ฉินซูดีดนิ้วปล่อยพลังใส่ค้างคาวเหล่านั้นร่วงลงไปที่พื้นเขาพูดอย่างมิสบอารมณ์ “แค่ค้างคาวเท่านั้นเอง กลัวปานนั้นเลยรึ?”มู่หรงจื่อเยียนมองเขาอย่างขุ่นเคือง “เป็นสตรีก็ต้องกลัวเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แถมที่นี่ก็ยังมืดและน่ากลัว หม่อมฉันขนลุกไปหมดแล้ว”“เจ้าขี้กลัวเช่นนี้แต่ก็ยังมากับหนานกงจื่อชินเพื่อสกัดกั้นและสังหารข้าน่ะรึ?”“ท่านเข้าใจผิดแล้ว จริง ๆ แล้วข้า… ข้าคิดจะเกลี้ยกล่อมเขามิให้ลงมือทำร้ายท่านต่างหากเล่า”ฉินซูยิ้มเจ้าเล่ห์ร้ายกาจและถามหยอกเย้า “ที่หนานกงจื่อชินบอกว่าเจ้าชอบข้านั่นคงมิใช่เรื่องจริงหรอกกระมัง?”ใบหน้าที่งดงามของมู่หรงจื่อเยียนเปลี่ยนเป็นสีแดง พลางหลบเลี่ยงมิกล้าจ้องตาของฉินซูตรง ๆนางก้มหน้าขยำชายเสื้อแน่นและมิพูดอะไรเมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว ฉินซูก็มองความคิดของนางออกแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่มีอารมณ์จะมาพูดเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ จึงเปลี่ยนเรื่อง “ไปเถิด หาทางออกก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลัง”จากนั้นเขาก็หยิบพับไฟพกพามาจากอ้อมอกพลางจุดไฟแล้วมองไปรอบ ๆ“ท่านรอหม่อมฉันด้วย!”มู่หรงจื่อเยียนตามไปด้วยสีหน้าเขินอาย จากนั้นก็กอดแขนของฉินซูอย่างแน่นหนาโดยมิเอ่ยคำอธิบา
ภายใต้แสงคบไฟ ฉินซูรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าในนั้นมีเตียงหิน และอีกด้านหนึ่งมีโต๊ะหินกับม้านั่งหินแต่ทั้งเตียงหินและม้านั่งหินนั้นถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครดูแลทำความสะอาดมาเป็นเวลานานแล้วเมื่อเห็นภาพนี้ มู่หรงจื่อเยียนก็พูดด้วยความมิอยากเชื่อ “มีคนอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยหรือ? คงมิใช่ปีศาจภูเขาพวกนั้นหรอกใช่หรือไม่?”“ปีศาจภูเขากินดิบพวกนั้นจะสร้างเตียงและโต๊ะหินเหล่านี้ได้อย่างไร ที่กำแพงมีคบไฟอยู่ จุดไฟให้หมดก่อน”“เพคะ!”ทั้งสองยกคบไฟจุดคบไฟติดผนังบนกำแพงหินทันใดนั้น ถ้ำก็สว่างราวกับกลางวันในเวลานี้ พวกเขาทั้งสองสังเกตเห็นว่า ด้านหนึ่งมีตัวอักษรจำนวนมากถูกสลักอยู่บนกำแพงหินมู่หรงจื่อเยียนเหลือบไปอ่านตัวอักษรบนนั้นแล้วขมวดคิ้วขึ้นมา“สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนภาษาโบราณ ฉินซู ท่านรู้จักตัวอักษรโบราณมิใช่หรือ ลองอ่านดูสิว่ามันเขียนไว้ว่าอย่างไร?”แค่เหลือบไปเห็นฉินซูก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง!ตัวอักษะบนนั้นเป็นตัวอักษรจีนตัวย่อนี่!เมื่ออ่านอย่างละเอียด ในใจของเขาก็เกิดความโกลาหล!ข้อมูลบนบันทึกนั้นทำให้เขารู้จักโลกใบนี้มากขึ้นตามที่กล่าวมาข้างต้น ในปี ค.ศ. 2130 อุ
