ฉินซูหรี่ตาลงเล็กน้อยและถามด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “เหตุใดเล่า กู้เสวี่ยเจี้ยน เจ้ามีความคิดเห็นอะไรรึ?”“ท่านเป็นถึงองค์รัชทายาท หม่อมฉันจะกล้าออกความคิดเห็นได้อย่างไรกันเพคะ พวกเราไปยังเป่ยเหลียงในครั้งนี้ก็เพื่อบรรเทาภัยพิบัติ อีกทั้งต้องนำเงินห้าแสนตำลึงไปส่งด้วย ดังนั้นจึงเพียงแค่อยากเตือนให้ท่านระมัดระวังมากขึ้นเท่านั้นเองเพคะ”“ข้าก็มีเจ้าอยู่อย่างไรเล่า เจ้าเป็นลูกศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักหอดูดาวหลวง แม้จะมีหัวขโมยบางคนที่โลภอยากได้เงิน พวกเขาก็จะต้องชั่งน้ำหนักคิดให้ดีก่อนจะลงมือ”กู้เสวี่ยเจี้ยนพูดเสียงเรียบ “ท่านอาจต้องผิดหวังเสียแล้ว ว่ากันว่าความโลภจะนำมนุษย์ไปสู่หายนะ เงินห้าแสนตำลึงนั่นก็เพียงพอที่จะทำให้บางคนยอมเสี่ยงเพคะ”ฉินซูยักไหล่และมิออกความเห็นขณะนั้น บุรุษวัยกลางคนที่สวมชุดขุนนางสีแดงผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาเขาคารวะฉินซูอย่างอ่อนน้อมและกล่าวด้วยความเคารพ “กระหม่อมเสนาบดีกรมพระคลัง ถานเหวย ขอคารวะองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”ฉินซูมองไปที่อีกฝ่ายแล้วถามว่า “ตรวจสอบเงินช่วยบรรเทาภัยพิบัติทั้งหมดแล้วหรือยัง?”“ทูลองค์รัชทายาท ตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ นี่คือหนังสือที่เกี
“เสียนเฟยรึ?”ทุกคนตกใจอีกครั้ง!ฉินหงสงสัยพลางพูดพึมพำ “เสียนเฟยเป็นเพียงสตรีวังหลังนางหนึ่ง จะมีความสามารถเช่นนั้นได้อย่างไร?”ฉินหยางพูดอย่างมีความนัย “หากไม่มีเล่ห์เหลี่ยมแม้แต่นิด นางจะโดดเด่นท่ามกลางสตรีงามสามพันคนและกลายเป็นสนมที่ได้รับความโปรดปรานได้อย่างไร? บางครั้งกลอุบายของสนมในแต่ละตำหนักก็น่ากลัวกว่าที่พวกเราคิดมากนัก!”“เช่นนั้นเสด็จพี่สามทราบหรือไม่ว่าเสียนเฟยส่งใครมาทำการลงมือ?”“เรื่องนั้นข้าก็มิแน่ใจ ตอนนี้องค์รัชทายาทออกเดินทางไปแล้ว พวกเราแค่รอข่าวดีอยู่ที่นี่ก็พอ”ดวงตาที่ลึกล้ำของเซี่ยเหอบ่งบอกถึงความมิสบายใจ เขากล่าวว่า “แม้แม่ทัพฉงจะกลับไปยังชายแดนทางใต้แล้ว แต่การเดินทางไปทางเหนือขององค์รัชทายาทในครั้งนี้ก็มีลูกศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักหอดูดาวหลวงตามไปคุ้มกันด้วย คนของเสียนเฟยจะทำสำเร็จแน่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”หลินซีเองก็กังวลและกล่าวเสริม “นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ ศิษย์ของเจ้าสำนักหอดูดาวหลวงแต่ละคนก็ล้วนจัดการได้ยาก หากมิใช่ยอดฝีมือที่อยู่ขั้นสูงสุด เช่นนั้นก็มิรอดเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”ฉินหยางยิ้มอย่างมิแยแส “ใต้เท้าทั้งสองกังวลมากไปแล้ว แม้กู้เสวี่ยเจี้ยนจะมีวรยุทธ์แก่กล
