“หนูรู้สึกได้เอง”
ก็แค่ตอนที่จิณณาช่วยขนอาหารออกไปให้คนงานได้รับประทานตอนพักเที่ยง แล้วได้ยินพวกเขาถามกันว่ามื้อนี้เป็นฝีมือของใคร พอรู้ว่าไม่ใช่ของหล่อน ต่างก็หัวเราะดีใจกันยกใหญ่ แต่ก็ยังดีนะ ที่พอเห็นว่าหล่อนยืนอยู่ใกล้ๆ พวกเขาก็อุบอิบบอกขอโทษ ก่อนจะพากันเดินหนีหลบหน้าหล่อนไปจนหมด จิณณาถอนหายใจยาว แล้วระบายต่ออย่างได้โอกาส “หนูทำงานไม่เป็น ทั้งที่เกิดมาเป็นลูกแม่ค้าในตลาด ไม่ใช่คุณหนูที่ไหนสักหน่อย” “ก็หนูจิณเรียนหนังสือตั้งแต่เด็กจนโต แล้วจะมีเวลาที่ไหนมาทำงานกันล่ะ ตั้งใจเรียนจนจบก็ดีแล้วนี่” “หนูเรียนจบแล้วทำงาน แต่หนูก็ถูกปลดจากงาน แสดงว่าหนูเป็นคนไม่เอาไหนจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นงานบ้านงานครัว หรืองานตามสายที่เรียนมา” “โธ่เอ๊ย! ชีวิตมันไม่ได้มีแค่นี้ เดี๋ยวหนูก็เจอทางที่ถนัดเอง” “แต่ปากท้องมันรอนานไม่ได้สิจ๊ะ” “แล้วจะเร่งรีบไปทำไม อยู่ช่วยงานที่นี่ไปเรื่อยๆ นี่แหละ แล้วไม่ต้องกลับไปอยู่บ้านแม่อีกนะ ความโชคดีไม่ได้เป็นของเราทุกคราว” สีหน้าของจิณณาสลดลง หล่อนเผลอยกมือขึ้นลูบแก้มด้านซ้าย ภาพความเกรี้ยวกราดของแม่ในวันนั้นผุดขึ้นมา...วันที่จิณณากลับมาจากกรุงเทพฯ ด้วยหวังจะตั้งหลักอยู่กับแม่สักช่วงหนึ่ง แต่ก็เกิดเรื่องขึ้นมาเสียก่อน จิณณามาถึงบ้านในช่วงสาย เวลานั้นแม่ยังขายของอยู่ที่ตลาด ด้วยความเหนื่อยและง่วงนอนจากการนั่งรถทัวร์ข้ามคืนโดยไม่ได้หลับเต็มตา จึงทำให้หล่อนผล็อยหลับ แล้วมารู้สึกตัวตื่นเมื่อพ่อเลี้ยงพยายามลวนลาม จิณณาตกใจ หล่อนสู้เต็มแรงเพื่อเอาตัวให้รอด แล้วเป็นจังหวะที่แม่กลับมาถึงบ้านพอดี จิณณาดีใจ หล่อนสลัดตัวเองจนหลุดจากการกอดรัดของพ่อเลี้ยง แล้วโผไปกอดแม่ไว้แน่นอย่างต้องการที่พึ่ง แม่ไม่กอดหล่อนตอบ แม่ได้แต่ยืนนิ่งงันขณะฟังคำปลิ้นปล้อนของพ่อเลี้ยงที่บอกว่าหล่อนยินยอมเอง แล้วแม่ก็ตบหน้าหล่อน จิณณาหูอื้อตาลายไปหมด หล่อนไม่พูดอะไรสักคำ เพราะรู้สึกตื้อในอก รับรู้เพียงว่าหัวใจกำลังเจ็บแปลบ หล่อนออกจากบ้านหลังนั้นทันทีพร้อมกับสัมภาระติดตัวที่มีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่พร้อมกับเป้สะพายหลัง แล้วจึงได้พบกับพิจิกาโดยบังเอิญตรงหัวมุมถนน พิจิการับจิณณาขึ้นรถ จากนั้นหล่อนก็เล่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่ปิดบัง เพราะต้องการใครสักคนมาแบ่งปันความเจ็บช้ำที่ต้องเผชิญ และอาจารย์สาวผู้แสนใจดีก็เป็นคนที่หล่อนไว้ใจที่สุดในยามนี้ “อยู่ด้วยกันนี่แหละ อาจารย์พริกบอกไว้ไม่ใช่หรือว่าหนูจิณอยู่ที่นี่ได้ ที่นี่ปลอดภัยสำหรับหนู” “แต่บ้านหลังนี้ไม่ใช่ของอาจารย์” จิณณาบอกเสียงอ่อย แล้วได้ยินเสียงเด็กสาวที่ยืนทำงานอยู่ใกล้ๆ แย้งขึ้น “ไม่ใช่ก็เหมือนใช่แหละพี่จิณ วันหน้าอาจารย์พริกอาจมาเป็นเจ้านายของพวกเราก็ได้” “หมายถึงอะไรจ๊ะ อาจารย์พริกเป็นแฟนกับคุณอาทิตย์หรือ” จิณณาอุทานเสียงดังอย่างประหลาดใจระคนใจหายเมื่อได้ยินเรื่องที่นึกไม่ถึงมาก่อน หล่อนไม่รู้ตัวเองว่าทำไมถึงรู้สึกอย่างนี้ แต่แล้วก็ไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่ทันได้ปรับอารมณ์ พลันต้องหันขวับไปทางประตูห้องครัว