นั่นคือหุบเขาที่ถูกล้อมรอบไปด้วยภูเขารอบด้าน!ท้องฟ้าสีครามที่มีแสงแดดอบอุ่น เมฆขาวลอยเด่นอยู่บนอากาศ ในหุบเขามีเนินเขาสีหยกที่เต็มไปด้วยหญ้าเขียวขจี!บนหญ้าอันเขียวชอุ่มมีดอกไม้หลากสีสันออกดอกบานสะพรั่งลำห้วยกว้างประมาณสิบศอกไหลคดเคี้ยวผ่านผืนหญ้าไปน้ำในลำห้วยใสราวกับกระจกจนเห็นปลาแหวกว่ายอยู่ใต้ผืนน้ำสายน้ำไหลเชี่ยว ฝูงผึ้งและผีเสื้อพากันโบยบินร่ายรำทำให้ที่นี่เป็นดั่งดินแดนสวรรค์ก็มิปานเมื่อเห็นทิวทัศน์ตรงหน้า มู่หรงจื่อเยียนก็ขยี้ตาอย่างแรง!“โอ้สวรรค์ นี่ข้ามิได้ฝันไปใช่ไหม ข้างนอกเข้าสู่เหมันตฤดูแล้ว แต่ที่นี่กลับดูเหมือนอยู่ในวสันตฤดู!”ฉินซูเองก็ประหลาดใจไปชั่วขณะเช่นกัน ทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ ดินแดนแห่งความฝันคงเป็นเช่นนี้สินะมู่หรงจื่อเยียนโน้มตัวไปเด็ดดอกไม้สีแดงมาดอมดม ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยอาการเคลิบเคลิ้ม“หอมยิ่งนัก”เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินซูก็ส่งยิ้มหวานดูเหมือนมิว่าจะอยู่ในยุคไหน สตรีก็ชอบดอกไม้กันหมดสินะเขามองไปรอบ ๆ และหลังจากแน่ใจว่าไม่มีอันตรายที่อาจเกิดขึ้นแล้ว เขาก็ผ่อนคลายความระแวงลงจากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่เพื่อมองทัศนียภาพโดยร
เมื่อเห็นเขากลับมาพร้อมกับปลาไนตัวใหญ่หลายตัว ใบหน้าของมู่หรงจื่อเยียนก็เต็มไปด้วยความชื่นชม“ฉินซู สุดยอดมาก ท่านจับปลาได้เร็วถึงเพียงนี้เลยหรือ!”“มิเท่าไรหรอก”ฉินซูยิ้มอย่างถ่อมตัวพลางย่างปลาบนไฟสักพักเนื้อปลาก็ถูกย่างจนร้อนและส่งกลิ่นหอมทำให้มู่หรงจื่อเยียนอยากอาหารมากกว่าเดิมและอดมิได้ที่จะกลืนน้ำลาย หลังจากที่ย่างปลาเสร็จ ทั้งสองก็แทบรอมิไหวที่จะได้กินปลาไนเนื้อปลามีรสหวานและเหนียวหนึบ อร่อยมากแม้จะมิได้ปรุงรสในมิช้า มู่หรงจื่อเยียนก็แทะปลาจนหมด จากนั้นก็เรอออกมาด้วยความพึงพอใจหลังจากอิ่มแล้วนางก็ยิ้มเบา ๆ พลางเดินไปยังบริเวณที่อยู่มิไกลเมื่อกลับมา นางก็มาพร้อมกับผลไม้สีแดงก่ำหลายลูกอยู่ในมือผลไม้นี้ดูเหมือนลูกท้อ แต่มีสีแดงสดแม้กระทั่งก่อนกินก็ยังได้กลิ่นหอมฉุยโชยมาฉินซูถามอย่างสงสัย “นี่คือผลไม้อะไรหรือ?”“หม่อมฉันก็มิรู้ นี่เป็นครั้งแรกที่หม่อมฉันได้เห็นผลไม้ชนิดนี้”มู่หรงจื่อเยียนพูดพลางกัดผลไม้ไปหนึ่งคำฉินซูขมวดคิ้วและพูดว่า “มิรู้ว่ามันเป็นผลไม้ชนิดไหนแต่เจ้าก็ยังกล้ากินเข้าไปน่ะหรือ มิกลัวถูกพิษหรืออย่างไร?”“กลัวอะไร กวางน้อยสองตัวตรงนั้นก็กำ