ฉินหงประสานมือคารวะเล็กน้อยแล้วหันหลังเดินออกไปเซี่ยเหอและหลินซีตามหลังมาติด ๆหลังออกมาจากจวนอ๋องซิ่น ใบหน้าของฉินหงก็ขรึมลงทันที พลางมองทั้งสองอย่างลึกล้ำด้วยสายตาเย็นชาทั้งหลินซีและเซี่ยเหอต่างก็ตกใจและรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว“ท่านอ๋อง กระหม่อมมิเคยพูดถึงเรื่องระหว่างท่านกับพระอาจารย์คูมู่กับผู้ใดเลย กระหม่อมสาบานได้พ่ะย่ะค่ะ!”“กระหม่อมก็เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ!”ดวงตาของฉินหงวูบไหว เขาพูดอย่างมีความนัย “ดูเหมือนว่าถึงเวลาที่ต้องจัดการกับคนรับใช้ในจวนสักทีเสียแล้ว!”พูดจบ ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายเย็นเยียบออกมาในทันใด เต็มไปด้วยเจตนาสังหารอันเยือกเย็น!!……ในตำหนักอวี้จ้าวฉินเซียวกัดฟันแล้วพูดว่า “เจ้าสารเลวฉินชูตัดโอกาสที่ลูกจะได้กลับมารุ่งโรจน์อีกแล้ว เกลียดมันจริง ๆ เหตุใดถึงมิตาย ๆ ไปเสียที”ขณะที่พูด เขาก็กำหมัดแน่นจนข้อนิ้วก็มีเสียงแตกกึก ๆเมื่อเห็นเช่นนั้น เสียนเฟยก็ถอนหายใจเบา ๆ “เจ้านี่นะ สงบสติอารมณ์มิได้เลย ในจุดนี้เจ้าควรเรียนรู้จากองค์รัชทายาทไร้ประโยชน์ผู้นั้นสิ”ใบหน้าของฉินเซียวมืดมนและมิได้พูดอะไรเสียนเฟยกล่าวต่อด้วยความทอดถอนใจ “หลายปีมานี้เขาซ่อนตัวตนที่
ในห้องลับอันมืดมิดกู้ตงเฟิงกำลังนั่งขัดสมาธิและพยายามหมุนเวียนปราณบริสุทธิ์ในร่างกายของตนแต่ภายในชั่วขณะนั้นเขาก็ค้นพบว่าเส้นเอ็นหลายจุดในร่างกายของเขาได้รับความเสียหาย ทำให้ปราณบริสุทธิ์ไหลเวียนได้อย่างมิราบรื่นพูดง่าย ๆ ก็คือ ตอนนี้เขาได้กลายเป็นคนพิการไปครึ่งหนึ่งแล้วหากเส้นเอ็นที่เสียหายมิสามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ วรยุทธ์ทั้งหมดของเขาก็จะกลายเป็นเพียงอดีต“คาดมิถึงจริง ๆ ว่าวรยุทธ์ของบุรุษชุดดำจะน่ากลัวถึงเพียงนี้ ฝ่ามือธรรมดา ๆ ก็ทำให้ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ ตอนนี้บนใต้หล้านอกเหนือจากเจ้าสำนักหอดูดาวหลวงแล้ว ก็ยังมียอดฝีมือเช่นนี้อยู่อีก ข้าประมาทมากจริง ๆ เฮ้อ…”ขณะที่เขาพึมพำกับตัวเอง ทันใดนั้นก็มีเสียงแหบห้าวดังมาจากทางเข้า“ถอนหายใจได้เช่นนี้ ดูเหมือนหลายวันมานี้เจ้าจะฟื้นฟูร่างกายได้อย่างรวดเร็วเลยสินะ!”สิ้นคำพูด ร่างหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมสีดำไว้อย่างมิดชิดก็เดินเข้ามาเมื่อเห็นคนผู้นี้ กู้ตงเฟิงก็เริ่มระวังตัวเขาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างมิวางตาแล้วถามว่า “ท่านเป็นใครกันแน่ และที่นี่คือที่ใด?”คนในชุดดำจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ลึกล้ำและพูดเสียงเรียบ “อย่าถามในสิ่งที