แล้วชาวูบไปทั้งตัวเมื่อเห็นคนที่อยู่ในหัวข้อสนทนากำลังยืนอยู่ อาทิตย์ยืนกอดอกอิงกรอบประตู เขากระแอมเสียงดังอย่างต้องการให้ทุกคนในนั้นรู้ตัว แล้วก็ได้ผล สภาพนกกระจอกแตกรังก็เกิดขึ้นแค่ในวินาทีถัดมา คนงานในครัวที่ยืนคุยกันอย่างออกรสเมื่อสักครู่ต่างก็ผละไปสาละวนอยู่กับงาน โดยที่เขาก็ไม่รู้ว่านั่นเป็นงานบังหน้าหรือเป็นงานที่พวกเธอทำกันอยู่แล้ว สายตาคมดุกราดมองไปยังทุกคน แล้วมาหยุดตรงคนร่างอวบอิ่มผิวขาวผ่องที่ตั้งสมญานามให้ว่า ‘ขนุน’ ไปเรียบร้อยแล้ว และเป็นไปโดยไม่รู้ตัวด้วยสิ “เธอ มาคุยกันหน่อย” เขาหมายถึงจิณณา เพราะสบตาหล่อนอยู่หลายวินาที ก่อนจะเดินออกไป ส่วนคนที่ยังยืนอยู่กลางห้องครัวก็บีบมือตัวเองไว้แน่น ภาพเมื่อครู่ซ้อนทับเหตุการณ์เมื่อคืนจนรู้สึกไม่สบายใจ หลังจากที่เขามาเคาะประตูห้องพักแล้วเรียกให้ไปพูดคุยด้วย จิณณาก็สรุปความได้ว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการของเจ้าของบ้าน เหตุผลเพราะหล่อนไม่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับใครได้เลย มันเป็นความต่ำต้อยด้อยค่าที่ทำให้ความรู้สึกของจิณณาดิ่งเหว จนพานนอนไม่หลับเกือบทั้งคืน ดังนั้นคำแรกที่จิณณาหลุดออกมาหลังจากก้าวตามคนร่างสูงใหญ่ที่เดินออกไปทางหน้าบ้านแล้วหย่อนกายนั่งบนเก้าอี้สานใต้ต้นประดู่นั้น จึงเป็นคำที่อยู่ในใจทั้งสิ้น “ดิฉันไปอยู่ที่เรือนคนงานได้ค่ะ ดิฉันปลูกสตรอว์เบอร์รีได้ วันนี้ช่วงเช้าดิฉันไปดูเขาทำงานมา ลุงชื่นสัญญาว่าจะสอนให้ดิฉันทำงานจนเป็น” “อะไรของเธอ? พูดอะไร?” อาทิตย์นิ่วหน้าถาม แววตาของเขาทำให้ความมั่นใจที่มีเพียงน้อยนิดของจิณณาแทบหล่นหายจนหมดสิ้น หญิงสาวสูดลมหายใจลึกอย่างไม่สงวนท่าที แล้วบอกเขาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ดิฉันอยากขอความกรุณาจากคุณ ให้โอกาสดิฉันทำงานเพื่อแลกกับที่อยู่และค่าอาหารที่นี่อีกสักระยะ ดิฉันมั่นใจว่าทำงานในไร่ได้ดี เพราะดิฉันแข็งแรงค่ะ” เหตุผลของคนที่ยืนตัวตรงอยู่เบื้องหน้าแทบทำให้อาทิตย์กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ แล้วสายตาก็เผลอกวาดมองทั่วร่างเมื่อเจ้าหล่อนยืนยันนักหนาว่าแข็งแรงดี หากก็ท้วงไปอีกทาง เพราะได้ยินคำขัดหู “ดิฉัน?” “คะ?” จิณณากะพริบตาปริบๆ ด้วยไม่เข้าใจถ้อยคำเขา แต่แล้วชายหนุ่มก็หัวเราะออกมาเต็มเสียง หญิงสาวยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่ หล่อนไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรพลาดไปอีกหรือเปล่า“ฉันแค่ตลกเธอ ทำไมเธอต้องพูดดิฉันกับฉันด้วย” แม้เขาจะไม่ปล่อยให้หล่อนได้สงสัยนาน แต่จิณณาก็ไม่คิดจะขอบคุณเขาหรอกนะ“อ้าว! ก็คุณไม่ให้ดิฉันแทนตัวเองว่าหนู”“แล้วตอนเธอคุยกับคนอื่น เธอแทนตัวเองว่าอะไร”“ก็...หนู”“เพื่อนเธอล่ะ”“แต่คุณไม่ใช่เพื่อนดิฉันนี่คะ”“แน่นอน ฉันไม่ใช่เพื่อนเธอ ให้ตายยังไงฉันก็ไม่รับเธอเป็นเพื่อนของฉัน”“ค่ะ” หญิงสาวเผลอยู่ปาก คนระดับอาทิตย์จะมาคบเธอเป็นเพื่อนได้อย่างไร แค่เขามองเห็นเธอเป็นคนคนหนึ่ง ไม่ใช่ฝุ่นละอองที่ลอยฟุ้งในอากาศก็ถือว่าเกินคาดไปมากแล้ว“เมื่อกี้เธอรับคำว่าค่ะ...