อีกครึ่งชั่วยามต่อมาฉินซูและมู่หรงจื่อเยียนก็กอดกันแน่นอย่างพึงพอใจภาพบรรยากาศนี้เหมือนกับความสุขสงบในวสันตฤดู ร่างกายเมามายด้วยความหลงใหล จนมิสามารถขยับตัวได้เมื่อเห็นความสุขบนใบหน้าของมู่หรงจื่อเยียน ฉินซูคิดว่าใช้ ‘ความสุขสงบในวสันตฤดู ร่างกายเมามายด้วยความหลงใหล จนมิสามารถขยับตัวได้’ มาอธิบายจะดูเหมาะสมกว่าเขารู้สึกสะเทือนอารมณ์ที่จู่ ๆ ก็ได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับมู่หรงจื่อเยียน ช่างน่าประหลาดใจจริง ๆเมื่อเห็นสีหน้าของเขา มู่หรงจื่อเยียนก็พูดติดตลก “อะไรกัน ท่านคิดว่า หม่อมฉันมิคู่ควรกับองค์รัชทายาทเช่นท่านหรือ? บิดาของหม่อมฉันเป็นอ๋องแห่งเป่ยเยี่ยน และหม่อมฉันเองก็มีศักดิ์เป็นถึงท่านหญิง”ฉินซูพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้ามิได้คิดเช่นนั้น ข้าก็แค่ปลงว่าชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่มิสามารถคาดเดาได้ ใครจะไปคิดว่า หลังจากกินผลไม้ไปแค่สองสามลูก จะทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น”“ฉินซู ท่านได้หม่อมฉันแล้วคงมิคิดจะทอดทิ้งกันหรอกใช่หรือไม่?”ดวงตาที่คู่สวยของมู่หรงจื่อเยียนเคล้าไปด้วยน้ำตา มีท่าทางเศร้าโศกเป็นอย่างมากฉินซูใจอ่อนยวบพลางรีบพูดปลอบ “มิใช่แน่นอน หากเจ้าเต็มใจที่จะอยู่กับข้า ข
ทันใดนั้นมู่หรงจื่อเยียนก็เข้าใจเจตนาของฉินซู และไล่ตามกวางน้อยสองตัวนั้นไปพร้อมกับเขาสิ่งที่เห็นคือกวางน้อยสองตัวนั้นวิ่งไปยังน้ำตกที่อยู่มิไกลเมื่อมาถึงเบื้องหน้าน้ำตก พวกมันมิได้หยุดชะงักลงแต่กลับกระโจนเข้าไปทันทีเมื่อเห็นเช่นนั้นฉินซูก็อุ้มมู่หรงจื่อเยียนขึ้นมาด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย เขาสะกิดปลายเท้ากับพื้นเบาๆ ก่อนร่างทั้งสองจะพุ่งไปยังน้ำตกราวกับลูกธนูที่หลุดออกจากสายเพียงชั่วพริบตา ทั้งสองก็ทะลุผ่านน้ำตกและลงพื้นอย่างมั่นคงมู่หรงจื่อเยียนตะลึงงัน!นางมองไปยังฉินซูอย่างตกใจและสับสนด้วยดวงตางดงาม เอ่ยถาม “ฉินซู ท่านใช้วิชาตัวเบาได้เก่งกาจเพียงนี้ได้อย่างไร?!”ฉินซูยิ้มหยักยิ้ม “ข้ามิได้เก่งกาจแค่วิชาตัวเบาหรอก ไปเถอะ กวางน้อยสองตัวนั้นวิ่งเข้าไปในถ้ำนี้ ทางออกน่าจะอยู่ที่นี่”เมื่อนั้นมู่หรงจื่อเยียนจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าด้านหลังน้ำตกนี้มีถ้ำอยู่นี่เอง!นางเดินตามฉินซูเข้าไปในถ้ำส่วนยอดของถ้ำมีรอยแยกขนาดมิเล็กมิใหญ่ แสงแดดรำไรส่องผ่านรอยแยกลงมายังพื้นดิน จึงมองเห็นสภาพภายในถ้ำได้อย่างชัดเจนแทนที่จะบอกว่าเป็นถ้ำ เรียกว่าเป็นทางเดินกว้าง ๆ คงจะเหมาะสมกว่าเห็นได้ชัดว่า
