“ที่ท่านนำยาพิษออกมาก็เพื่อให้พวกเรากินมันเข้าไปรึ?!”ซุยฮ่าวพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ “ถูกต้อง แต่พวกเจ้ามิต้องกังวลมากเกินไปหรอก พวกนี้เป็นยาพิษที่ออกฤทธิ์ช้า ตราบใดที่กินยาแก้พิษเป็นระยะ ๆ ก็จะไม่มีทางตายเพราะพิษ”“คุณชายซุย แม้ข้าต้องการจะทำอาชีพขุนนางอย่างสดใส ทว่าหากต้องกินยาพิษและถูกควบคุมโดยคนอื่น ชาตินี้ข้าก็มิอยากเป็นขุนนางแล้ว”“ข้าก็เช่นกัน หากมิมีอิสระ ข้าก็ขอไปอยู่อย่างสันโดษในป่าในเขาดีกว่า”“ข้าเองก็มิเอาด้วย ขอลา!”ขณะพูด คนส่วนใหญ่ก็พากันหันหลังกลับซุยฮ่าวยิ้มเย็นพลางพูดว่า “มาถึงขนาดนี้แล้ว พวกเจ้าคิดว่าจะออกไปได้หรือ?”พูดจบ หน้าต่างบนชั้นสามก็ถูกใครบางคนเปิดออกหลังจากนั้น ชายฉกรรจ์หลายคนก็กระโดดลงมาจากชั้นบนและขวางทางเหล่าบัณฑิตเมื่อเห็นดาบใหญ่แวววาวในมือของอีกฝ่าย บรรดาบัณฑิตทั้งหลายก็หน้าซีดด้วยความหวาดกลัว มิกล้าแม้แต่จะหายใจซุยฮ่าวไพล่มือไว้ด้านหลังแล้วพูดอย่างใจเย็น “ข้าว่าพวกเจ้าเข้าใจอะไรผิดไปกระมัง ที่ข้าให้พวกเจ้ากินยาพิษที่ออกฤทธิ์ช้าชนิดนี้ก็เพื่อให้พวกเจ้าเชื่อฟังมากขึ้นและมิทรยศตระกูลซุย ตราบใดที่พวกเจ้าเชื่อฟัง ข้ารับประกันว่ามิเพียงชีวิ
ซุยฮ่าวหัวเราะเยาะ “เหอะ ๆ พวกเจ้าคิดว่าฝ่าบาททรงเรียกบัณฑิตจากทั่วหล้ามารวมตัวกันที่เมืองหลงเฉิงเพื่อกราบไหว้ขงจื๊อเพียงเท่านั้นรึ?”ทุกคนถามพร้อมกันว่า “มิใช่หรอกหรือขอรับ?”“แน่นอนว่ามิใช่ จุดประสงค์ของฝ่าบาทคือการคัดเลือกคนที่มีความสามารถมากที่สุดจากเหล่าบัณฑิตและราชบัณฑิต จากนั้นก็จะทำการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนของต้าเหยียนไปเข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้นที่จะจัดขึ้นในอีกมิกี่เดือน”“ว่ากระไรนะ?! กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเรามีโอกาสที่จะได้เข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้นหรือขอรับ?”ทุกคนถามขึ้นมาอย่างตื่นเต้นซุยฮ่าวพยักหน้าช้า ๆ “ถูกต้อง ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าทุกคนคงรู้ว่าสิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร เท่าที่ข้าทราบ ฝ่าบาทจะทรงจัดการสอบวรรณกรรมก่อนเทศกาลวันผู้สูงอายุ ถึงตอนนั้นพวกเจ้าจะต้องโดดเด่นออกมา ใครสามารถผ่านการสอบวรรณกรรมและได้เข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้น ตระกูลซุยของข้าจะตกรางวัลให้อย่างงาม!”“คุณชายซุยวางใจได้ ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่ขอรับ!”“มิเลวนี่ หากเจ้าได้เป็นตัวแทนของต้าเหยียนไปเข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้น ก็จะถือเป็นเกียรติแก่บรรพบุรุษและวงศ์ตระกูลของเจ้าด้วย”“ใช่ขอรับ ๆ น