ค่ะ? คืออะไร”“ก็รับทราบว่าไม่ใช่เพื่อนค่ะ”อาทิตย์มองดวงหน้าสวยสุกปลั่งด้วยไอแดด มองเพื่อให้มั่นใจว่าคำพูดนั้นไม่ได้แฝงการประชด หากก็ไม่พบอารมณ์อื่นใดในแววตาของหล่อน นอกจากการคาดคะเนและรอลุ้นจนชายหนุ่มอดที่จะใจอ่อนไม่ได้ สุดท้ายจึงบอกออกมา“ถ้าเธออยากทำงานในไร่ก็ตามใจ แต่ไม่ต้องย้ายไปบ้านพักคนงาน” อาทิตย์เว้นจังหวะ มองดวงหน้าของหญิงสาวที่ค่อยๆ แย้มเบิกอย่างดีใจใช่ นั่นละ นึกไว้อยู่แล้วว่าจะได้เห็น“บ้านพักคนงานไม่มีหลังที่ว่างสำหรับเธอ แล้วส่วนใหญ่พวกเขาอยู่กันเป็นครอบครัว เป็นผัว
ใกล้เที่ยงวัน แม้สายลมหนาวจะพัดมาเป็นระลอก แต่จิณณาก็รู้สึกแสบร้อนผิวหน้าเพราะแสงแดดที่แผดจ้า หล่อนคลี่ผ้าคลุมไหล่ผืนสวยขึ้นมาคลุมศีรษะเพื่อป้องกันแสงแดด แล้วก้มหน้าทำงานต่อ พลันก็ได้ยินเสียงคุ้นหูของหัวหน้าคนงานดังอยู่ใกล้ๆ“หน้าแดงยังกับกุ้งต้ม ไปพักที่ร่มก่อนเถอะหนูจิณ ช่วงบ่ายค่อยมาทำต่อ”“ขอบคุณค่ะลุงชื่น แต่จิณจะตัดใบแปลงนี้ให้หมดก่อนแล้วค่อยพัก ดูของคนอื่นสิ เสร็จนำหน้าจิณไปอีกแล้ว”จิณณาบอกทั้งยังไม่เงยหน้าขึ้นจากต้นสตรอว์เบอร์รีที่ปลูกเรียงรายบนแปลง พลางใช้กรรไกรตัดใบแห้งบริเวณโคนต้นออกเพื่อรอรับผลผลิตที่จะตามมา“งั้นก็ทำไปเถอะ แต่ไม่ต้องรีบ เอาที่เราทำไหว คุณอั๋นไม่ได้เคี่ยวเข็ญกับพวกเรามาก คนงานในไร่นี้ นอกจากพวกที่เรี่ยวแรงยังดีก็ยังมีพวกง่อนแง่นอย่างยายป้อมและลุงผินอยู่ด้วย พวกนี้ก็ทำไปพักไปตามที่สังขารอำนวย”จิณณาเงยหน้าขึ้นมามองโดยรอบอย่างสังเกตตาม คนงานในไร่มีหลายวัยจริงตามที่ลุงชื่นพูด นอกจากคนหนุ่มสาวแล้วยังมีคนแก่ชรา กลุ่มหลังก็ทำงานได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย...จึงอดที่จะสงสัยไม่ได้“แล้วคุณอาทิตย์ไม่ขาดทุนแย่หรือจ๊ะ ถ้าเราทำงานกันแบบนี้ มันจะไม่คุ้มเงินค่าจ้างเอาสิ แล
ตะวันคงบ่ายคล้อยแล้ว ไม่รู้ว่าแสงแดดข้างนอกยังแผดจ้าอยู่หรือเปล่า แต่สำหรับในห้องพักนี้ จิณณารู้สึกเหมือนกำลังนอนอยู่ในตู้อบ“ร้อนจังเลย”เสื้อเชิ้ตเข้ารูปแขนยาวที่หวังจะให้กันแดดยามทำงานในไร่ เวลานี้มันรัดรึงจนแทบหายใจไม่ออกเรียวนิ้วที่เริ่มหยาบกร้านไต่ขึ้นตามสาปเสื้อ ไล่คลำหากระดุมเสื้อเม็ดบนสุดแล้วปลดออกโดยใช้เวลาเกือบนาที ก่อนจะเลื่อนมือลงไปหากระดุมเม็ดถัดไปเสียงครางอือในลำคออย่างพอใจเมื่อรู้สึกสบายตัวมากขึ้นทั้งที่ดวงตายังหลับพริ้ม จนเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะสะดวกสบายพอ มือเรียวขาวสะอาดจึงหล่นมาวางขนาบข้างลำตัวเรือนร่างอวบอิ่มทอดนิ่งอยู่บนเตียงนอนขนาดสามฟุตที่วางชิดผนังห้อง โดยมีฟูกนอนบางๆ รองรับ พัดลมตัวเดียวตรงมุมห้องยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างสม่ำเสมอทั่วทั้งบ้านเงียบสงบ จิณณารู้สึกผ่อนคลายจนปล่อยตัวเองให้หลับใหล เพราะไม่อาจทนกับความเมื่อยล้าจากการกรำงานในไร่มาตลอดทั้งสัปดาห์ได้อีกอาทิตย์จิบเบียร์เย็นพลางทอดมองน้องชายและหญิงสาวร่างโปร่งบางที่กำลังไดร์ฟกอล์ฟอยู่เบื้องหน้าไกลๆ จนเมื่อรู้สึกถึงแรงตบตรงหัวไหล่จนเขาถึงก