ดวงตางดงามของมู่หรงจื่อเยียนเป็นประกาย นางยินดีแทนฉินซูด้วยใจจริงในความเห็นของนาง หากผู้มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมเช่นฉินซูสามารถบรรลุเคล็ดวิชาที่ลึกซึ้งเช่นนี้ได้ จะต้องกลายเป็นเสือติดปีกแน่ และจะผู้เลิศทั้งศาสตร์บุ๋นและบู๊อย่างแท้จริงฉินซูเก็บม้วนหยกจารึกอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงพามู่หรงจื่อเยียนเดินไปยังทางออกด้านนอกทางออกมีหน้าผาอีกแห่งหนึ่งเนื่องจากแสงจากทางออกสว่างจ้าเกินไป มู่หรงจื่อเยียนจึงมิได้สังเกตเห็นว่ามีหุบเหวอยู่ใต้ฝ่าเท้าของนางเลยแม้แต่น้อย!ต้องขอบคุณมือและดวงตาที่ว่องไวของฉินซู จึงสามารถดึงนางกลับมาได้เมื่อมองไปที่เหวลึกนั้น มู่หรงจื่อเยียนก็แอบรำพึงในใจว่า เกือบไปแล้ว นางตกใจจนเหงื่อเย็นชุ่มร่างหลังจากตั้งสติได้แล้ว นางก็พูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ "สถานที่ที่เราอยู่ตอนนี้ก็เป็นเหวลึก แต่บัดนี้กลับมีเหวลึกอยู่ใต้เท้าของเราอีก ภูมิแคว้นที่นี่แปลกประหลาดเกินไปแล้ว"ฉินซูก้มมองลงไป เห็นหุบเหวขนาดใหญ่ที่มีรอยแยกเป็นเส้นยาวอยู่ใต้หน้าผา!หุบเหวนั้นด้านบนกว้างด้านล่างแคบ โดยที่ผนังทั้งสองด้านนั้นเรียบผิดปกติ ทอดยาวจากตะวันออกไปยังตะวันตกเขามองอย่างละ
เมื่อนั้นนางจึงพบว่า ตนและฉินซูได้ออกจากเส้นทางหน้าผาแคบ ๆ นั้นแล้ว และยืนอยู่บนทุ่งหญ้าราบเรียบหลังจากยืนยันว่าพ้นภัยแล้ว มู่หรงจื่อเยียนก็ถอนหายใจยาว“ไปเถอะ ตามทางนี้ เราน่าจะกลับไปยังถนนหลวงได้”ฉินซูจับมือมู่หรงจื่อเยียน แล้วเดินเข้าไปในป่าหลังจากเดินผ่านป่าเล็ก ๆ ไปพวกเขาก็กลับเข้าถนนสายหลักได้สำเร็จขณะนั้นผู้คนที่สัญจรบนถนนหลวงต่างชะงักไปเล็กน้อย เมื่อเห็นชายและหญิงคู่หนึ่งโผล่ออกมาจากป่าในกลุ่มนั้นมีชายหนุ่มบางคนที่มีลักษณะมิน่าไว้วางใจ เมื่อเห็นใบหน้างดงามของมู่หรงจื่อเยียน ก็เกิดความคิดมิดีขึ้นทันที!พวกเขาถูมือและเดินเข้าไปพร้อมกับรอยยิ้มที่ชั่วร้ายบนใบหน้าเมื่อเห็นท่าทางที่มุ่งร้ายของพวกเขา มู่หรงจื่อเยียนจึงหลบอยู่ด้านหลังฉินซูอย่างหวาด ๆฉินซูหรี่ตามองพิจารณาคนเหล่านั้นเล็กน้อย เขาเอ่ยถามอย่างสบาย ๆ "พวกเจ้าทั้งหลาย คิดจะทำอะไร?"“เจ้าหนู ไสหัวไปซะ มิอย่างนั้นอย่าหาว่าพวกข้ามิเกรงใจ!”“ถูกต้อง ถ้ามิอยากตาย ก็ส่งสาวน้อยมากเสน่ห์คนนี้มาให้เราแต่โดยดี มิเช่นนั้นก็อย่าหาว่าพวกเราโหดเหี้ยมไร้ปรานี!"พวกเขาทำหน้าตาน่ากลัวราวกับปีศาจ พยายามข่มขู่ฉินซูให้ล่าถอย