“ถวายบังคมองค์ชายห้าพ่ะย่ะค่ะ!” เหล่าผู้ติดตามก็คุกเข่าทำความเคารพเช่นกันมู่หรงฟู่ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วถามด้วยความประหลาดใจ “จื่อเยียน จื่อซิน พวกเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”“พี่ห้า พวกเราทำตามรับสั่งของฝ่าบาทและมาที่นี่เพื่อสร้างความวุ่น…”ก่อนที่มู่หรงจื่อเยียนจะพูดจบ หนานกงจื่อชินก็รีบขัดจังหวะ “จื่อเยียน พวกเราไปหาที่เงียบ ๆ คุยรายละเอียดกันเถิด เดี๋ยวมีใครได้ยินเข้า”จากนั้นมู่หรงจื่อเยียนก็กลับมาได้สติ เมื่อเหลือบเห็นผู้คนที่เดินขวักไขว่กันตามถนน เขาก็เกิดความกลัวขึ้นมาหากเมื่อครู่เขาเปิดเผยจุดประสงค์ออกมา กลุ่มของพวกเขาคงจะถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในที่พักเป็นแน่เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ก็ถูก พี่ห้า โรงเตี๊ยมแห่งนี้ปลอดภัยหรือไม่เพคะ?”“ตอนนี้ข้าเป็นคนเดียวที่อาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยม และทางราชสำนักต้าเหยียนก็ได้เลือกสาวใช้มาให้สองคน ไปพูดคุยกับที่เรือนหลังเถอะ ที่นั่นมิมีใครมารบกวนแน่นอน”เมื่อมาถึงเรือนหลัง มู่หรงฟู่ก็พามู่หรงจื่อเยียนและหนานกงจื่อชินเข้าไปในศาลาคนที่เหลือคอยเฝ้าตรงทางเข้าเรือนหลังเพื่อป้องกันมิให้บุคคลภายนอกเข้ามามู่หรงฟู่ถามว่า “ต
หนานกงจื่อซินเหลือบมองมู่หรงจื่อเยียนแล้วจึงอธิบายแผนหลังจากได้ฟังแผนของเขา ดวงตาของมู่หรงฟู่ก็ส่องประกายวาวและยกนิ้วโป้งให้!“จื่อซิน แผนของเจ้าชาญฉลาดมาก หากเป็นเช่นนั้น พวกเขาจะต้องต่อสู้กันอย่างแน่นอน!”มู่หรงจื่อเยียนที่มีท่าทีลังเลพูดว่า “พี่จื่อซิน มันจะเป็นไปได้จริง ๆ หรือ? หม่อมฉันรู้สึกสังหรณ์ใจมิดีอย่างไรมิรู้”หนานกงจื่อซินปลอบเขา “ตราบใดที่กระหม่อมอยู่ที่นี่จะมิมีปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้น ท่านแค่ทำตามแผนที่กระหม่อมพูดเมื่อครู่ก็พอ กระหม่อมจะคอยปกป้องท่านในเงามืด และจะมิมีวันปล่อยให้ท่านได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย”หลังจากได้ยินเช่นนั้น มู่หรงจื่อเยียนก็พยักหน้าอย่างมิเต็มใจ “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะเชื่อพี่จื่อซิน”หนานกงจื่อซินยิ้มราวกับได้เห็นภาพที่ราชวงศ์ต้าเยี่ยนตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย……ภายในตำหนักบูรพาฉินซูขมวดคิ้วเมื่อเห็นยาลูกกลอนที่ฉงชูโม่ส่งมาให้“ยานี่กลิ่นแรงมากเลย ข้ามิกินได้หรือไม่?”ฉงชูโม่ส่ายหัวอย่างเด็ดขาด “แน่นอนว่ามิได้เพคะ แม้อาการบาดเจ็บภายในของท่านจะมิร้ายแรง แต่หากดูแลมิดีก็จะนำไปสู่สาเหตุของโรคอื่น ๆ อย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ถึงตอนนั้นคงจะลำบากแน่นอน รี