“เพ้อเจ้อน่า”เสียงพึมพำหลุดจากเรียวปากหยัก โดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าเขาบอกตัวเองหรือบอกเพื่อนที่ยังเซ้าซี้ถาม“นายแค่สนุกกับงาน แต่สักพักมันจะเหงา อยากมีคนดูแล”อาทิตย์พยายามห้ามความคิดไม่ให้จดจ่อถึงผู้หญิงคนนั้น แต่ดูว่าช่างยากเหลือเกิน จนต้องเสหยิบแก้วเบียร์มาจิบอีกรอบด้วยอยากกลบเกลื่อนความรู้สึกเมื่อคิดว่าปรับอารมณ์ตัวเองได้แล้ว จึงโต้กลับด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยดังเดิม“ไม่ต้องมากล่อมฉัน เพราะนายอีกคนนี่แหละที่เป็นต้นเหตุให้แม่มาเร่งฉันให้แต่งงาน”ปราชญ์หัวเราะร่วน เขาเข้าใจถึงความนัยในคำพูดนั้นดี เพราะชีวิตส่วนตัวของเขาถูกบรรดาแม่ๆ ของเพื่อนนำไปเปรียบเทียบ แล้วเร่งให้แต่งงานกันหลายคนแล้วสำหรับเขาที่แต่งงานตั้งแต่อายุยี่สิบห้าปีกับเพื่อนหญิงที่รู้จักกันตั้งแต่เรียนมัธยม จนตอนนี้ก็มีลูกชายหญิงรวมสามคนแล้ว“ก็ฉันคบกับป่านมาตั้งแต่เป็นนักเรียน รวมเวลาก็นับสิบปี ขืนให้รอนานกว่านี้ แม่ยายจะได้ยกลูกสาวให้คนอื่นปะไร”“นายเลยมีลูกทันใช้อยู่คนเดียว”“ถ้านายสตาร
แค่รถปอร์เช่คันสีขาวเลี้ยวออกจากสนามไดร์ฟกอล์ฟสู่ถนนสายหลักระหว่างเมืองมาได้ไม่กี่ร้อยเมตร เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ต่อเมื่อรับสาย ถ้อยคำจากคนปลายสายก็ส่งเข้ามา“แกจะมาหาฉันใช่ไหม”“ใช่ครับ ผมกำลังไปที่สำนักงาน แม่อยู่ที่ไหนแล้วครับตอนนี้”อาคารสำนักงานอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับห้างสรรพสินค้า ซึ่งมีซูเปอร์มาร์เก็ตที่เป็นแหล่งขายผักและผลไม้ปลอดสารพิษรวมอยู่ด้วย“ฉันกลับมาบ้านแล้ว วันนี้ออกข้างนอกทั้งวัน มีทั้งงานแต่งงาน งานเปิดร้านของลูกหลานผู้ใหญ่ในจังหวัด จนปวดเนื้อปวดตัวไปหมด เข้าสำนักงานไม่ไหวแล้ว คนแก่ก็อย่างนี้แหละ สังขารไม่แน่นอน นิดๆ หน่อยๆ ก็ทำท่าจะทรุด”“แม่ยังอยู่อีกนานครับ แล้วร่ายมาขนาดนี้ ต้องการอะไรครับ”อาทิตย์ขัดคอเสียงเรียบแล้วถามกลับ จนได้ยินเสียงบ่นลอดไรฟันอยู่สองสามประโยคจากผู้ให้กำเนิด ซึ่งล้วนแต่ทำให้เขาต้องหัวเราะออกมา“ผมว่าถ้าแม่อยากได้ลูกสะใภ้ก็ต้องซ้อมบทแม่ผัวใจดีมีเมตตาไว้ได้แล้วนะครับ เผื่อจับพลัดจับผลูได้มาแบบไม่ทันตั้งตัว ลูกสะใภ้จะได้ไม่เผ่นหนี
อาทิตย์คีบกระดาษแผ่นเดียวที่พับอยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมา แล้วหยิบปากกาที่เหน็บอยู่กับกระเป๋าเสื้อมาวางบนโต๊ะ รายงานผลผลิตของผักและผลไม้ในไร่และช่วงเวลาที่คาดว่าจะส่งเข้าไปยังซูเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้าของมารดาได้กว่าสิบนาทีที่คุณนายเจ้าของห้างสรรพสินค้าใหญ่ประจำจังหวัดนั่งฟังโดยไม่ขัดจังหวะ และเมื่อลูกชายรายงานผลจบลง เธอก็ถามขึ้น“แกดูแลไร่เองทั้งหมดเลยหรือ”“ก็ใช่สิครับ”อาทิตย์ตอบพลางเลิกคิ้วสงสัย เพราะคิดว่าเรื่องนี้แม่ก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว“นอกจากลุงชื่นและคนงานในไร่ แกมีใครช่วยงานอีกหรือเปล่า”ถามขึ้นเพราะเห็นกระดาษแผ่นเดียวที่ลูกชายเอาติดมา แถมลายมือก็ยังโย้เย้น่าปวดหัว“ไม่มีครับ แต่มันไม่จำเป็นหรอก ผมดูแลไร่ได้ แม่ไม่ต้องหาคนมาช่วยงานผม เพราะผมกลัวว่าจะเข้ามาเกะกะให้เสียงานมากกว่าผมจะได้งาน”ชายหนุ่มรีบปิดทาง เพราะคิดว่าแม่จะวกไปหาเรื่องเดิมๆ นั่นคือส่งสาวๆ มาให้เขาพิจารณาโดยผ่านทางการทำงาน“แกไม่ต้องออกตัวขนาดนั้น ฉันก็ไม่อยากยุ่งกับแกแล้วเหมือนกัน” คุณนาย