กู้เสวี่ยเจี้ยนถามด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง “ท่านว่ากระไรนะ? หนานเยวี่ยถูกทำลายแล้วหรือ?”“ใช่ เพิ่งได้รับข่าวเมื่อมินานมานี้ ฉินซูใช้กลอุบายเล็กน้อยก็บีบบังคับให้ทหารหนานเยวี่ยแสนนายยอมจำนน จากนั้นยังนำทหารชั้นยอดเพียงหมื่นนายบุกเข้ายึดเมืองหลวงของหนานเยวี่ย และสังหารเชื้อพระวงศ์หนานเยวี่ยจนหมดสิ้น”“มิจริงกระมัง? ท่านแน่ใจหรือว่าข่าวนั้นเป็นความจริง?” กู้เสวี่ยเจี้ยนแสดงสีหน้าเหลือเชื่อซ่างกวนอวิ๋นซีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข่าวนี้เป็นความจริงทุกประการ ต้องยอมรับว่าองค์รัชทายาทผู้รอวันปลดแห่งต้าเหยียนผู้นี้พอมีฝีมืออยู่บ้าง หากเขามา บางทีอาจจะช่วยข้าได้”“ท่านต้องการให้ฉินซูช่วยท่านทำกระไรหรือ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนมองซ่างกวนอวิ๋นซีด้วยความหวาดระแวง“ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะรู้เอง เอาเถอะ เจ้าลงไปได้แล้ว ข้าจะฝึกวิชา”ซ่างกวนอวิ๋นซีออกคำสั่งไล่แขกดื้อ ๆกู้เสวี่ยเจี้ยนเบะปากแล้วหันหลังเดินลงบันไดไปซ่างกวนอวิ๋นซีกลับไปยังห้องฝึกตน จากนั้นก็ร่ายเวทด้วยสองมือ ตวัดนิ้วส่งพลังปราณไปยังกระจกทองเหลืองบานหนึ่งในเวลาเดียวกันภายในสำนักหอดูดาวหลวงแห่งต้าเหยียนเหลยเจิ้นกำลังนั่งสมาธิบำเพ็
มู่หรงเซี่ยวเทียนอธิบายว่า “คุณชายหยวน เทพธิดาซ่างกวนกำลังกักตนบำเพ็ญเพียรอยู่จริง ๆ หากท่านมิเชื่อ ท่านสามารถไปดูที่หอดารารักษ์ได้”“ข้าต้องไปแน่ ข้าขอพูดตามตรง ครั้งนี้ที่ข้ามาก็เพื่อสู่ขอนาง เทพธิดาซ่างกวน ข้าจะต้องแต่งกับนางให้ได้!”“การได้รับความเมตตาจากคุณชายหยวนนับเป็นบุญของเทพธิดาซ่างกวน คุณชายหยวนโปรดวางใจ เมื่อนางออกจากด่านกักตนบำเพ็ญเพียรแล้ว ข้าจะทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้ท่านด้วยตนเอง”หยวนหัวยิ้มประสานมือคารวะมู่หรงเซี่ยวเทียน “เช่นนั้น ก็ขอบพระทัยฝ่าบาทแห่งเป่ยเยี่ยนยิ่งนัก”"คุณชายหยวนเกรงใจเกินไปแล้ว เชิญเถิด"จากนั้น มู่หรงเซี่ยวเทียนก็นำคณะของแคว้นฉีเข้าเมืองในหมู่เชื้อพระวงศ์แห่งเป่ยเยี่ยน หญิงสาววัยสิบแปดสิบเก้าปีคนหนึ่งแค่นเสียงเบา ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ว่า “หึ แคว้นฉีพูดเสียดิบดีว่าจะส่งองค์รัชทายาทมาตรวจราชการ เสด็จพ่อจึงเสด็จออกไปต้อนรับด้วยพระองค์เอง ใครจะคิดว่าคนที่มาจะเป็นเพียงบุตรชายของอ๋องเซียงหยาง ช่างมิเห็นหัวคนเสียนี่กระไร”“ใครว่ามิจริงเล่า ข้าเองก็รู้สึกแย่พอกัน หากเป็นอ๋องเซียงหยางเสด็จมาด้วยตนเอง เสด็จพ่อเสด็จออกไปต้อนรับก็ยังพอว่า แต