“หม่อมฉันพูดขู่? เหอะ เช่นนั้นท่านก็ลืมคำเตือนของชูโม่กับหม่อมฉันไปเถิดเพคะ แล้วท่านก็คอยดูว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร”“องค์รัชทายาท คำพูดของเซี่ยหลานหาใช่คำขู่ไม่ การมาของผู้อาวุโสปราชญ์โอสถในครั้งนี้นอกเหนือจากการเข้าเฝ้าถวายพระพรไทเฮาแล้ว อีกจุดประสงค์หนึ่งก็คือการถวายโอสถให้ฝ่าบาทเพคะ ฝ่าบาททรงจำเป็นต้องพึ่งพาเขาเป็นอย่างมาก ดังนั้นอย่าไปทำให้เขาขุ่นเคืองเลยจะดีกว่า มิเช่นนั้นฝ่าบาทอาจจะทรงปลดท่านเดี๋ยวนั้นได้เลยเพคะ”“ถวายโอสถ? ถวายโอสถอะไร?” ฉินซูเริ่มอยากรู้อยากเห็นฉงชูโม่กลอกตาใส่เขาและพูดอย่างมิสบอารมณ์ “เมื่อปลายปีที่แล้ว ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยให้ ผู้อาวุโสปราชญ์โอสถกลั่นโอสถอายุวัฒนะ ซึ่งแน่นอนว่าการที่ผู้อาวุโสมายังเมืองหลงเฉิงก็เพื่อถวายโอสถอายุวัฒนะแด่ฝ่าบาทเพคะ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็มีเส้นเลือดดำปูดไปทั่วใบหน้าของฉินซู เขามิรู้จะบ่นอะไรเลยคนที่มองว่ายาเม็ดระดับต้นเป็นสมบัติล้ำค่าจะสกัดโอสถอายุวัฒนะได้อย่างไร?มีแต่คนโง่เท่านั้นที่เชื่อแต่เขาก็มิได้พูดสิ่งที่คิดออกมา หากฝ่าบาทจะเสวยโอสถอายุวัฒนะอะไรนั่นก็เรื่องของพระองค์เถิด“เอาเถอะ นั่งดี ๆ เพคะ หม่อมฉันจะเสร
ด้านนอกประตูตำหนักบูรพาตงฟางโซ่วและองครักษ์อื่น ๆ กระชับดาบในมือพลางจ้องมองไปทางบันไดด้วยสายตาระแวดระวังณ จุดนั้น มีชายชุดดำกำลังเดินไปมาพร้อมกับมองเข้าไปที่ด้านหลังประตูเป็นครั้งคราวเหมือนกับกำลังร้อนใจเขาสวมงอบและผ้าคลุมสีดำที่ห้อยลงมาปกปิดใบหน้าของเขา ทำให้คนอื่นมิสามารถมองเห็นหน้าตาของเขาได้ชัดเจนเมื่อดูจากรูปร่างของเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้เป็นบุรุษฉงชูโม่ที่เห็นบุคคลดังกล่าวก็อดมิได้ที่จะขมวดคิ้ว เพราะนางรู้สึกคุ้นตาเป็นอย่างมากนางจึงถามว่า “เจ้าเป็นใคร มาขอพบองค์รัชทายาทด้วยเรื่องใด?”หลังจากที่ชายชุดดำได้ยินเสียงของฉงชูโม่ เขามิเพียงมิตอบ แต่ยังหันหนีอย่างรวดเร็วอีกด้วยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูมีพิรุธ ฉงชูโม่ก็เริ่มสงสัยมากขึ้นเรื่อย ๆหลังจากมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายอย่างพินิจ นางก็อุทานขึ้น “โอวหยางขุย? เจ้านี่เอง!!”“มิจริงน่า? ข้าใส่ชุดคลุมทั้งตัวเช่นนี้ เจ้ายังจะจำข้าได้อีกรึ?!”โอวหยางขุยก็ตกใจมิน้อยไปกว่าฉงชูโม่เขาดึงผ้าบางสีดำที่ติดกับงอบออก เผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขาเมื่อเห็นโอวหยางขุย ตงฟางโซ่วก็ขมวดคิ้วและแอบสงสัยว่า เหตุใดตาแก่ใจโฉดจากสำนั