กว่าห้าโมงเย็น รถยนต์คันสีขาวแล่นเข้ามาในเขตไร่กว้างขวางที่จัดสรรพื้นที่ปลูกพืชแต่ละชนิดไว้อย่างเป็นสัดส่วน เมื่อมองจากถนนดาดคอนกรีตที่รถแล่นผ่านเข้ามาช้าๆ พืชผลที่พร้อมเก็บเกี่ยวหลายแปลงกำลังต้องแสงอาทิตย์ยามเย็นทำให้เกิดภาพงดงามอาทิตย์จอดรถตรงที่เดิม จุดที่เคยจอดเมื่อตอนขับรถออกจากไร่ในตอนเที่ยงวันคราวนี้ลุงชื่นที่รอท่ากันอยู่แล้วก็ปรี่มาหา โดยไม่ต้องรอให้เจ้านายเดินไปเอง พร้อมกับรายงานอย่างกระตือรือร้น“คนงานกำลังขนเคปกูสเบอร์รีขึ้นรถ งวดนี้เราคัดขนาดและตรวจคุณภาพก่อนแพ็กตามที่คุณอั๋นบอกไว้เป๊ะเลย พร้อมส่งเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตของคุณนายไม่เกินหกโมงเย็น คุณอั๋นจะดูของก่อนไหมครับ”“ลุงตรวจสอบความเรียบร้อยแล้วใชไหม”“เรียบร้อยแล้วครับ หลังจากคนงานทำเสร็จ ผมก็เช็กเองอีกรอบ นับจำนวน แยกตามขนาด แล้วจดไว้ในกระดาษแผ่นนี้ครับ”ลุงชื่นรีบยื่นกระดาษแผ่นเดียวให้กับเจ้านาย และเขาก็รับมากวาดสายตาดูคร่าวๆ ก่อนจะพับเก็บในกระเป๋ากางเกงเช่นทุกครั้งอาทิตย์เงยหน้าขึ้นมาแล้วกวาดสายตามองโดยรอบ ต่อเมื่อไม่เห็นคนเป้าหมาย
จิณณาล่องลอยอยู่ในความฝัน ท่ามกลางเมฆหมอกสวยงาม...แต่บางสิ่งก็ค้านว่ามันอาจเป็นความจริงไฟร้อนอบอ้าวที่แผดเผาหล่อนมานานกำลังมอดดับลง ร่างกายเริ่มเย็นสบาย สายลมเย็นนั้นไล้ทั่วกาย ช่างให้ความรู้สึกดีจนจิณณาต้องปล่อยเสียงหัวเราะอย่างสุขใจนานทีเดียวกว่าสายลมเย็นนั้นจะหยุดไล้เรือนกาย เมื่อทุกอย่างหยุดนิ่ง จิณณาถึงรับรู้ว่าไฟร้อนที่แผดเผากลับมาหาหล่อนอีกแล้ว จิณณาไม่ต้องการ หล่อนอยากหนีไปให้ไกล แต่ตะโกนร้องจนเสียงแห้งก็ไม่มีใครได้ยินเลยน้ำตาแห่งความอาดูรไหลพราก หล่อนไม่อยากกลับไปทรมานอยู่กับความร้อนนั้นอีกแล้วร่างกายก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศ จิณณาล่องลอย รู้สึกกายเบาหวิวคล้ายวัตถุไร้น้ำหนัก หล่อนเคลื่อนกายผ่านมวลเมฆสวยงามก้อนแล้วก้อนเล่า ความอบร้อนไม่มาเยือนอีกเลย หญิงสาวครางในลำคออย่างพอใจกระทั่งเคลื่อนเข้าไปอยู่ในมวลอากาศที่เย็นฉ่ำแสนชื่นใจ ร่างกายจึงเคลื่อนลงต่ำ แล้วเอนลงบนผืนหญ้านุ่มดุจพรมเนื้อดีที่ตรงนี้ดีเหลือเกิน เย็นฉ่ำชื่นใจ ไม่ร้อนอบอ้าว แถมยังนุ่มสบายอีกด้วยอาทิตย์ชะงักฝีเท้าแล้วหันขวับไปมองบนเตียงนอนของตัวเอง เมื่อได้ยินเสียงหัวเ
ในวันหยุดที่อากาศร้อนอบอ้าว อุณหภูมิทะลุไปถึงสี่สิบองศาเซลเซียส จิณณาซึ่งเป็นคุณแม่ลูกสี่ยังคอยดูแลลูกๆ ให้นั่งวาดภาพอยู่ในห้องโถงซึ่งอากาศเย็นกำลังดีด้วยเครื่องปรับอากาศหล่อนยังไม่ปล่อยให้ลูกทุกคนออกไปเล่นนอกบ้าน เพราะสองวันก่อนด้วยสภาพอากาศที่ร้อนจัด ทำให้ลูกสาวคนสุดท้องวัยสองขวบต้องล้มป่วยลง และวันนี้หนูน้อยก็เพิ่งทุเลาจากอาการไข้ เจ้าตัวยังไม่แข็งแรงพอที่จะออกไปวิ่งเล่นข้างนอก จิณณาจึงต้องต้อนพี่ๆ ทั้งสามคนให้อยู่ภายในบ้านคอยเป็นเพื่อนหนูน้อย“คุณแม่ครับ เมื่อไรเราจะไปที่สวนป่ากันอีก พี่ขุนอยากเล่นน้ำในลำธาร”ลูกชายคนโตวัยหกขวบถามขึ้น เขาคงเบื่อที่ต้องมานั่งวาดภาพและร่วมทำกิจกรรมกับน้องๆ แล้วลูกสาวคนรองก็สนับสนุนตาม“ใช่ค่ะ เราพาน้องพลับพลึงไปว่ายน้ำ น้องจะได้หายไข้ไวๆ”ทฤษฎีรักษาไข้ของแม่หนูมะลิทำให้คุณพ่อที่ยังหล่อเหลาเดินมาแล้วได้ยินเข้าพอดีถึงกับหัวเราะขำ“ไม่ใช่ว่าเราอยากเล่นน้ำเองหรือมะลิ”เมื่อคุณพ่อดักคออย่างรู้ทัน มะลิน้อยก็ปิดปากหัวเราะคิก แต่ยังตอบกลับอย่างไร้เดียงสา“
