“หนูรู้สึกได้เอง”
ก็แค่ตอนที่จิณณาช่วยขนอาหารออกไปให้คนงานได้รับประทานตอนพักเที่ยง แล้วได้ยินพวกเขาถามกันว่ามื้อนี้เป็นฝีมือของใคร พอรู้ว่าไม่ใช่ของหล่อน ต่างก็หัวเราะดีใจกันยกใหญ่ แต่ก็ยังดีนะ ที่พอเห็นว่าหล่อนยืนอยู่ใกล้ๆ พวกเขาก็อุบอิบบอกขอโทษ ก่อนจะพากันเดินหนีหลบหน้าหล่อนไปจนหมด จิณณาถอนหายใจยาว แล้วระบายต่ออย่างได้โอกาส “หนูทำงานไม่เป็น ทั้งที่เกิดมาเป็นลูกแม่ค้าในตลาด ไม่ใช่คุณหนูที่ไหนสักหน่อย” “ก็หนูจิณเรียนหนังสือตั้งแต่เด็กจนโต แล้วจะมีเวลาที่ไหนมาทำงานกันล่ะ ตั้งใจเรียนจนจบก็ดีแล้วนี่” “หนูเรียนจบแล้วทำงาน แต่หนูก็ถูกปลดจากงาน แสดงว่าหนูเป็นคนไม่เอาไหนจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นงานบ้านงานครัว หรืองานตามสายที่เรียนมา” “โธ่เอ๊ย! ชีวิตมันไม่ได้มีแค่นี้ เดี๋ยวหนูก็เจอทางที่ถนัดเอง” “แต่ปากท้องมันรอนานไม่ได้สิจ๊ะ” “แล้วจะเร่งรีบไปทำไม อยู่ช่วยงานที่นี่ไปเรื่อยๆ นี่แหละ แล้วไม่ต้องกลับไปอยู่บ้านแม่อีกนะ ความโชคดีไม่ได้เป็นของเราทุกคราว” สีหน้าของจิณณาสลดลง หล่อนเผลอยกมือขึ้นลูบแก้มด้านซ้าย ภาพความเกรี้ยวกราดของแม่ในวันนั้นผุดขึ้นมา...วันที่จิณณากลับมาจากกรุงเทพฯ ด้วยหวังจะตั้งหลักอยู่กับแม่สักช่วงหนึ่ง แต่ก็เกิดเรื่องขึ้นมาเสียก่อน จิณณามาถึงบ้านในช่วงสาย เวลานั้นแม่ยังขายของอยู่ที่ตลาด ด้วยความเหนื่อยและง่วงนอนจากการนั่งรถทัวร์ข้ามคืนโดยไม่ได้หลับเต็มตา จึงทำให้หล่อนผล็อยหลับ แล้วมารู้สึกตัวตื่นเมื่อพ่อเลี้ยงพยายามลวนลาม จิณณาตกใจ หล่อนสู้เต็มแรงเพื่อเอาตัวให้รอด แล้วเป็นจังหวะที่แม่กลับมาถึงบ้านพอดี จิณณาดีใจ หล่อนสลัดตัวเองจนหลุดจากการกอดรัดของพ่อเลี้ยง แล้วโผไปกอดแม่ไว้แน่นอย่างต้องการที่พึ่ง แม่ไม่กอดหล่อนตอบ แม่ได้แต่ยืนนิ่งงันขณะฟังคำปลิ้นปล้อนของพ่อเลี้ยงที่บอกว่าหล่อนยินยอมเอง แล้วแม่ก็ตบหน้าหล่อน จิณณาหูอื้อตาลายไปหมด หล่อนไม่พูดอะไรสักคำ เพราะรู้สึกตื้อในอก รับรู้เพียงว่าหัวใจกำลังเจ็บแปลบ หล่อนออกจากบ้านหลังนั้นทันทีพร้อมกับสัมภาระติดตัวที่มีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่พร้อมกับเป้สะพายหลัง แล้วจึงได้พบกับพิจิกาโดยบังเอิญตรงหัวมุมถนน พิจิการับจิณณาขึ้นรถ จากนั้นหล่อนก็เล่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่ปิดบัง เพราะต้องการใครสักคนมาแบ่งปันความเจ็บช้ำที่ต้องเผชิญ และอาจารย์สาวผู้แสนใจดีก็เป็นคนที่หล่อนไว้ใจที่สุดในยามนี้ “อยู่ด้วยกันนี่แหละ อาจารย์พริกบอกไว้ไม่ใช่หรือว่าหนูจิณอยู่ที่นี่ได้ ที่นี่ปลอดภัยสำหรับหนู” “แต่บ้านหลังนี้ไม่ใช่ของอาจารย์” จิณณาบอกเสียงอ่อย แล้วได้ยินเสียงเด็กสาวที่ยืนทำงานอยู่ใกล้ๆ แย้งขึ้น “ไม่ใช่ก็เหมือนใช่แหละพี่จิณ วันหน้าอาจารย์พริกอาจมาเป็นเจ้านายของพวกเราก็ได้” “หมายถึงอะไรจ๊ะ อาจารย์พริกเป็นแฟนกับคุณอาทิตย์หรือ” จิณณาอุทานเสียงดังอย่างประหลาดใจระคนใจหายเมื่อได้ยินเรื่องที่นึกไม่ถึงมาก่อน หล่อนไม่รู้ตัวเองว่าทำไมถึงรู้สึกอย่างนี้ แต่แล้วก็ไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่ทันได้ปรับอารมณ์ พลันต้องหันขวับไปทางประตูห้องครัว แล้วชาวูบไปทั้งตัวเมื่อเห็นคนที่อยู่ในหัวข้อสนทนากำลังยืนอยู่ อาทิตย์ยืนกอดอกอิงกรอบประตู เขากระแอมเสียงดังอย่างต้องการให้ทุกคนในนั้นรู้ตัว แล้วก็ได้ผล สภาพนกกระจอกแตกรังก็เกิดขึ้นแค่ในวินาทีถัดมา คนงานในครัวที่ยืนคุยกันอย่างออกรสเมื่อสักครู่ต่างก็ผละไปสาละวนอยู่กับงาน โดยที่เขาก็ไม่รู้ว่านั่นเป็นงานบังหน้าหรือเป็นงานที่พวกเธอทำกันอยู่แล้ว สายตาคมดุกราดมองไปยังทุกคน แล้วมาหยุดตรงคนร่างอวบอิ่มผิวขาวผ่องที่ตั้งสมญานามให้ว่า ‘ขนุน’ ไปเรียบร้อยแล้ว และเป็นไปโดยไม่รู้ตัวด้วยสิ “เธอ มาคุยกันหน่อย” เขาหมายถึงจิณณา เพราะสบตาหล่อนอยู่หลายวินาที ก่อนจะเดินออกไป ส่วนคนที่ยังยืนอยู่กลางห้องครัวก็บีบมือตัวเองไว้แน่น ภาพเมื่อครู่ซ้อนทับเหตุการณ์เมื่อคืนจนรู้สึกไม่สบายใจ หลังจากที่เขามาเคาะประตูห้องพักแล้วเรียกให้ไปพูดคุยด้วย จิณณาก็สรุปความได้ว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการของเจ้าของบ้าน เหตุผลเพราะหล่อนไม่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับใครได้เลย มันเป็นความต่ำต้อยด้อยค่าที่ทำให้ความรู้สึกของจิณณาดิ่งเหว จนพานนอนไม่หลับเกือบทั้งคืน ดังนั้นคำแรกที่จิณณาหลุดออกมาหลังจากก้าวตามคนร่างสูงใหญ่ที่เดินออกไปทางหน้าบ้านแล้วหย่อนกายนั่งบนเก้าอี้สานใต้ต้นประดู่นั้น จึงเป็นคำที่อยู่ในใจทั้งสิ้น “ดิฉันไปอยู่ที่เรือนคนงานได้ค่ะ ดิฉันปลูกสตรอว์เบอร์รีได้ วันนี้ช่วงเช้าดิฉันไปดูเขาทำงานมา ลุงชื่นสัญญาว่าจะสอนให้ดิฉันทำงานจนเป็น” “อะไรของเธอ? พูดอะไร?” อาทิตย์นิ่วหน้าถาม แววตาของเขาทำให้ความมั่นใจที่มีเพียงน้อยนิดของจิณณาแทบหล่นหายจนหมดสิ้น หญิงสาวสูดลมหายใจลึกอย่างไม่สงวนท่าที แล้วบอกเขาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ดิฉันอยากขอความกรุณาจากคุณ ให้โอกาสดิฉันทำงานเพื่อแลกกับที่อยู่และค่าอาหารที่นี่อีกสักระยะ ดิฉันมั่นใจว่าทำงานในไร่ได้ดี เพราะดิฉันแข็งแรงค่ะ” เหตุผลของคนที่ยืนตัวตรงอยู่เบื้องหน้าแทบทำให้อาทิตย์กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ แล้วสายตาก็เผลอกวาดมองทั่วร่างเมื่อเจ้าหล่อนยืนยันนักหนาว่าแข็งแรงดี หากก็ท้วงไปอีกทาง เพราะได้ยินคำขัดหู “ดิฉัน?” “คะ?” จิณณากะพริบตาปริบๆ ด้วยไม่เข้าใจถ้อยคำเขา แต่แล้วชายหนุ่มก็หัวเราะออกมาเต็มเสียง หญิงสาวยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่ หล่อนไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรพลาดไปอีกหรือเปล่าในวันหยุดที่อากาศร้อนอบอ้าว อุณหภูมิทะลุไปถึงสี่สิบองศาเซลเซียส จิณณาซึ่งเป็นคุณแม่ลูกสี่ยังคอยดูแลลูกๆ ให้นั่งวาดภาพอยู่ในห้องโถงซึ่งอากาศเย็นกำลังดีด้วยเครื่องปรับอากาศหล่อนยังไม่ปล่อยให้ลูกทุกคนออกไปเล่นนอกบ้าน เพราะสองวันก่อนด้วยสภาพอากาศที่ร้อนจัด ทำให้ลูกสาวคนสุดท้องวัยสองขวบต้องล้มป่วยลง และวันนี้หนูน้อยก็เพิ่งทุเลาจากอาการไข้ เจ้าตัวยังไม่แข็งแรงพอที่จะออกไปวิ่งเล่นข้างนอก จิณณาจึงต้องต้อนพี่ๆ ทั้งสามคนให้อยู่ภายในบ้านคอยเป็นเพื่อนหนูน้อย“คุณแม่ครับ เมื่อไรเราจะไปที่สวนป่ากันอีก พี่ขุนอยากเล่นน้ำในลำธาร”ลูกชายคนโตวัยหกขวบถามขึ้น เขาคงเบื่อที่ต้องมานั่งวาดภาพและร่วมทำกิจกรรมกับน้องๆ แล้วลูกสาวคนรองก็สนับสนุนตาม“ใช่ค่ะ เราพาน้องพลับพลึงไปว่ายน้ำ น้องจะได้หายไข้ไวๆ”ทฤษฎีรักษาไข้ของแม่หนูมะลิทำให้คุณพ่อที่ยังหล่อเหลาเดินมาแล้วได้ยินเข้าพอดีถึงกับหัวเราะขำ“ไม่ใช่ว่าเราอยากเล่นน้ำเองหรือมะลิ”เมื่อคุณพ่อดักคออย่างรู้ทัน มะลิน้อยก็ปิดปากหัวเราะคิก แต่ยังตอบกลับอย่างไร้เดียงสา“
หลังแต่งงาน จิณณาใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังใหญ่กลางไร่กว้างของอาทิตย์อย่างมีความสุข หลายสิ่งรอบตัวไม่ได้เปลี่ยนไป และหล่อนก็พอใจที่จะให้เป็นอย่างนั้นจิณณาเริ่มช่วยงานของแม่สามีอย่างจริงจังด้วยค่าจ้างเดือนละห้าหมื่นบาท ทุกเดือนหล่อนจะโอนให้แม่ลัดดาสามหมื่น ส่วนที่เหลืออีกสองหมื่นก็ติดกระเป๋าไว้หญิงสาวเรียนรู้งานอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนได้พบว่าหล่อนสนุกกับงานวางกลยุทธ์ในธุรกิจห้างสรรพสินค้าและค้าปลีกเสียแล้ว“เป็นเมียเศรษฐีก็ยังต้องทำงานอีกหรือพี่จิณ”ส้มโอนั่งเท้าคางมองสาวรุ่นพี่ที่วันนี้กลายเป็นเจ้านายสาวอีกตำแหน่งแล้ว“ต้องทำสิ แล้วงานของพี่ก็สนุกนะ”“คนที่ห้างฯ เขาพูดกันว่าคุณนายรักพี่จิณเหมือนลูกสาว ไม่ใช่ลูกสะใภ้ หนูว่าคุณอั๋นใกล้จะตกกระป๋องแล้วแหละ แถมพี่จิณได้เจอคุณนายบ่อยกว่าคุณอั๋นอีกด้วย”“พูดอะไรส้มโอ”เสียงที่แทรกเข้ามานั้นทำให้คนช่างพูดสะดุ้งสุดตัว ทุกวันนี้ส้มโอขยับมาเป็นคนสนิทของจิณณาแล้ว เพราะอาทิตย์ได้มอบหมายหน้าที่ใหม่ โดยให้คอยตามดูแลและอยู่เป็นเพื่อนจิณณา ไม่ว่าภร
ห้องแถวชั้นเดียวในชุมชนริมคลองของตัวอำเภอยังตั้งอยู่เช่นเดิม หากความรู้สึกของจิณณาในวันนี้ต่างกับวันก่อนที่มาหาแม่ลิบลับ“เข้ามาในบ้านก่อนสิคุณ หนูจิณพาพี่เขาเข้ามา ข้างนอกอากาศมันร้อน”ลัดดามีสีหน้ายิ้มแย้มขณะเชิญชวนลูกเขยให้เข้าบ้าน โดยไม่ลืมกำชับลูกสาวไว้ด้วย ส่วนตัวเองก็ปราดเดินนำเข้าไปก่อนจิณณายิ้มตาม หัวใจเหมือนจะโบยบินเสียให้ได้ หล่อนรักที่จะเห็นความยินดีและรอยยิ้มบนใบหน้าของแม่เหลือเกิน“ผมมาฝากเนื้อฝากตัวกับคุณอาไว้ก่อนครับ ส่วนแม่จะมาในสัปดาห์หน้าพร้อมกับผู้ใหญ่เพื่อสู่ขอหนูจิณกับคุณอา”อาทิตย์พูดขึ้นหลังจากทั้งสามคนเข้ามานั่งบนโซฟาในบ้านเรียบร้อยแล้วจิณณามองรอบตัวปราดเดียวก็รู้ว่าแม่ตั้งใจจัดเก็บบ้านอย่างดีที่สุด จนเห็นความเป็นระเบียบแปลกตาไปจากทุกวัน ข้าวของที่มักมีเก็บไว้มากมายตามประสาคนค้าขาย ในวันนี้ข้าวของพวกนั้นได้หายไปหมดแล้ว พื้นที่รับแขกกลายเป็นพื้นที่โล่ง มีเพียงเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นสำหรับใช้งานจริงๆลัดดาวางตัวได้เหมาะสม แม้สีหน้าจะยิ้มแย้มเบิกบานโดยที่ใครเห็นก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอดี
จิณณาเดินเข้าไปด้านในห้องนอนตามทิศทางของแสงไฟที่เห็นส่องสว่าง และเมื่อไปถึง ร่างกายของหญิงสาวก็หยุดอยู่กับที่ มองภาพเบื้องหน้านิ่งงันอยู่อย่างนั้น“ห่างแค่วันเดียวจำผัวไม่ได้แล้วหรือหนูจิณ”“พี่อั๋น!”“ครับ พี่เอง ดีใจจังที่เมียยังจำได้”ชายหนุ่มเย้า สีหน้าของเขาเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม ดวงตาคมหลุบมองส่วนกลางของร่างกายหญิงสาว แล้วตรงเข้ามาโอบกอดแม้เจ้าหล่อนยังยืนตัวแข็งเช่นเดิม แต่เขาก็ไม่สนใจ ความยินดีเกิดขึ้นเต็มหัวใจจนไม่อยากเก็บมันไว้อีกแล้วดวงหน้าคมโน้มลงพรมจูบตรงเรือนผมนุ่มสลวย แล้วเลื่อนมากดจูบบริเวณหน้าผาก ไล่มาถึงพวงแก้มนวล แล้วกดจูบที่ริมฝีปากอิ่มหนักๆ“ใจร้ายกับพี่ทุกคนเลย หนูจิณก็เป็นไปกับเขาด้วย”“แล้วพี่อั๋นมาได้ยังไงคะ”“ขับรถมาสิ แล้วนี่บ้านของพี่นะ ห้องนี้ก็เป็นห้องของพี่ พี่อยู่มาตั้งแต่เด็กๆ”“เอ่อ...จิณขอโทษค่ะ ไม่น่าถามอย่างนี้เลย”“ไม่ได้กอดแค่คืนเดียว รู้ไหมคิดถึงมาก เมื่อคืนนอนไม่หลับ ห่วงไปสารพัด ทั้งที่รู้ว่าอยู่