คิ้วของฉงชูโม่ขมวดเข้าหากัน และก้าวเท้าจะเดินตามเข้าไปด้วยตงฟางไป๋รีบพูดว่า “แม่ทัพใหญ่ฉง องค์รัชทายาทเพิ่งเองสั่งว่าห้ามใครเข้าไปโดยมิได้รับอนุญาต”“เจ้าตาบอดรึ? นั่นมันโอวหยางขุย เจ้าสำนักอาทิตย์อัสดง อีกทั้งครั้งก่อนเขาก็ลงมือลอบปลงพระชนม์องค์รัชทายาทด้วยตัวเอง ตอนนี้องค์รัชทายาททรงพบกับเขาเพียงลำพัง เจ้ามิกังวลรึว่าเขาจะเป็นอันตรายต่อองค์รัชทายาท?”“ก็… ที่องค์รัชทายาททรงยอมพบเขาเพียงลำพัง ก็คงเพราะทรงต้องการการสนับสนุนพึ่งพากระมัง”“นั่นสิ ท่านแม่ทัพใหญ่ องค์รัชทายาทมิใช่คนบ้าบิ่นถึงเพียงนั้น คงจะเอาโอวหยางขุยได้อยู่หมัด มิเช่นนั้นพระองค์จะทรงกล้าพบเขาเพียงลำพังได้อย่างไร”ฉงชูโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและรู้สึกว่า สิ่งที่พี่น้องตงฟางไป๋พูดนั้นดูสมเหตุสมผลนางมองเข้าไปในตำหนักบูรพาสองสามครั้งแล้วถอยออกมาเซี่ยหลานถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ชูโม่ เมื่อครู่เจ้าบอกว่า โอวหยางขุยเคยลอบปลงพระชนม์องค์รัชทายาท เกิดเรื่องอันใดขึ้นรึ?”ฉงชูโม่เล่าคร่าว ๆ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากฟังเรื่องราวจากฉงชูโม่แล้ว เซี่ยหลานก็พูดด้วยความสับสน “ไม่สิ องค์รัชทายาทพบคนที่เคยลอบปลงพระชนม์พระองค์เพ
ฉงชูโม่ยังคงรออยู่ด้านนอกประตูตำหนักบูรพาอย่างกระสับกระส่ายเมื่อนางเห็นโอวหยางขุยออกมา นางรีบเข้าไปขวางเขาและถามว่า “เจ้ามีธุระอันใดกันแน่ถึงได้มาขอพบองค์รัชทายาท?”โอวหยางขุยกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “แม่ทัพใหญ่ฉง เจ้ามิจำเป็นต้องตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้าถึงเพียงนี้หรอก ตอนนี้ข้าอยู่ภายใต้การควบคุมขององค์รัชทายาทแล้ว และต่อจากนี้ไปข้าก็จะทำตามที่พระองค์สั่งเท่านั้น”“ว่ากระไรนะ? เจ้าอยู่ภายใต้การควบคุมขององค์รัชทายาทรึ?!”ฉงชูโม่มองโอวหยางขุยด้วยความเหลือเชื่อพร้อมกับถามว่า “เจ้าถูกเขาควบคุมได้อย่างไร? เขาทำอะไรกับเจ้า?”“หากอยากรู้ก็ไปถามองค์รัชทายาทเอาเองเถิด ข้ามีเรื่องที่ต้องทำ ขอตัวก่อน”โอวหยางขุยยกมือคำนับและหันหลังเดินจากไปฉงชูโม่ขมวดคิ้วและเดินเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็วทันทีที่นางมาถึงห้องรับรอง นางก็เห็นฉินซูโอบหลินชิงเหยาไว้ในอ้อมแขนและกำลังเตรียมที่จะเข้าห้องนอนเมื่อเห็นพวกเขาทั้งสองใกล้ชิดกัน ฉงชูโม่ก็โกรธขึ้นมาทันทีหลินชิงเหยารีบผละออกจากอ้อมแขนของฉินซูและถามอย่างเขินอาย “พี่หญิงชูโม่ ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุใดหรือ?”ฉงชูโม่มิได้สนใจนางและหันไปถามฉินซู “องค์รัชทายาท ท
กู้เสวี่ยเจี้ยนถามด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง “ท่านว่ากระไรนะ? หนานเยวี่ยถูกทำลายแล้วหรือ?”“ใช่ เพิ่งได้รับข่าวเมื่อมินานมานี้ ฉินซูใช้กลอุบายเล็กน้อยก็บีบบังคับให้ทหารหนานเยวี่ยแสนนายยอมจำนน จากนั้นยังนำทหารชั้นยอดเพียงหมื่นนายบุกเข้ายึดเมืองหลวงของหนานเยวี่ย และสังหารเชื้อพระวงศ์หนานเยวี่ยจนหมดสิ้น”“มิจริงกระมัง? ท่านแน่ใจหรือว่าข่าวนั้นเป็นความจริง?” กู้เสวี่ยเจี้ยนแสดงสีหน้าเหลือเชื่อซ่างกวนอวิ๋นซีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข่าวนี้เป็นความจริงทุกประการ ต้องยอมรับว่าองค์รัชทายาทผู้รอวันปลดแห่งต้าเหยียนผู้นี้พอมีฝีมืออยู่บ้าง หากเขามา บางทีอาจจะช่วยข้าได้”“ท่านต้องการให้ฉินซูช่วยท่านทำกระไรหรือ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนมองซ่างกวนอวิ๋นซีด้วยความหวาดระแวง“ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะรู้เอง เอาเถอะ เจ้าลงไปได้แล้ว ข้าจะฝึกวิชา”ซ่างกวนอวิ๋นซีออกคำสั่งไล่แขกดื้อ ๆกู้เสวี่ยเจี้ยนเบะปากแล้วหันหลังเดินลงบันไดไปซ่างกวนอวิ๋นซีกลับไปยังห้องฝึกตน จากนั้นก็ร่ายเวทด้วยสองมือ ตวัดนิ้วส่งพลังปราณไปยังกระจกทองเหลืองบานหนึ่งในเวลาเดียวกันภายในสำนักหอดูดาวหลวงแห่งต้าเหยียนเหลยเจิ้นกำลังนั่งสมาธิบำเพ็
มู่หรงเซี่ยวเทียนอธิบายว่า “คุณชายหยวน เทพธิดาซ่างกวนกำลังกักตนบำเพ็ญเพียรอยู่จริง ๆ หากท่านมิเชื่อ ท่านสามารถไปดูที่หอดารารักษ์ได้”“ข้าต้องไปแน่ ข้าขอพูดตามตรง ครั้งนี้ที่ข้ามาก็เพื่อสู่ขอนาง เทพธิดาซ่างกวน ข้าจะต้องแต่งกับนางให้ได้!”“การได้รับความเมตตาจากคุณชายหยวนนับเป็นบุญของเทพธิดาซ่างกวน คุณชายหยวนโปรดวางใจ เมื่อนางออกจากด่านกักตนบำเพ็ญเพียรแล้ว ข้าจะทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้ท่านด้วยตนเอง”หยวนหัวยิ้มประสานมือคารวะมู่หรงเซี่ยวเทียน “เช่นนั้น ก็ขอบพระทัยฝ่าบาทแห่งเป่ยเยี่ยนยิ่งนัก”"คุณชายหยวนเกรงใจเกินไปแล้ว เชิญเถิด"จากนั้น มู่หรงเซี่ยวเทียนก็นำคณะของแคว้นฉีเข้าเมืองในหมู่เชื้อพระวงศ์แห่งเป่ยเยี่ยน หญิงสาววัยสิบแปดสิบเก้าปีคนหนึ่งแค่นเสียงเบา ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ว่า “หึ แคว้นฉีพูดเสียดิบดีว่าจะส่งองค์รัชทายาทมาตรวจราชการ เสด็จพ่อจึงเสด็จออกไปต้อนรับด้วยพระองค์เอง ใครจะคิดว่าคนที่มาจะเป็นเพียงบุตรชายของอ๋องเซียงหยาง ช่างมิเห็นหัวคนเสียนี่กระไร”“ใครว่ามิจริงเล่า ข้าเองก็รู้สึกแย่พอกัน หากเป็นอ๋องเซียงหยางเสด็จมาด้วยตนเอง เสด็จพ่อเสด็จออกไปต้อนรับก็ยังพอว่า แต
เป่ยเยี่ยนทั่วทั้งเมืองจินหลิงตกอยู่ภายใต้การวางกำลังที่เข้มงวดภายในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ไพศาลของเป่ยเยี่ยนแห่งนี้ สามารถพบเห็นทหารกองรักษาการณ์พร้อมอาวุธได้ทุกหนทุกแห่งบริเวณประตูเมืองทางเหนือมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด โดยมีกองทัพทหารม้าเกราะหนักซึ่งเป็นกองกำลังที่มีกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดของเป่ยเยี่ยนเป็นผู้รักษาการณ์พรมแดงที่โดดเด่นสะดุดตาผืนหนึ่งทอดยาวจากถนนสายหลักเมืองทางฝั่งเหนือ ไปจนถึงนอกประตูเมืองทางทิศเหนือขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นของเป่ยเยี่ยนต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ราชรถหรูหราโอ่อ่าของจักรพรรดิจอดอยู่ภายนอกประตูเมืองทางเหนือมู่หรงเซี่ยวเทียนในชุดลายมังกรที่ยืนอยู่สุดปลายพรมแดงกำลังมองไปยังทิศทางอันห่างไกลเบื้องหลังของเขาคือเหล่าพระโอรสและพระธิดามิว่าจะเป็นขุนนางข้าราชบริพาร หรือมู่หรงเซี่ยวเทียน หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ ต่างก็ตั้งตารอคอยราวกับกำลังรอคอยบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ก็มิปาน“ฝ่าบาท พวกเขากำลังมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ในขณะนั้นเอง เสียงหนึ่งดังมาจากกำแพงเมืองมู่หรงเซี่ยวเทียนและคนอื่น ๆ มองออกไป เห็นขบวนหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้า ๆ บนถนนหลวงที่อยู่ไกลออกไป
"บัดนี้องค์รัชทายาทยังได้แสดงวรยุทธ์อันน่าตื่นตะลึงออกมา ข้าน้อยเห็นว่าก็สามารถใช้ประโยชน์จากองค์รัชทายาทได้ในด้านการประลองยุทธ์พ่ะย่ะค่ะหากมีองค์รัชทายาทเข้าร่วมโดยไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ราชวงศ์ต้าเหยียนน่าจะสามารถก้าวเข้าสู่สามสิบอันดับแรกได้และหากแสดงฝีมือได้ดี บางทีอันดับของต้าเหยียนในกลุ่มแคว้นลำดับรองอาจจะขยับขึ้นได้อีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวโบกมือ กล่าวด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เรื่องอันดับนั้นมิสำคัญ จุดประสงค์ที่เราเข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้นคือการเข้าสู่สามสิบอันดับแรก แล้วชิงสิทธิ์ในการเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน”“เช่นนั้นก็ง่ายดาย ข้าน้อยเตรียมพร้อมทุกประการแล้ว ตราบใดที่พวกเขาสามารถเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียนได้ ย่อมต้องพบเทพศาสตราวุธในตำนานและเมล็ดพันธุ์พืชอันล้ำค่า ถึงยามนั้น การที่ต้าเหยียนจะก้าวขึ้นเป็นแคว้นผู้นำก็อยู่แค่เอื้อม”เหลยเจิ้นกล่าวแล้วก็อดตื่นเต้นมิได้ดังที่เคยกล่าวไว้แต่ต้น เมื่อสองร้อยปีก่อน ในแผ่นดินเฉินโจว ต้าเหยียนนั้นเป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ ที่ไม่มีผู้ใดสนใจต่อมาหลังจากได้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน ก็บังเอิญได้ครอบ