เมื่อบุรุษชุดดำได้ยินเช่นนั้น สายตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นเขาอ่านเคล็ดวิชานั้นคร่าว ๆ รอบหนึ่งและพูดอย่างทอดถอนใจ “ดูเหมือนว่าวิชายุทธ์นี้จะลึกซึ้งและแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มาก มิแปลกใจที่เจ้าเข้าถึงได้เพียงหนึ่งหรือสองขั้น แต่ก็สามารถมีวรยุทธที่กล้าแกร่งเช่นนี้ได้!”กู้ตงเฟิงยิ้มอย่างขมขื่น “เทียบกับท่านแล้ว วรยุทธ์ของข้านั้นด้อยกว่ามาก”“พักผ่อนร่างกายเสีย หญิงสาวที่เจ้าต้องการจะถูกส่งมาให้ในภายหลัง!”บุรุษชุดดำเก็บวิชายุทธ์ไว้ในแขนเสื้อ และหันหลังเดินออกไปกู้ตงเฟิงขยับริมฝีปาก แต่สุดท้ายเขาก็มิได้ถามสิ่งที่อยู่ในใจออกไป……คืนวันเดียวกันหลังจากหวังฉือเสร็จสิ้นงานราชสำนักของวันนี้ เขาก็ยืนเส้นยืดสายและกำลังจะออกจากศาลต้าหลี่ขณะนั้น เสนาธิการทัพหน้าชานจวิน หลิวเว่ยก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนใจ“ท่านใต้เท้าหวัง มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น เมื่อครู่มีหลายคนมารายงานว่าบุตรีผู้เป็นที่รักของพวกเขาหายตัวไปขอรับ!”“ว่ากระไรนะ?!”หวังฉือตกใจมากและถามว่า “เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร? ผู้สูญหายมีจุดเชื่อมโยงที่เหมือนกันหรือไม่?”“เหตุเกิดหลังพลบค่ำ ผู้สูญหายล้วนเป็นสตรีที่ยัง
มินาน เสียนเฟยก็เดินเข้ามาหลังจากที่ได้เห็นหวังฉือ เสียนเฟยก็ประหลาดใจและพูดว่า “ใต้เท้าหวัง เหตุใดท่านถึงมายังพระที่นั่งหย่างจวีเอาดึกดื่นป่านนี้?”หวังฉือทำความเคารพนางและกำลังจะตอบแต่ฉินอู๋ต้าวก็โบกมือและถามขึ้นอย่างมิอยากรอ “เสียนเฟย เจ้ามาทำอะไรที่นี่ คงมิได้มาเพราะเรื่องของฝู่กั๋วกงใช่หรือไม่?”เสียนเฟยรีบส่ายหัว “มิใช่เพคะฝ่าบาท วันนี้นางรับใช้ส่วนตัวนางหนึ่งของหม่อมฉันออกไปเยี่ยมญาติ แต่นางยังมิกลับมา เมื่อครู่นี้ครอบครัวของนางได้ให้คนมาส่งข่าวว่านางรับใช้นางนี้หายตัวไป หม่อมฉันก็เลยมา…”ก่อนที่นางจะพูดจบ ฉินอู๋ต้าวก็พูดขัด“เจ้าว่าอย่างไรนะ นางรับใช้จากตำหนักอวี้จ้าวของเจ้าก็หายตัวไปเช่นกันหรือ?”“ใช่เพคะฝ่าบาท เสี่ยวชิงเป็นนางรับใช้ที่สนิทสนมกับหม่อมฉันมากที่สุด ขอฝ่าบาทโปรดทรงช่วยหม่อมฉันด้วยนะเพคะ”ฉินอู๋ต้าวมิได้พูด เพียงแต่มองไปที่หวังฉือเจ้าตัวถามขึ้นทันที “เสียนเฟย ข้าน้อยขอทราบนามนางรับใช้ของท่านได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“จั่วเสี่ยวชิง”“ฝ่าบาท จั่วเสี่ยวชิงผู้นี้คือหนึ่งในหญิงสาวที่หายไป วันนี้ครอบครัวของนางก็มารายงานที่ศาลต้าหลี่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”“ใต้เท้าหวัง