หลังแต่งงาน จิณณาใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังใหญ่กลางไร่กว้างของอาทิตย์อย่างมีความสุข หลายสิ่งรอบตัวไม่ได้เปลี่ยนไป และหล่อนก็พอใจที่จะให้เป็นอย่างนั้นจิณณาเริ่มช่วยงานของแม่สามีอย่างจริงจังด้วยค่าจ้างเดือนละห้าหมื่นบาท ทุกเดือนหล่อนจะโอนให้แม่ลัดดาสามหมื่น ส่วนที่เหลืออีกสองหมื่นก็ติดกระเป๋าไว้หญิงสาวเรียนรู้งานอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนได้พบว่าหล่อนสนุกกับงานวางกลยุทธ์ในธุรกิจห้างสรรพสินค้าและค้าปลีกเสียแล้ว“เป็นเมียเศรษฐีก็ยังต้องทำงานอีกหรือพี่จิณ”ส้มโอนั่งเท้าคางมองสาวรุ่นพี่ที่วันนี้กลายเป็นเจ้านายสาวอีกตำแหน่งแล้ว“ต้องทำสิ แล้วงานของพี่ก็สนุกนะ”“คนที่ห้างฯ เขาพูดกันว่าคุณนายรักพี่จิณเหมือนลูกสาว ไม่ใช่ลูกสะใภ้ หนูว่าคุณอั๋นใกล้จะตกกระป๋องแล้วแหละ แถมพี่จิณได้เจอคุณนายบ่อยกว่าคุณอั๋นอีกด้วย”“พูดอะไรส้มโอ”เสียงที่แทรกเข้ามานั้นทำให้คนช่างพูดสะดุ้งสุดตัว ทุกวันนี้ส้มโอขยับมาเป็นคนสนิทของจิณณาแล้ว เพราะอาทิตย์ได้มอบหมายหน้าที่ใหม่ โดยให้คอยตามดูแลและอยู่เป็นเพื่อนจิณณา ไม่ว่าภร
ห้องแถวชั้นเดียวในชุมชนริมคลองของตัวอำเภอยังตั้งอยู่เช่นเดิม หากความรู้สึกของจิณณาในวันนี้ต่างกับวันก่อนที่มาหาแม่ลิบลับ“เข้ามาในบ้านก่อนสิคุณ หนูจิณพาพี่เขาเข้ามา ข้างนอกอากาศมันร้อน”ลัดดามีสีหน้ายิ้มแย้มขณะเชิญชวนลูกเขยให้เข้าบ้าน โดยไม่ลืมกำชับลูกสาวไว้ด้วย ส่วนตัวเองก็ปราดเดินนำเข้าไปก่อนจิณณายิ้มตาม หัวใจเหมือนจะโบยบินเสียให้ได้ หล่อนรักที่จะเห็นความยินดีและรอยยิ้มบนใบหน้าของแม่เหลือเกิน“ผมมาฝากเนื้อฝากตัวกับคุณอาไว้ก่อนครับ ส่วนแม่จะมาในสัปดาห์หน้าพร้อมกับผู้ใหญ่เพื่อสู่ขอหนูจิณกับคุณอา”อาทิตย์พูดขึ้นหลังจากทั้งสามคนเข้ามานั่งบนโซฟาในบ้านเรียบร้อยแล้วจิณณามองรอบตัวปราดเดียวก็รู้ว่าแม่ตั้งใจจัดเก็บบ้านอย่างดีที่สุด จนเห็นความเป็นระเบียบแปลกตาไปจากทุกวัน ข้าวของที่มักมีเก็บไว้มากมายตามประสาคนค้าขาย ในวันนี้ข้าวของพวกนั้นได้หายไปหมดแล้ว พื้นที่รับแขกกลายเป็นพื้นที่โล่ง มีเพียงเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นสำหรับใช้งานจริงๆลัดดาวางตัวได้เหมาะสม แม้สีหน้าจะยิ้มแย้มเบิกบานโดยที่ใครเห็นก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอดี
จิณณาเดินเข้าไปด้านในห้องนอนตามทิศทางของแสงไฟที่เห็นส่องสว่าง และเมื่อไปถึง ร่างกายของหญิงสาวก็หยุดอยู่กับที่ มองภาพเบื้องหน้านิ่งงันอยู่อย่างนั้น“ห่างแค่วันเดียวจำผัวไม่ได้แล้วหรือหนูจิณ”“พี่อั๋น!”“ครับ พี่เอง ดีใจจังที่เมียยังจำได้”ชายหนุ่มเย้า สีหน้าของเขาเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม ดวงตาคมหลุบมองส่วนกลางของร่างกายหญิงสาว แล้วตรงเข้ามาโอบกอดแม้เจ้าหล่อนยังยืนตัวแข็งเช่นเดิม แต่เขาก็ไม่สนใจ ความยินดีเกิดขึ้นเต็มหัวใจจนไม่อยากเก็บมันไว้อีกแล้วดวงหน้าคมโน้มลงพรมจูบตรงเรือนผมนุ่มสลวย แล้วเลื่อนมากดจูบบริเวณหน้าผาก ไล่มาถึงพวงแก้มนวล แล้วกดจูบที่ริมฝีปากอิ่มหนักๆ“ใจร้ายกับพี่ทุกคนเลย หนูจิณก็เป็นไปกับเขาด้วย”“แล้วพี่อั๋นมาได้ยังไงคะ”“ขับรถมาสิ แล้วนี่บ้านของพี่นะ ห้องนี้ก็เป็นห้องของพี่ พี่อยู่มาตั้งแต่เด็กๆ”“เอ่อ...จิณขอโทษค่ะ ไม่น่าถามอย่างนี้เลย”“ไม่ได้กอดแค่คืนเดียว รู้ไหมคิดถึงมาก เมื่อคืนนอนไม่หลับ ห่วงไปสารพัด ทั้งที่รู้ว่าอยู่
พิจิกาเร่งสาวเท้าเข้ามาในโรงพยาบาล หลังจากได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนอาจารย์ที่มาฝากครรภ์แล้วบอกว่าได้เจอกับคนรู้จักของเธอที่แผนกเดียวกันเข้าเพียงแค่นั้น อาจารย์สาวที่ว่างจากชั่วโมงสอนก็ปรี่มายังโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยในทันทีเมื่อถามจนรู้พิกัดของ ‘คนรู้จัก’ เธอก็รีบจอดรถแล้วขึ้นลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นเป้าหมาย พลันก็เจอกับผู้หญิงสองคนที่เธอคาดไว้จริงๆพิจิกาเดินหลบไปยังมุมหนึ่ง แล้วโทร.ติดต่อหาเพื่อนสนิทโดยไว“นายอั๋น ทำอะไรอยู่ที่ไหนเนี่ย”“อยู่ที่ไร่ พริกมีอะไรหรือเปล่า”“แล้วเจอเมียนายหรือยัง”พิจิกายิงคำถามไปตรงๆ เพราะไม่ต้องการให้เรื่องยืดเยื้ออีก“เมียของนายหายไปไม่ใช่หรือ แล้วทำไมนายไม่ตามหา หรือว่านายแค่เล่นๆ กับยายขนุน”“หนูจิณออกจากบ้านของฉัน แต่ฉันรู้ว่าเธออยู่กับแม่ของฉันแล้ว”“อ้าว! นายก็รู้ด้วยนี่ ฉันเห็นที่บ้านของนายพร้อมใจกันปิดข่าวนายไม่ใช่หรือ”“ฉันรู้จากสัญญาณมือถือของหนูจิณ แล้วถามจากคนขับรถตู้
หลังจากพิจิกากลับไปแล้ว ขวัญจึงเอาเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัว ไม่เว้นแม้แต่เครื่องสำอางแบรนด์ดังมาให้จิณณา หญิงสาวพลิกมองอย่างพิจารณา คิดในใจว่ามันดีเกินไป ไม่จำเป็นเลยที่คุณนายอรอรจะนำของพวกนี้มาให้หล่อนใช้ หากก็ไม่ทันได้พูด ขวัญก็รายงานต่อด้วยเสียงดังแจ้วๆ ขึ้นมาเสียก่อน“คุณนายบอกว่าให้คุณจิณรับไว้แล้วใช้ของพวกนี้ด้วยค่ะ”จิณณาเหลือบมองแล้วยิ้ม แน่นอนว่าหล่อนไม่มีทางปฏิเสธได้ ถ้าคุณนายฝากถ้อยคำมาแบบนี้แล้ว“คุณนายใจดีค่ะ ถึงท่าทางจะดุไปสักนิดก็ตาม หนูชอบอยู่บ้านนี้ที่สุดแล้ว”จิณณาปล่อยให้เด็กรับใช้พูดต่อไป แม้หล่อนจะเห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้ผสมโรง เพราะยังติดความรู้สึกที่ว่าตนยังไม่ใช่คนในบ้านนี้ หล่อนจึงเพียงรับฟังไปเงียบๆ“คุณหายปวดหัวหรือยังคะ ตอนนี้ก็บ่ายแล้ว”“อะไรนะ นี่บ่ายแล้วหรือ”“บ่ายสองแล้วค่ะ คุณหลับไปหลายรอบเลย หนูก็ไม่อยากปลุก”“นั่นสิ วันนี้ง่วงนอนทั้งวัน เมื่อก่อนไม่เป็นอย่างนี้นะ ฉันยังไปทำงานในไร่ด้วยเลย”จิณณาเผลอพูดออกไป แต่เมื่อรู้ตัวก็ปิดปากฉับทันที