พิจิกาเร่งสาวเท้าเข้ามาในโรงพยาบาล หลังจากได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนอาจารย์ที่มาฝากครรภ์แล้วบอกว่าได้เจอกับคนรู้จักของเธอที่แผนกเดียวกันเข้าเพียงแค่นั้น อาจารย์สาวที่ว่างจากชั่วโมงสอนก็ปรี่มายังโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยในทันทีเมื่อถามจนรู้พิกัดของ ‘คนรู้จัก’ เธอก็รีบจอดรถแล้วขึ้นลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นเป้าหมาย พลันก็เจอกับผู้หญิงสองคนที่เธอคาดไว้จริงๆพิจิกาเดินหลบไปยังมุมหนึ่ง แล้วโทร.ติดต่อหาเพื่อนสนิทโดยไว“นายอั๋น ทำอะไรอยู่ที่ไหนเนี่ย”“อยู่ที่ไร่ พริกมีอะไรหรือเปล่า”“แล้วเจอเมียนายหรือยัง”พิจิกายิงคำถามไปตรงๆ เพราะไม่ต้องการให้เรื่องยืดเยื้ออีก“เมียของนายหายไปไม่ใช่หรือ แล้วทำไมนายไม่ตามหา หรือว่านายแค่เล่นๆ กับยายขนุน”“หนูจิณออกจากบ้านของฉัน แต่ฉันรู้ว่าเธออยู่กับแม่ของฉันแล้ว”“อ้าว! นายก็รู้ด้วยนี่ ฉันเห็นที่บ้านของนายพร้อมใจกันปิดข่าวนายไม่ใช่หรือ”“ฉันรู้จากสัญญาณมือถือของหนูจิณ แล้วถามจากคนขับรถตู้
หลังจากพิจิกากลับไปแล้ว ขวัญจึงเอาเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัว ไม่เว้นแม้แต่เครื่องสำอางแบรนด์ดังมาให้จิณณา หญิงสาวพลิกมองอย่างพิจารณา คิดในใจว่ามันดีเกินไป ไม่จำเป็นเลยที่คุณนายอรอรจะนำของพวกนี้มาให้หล่อนใช้ หากก็ไม่ทันได้พูด ขวัญก็รายงานต่อด้วยเสียงดังแจ้วๆ ขึ้นมาเสียก่อน“คุณนายบอกว่าให้คุณจิณรับไว้แล้วใช้ของพวกนี้ด้วยค่ะ”จิณณาเหลือบมองแล้วยิ้ม แน่นอนว่าหล่อนไม่มีทางปฏิเสธได้ ถ้าคุณนายฝากถ้อยคำมาแบบนี้แล้ว“คุณนายใจดีค่ะ ถึงท่าทางจะดุไปสักนิดก็ตาม หนูชอบอยู่บ้านนี้ที่สุดแล้ว”จิณณาปล่อยให้เด็กรับใช้พูดต่อไป แม้หล่อนจะเห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้ผสมโรง เพราะยังติดความรู้สึกที่ว่าตนยังไม่ใช่คนในบ้านนี้ หล่อนจึงเพียงรับฟังไปเงียบๆ“คุณหายปวดหัวหรือยังคะ ตอนนี้ก็บ่ายแล้ว”“อะไรนะ นี่บ่ายแล้วหรือ”“บ่ายสองแล้วค่ะ คุณหลับไปหลายรอบเลย หนูก็ไม่อยากปลุก”“นั่นสิ วันนี้ง่วงนอนทั้งวัน เมื่อก่อนไม่เป็นอย่างนี้นะ ฉันยังไปทำงานในไร่ด้วยเลย”จิณณาเผลอพูดออกไป แต่เมื่อรู้ตัวก็ปิดปากฉับทันที