LOGINบทที่ 2
หล่อนเอ่ยเพียงในใจ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นมาบนหน้าผากมนทันที และมีบางจังหวะที่นิ้วปลายนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ช่วยกันรุมจิก ตะบี้ตะบันบีบคลึงที่ปลายถันของหล่อน
“ไม่นะ!” ยศสิตาอุทานออกมาเสียงดังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเล่นเอาสายตาทุกคู่หันพรึบมองมายังหล่อนเป็นตาเดียวกัน วินาทีนั้นหญิงสาวจึงรู้ตัวว่าเผลอหลุดปากเพราะจินตนาการที่ไปไกลเหนือการควบคุม ใบหน้าหวานแดงแปร๊ดขึ้นด้วยความอับอาย
‘เป็นอะไรของเขา’ ภูริภัชร์ขมวดคิ้วผูกเป็นปมอย่างสงสัย หากยังคงวางฟอร์มเก๊กหน้าขรึมตามแบบฉบับของตน
“สวัสดีค่ะคุณลุง คุณป้า พี่พี”
เสียงของอริสราราวกับระฆังช่วยชีวิต ยศสิตาจึงกลบเกลื่อนสถานการณ์อันน่าขายหน้า รีบกระวีกระวาดตามน้องสาวเข้าไปทำความเคารพผู้ใหญ่ทั้งสองคนและกล่าวทักทายตัวต้นเหตุอย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้
“ว่าไงเราสบายดีไหม” ภูริภัชร์กล่าวทักทายอริสราอย่างสนิทสนม เอื้อมมือมาขยี้ผมหล่อนเล่นอย่างเอ็นดูเช่นเคย
ภาพนั้นกระทบหัวใจที่กำลังวูบไหวส่งผลไปยังเปลือกตาคู่สวยต้องหลุบมองลงพื้นเพื่อบดบังรัศมีอันร้อนผะผ่าวของเปลวไฟริษยา ภูริภัชร์ให้ความเป็นกันเองสนิทสนิมกับอริสราแบบนี้มาตลอดแต่กับหล่อน... เขาจะวางตัวห่างเหิน เย็นชา ชวนให้ยะเยือกบาดลึกเข้าไปในขั้วหัวใจราวกับกำลังถูกโอบล้อมด้วยน้ำแข็งขั้วโลก
“สบายดีค่ะพี่พี... แล้วพี่พีล่ะคะ กลับมาจากเมืองนอกเอาพี่สะใภ้แหม่มมาฝากเอิงหรือเปล่า?” อริสราพูดสัพยอกอย่างสนิทสนมเช่นกัน
“ไม่มีหรอกครับ เพราะพี่ชอบสาวไทย” ตาคมเข้มชำเลืองมองไปทางคนหน้ามุ่ย
ยศสิตาเบ้ปาก แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วเดินตามผู้ใหญ่ทั้งสามเข้าบ้านไป ทิ้งให้ภูริภัชร์และอริสราคุยกันอย่างถูกคอตามลำพัง
ชายหนุ่มแอบมองตามหลังคนที่เดินดุ่มๆ ไป กิริยาอันแนบเนียนไม่รอดพ้นจากสายตาอันช่างสังเกตของอริสราไปได้ หล่อนจับตามองท่าทีของยศสิตาและภูริภัชร์อยู่เงียบๆ รู้สึกถึงความพิเศษลึกๆ ที่ทั้งคู่มีให้กันได้ไม่ยากนัก คนหนึ่งเอาแต่ทำหน้าบึ้งใส่ ส่วนอีกฝ่ายก็ขยันยั่วอยู่ในที
“เอ... ถ้าอย่างนั้นใครกันน้อจะมาเป็นพี่สะใภ้ของเอิง” อริสราแสร้งถามต่อเมื่ออยู่กันสองคนพลางแอบหวังว่าถ้าได้ภูริภัชร์มาเป็นพี่เขยก็คงดีไม่น้อย
“ใจเย็นๆ สิครับสาวน้อย”
“ต้องบอกเอิงคนแรกเลยนะคะ” หญิงสาวคะยั้นคะยออย่างคนที่คุ้นเคยกันดี