หลังจากระงับสติอารมณ์แล้ว นางก็ขมวดคิ้วและเอ่ยถามว่า “องค์รัชทายาท ดึกดื่นถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงยังมิบรรทมอีกหรือเพคะ?” “เจ้าเองก็ยังมินอนมิใช่รึ?” “หม่อมฉันกำลังจะไปนอนแล้ว แต่ท่านทำให้ตกใจ หากท่านไม่มีเรื่องอะไร ทรงรีบพักผ่อนเถิดเพคะ วันพรุ่งต้องเดินทางแต่เช้า” ฉินซูกลอกตาแล้วเหน็บแนมว่า “นี่เจ้ายังคิดจะนอนจริง ๆ เหรอ? พวกเรากำลังขนเงินบรรเทาภัยพิบัติห้าแสนตำลึง เจ้ามิกลัวว่าจะมีใครมาปล้นหรือไร?” กู้เสวี่ยเจี้ยนมิเห็นด้วย “ท่านทรงคิดมากไปแล้ว ที่นี่อยู่ห่างจากหลงเฉิงมิถึงร้อยลี้ โจรพวกนั้นคงมิกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนั้นหรอก! อีกอย่าง ที่นี่ยังมีองครักษ์และคนจากกองทัพป้องกันชายแดนมาด้วยมิใช่หรือ!” “งั้นเจ้าก็ไปนอนเถอะ ข้าจะไปมอบหมายงานบางอย่างกับตงฟางไป๋” ได้ยินแล้วกู้เสวี่ยเจี้ยนจึงมองฉินซูอย่างสงสัยเล็กน้อยแล้วหันหลังกลับเข้าห้องไป ฉินซูลงมาชั้นล่าง เห็นตงฟางไป๋กำลังงีบหลับอยู่พอดี! เขาเดินเข้าไปและเตะเข้าที่สะโพกของตงฟางไป๋ทันที! “ใครน่ะ!” ตงฟางไป๋สะดุ้งตื่นทันทีและมองไปรอบ ๆ ด้วยใบหน้าหวาดอย่างระแวง หลังจากเห็นฉินซู เขาเกาหัวอย่างเขินอาย “องค์รัชทายาท เป็นท่านหร
สวีเซี่ยงเฉียนเดินเข้าไปที่หน้าต่างแล้วชะโงกออกไปมองดู ครั้นแล้วก็เห็นด้านนอกที่มืดมิดภายใต้แสงจันทร์สลัวมีคบเพลิงจำนวนมากส่องแสงขึ้น มีคนกลุ่มใหญ่อยู่ด้านนอกกำลังยิงธนูและบุกมาทางนี้ ใบหน้าของเขาโกรธเกรี้ยวทันทีและกล่าวว่า “ใต้เท้าเสวี่ยเจี้ยน ความปลอดภัยขององค์รัชทายาทขอฝากไว้ที่ท่าน ส่วนพวกด้านนอกปล่อยให้ข้าน้อยจัดการเอง!”เขาพูดจบก็คว้าดาบขึ้นมาแล้วกระโดดออกไปทางหน้าต่าง ทันใดนั้นเสียงของตงฟางไป๋ก็ดังขึ้นว่า “แม่ทัพสวี ท่านนำคนส่วนหนึ่งโจมตีลวงจากด้านซ้าย ส่วนข้าจะนำคนลอบโจมตีจากด้านหลัง จะได้ต้อนพวกมันเข้าด้วยกันแล้วจัดการให้หมด!" “ความคิดดีมาก!” สวีเซี่ยงเฉียนตกลงทันทีแล้วนำคนเจ็ดถึงแปดคนลอบไปทางด้านซ้าย และในตอนนั้นเองตงฟางไป๋ได้นำคนบางส่วนไปซุ่มโจมตีจากอีกด้านหนึ่งอย่างเงียบ ๆ ด้านหน้าของศาลาพักม้าเป็นตงฟางโซ่วที่นำคนออกไปเมื่อเห็นพวกเขาดำเนินการอย่างเป็นระเบียบ กู้เสวี่ยเจี้ยนก็กล่าวชมเชยว่า “องค์รัชทายาท องครักษ์สองคนนี้ของท่านทั้งกล้าหาญและชาญฉลาดจริง ๆ ทั้งยังรู้จักใช้กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม[footnoteRef:0]อีกด้วย” [0: กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจ
