่างดีที่สุด จนเห็นความเป็นระเบียบแปลกตาไปจากทุกวัน ข้าวของที่มักมีเก็บไว้มากมายตามประสาคนค้าขาย ในวันนี้ข้าวของพวกนั้นได้หายไปหมดแล้ว พื้นที่รับแขกกลายเป็นพื้นที่โล่ง มีเพียงเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นสำหรับใช้งานจริงๆลัดดาวางตัวได้เหมาะสม แม้สีหน้าจะยิ้มแย้มเบิกบานโดยที่ใครเห็นก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอดี
จิณณาเดินเข้าไปด้านในห้องนอนตามทิศทางของแสงไฟที่เห็นส่องสว่าง และเมื่อไปถึง ร่างกายของหญิงสาวก็หยุดอยู่กับที่ มองภาพเบื้องหน้านิ่งงันอยู่อย่างนั้น“ห่างแค่วันเดียวจำผัวไม่ได้แล้วหรือหนูจิณ”“พี่อั๋น!”“ครับ พี่เอง ดีใจจังที่เมียยังจำได้”ชายหนุ่มเย้า สีหน้าของเขาเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม ดวงตาคมหลุบมองส่วนกลางของร่างกายหญิงสาว แล้วตรงเข้ามาโอบกอดแม้เจ้าหล่อนยังยืนตัวแข็งเช่นเดิม แต่เขาก็ไม่สนใจ ความยินดีเกิดขึ้นเต็มหัวใจจนไม่อยากเก็บมันไว้อีกแล้วดวงหน้าคมโน้มลงพรมจูบตรงเรือนผมนุ่มสลวย แล้วเลื่อนมากดจูบบริเวณหน้าผาก ไล่มาถึงพวงแก้มนวล แล้วกดจูบที่ริมฝีปากอิ่มหนักๆ“ใจร้ายกับพี่ทุกคนเลย หนูจิณก็เป็นไปกับเขาด้วย”“แล้วพี่อั๋นมาได้ยังไงคะ”“ขับรถมาสิ แล้วนี่บ้านของพี่นะ ห้องนี้ก็เป็นห้องของพี่ พี่อยู่มาตั้งแต่เด็กๆ”“เอ่อ...จิณขอโทษค่ะ ไม่น่าถามอย่างนี้เลย”“ไม่ได้กอดแค่คืนเดียว รู้ไหมคิดถึงมาก เมื่อคืนนอนไม่หลับ ห่วงไปสารพัด ทั้งที่รู้ว่าอยู่
พิจิกาเร่งสาวเท้าเข้ามาในโรงพยาบาล หลังจากได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนอาจารย์ที่มาฝากครรภ์แล้วบอกว่าได้เจอกับคนรู้จักของเธอที่แผนกเดียวกันเข้าเพียงแค่นั้น อาจารย์สาวที่ว่างจากชั่วโมงสอนก็ปรี่มายังโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยในทันทีเมื่อถามจนรู้พิกัดของ ‘คนรู้จัก’ เธอก็รีบจอดรถแล้วขึ้นลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นเป้าหมาย พลันก็เจอกับผู้หญิงสองคนที่เธอคาดไว้จริงๆพิจิกาเดินหลบไปยังมุมหนึ่ง แล้วโทร.ติดต่อหาเพื่อนสนิทโดยไว“นายอั๋น ทำอะไรอยู่ที่ไหนเนี่ย”“อยู่ที่ไร่ พริกมีอะไรหรือเปล่า”“แล้วเจอเมียนายหรือยัง”พิจิกายิงคำถามไปตรงๆ เพราะไม่ต้องการให้เรื่องยืดเยื้ออีก“เมียของนายหายไปไม่ใช่หรือ แล้วทำไมนายไม่ตามหา หรือว่านายแค่เล่นๆ กับยายขนุน”“หนูจิณออกจากบ้านของฉัน แต่ฉันรู้ว่าเธออยู่กับแม่ของฉันแล้ว”“อ้าว! นายก็รู้ด้วยนี่ ฉันเห็นที่บ้านของนายพร้อมใจกันปิดข่าวนายไม่ใช่หรือ”“ฉันรู้จากสัญญาณมือถือของหนูจิณ แล้วถามจากคนขับรถตู้
หลังจากพิจิกากลับไปแล้ว ขวัญจึงเอาเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัว ไม่เว้นแม้แต่เครื่องสำอางแบรนด์ดังมาให้จิณณา หญิงสาวพลิกมองอย่างพิจารณา คิดในใจว่ามันดีเกินไป ไม่จำเป็นเลยที่คุณนายอรอรจะนำของพวกนี้มาให้หล่อนใช้ หากก็ไม่ทันได้พูด ขวัญก็รายงานต่อด้วยเสียงดังแจ้วๆ ขึ้นมาเสียก่อน“คุณนายบอกว่าให้คุณจิณรับไว้แล้วใช้ของพวกนี้ด้วยค่ะ”จิณณาเหลือบมองแล้วยิ้ม แน่นอนว่าหล่อนไม่มีทางปฏิเสธได้ ถ้าคุณนายฝากถ้อยคำมาแบบนี้แล้ว“คุณนายใจดีค่ะ ถึงท่าทางจะดุไปสักนิดก็ตาม หนูชอบอยู่บ้านนี้ที่สุดแล้ว”จิณณาปล่อยให้เด็กรับใช้พูดต่อไป แม้หล่อนจะเห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้ผสมโรง เพราะยังติดความรู้สึกที่ว่าตนยังไม่ใช่คนในบ้านนี้ หล่อนจึงเพียงรับฟังไปเงียบๆ“คุณหายปวดหัวหรือยังคะ ตอนนี้ก็บ่ายแล้ว”“อะไรนะ นี่บ่ายแล้วหรือ”“บ่ายสองแล้วค่ะ คุณหลับไปหลายรอบเลย หนูก็ไม่อยากปลุก”“นั่นสิ วันนี้ง่วงนอนทั้งวัน เมื่อก่อนไม่เป็นอย่างนี้นะ ฉันยังไปทำงานในไร่ด้วยเลย”จิณณาเผลอพูดออกไป แต่เมื่อรู้ตัวก็ปิดปากฉับทันที