แม่เลี้ยงวลีพรรณยืนรอยศสิตาและอริสราอยู่ในบ้าน เมื่อสองสาวตามเข้ามาสมทบแล้ว หญิงวัยกลางคนที่ยังดูสวยสง่างามก็เยื้องย่างก้าวนำขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง มาหยุดอยู่หน้าห้องหนึ่งซึ่งอยู่ถัดจากบันไดไปทางปีกซ้ายของตัวบ้าน
“พักห้องเดิมนะจ๊ะหลานๆ”
นางส่งกุญแจห้องให้กับยศสิตา หญิงสาวรับมาก่อนจะไขออกแล้วเปิดประตูเข้าไปพลางกวาดสายตาส่องสำรวจคร่าวๆ
“ห้องสวยเหมือนเดิมเลยค่ะคุณป้า” ยศสิตาหันมายกมือไหว้ขอบคุณ
“ป้าจัดไว้ให้หลานสาวคนสวยของป้าทั้งสองคน” แม่เลี้ยงวลีพรรณเอ่ยยิ้มแย้ม
ยศสิตาอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปกอดแม่เลี้ยงวลีพรรณผู้ใจดีและเอ็นดูหล่อนกับน้องอย่างจริงใจตลอดมา อ้อมกอดอันแสนอบอุ่นทำให้สีหน้าที่กำลังสดใสหม่นลงยามประหวัดคิดไปถึงผู้เป็นมารดาซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้ว
“ตามสบายนะจ๊ะ ป้าขอลงไปดูความเรียบร้อยข้างล่างก่อน” แม่เลี้ยงวลีพรรณเอ่ยขอตัวและปล่อยให้สองสาวอยู่เป็นส่วนตัว
ยศสิตากับอริสราลงมือจัดเสื้อผ้าใส่ตู้จนเสร็จ หลังจากนั้นยศสิตาจึงเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ กลับออกมาอีกทีก็พบว่าน้องน้อยของหล่อนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงเสียแล้ว ร่างอรชรยืนมองภาพนั้นพลางระบายยิ้มอย่างเอ็นดู ก็ไม่แปลกนักที่อริสราจะหลับในตอนนี้เพราะเมื่อเช้าครอบครัวของหล่อนออกเดินทางจากบ้านมาตั้งแต่ตีห้าเพื่อมารอขึ้นเครื่องบินเที่ยวบินแรกจากกรุงเทพฯ มาเชียงใหม่
“สงสัยจะเพลีย” เสียงหวานพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะก้าวเท้าออกจากห้องและปิดประตูอย่างเบามือ พยายามไม่ให้เสียงรบกวนการนอนของน้อง
ร่างอรชรลงมาถึงชั้นล่างและเดินเลยออกนอกตัวบ้าน ขณะนั้นสายมากแล้ว ผืนนภาสว่างสดใสเป็นสีฟ้าไปตลอดทั้งแนว มีปุยเมฆสีขาวลอยละล่องเป็นก้อนอยู่ประปราย
ยศสิตาทอดน่องสำรวจทั่วบริเวณบ้านทรงไทยอย่างคุ้นเคยทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมานัก สิ่งที่หล่อนชอบมากที่สุดก็คือแปลงกุหลาบซึ่งปลูกแซมกันหลายสีแข่งกันผลิดอกอวดความงามและส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ ขณะนั้นเองรถจี๊ปคันใหญ่ก็โฉบเข้ามาจอดเทียบใกล้ๆ กับที่หล่อนยืนอยู่ คนขับลดกระจกลง
“คนบ้าอีกแล้ว!” ยศสิตาบ่นขมุบขมิบเพียงเบาๆ เมื่อเห็นใบหน้าคมคร้ามนั้นชัดเจน
หญิงสาวหมุนตัวเตรียมเดินหนีแต่ก็ช้าไปเมื่อเสียงห้าวทุ้มเอ่ยขึ้นขัดจังหวะเท้าที่กำลังจะก้าว
“เห็นหน้าผมก็เตรียมตัวหนีเลยเหรอ?”