กู้เสวี่ยเจี้ยนถามด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง “ท่านว่ากระไรนะ? หนานเยวี่ยถูกทำลายแล้วหรือ?”“ใช่ เพิ่งได้รับข่าวเมื่อมินานมานี้ ฉินซูใช้กลอุบายเล็กน้อยก็บีบบังคับให้ทหารหนานเยวี่ยแสนนายยอมจำนน จากนั้นยังนำทหารชั้นยอดเพียงหมื่นนายบุกเข้ายึดเมืองหลวงของหนานเยวี่ย และสังหารเชื้อพระวงศ์หนานเยวี่ยจนหมดสิ้น”“มิจริงกระมัง? ท่านแน่ใจหรือว่าข่าวนั้นเป็นความจริง?” กู้เสวี่ยเจี้ยนแสดงสีหน้าเหลือเชื่อซ่างกวนอวิ๋นซีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข่าวนี้เป็นความจริงทุกประการ ต้องยอมรับว่าองค์รัชทายาทผู้รอวันปลดแห่งต้าเหยียนผู้นี้พอมีฝีมืออยู่บ้าง หากเขามา บางทีอาจจะช่วยข้าได้”“ท่านต้องการให้ฉินซูช่วยท่านทำกระไรหรือ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนมองซ่างกวนอวิ๋นซีด้วยความหวาดระแวง“ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะรู้เอง เอาเถอะ เจ้าลงไปได้แล้ว ข้าจะฝึกวิชา”ซ่างกวนอวิ๋นซีออกคำสั่งไล่แขกดื้อ ๆกู้เสวี่ยเจี้ยนเบะปากแล้วหันหลังเดินลงบันไดไปซ่างกวนอวิ๋นซีกลับไปยังห้องฝึกตน จากนั้นก็ร่ายเวทด้วยสองมือ ตวัดนิ้วส่งพลังปราณไปยังกระจกทองเหลืองบานหนึ่งในเวลาเดียวกันภายในสำนักหอดูดาวหลวงแห่งต้าเหยียนเหลยเจิ้นกำลังนั่งสมาธิบำเพ็
มู่หรงเซี่ยวเทียนอธิบายว่า “คุณชายหยวน เทพธิดาซ่างกวนกำลังกักตนบำเพ็ญเพียรอยู่จริง ๆ หากท่านมิเชื่อ ท่านสามารถไปดูที่หอดารารักษ์ได้”“ข้าต้องไปแน่ ข้าขอพูดตามตรง ครั้งนี้ที่ข้ามาก็เพื่อสู่ขอนาง เทพธิดาซ่างกวน ข้าจะต้องแต่งกับนางให้ได้!”“การได้รับความเมตตาจากคุณชายหยวนนับเป็นบุญของเทพธิดาซ่างกวน คุณชายหยวนโปรดวางใจ เมื่อนางออกจากด่านกักตนบำเพ็ญเพียรแล้ว ข้าจะทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้ท่านด้วยตนเอง”หยวนหัวยิ้มประสานมือคารวะมู่หรงเซี่ยวเทียน “เช่นนั้น ก็ขอบพระทัยฝ่าบาทแห่งเป่ยเยี่ยนยิ่งนัก”"คุณชายหยวนเกรงใจเกินไปแล้ว เชิญเถิด"จากนั้น มู่หรงเซี่ยวเทียนก็นำคณะของแคว้นฉีเข้าเมืองในหมู่เชื้อพระวงศ์แห่งเป่ยเยี่ยน หญิงสาววัยสิบแปดสิบเก้าปีคนหนึ่งแค่นเสียงเบา ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ว่า “หึ แคว้นฉีพูดเสียดิบดีว่าจะส่งองค์รัชทายาทมาตรวจราชการ เสด็จพ่อจึงเสด็จออกไปต้อนรับด้วยพระองค์เอง ใครจะคิดว่าคนที่มาจะเป็นเพียงบุตรชายของอ๋องเซียงหยาง ช่างมิเห็นหัวคนเสียนี่กระไร”“ใครว่ามิจริงเล่า ข้าเองก็รู้สึกแย่พอกัน หากเป็นอ๋องเซียงหยางเสด็จมาด้วยตนเอง เสด็จพ่อเสด็จออกไปต้อนรับก็ยังพอว่า แต
เป่ยเยี่ยนทั่วทั้งเมืองจินหลิงตกอยู่ภายใต้การวางกำลังที่เข้มงวดภายในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ไพศาลของเป่ยเยี่ยนแห่งนี้ สามารถพบเห็นทหารกองรักษาการณ์พร้อมอาวุธได้ทุกหนทุกแห่งบริเวณประตูเมืองทางเหนือมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด โดยมีกองทัพทหารม้าเกราะหนักซึ่งเป็นกองกำลังที่มีกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดของเป่ยเยี่ยนเป็นผู้รักษาการณ์พรมแดงที่โดดเด่นสะดุดตาผืนหนึ่งทอดยาวจากถนนสายหลักเมืองทางฝั่งเหนือ ไปจนถึงนอกประตูเมืองทางทิศเหนือขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นของเป่ยเยี่ยนต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ราชรถหรูหราโอ่อ่าของจักรพรรดิจอดอยู่ภายนอกประตูเมืองทางเหนือมู่หรงเซี่ยวเทียนในชุดลายมังกรที่ยืนอยู่สุดปลายพรมแดงกำลังมองไปยังทิศทางอันห่างไกลเบื้องหลังของเขาคือเหล่าพระโอรสและพระธิดามิว่าจะเป็นขุนนางข้าราชบริพาร หรือมู่หรงเซี่ยวเทียน หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ ต่างก็ตั้งตารอคอยราวกับกำลังรอคอยบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ก็มิปาน“ฝ่าบาท พวกเขากำลังมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ในขณะนั้นเอง เสียงหนึ่งดังมาจากกำแพงเมืองมู่หรงเซี่ยวเทียนและคนอื่น ๆ มองออกไป เห็นขบวนหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้า ๆ บนถนนหลวงที่อยู่ไกลออกไป
"บัดนี้องค์รัชทายาทยังได้แสดงวรยุทธ์อันน่าตื่นตะลึงออกมา ข้าน้อยเห็นว่าก็สามารถใช้ประโยชน์จากองค์รัชทายาทได้ในด้านการประลองยุทธ์พ่ะย่ะค่ะหากมีองค์รัชทายาทเข้าร่วมโดยไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ราชวงศ์ต้าเหยียนน่าจะสามารถก้าวเข้าสู่สามสิบอันดับแรกได้และหากแสดงฝีมือได้ดี บางทีอันดับของต้าเหยียนในกลุ่มแคว้นลำดับรองอาจจะขยับขึ้นได้อีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวโบกมือ กล่าวด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เรื่องอันดับนั้นมิสำคัญ จุดประสงค์ที่เราเข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้นคือการเข้าสู่สามสิบอันดับแรก แล้วชิงสิทธิ์ในการเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน”“เช่นนั้นก็ง่ายดาย ข้าน้อยเตรียมพร้อมทุกประการแล้ว ตราบใดที่พวกเขาสามารถเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียนได้ ย่อมต้องพบเทพศาสตราวุธในตำนานและเมล็ดพันธุ์พืชอันล้ำค่า ถึงยามนั้น การที่ต้าเหยียนจะก้าวขึ้นเป็นแคว้นผู้นำก็อยู่แค่เอื้อม”เหลยเจิ้นกล่าวแล้วก็อดตื่นเต้นมิได้ดังที่เคยกล่าวไว้แต่ต้น เมื่อสองร้อยปีก่อน ในแผ่นดินเฉินโจว ต้าเหยียนนั้นเป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ ที่ไม่มีผู้ใดสนใจต่อมาหลังจากได้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน ก็บังเอิญได้ครอบ