เซี่ยหลานตกใจลนลาน รีบแก้ตัวว่า “มิใช่อย่างนั้น ชูโม่ เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะกอดพระองค์ได้อย่างไร เจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำกับข้าเช่นไร”ฉงชูโม่จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยหลานเคยถูกฉินซูฉีกอาภรณ์และทำให้อับอายนางจึงคลายความสงสัยในใจ “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง จะตกใจไปไยเล่า”“หึ กล้าล้อข้ารึ ข้ามิคุยกับเจ้าแล้ว” เซี่ยหลานแสร้งทำเป็นโกรธแล้วหันหลังเดินไปฉงชูโม่เห็นดังนั้นจึงรีบตามไป “เซี่ยหลาน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าใจน้อยนักเลย”มองดูทั้งสองคนที่ทำราวกับว่าตนเป็นอากาศธาตุ ฉินซูก็จนคำจะกล่าวโชคดีที่ในเวลานั้นหลินชิงเหยาเดินเข้ามานางคล้องแขนฉินซูพลางกล่าวด้วยความนัยลึกซึ้งว่า “องค์รัชทายาท อากาศหนาวเย็นเช่นนี้อย่าประทับอยู่ข้างนอกเลยเพคะ ข้างนอกแม้จะเย็น แต่ดีที่ตำหนักบูรพาของเรามีบ่อน้ำพุร้อน องค์รัชทายาทจะเสด็จลงไปแช่เพื่อคลายความหนาวเหน็บหรือไม่เพคะ?”“ไปสิ ไยจึงมิไป!”ฉินซูเข้าใจความหมายในทันที จึงจับมือหลินชิงเหยาแล้วรีบเข้าไปในโรงอาบน้ำอย่างใจจดใจจ่อจากนั้นเขาก็ได้รำลึกถึงความหลังกับหลินชิงเหยาอีกครั้งในขณะเดียวกันเหลยเจิ้นได้รับพระบัญชาให้มายังห้องทรงอัก
“อืม เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็อธิบายหลายสิ่งหลายอย่างได้”ฉงชูโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “คนที่สามารถสั่งการยอดฝีมือจากวังหลวงได้ ตำแหน่งของเขาต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน หากคนเช่นนั้นลอบให้การช่วยเหลืออ๋องฉู่ ก็อาจจะปิดบังสายตาของสำนักโหรหลวงได้จริง ๆ”ฉินซูยักไหล่อย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าการจะสาวถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังอ๋องฉู่จะเป็นเรื่องยาก”“ถูกต้องแล้วเพคะ ครั้งนี้อ๋องฉู่ก่อกบฏมิสำเร็จ ต่อไปคงต้องระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น พวกเราคงจะจับจุดอ่อนของเขาได้ยากขึ้นด้วย” ฉงชูโม่เองก็รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง“ช่างเถอะ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน หากสืบสวนต่อไป เกรงว่าเสด็จพ่อจะทรงสงสัยว่าพวกเราสมคบคิดกันใส่ร้ายอ๋องฉู่”“แต่พวกเราจะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ หรือเพคะ? ในเมื่อที่อ๋องฉู่ตั้งใจจะก่อกบฏก็เป็นเรื่องจริง”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “มิอาจปล่อยไปง่าย ๆ แน่นอน สิ่งที่เราทำได้ในยามนี้คือรอ รอให้ฉินอวี่ทำผิดพลาดอีกครั้ง ข้าเชื่อว่าเมื่อเรื่องนี้ซาลงไปแล้ว เขาจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหว ก็จะต้องมีพิรุธเป็นแน่”ฉงชูโม่ถามว่า “ให้หม่อมฉ้นแอบจับตาดูเขาดีหรือไม่?”