“ใครหนี?” แขนเรียวยกขึ้นกอดอก ใบหน้าแสนหวานบึ้งตึง วางท่าเฉยเมยราวกับนางพญาบนเสลี่ยงทอง
“ก็ใครบางคนแถวๆ นี้สงสัยจะกลัว” เขาพูดหมิ่นๆ ขยิบตาอย่างยียวน
“ไม่เคยกลัว ทำไมเอยต้องกลัวคุณด้วย”
“ไม่รู้สิ” ภูริภัชร์ยักไหล่ “คุณต้องถามตัวเองดูว่าทำไมต้องกลัวผม” สายตาคมดุจ้องมองใบหน้าเรียวสวยอย่างจับพิรุธ
“ก็บอกแล้วเอยไม่ได้กลัว” ยศสิตายังทำเสียงแข็งกลบเกลื่อน
“เห็นๆ กันอยู่ว่ากำลังจะหนี” เสียงทุ้มยั่ว “ถ้าไม่กลัวจริงๆ ก็ขึ้นรถ จะพาไปเที่ยวรอบๆ ไร่”
บทที่ 6“ขึ้นรถเดี๋ยวไปส่ง” “ไม่ไปค่ะ”“จะไปดีๆ หรือจะให้ใช้กำลัง”“อย่ามาวางอำนาจแถวนี้นะ”“ไหมคงอยากจะขายหน้าคนทั้งป้ายรถเมล์ใช่ไหม” เขาขู่“คนบ้า” เธอแหวใส่เขาก่อนจะหันไปมองที่ป้ายรถเมล์ ตอนนี้สายตาหลายๆ คู่กำลังจับจ้องมาที่เธอและเขาอย่างสนใจ“ผมเตือนเป็นครั้งสุดท้าย” เขาทำท่าจะประชิดตัวทำให้วราลีต้องรีบเดินไปขึ้นรถเขาเพื่อหลบให้พ้นสายตาอยากรู้อยากคนอื่นๆ“ทำไมเงียบจัง” เขาถามเมื่อขับรถออกมาได้สักพัก“ก็ไม่มีอะไรจะพูดนี่คะ” เธอยังคงหน้าบึ้งตึงเพราะไม่พอใจที่ถูกเขาบังคับแบบนั้น“กลัวผมเหรอ”“ไม่อยากเข้าใกล้” เธอสวนกลับไปทันที“กลัวอะไร กลัวใจตัวเองอย่างนั้นเหรอ” เขาพูดเหมือนรู้ทัน“ไหมไม่ใช่สาวๆ ของพี่จะได้กลัวใจตัวเอง”“หึ หึ แล้วเมื่อไหร่จะเลิกทำหน้าบึ้งๆ เสียที”“ทำไม”“ไม่ชอบ ถ้าไม่อยากเจอดีน่ะ เลิกหน้าบึ้งเสียที”“เจอดีอะไรไม่ทราบ”“ก็ลองไม่หายดูสิ เดี๋ยวก็รู้ ถ้าก่อนจะถึงบ้านยังหน้างออยู่ล่ะก็...” เขาไม่ยอมพูดต่อ“ก็อะไร”“ช่างเถอะ เดี๋ยวก็รู้เองแหละ”“ไม่ มีสิทธิ์อะไรมาสั่ง”“พูดอย่างนี้เหมือนท้าทาย”เขาหักพวงมาลัยรถเข้าข้างทาง วราลีมองอย่างระแวง“พี่เคนจะทำอะไร” เธอเริ่มโว
บทที่ 5ยศสิตาครางออกมาเหมือนคนละเมอเสียงดังเท่ากระซิบ และพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีผลักอกเขาไว้แต่ชายหนุ่มกลับยิ่งระดมจูบอย่างดูดดื่มจนหล่อนอ่อนระทวยไปทั้งร่าง ริมฝีปากหนาดูดเม้มกลีบปากอิ่มสลับบนล่างเบาๆ อยู่เป็นนานกว่าจะถอนจูบปากรูปกระจับกลายเป็นสีแดงจัด ใบหน้าหวานระเรื่อแดง ดวงตาหวานหยดกะพริบถี่ๆ จ้องมองหน้าเขาเขม็งเหมือนตื่นจากความฝัน...“คนบ้า คนฉวยโอกาส เกลียดที่สุด!”“บอกมาเป็นร้อยครั้งแล้ว ผมจำได้ขึ้นใจ” ภูริภัชร์อมยิ้ม“จะบอกอย่างนี้ตลอดไป”“หมายความว่าจะอยู่ทะเลาะกับผมไปตลอดชีวิตเลยใช่ไหม” เขาพูดด้วยอารมณ์ขบขัน หลิ่วตาให้อย่างล้อเลียน“บ้า!!!” หญิงสาวตวัดเสียงใส่ มองเขาตาเขียวปั๊ด!“ไม่อยากอยู่กับผมจริงๆ น่ะเหรอ” เขาจ้องหล่อนนิ่ง ใบหน้าแสนหวานที่เปล่งปลั่งด้วยเลือดสาว งดงามราวกับดอกกุหลาบแรกแย้ม ผมยาวปล่อยสลวยเต็มบ่า เวลานี้มันช่างชวนมองจนทำให้ชายหนุ่มจับจ้องไปอย่างลืมตัว“จ้องอะไร?”“อยากรู้ว่ารสจูบผมมันจืดชืดจริงหรือเปล่า”“ใช่! จืดชืด ไร้รสชาติและน่าขยะแขยงที่สุด” หญิงสาวหยีหน้า ตอบโต้ออกไปด้วยสิ่งที่ตรงข้ามกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง หล่อนไม่มีทางปฏิเสธได้เลยว่าจูบของเ