เซี่ยหลานตกใจลนลาน รีบแก้ตัวว่า “มิใช่อย่างนั้น ชูโม่ เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะกอดพระองค์ได้อย่างไร เจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำกับข้าเช่นไร”ฉงชูโม่จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยหลานเคยถูกฉินซูฉีกอาภรณ์และทำให้อับอายนางจึงคลายความสงสัยในใจ “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง จะตกใจไปไยเล่า”“หึ กล้าล้อข้ารึ ข้ามิคุยกับเจ้าแล้ว” เซี่ยหลานแสร้งทำเป็นโกรธแล้วหันหลังเดินไปฉงชูโม่เห็นดังนั้นจึงรีบตามไป “เซี่ยหลาน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าใจน้อยนักเลย”มองดูทั้งสองคนที่ทำราวกับว่าตนเป็นอากาศธาตุ ฉินซูก็จนคำจะกล่าวโชคดีที่ในเวลานั้นหลินชิงเหยาเดินเข้ามานางคล้องแขนฉินซูพลางกล่าวด้วยความนัยลึกซึ้งว่า “องค์รัชทายาท อากาศหนาวเย็นเช่นนี้อย่าประทับอยู่ข้างนอกเลยเพคะ ข้างนอกแม้จะเย็น แต่ดีที่ตำหนักบูรพาของเรามีบ่อน้ำพุร้อน องค์รัชทายาทจะเสด็จลงไปแช่เพื่อคลายความหนาวเหน็บหรือไม่เพคะ?”“ไปสิ ไยจึงมิไป!”ฉินซูเข้าใจความหมายในทันที จึงจับมือหลินชิงเหยาแล้วรีบเข้าไปในโรงอาบน้ำอย่างใจจดใจจ่อจากนั้นเขาก็ได้รำลึกถึงความหลังกับหลินชิงเหยาอีกครั้งในขณะเดียวกันเหลยเจิ้นได้รับพระบัญชาให้มายังห้องทรงอัก
“อืม เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็อธิบายหลายสิ่งหลายอย่างได้”ฉงชูโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “คนที่สามารถสั่งการยอดฝีมือจากวังหลวงได้ ตำแหน่งของเขาต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน หากคนเช่นนั้นลอบให้การช่วยเหลืออ๋องฉู่ ก็อาจจะปิดบังสายตาของสำนักโหรหลวงได้จริง ๆ”ฉินซูยักไหล่อย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าการจะสาวถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังอ๋องฉู่จะเป็นเรื่องยาก”“ถูกต้องแล้วเพคะ ครั้งนี้อ๋องฉู่ก่อกบฏมิสำเร็จ ต่อไปคงต้องระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น พวกเราคงจะจับจุดอ่อนของเขาได้ยากขึ้นด้วย” ฉงชูโม่เองก็รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง“ช่างเถอะ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน หากสืบสวนต่อไป เกรงว่าเสด็จพ่อจะทรงสงสัยว่าพวกเราสมคบคิดกันใส่ร้ายอ๋องฉู่”“แต่พวกเราจะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ หรือเพคะ? ในเมื่อที่อ๋องฉู่ตั้งใจจะก่อกบฏก็เป็นเรื่องจริง”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “มิอาจปล่อยไปง่าย ๆ แน่นอน สิ่งที่เราทำได้ในยามนี้คือรอ รอให้ฉินอวี่ทำผิดพลาดอีกครั้ง ข้าเชื่อว่าเมื่อเรื่องนี้ซาลงไปแล้ว เขาจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหว ก็จะต้องมีพิรุธเป็นแน่”ฉงชูโม่ถามว่า “ให้หม่อมฉ้นแอบจับตาดูเขาดีหรือไม่?”