เป่ยเยี่ยนทั่วทั้งเมืองจินหลิงตกอยู่ภายใต้การวางกำลังที่เข้มงวดภายในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ไพศาลของเป่ยเยี่ยนแห่งนี้ สามารถพบเห็นทหารกองรักษาการณ์พร้อมอาวุธได้ทุกหนทุกแห่งบริเวณประตูเมืองทางเหนือมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด โดยมีกองทัพทหารม้าเกราะหนักซึ่งเป็นกองกำลังที่มีกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดของเป่ยเยี่ยนเป็นผู้รักษาการณ์พรมแดงที่โดดเด่นสะดุดตาผืนหนึ่งทอดยาวจากถนนสายหลักเมืองทางฝั่งเหนือ ไปจนถึงนอกประตูเมืองทางทิศเหนือขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นของเป่ยเยี่ยนต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ราชรถหรูหราโอ่อ่าของจักรพรรดิจอดอยู่ภายนอกประตูเมืองทางเหนือมู่หรงเซี่ยวเทียนในชุดลายมังกรที่ยืนอยู่สุดปลายพรมแดงกำลังมองไปยังทิศทางอันห่างไกลเบื้องหลังของเขาคือเหล่าพระโอรสและพระธิดามิว่าจะเป็นขุนนางข้าราชบริพาร หรือมู่หรงเซี่ยวเทียน หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ ต่างก็ตั้งตารอคอยราวกับกำลังรอคอยบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ก็มิปาน“ฝ่าบาท พวกเขากำลังมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ในขณะนั้นเอง เสียงหนึ่งดังมาจากกำแพงเมืองมู่หรงเซี่ยวเทียนและคนอื่น ๆ มองออกไป เห็นขบวนหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้า ๆ บนถนนหลวงที่อยู่ไกลออกไป
"บัดนี้องค์รัชทายาทยังได้แสดงวรยุทธ์อันน่าตื่นตะลึงออกมา ข้าน้อยเห็นว่าก็สามารถใช้ประโยชน์จากองค์รัชทายาทได้ในด้านการประลองยุทธ์พ่ะย่ะค่ะหากมีองค์รัชทายาทเข้าร่วมโดยไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ราชวงศ์ต้าเหยียนน่าจะสามารถก้าวเข้าสู่สามสิบอันดับแรกได้และหากแสดงฝีมือได้ดี บางทีอันดับของต้าเหยียนในกลุ่มแคว้นลำดับรองอาจจะขยับขึ้นได้อีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวโบกมือ กล่าวด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เรื่องอันดับนั้นมิสำคัญ จุดประสงค์ที่เราเข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้นคือการเข้าสู่สามสิบอันดับแรก แล้วชิงสิทธิ์ในการเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน”“เช่นนั้นก็ง่ายดาย ข้าน้อยเตรียมพร้อมทุกประการแล้ว ตราบใดที่พวกเขาสามารถเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียนได้ ย่อมต้องพบเทพศาสตราวุธในตำนานและเมล็ดพันธุ์พืชอันล้ำค่า ถึงยามนั้น