บทที่ 4หญิงสาวค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมเข้มที่อยู่ไม่ห่าง ลมหายใจอุ่นวาบเป่าพ่นรดใส่หน้าผากมนเป็นระยะ หัวใจดวงน้อยเต้นตุบๆ ถี่รัวด้วยความหวาดหวั่นในขณะที่ตาสองคู่สบประสานสายตากันนิ่ง ยศสิตาเผลอจับจ้องอย่างลุ่มหลงในมนต์เสน่ห์ นี่เป็นครั้งแรกหลังจาก... ‘ครั้งนั้น’ ที่หล่อนได้เห็นหน้าเขาในระยะใกล้ชิดขนาดนี้ดวงตากลมแป๋วยังคงจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้นจนไม่อาจถอนสายตาได้ ใบหน้าคมคร้ามประดับด้วยดวงตาสีน้ำตาลเข้มซึ่งเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ชวนค้นหา จมูกเขาโด่งเป็นสันรับด้วยริมฝีปากหยักได้รูปแต่ทว่าบางสวยราวกับริมฝีปากผู้หญิง ช่วงบ่ากว้างผึ่งผาย ช่วงแขนแข็งแรงน่าสัมผัส หน้าอกกลัดแกร่งขวางเต็มไปด้วยมัดกล้ามหนั่นแน่น เอวสอบเพรียวไม่มีไขมันส่วนเกิน มันเป็นความหล่อเหลาในทุกมุมมองอย่างหาตัวจับยาก เขาช่างเต็มไปด้วยความเป็นบุรุษเพศสมชายชาตรี สามารถดึงดูดให้อิสสตรีเข้าใกล้ได้อย่างไม่ต้องใช้ความพยายามเลยสักนิด“กลัวผมหรือกลัวใจตัวเอง?” เขาจงใจก้มลงมาถามด้วยเสียงชวนสยิวในระยะกระชั้นชิดจนปากแทบจะสัมผัสกับปาก น้ำเสียงนั้นแฝงไว้อะไรบางอย่างที่มีความหมายลึกซึ้งแล่นปลาบเข้าไปในขั้วหัวใจของหล่อนจนจังหวะของชีพจรไห
บทที่ 3ใบหน้าแสนพยศเชิดขึ้นเมื่อถูกท้าทาย นึกอยากปฏิเสธนักแต่น้ำเสียงและแววตาหยามหยันเหมือนหล่อนเป็นพวกขี้กลัวทำให้ยศสิตาต้องขยับไปใกล้กับประตูอีกฝังของรถจี๊ปคั้นนั้นเพื่อขึ้นรถตามคำเชิญของเขา แต่รถดันสูงเกินไปทำให้หญิงสาวไม่สามารถก้าวขึ้นไปได้ง่ายๆภูริภัชร์กลั้นยิ้มบนใบหน้า พอยต์เท้าลงจากรถอย่างรวดเร็ว เดินอ้อมมาหา และโดยที่ยศสิตาไม่ทันได้ตั้งตัว มืออุ่นๆ ของเขาก็กระชับเข้าที่เอวอ้อนแอ้น แล้วส่งหล่อนขึ้นไปนั่งบนรถโดยใช้เวลาแค่เสี้ยวนาทีฝ่ายนั้นตวัดตามองขุ่น ใบหน้าแสนหวานง้ำงอแดงระเรื่อด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด รอยสัมผัสอุ่นๆ จากมือแกร่งเมื่อสักครู่ยังอบอวลอยู่ที่เอวหล่อนชายหนุ่มหัวเราะร่วน รู้สึกสนุกกับท่าทีพยศผยองของหล่อนยิ่งนัก ใบหน้าหล่อคมจึงจงใจโน้มลงมาใกล้ๆ อย่างอยากแกล้ง ก่อนจะกระซิบเสียงแหบพร่ารวยระรินลงบนใบหูขาวสะอาด“...หน้างอจังเลย...”“ใครหน้างอ!” เสียงหวานตวาดแว้ด มองเขาตาขวาง “พูดจาให้ดีๆ นะ”“จะมีใครเสียอีกล่ะ” เขากระดกคิ้วขึ้น ยิ้มร่าราวกับอ่านใจหล่อนได้“เอยคงเสียสติเป็นแน่ ถ้ายิ้มแย้มให้คนที่ฉวยโอกาสอย่างคุณ” ภูริภัชร์หัวเราะเบาๆ อย่างถูกใจ “ไม่ได้ฉวยโอกาสครับยาหยี