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท
ทันทีที่เขาลงบันไดมา จีอันก็ถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ศิษย์พี่รอง โดนดุมาหรือไร?”“ไป ๆ ๆ หัวโขกจนปูดไปหมด เรื่องนี้ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”“ดูเถอะ ขี้ใจน้อยเหมือนสตรีไปได้”“นี่ เจ้าอยู่ดี ๆ มิชอบใช่หรือไม่? ข้าจะฟาดเจ้าคอยดูเถอะ!” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยไปหาแส้ยาวมาจากไหนก็มิทราบจีอันแคะขี้มูกแล้วกล่าวอย่างมิได้ยี่หระว่า “ข้ามิกลัวเจ้าหรอก ถึงอย่างไรท่านก็สู้ข้ามิได้”“ข้า… เจ้ามันร้ายกาจ ข้ายอมแพ้!”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหมดความอดทนใดทันที จีอันผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องหนังหนา อีกทั้งยังเก่งกาจจนน่าขนลุก สู้มิได้ เขาหลบดีกว่าพูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็มาถึงเมื่อเห็นฉินซู จีอันก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้โหแฮะ องค์รัชทายาท มิไปประกาศศักดาที่ใดหรือ ไฉนจึงมาเยือนสำนักหอดูดาวหลวงของเราได้?”ฉินซูงงงวยเล็กน้อย จึงถามกลับว่า “ตัวข้าต้องไปประกาศศักดาที่ใดเล่า? อวดอ้างกระไร?”“ท่านมิทรงทราบหรือ? ยึดครองแคว้นหนานเยวี่ยง่ายเหมือนปอกกล้วยเช่นนี้ ผลงานระดับนี้ไยมิไปประกาศให้ทั่วเล่า? หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยจะร้องแรกแหกกระเชอคุยโวไปสามวันสามคืนเต็ม ๆ ท่านนี่ช่าง
ชิวก่วนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “หาได้มีโจรผู้ร้ายบุกรุกเข้ามาไม่พ่ะย่ะค่ะ หูก่วงเซิงและพวกตายไปโดยไร้สาเหตุ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? หูก่วงเซิงและพวกตายแล้วรึ?”ฉงชูโม่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่แค่พวกเขา แม้แต่กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นนายของอ๋องฉู่ก็ถูกคนช่วยออกไปแล้ว”“ว่ากระไรนะเพคะ?”ฉงชูโม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง!เมื่อได้สติกลับมา นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ด้วยกำลังของอ๋องฉู่เพียงลำพัง ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้แน่ ดังนั้นเบื้องหลังของเขาต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือเป็นแน่เพคะ!”ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ศพของหูก่วงเซิงและพวกอยู่ที่ใด?”“ตอนนี้อยู่ที่ศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปดูกัน”ฉินซูกล่าวจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วหวังฉือเห็นเขาออกมาก็คำนับแล้วกำลังจะกล่าวทว่าฉินซูกลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าหวัง ไปกันเถิด ไปศาลต้าหลี่ของท่านด้วยกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังฉือก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้าหนึ่งชั่วยามต่อมาพวกเขาก็มาถึงศาลต้าหลี่เมื่อมองดูร่างไร้วิญญาณของหูก่วงเซิงและพวก ฉ