การที่ต้าเหยียนจะก้าวขึ้นเป็นแคว้นผู้นำก็อยู่แค่เอื้อม”เหลยเจิ้นกล่าวแล้วก็อดตื่นเต้นมิได้ดังที่เคยกล่าวไว้แต่ต้น เมื่อสองร้อยปีก่อน ในแผ่นดินเฉินโจว ต้าเหยียนนั้นเป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ ที่ไม่มีผู้ใดสนใจต่อมาหลังจากได้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน ก็บังเอิญได้ครอบ
เซี่ยหลานตกใจลนลาน รีบแก้ตัวว่า “มิใช่อย่างนั้น ชูโม่ เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะกอดพระองค์ได้อย่างไร เจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำกับข้าเช่นไร”ฉงชูโม่จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยหลานเคยถูกฉินซูฉีกอาภรณ์และทำให้อับอายนางจึงคลายความสงสัยในใจ “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง จะตกใจไปไยเล่า”“หึ กล้าล้อข้ารึ ข้ามิคุยกับเจ้าแล้ว” เซี่ยหลานแสร้งทำเป็นโกรธแล้วหันหลังเดินไปฉงชูโม่เห็นดังนั้นจึงรีบตามไป “เซี่ยหลาน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าใจน้อยนักเลย”มองดูทั้งสองคนที่ทำราวกับว่าตนเป็นอากาศธาตุ ฉินซูก็จนคำจะกล่าวโชคดีที่ในเวลานั้นหลินชิงเหยาเดินเข้ามานางคล้องแขนฉินซูพลางกล่าวด้วยความนัยลึกซึ้งว่า “องค์รัชทายาท อากาศหนาวเย็นเช่นนี้อย่าประทับอยู่ข้างนอกเลยเพคะ ข้างนอกแม้จะเย็น แต่ดีที่ตำหนักบูรพาของเรามีบ่อน้ำพุร้อน องค์รัชทายาทจะเสด็จลงไปแช่เพื่อคลายความหนาวเหน็บหรือไม่เพคะ?”“ไปสิ ไยจึงมิไป!”ฉินซูเข้าใจความหมายในทันที จึงจับมือหลินชิงเหยาแล้วรีบเข้าไปในโรงอาบน้ำอย่างใจจดใจจ่อจากนั้นเขาก็ได้รำลึกถึงความหลังกับหลินชิงเหยาอีกครั้งในขณะเดียวกันเหลยเจิ้นได้รับพระบัญชาให้มายังห้องทรงอัก
“อืม เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็อธิบายหลายสิ่งหลายอย่างได้”ฉงชูโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “คนที่สามารถสั่งการยอดฝีมือจากวังหลวงได้ ตำแหน่งของเขาต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน หากคนเช่นนั้นลอบให้การช่วยเหลืออ๋องฉู่ ก็อาจจะปิดบังสายตาของสำนักโหรหลวงได้จริง ๆ”ฉินซูยักไหล่อย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าการจะสาวถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังอ๋องฉู่จะเป็นเรื่องยาก”“ถูกต้องแล้วเพคะ ครั้งนี้อ๋องฉู่ก่อกบฏมิสำเร็จ ต่อไปคงต้องระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น