บทที่ 2หล่อนเอ่ยเพียงในใจ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นมาบนหน้าผากมนทันที และมีบางจังหวะที่นิ้วปลายนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ช่วยกันรุมจิก ตะบี้ตะบันบีบคลึงที่ปลายถันของหล่อน“ไม่นะ!” ยศสิตาอุทานออกมาเสียงดังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเล่นเอาสายตาทุกคู่หันพรึบมองมายังหล่อนเป็นตาเดียวกัน วินาทีนั้นหญิงสาวจึงรู้ตัวว่าเผลอหลุดปากเพราะจินตนาการที่ไปไกลเหนือการควบคุม ใบหน้าหวานแดงแปร๊ดขึ้นด้วยความอับอาย‘เป็นอะไรของเขา’ ภูริภัชร์ขมวดคิ้วผูกเป็นปมอย่างสงสัย หากยังคงวางฟอร์มเก๊กหน้าขรึมตามแบบฉบับของตน“สวัสดีค่ะคุณลุง คุณป้า พี่พี”เสียงของอริสราราวกับระฆังช่วยชีวิต ยศสิตาจึงกลบเกลื่อนสถานการณ์อันน่าขายหน้า รีบกระวีกระวาดตามน้องสาวเข้าไปทำความเคารพผู้ใหญ่ทั้งสองคนและกล่าวทักทายตัวต้นเหตุอย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้“ว่าไงเราสบายดีไหม” ภูริภัชร์กล่าวทักทายอริสราอย่างสนิทสนม เอื้อมมือมาขยี้ผมหล่อนเล่นอย่างเอ็นดูเช่นเคยภาพนั้นกระทบหัวใจที่กำลังวูบไหวส่งผลไปยังเปลือกตาคู่สวยต้องหลุบมองลงพื้นเพื่อบดบังรัศมีอันร้อนผะผ่าวของเปลวไฟริษยา ภูริภัชร์ให้ความเป็นกันเองสนิทสนิมกับอริสราแบบนี้มาตลอดแต่กับหล่อน... เขาจะ
บทที่ 1ปลายเดือนมกราคม...สายลมยามเช้าที่โชยมาเพียงแผ่วๆ พัดใบไม้ให้แกว่งไกว บ้างปลิดปลิวพลิ้วลอยไปตามกระแสลมเย็นอันสดชื่น หมู่ไม้ดอกหลากชนิดพากันชูช่อบานสะพรั่งอย่างมีชีวิตชีวา น้ำค้างสีใสสะท้อนแสงแดดเป็นประกายพราวระยับตามยอดหญ้า ท้องฟ้าที่เคยเต็มไปด้วยเงาดำทะมึนของหมู่มวลเมฆฝนกลับเปิดโล่งสว่างสดใส บ่งบอกให้คนที่มาเยือนรู้ว่านี่คือบรรยากาศหน้าหนาวของภาคเหนืออย่างแท้จริงรถสปอร์ตโฟร์วีลสมรรถนะสูงแบบเจ็ดที่นั่งกำลังแล่นออกจากสนามบินของจังหวัดเชียงใหม่ด้วยความเร็วคงที่ มุ่งหน้าไปยังอาณาเขตอันกว้างใหญ่ไพศาลของไร่ ‘วลีพรรณ’ทัศนียภาพสองข้างทางนั้นประดับไปด้วยภูเขาลูกย่อมๆ และต้นส้มที่ปลูกเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบซึ่งตอนนี้กำลังออกผลดกจนกลายเป็นสีเหลืองอร่ามสุดลูกหูลูกตาแสงแดดอ่อนยามเช้าเริ่มส่องแสงลงมากระทบกับน้ำค้างสะท้อนเป็นภาพระยิบวิบวับแวววาวหยอกล้อกับสายลมที่เคลื่อนไหวเพียงบางเบาเป็นระยะๆ คล้ายดั่งใครบางคนที่เคยฝากรอยยั่วเย้าเอาไว้บนเรียวปากนุ่มโดยที่เจ้าตัวไม่ได้เต็มใจสักนิดมือเรียวบางดั่งหยกสลักของ ‘ยศสิตา’ ขยับไปกดปุ่มข้างๆ ประตู ลดระดับกระจกลงมาเพื่อสัมผัสกับอากาศบริสุทธิ์แล