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท
ทันทีที่เขาลงบันไดมา จีอันก็ถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ศิษย์พี่รอง โดนดุมาหรือไร?”“ไป ๆ ๆ หัวโขกจนปูดไปหมด เรื่องนี้ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”“ดูเถอะ ขี้ใจน้อยเหมือนสตรีไปได้”“นี่ เจ้าอยู่ดี ๆ มิชอบใช่หรือไม่? ข้าจะฟาดเจ้าคอยดูเถอะ!” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยไปหาแส้ยาวมาจากไหนก็มิทราบจีอันแคะขี้มูกแล้วกล่าวอย่างมิได้ยี่หระว่า “ข้ามิกลัวเจ้าหรอก ถึงอย่างไรท่านก็สู้ข้ามิได้”“ข้า… เจ้ามันร้ายกาจ ข้ายอมแพ้!”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหมดความอดทนใดทันที จีอันผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องหนังหนา อีกทั้งยังเก่งกาจจนน่าขนลุก สู้มิได้ เขาหลบดีกว่าพูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็มาถึงเมื่อเห็นฉินซู จีอันก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้โหแฮะ องค์รัชทายาท มิไปประกาศศักดาที่ใดหรือ ไฉนจึงมาเยือนสำนักหอดูดาวหลวงของเราได้?”ฉินซูงงงวยเล็กน้อย จึงถามกลับว่า “ตัวข้าต้องไปประกาศศักดาที่ใดเล่า? อวดอ้างกระไร?”“ท่านมิทรงทราบหรือ? ยึดครองแคว้นหนานเยวี่ยง่ายเหมือนปอกกล้วยเช่นนี้ ผลงานระดับนี้ไยมิไปประกาศให้ทั่วเล่า? หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยจะร้องแรกแหกกระเชอคุยโวไปสามวันสามคืนเต็ม ๆ ท่านนี่ช่าง
ชิวก่วนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “หาได้มีโจรผู้ร้ายบุกรุกเข้ามาไม่พ่ะย่ะค่ะ หูก่วงเซิงและพวกตายไปโดยไร้สาเหตุ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? หูก่วงเซิงและพวกตายแล้วรึ?”ฉงชูโม่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่แค่พวกเขา แม้แต่กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นนายของอ๋องฉู่ก็ถูกคนช่วยออกไปแล้ว”“ว่ากระไรนะเพคะ?”ฉงชูโม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง!เมื่อได้สติกลับมา นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ด้วยกำลังของอ๋องฉู่เพียงลำพัง ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้แน่ ดังนั้นเบื้องหลังของเขาต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือเป็นแน่เพคะ!”ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ศพของหูก่วงเซิงและพวกอยู่ที่ใด?”“ตอนนี้อยู่ที่ศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปดูกัน”ฉินซูกล่าวจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วหวังฉือเห็นเขาออกมาก็คำนับแล้วกำลังจะกล่าวทว่าฉินซูกลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าหวัง ไปกันเถิด ไปศาลต้าหลี่ของท่านด้วยกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังฉือก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้าหนึ่งชั่วยามต่อมาพวกเขาก็มาถึงศาลต้าหลี่เมื่อมองดูร่างไร้วิญญาณของหูก่วงเซิงและพวก ฉ