เสียงพูดคุยดังแว่วเข้ามาในหู จิณณาคิดว่าเป็นเพียงความฝัน เพราะหล่อนพยายามปรือตาเปิด แต่รู้สึกว่าเปลือกตาหนักอึ้งเหลือเกิน ครั้นจะปล่อยตัวเองให้หลับต่อ จิตใต้สำนึกก็บอกว่าหล่อนนอนหลับมากเกินไปแล้ว ควรจะตื่นขึ้นได้สักทีหญิงสาวพยายามฝืนตัวเอง ค่อยๆ ปรือเปิดดวงตาขึ้นอีกรอบ กระทั่งทำได้สำเร็จ เพดานห้องสีขาวที่มีดวงไฟงดงามหรูหราปรากฏขึ้นในสายตา แล้วก็จดจำได้ต่อมาว่าหล่อนอยู่ที่ไหน“ตื่นแล้วหรือหนูจิณ ดูสิ ตัวก็ไม่ร้อน แต่นอนหลับนิ่งไปเลย”เสียงคุ้นหูพร้อมกับสัมผัสนุ่มนวลและอ่อนโยนตรงหน้าผากทำให้จิณณาเบือนหน้าไปมอง แล้วเมื่อเห็นว่าเป็นใคร หล่อนก็ชันกายขึ้นนั่งด้วยความรู้สึกว่าไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลย“อาจารย์พริก!”หล่อนตกใจ ไม่นึกว่าจะเห็นพิจิกาในห้องนี้ ซึ่งเป็นห้องนอนส่วนตัวของอาทิตย์ เพราะจิณณายังไม่มั่นใจในสิทธิ์ของตัวเองนัก“ทำไมทำหน้าตกใจ หนูจิณไม่ดีใจหรือที่เห็นฉัน ชักจะน้อยใจแล้วนะ”“ไม่ค่ะ หนูจิณ เอ่อ...นึกไม่ถึงว่าจะได้เจออาจารย์”“โกหกไม่เนียน ไปเรียนมาใหม่นะหนูน้อย”พิจิ
หลังจากเรียกเด็กในบ้านให้พาจิณณาไปพักผ่อนแล้ว พอคล้อยหลังจิณณาไป คุณนายอรอรก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม ท่าทางเหมือนจมอยู่กับความคิด ในขณะที่ลูกชายคนรองก็ยังนั่งปักหลักอยู่ข้างๆ ไม่ยอมลุกไปไหนเช่นกัน“แม่คิดว่าซ้ออายุสิบเจ็ดสิบแปดได้ยังไง เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยและเคยทำงานที่กรุงเทพฯ มาแล้ว”ข้อมูลที่ได้ยินนั้นทำให้เศรษฐีนีใหญ่เบิกตาโต แล้วหันขวับไปทางคนพูด“อ้าว! แล้วทำไมแกเพิ่งบอกฉัน ฉันอุตส่าห์ทำใจให้ยอมรับอยู่ตั้งนานว่าพี่แกไปฉวยเด็กมาทำเมีย เห็นหน้าตายังกับเพิ่งจบมัธยม แต่กิริยาท่าทางก็น่าเอ็นดู ผิดจากที่ฉันนึกภาพเอาไว้มาก แต่ก็นั่นแหละนะ ถ้าเป็นเด็กของหนูพิจิกาก็ต้องน่ารักไม่ต่างกัน ไม่งั้นจะให้ตามหลังกันได้ยังไง”“แม่ก็ยังเอ็นดูหนูพิจิกาของแม่ไม่เลิกนะ อย่าเผลอเอาเขาใส่พานให้นายอั๋นเข้าก็แล้วกัน จำไว้ว่าตอนนี้นายอั๋นมีเมียเรียบร้อยแล้ว”“เอาน่า ฉันไม่ทำอย่างนั้นหรอก แกก็บอกเองนี่ว่าพี่แกย้ำนักย้ำหนาว่าพวกเขาเป็นแค่เพื่อนกัน ไม่เคยคบหากัน”“นายอั๋นยืนยันตามนั้น ส่วนอีกคนผมไม่รู้ความรู้สึกเขาหรอก สนิทกันม
“หนูจิณไม่อยู่ ไม่มีใครเห็นว่าออกไปไหน มันเป็นไปได้ยังไง ทั้งในบ้านและไร่ของเราก็มีคนอยู่ตั้งมาก”อาทิตย์ออกอาการตกใจ เมื่อเรียกคนงานมาพร้อมหน้าเพื่อสอบถามว่าเห็นจิณณากันบ้างไหม และคำตอบก็ไปในทางเดียวกัน...ไม่มีใครรู้และไม่มีใครเห็นหล่อน“หนูจิณเอาโทรศัพท์ไปด้วยไหม แล้วคุณอั๋นโทร.หาเธอหรือยัง”ป้าแววที่ถูกตามมาจากบ้านพักกลางไร่ออกอาการร้อนรน นางเป็นห่วงจิณณาไม่น้อยกว่าใคร ทั้งที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนก็ยังโกรธอาทิตย์อยู่ เพิ่งบอกกับตัวเองว่าจะไม่พูดและไม่ยุ่งแล้วด้วยซ้ำ แต่พอไม่ทันข้ามวันก็กลับต้องมาช่วยกันเหมือนเดิม“ผมไม่มีเบอร์หนูจิณ”“แล้วเป็นผัวเมียประสาอะไร ไม่รู้เรื่องของเขาเลย”ป้าแววอดไม่ได้ที่จะบ่น ถ้าอาทิตย์จะโกรธนางอีกก็ตามใจ เพราะเหลืออดเต็มทนแล้วเหมือนกัน หากคราวนี้เจ้าของบ้านหนุ่มกลับก้มหน้ายอมรับผิดเสียง่ายๆ“ผมรู้ตัวแล้วว่าไม่ได้ใส่ใจหนูจิณอย่างที่ป้าพูดจริงๆ” อาทิตย์บอกเสียงอ่อนน้อม เพราะรู้สึกสำนึกผิด “เมื่อตอนเย็นผมก็ก้าวร้าวกับป้า ผมขอโทษด้วย&rd