พวกเราคงจะจับจุดอ่อนของเขาได้ยากขึ้นด้วย” ฉงชูโม่เองก็รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง“ช่างเถอะ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน หากสืบสวนต่อไป เกรงว่าเสด็จพ่อจะทรงสงสัยว่าพวกเราสมคบคิดกันใส่ร้ายอ๋องฉู่”“แต่พวกเราจะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ หรือเพคะ? ในเมื่อที่อ๋องฉู่ตั้งใจจะก่อกบฏก็เป็นเรื่องจริง”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “มิอาจปล่อยไปง่าย ๆ แน่นอน สิ่งที่เราทำได้ในยามนี้คือรอ รอให้ฉินอวี่ทำผิดพลาดอีกครั้ง ข้าเชื่อว่าเมื่อเรื่องนี้ซาลงไปแล้ว เขาจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหว ก็จะต้องมีพิรุธเป็นแน่”ฉงชูโม่ถามว่า “ให้หม่อมฉ้นแอบจับตาดูเขาดีหรือไม่?”
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท
ทันทีที่เขาลงบันไดมา จีอันก็ถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ศิษย์พี่รอง โดนดุมาหรือไร?”“ไป ๆ ๆ หัวโขกจนปูดไปหมด เรื่องนี้ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”“ดูเถอะ ขี้ใจน้อยเหมือนสตรีไปได้”“นี่ เจ้าอยู่ดี ๆ มิชอบใช่หรือไม่? ข้าจะฟาดเจ้าคอยดูเถอะ!” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยไปหาแส้ยาวมาจากไหนก็มิทราบจีอันแคะขี้มูกแล้วกล่าวอย่างมิได้ยี่หระว่า “ข้ามิกลัวเจ้าหรอก ถึงอย่างไรท่านก็สู้ข้ามิได้”“ข้า… เจ้ามันร้ายกาจ ข้ายอมแพ้!”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหมดความอดทนใดทันที จีอันผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องหนังหนา อีกทั้งยังเก่งกาจจนน่าขนลุก สู้มิได้ เขาหลบดีกว่าพูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็มาถึงเมื่อเห็นฉินซู จีอันก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้โหแฮะ องค์รัชทายาท มิไปประกาศศักดาที่ใดหรือ ไฉนจึงมาเยือนสำนักหอดูดาวหลวงของเราได้?”ฉินซูงงงวยเล็กน้อย จึงถามกลับว่า “ตัวข้าต้องไปประกาศศักดาที่ใดเล่า? อวดอ้างกระไร?”“ท่านมิทรงทราบหรือ? ยึดครองแคว้นหนานเยวี่ยง่ายเหมือนปอกกล้วยเช่นนี้ ผลงานระดับนี้ไยมิไปประกาศให้ทั่วเล่า? หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยจะร้องแรกแหกกระเชอคุยโวไปสามวันสามคืนเต็ม ๆ ท่านนี่ช่าง
ชิวก่วนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “หาได้มีโจรผู้ร้ายบุกรุกเข้ามาไม่พ่ะย่ะค่ะ หูก่วงเซิงและพวกตายไปโดยไร้สาเหตุ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? หูก่วงเซิงและพวกตายแล้วรึ?”ฉงชูโม่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่แค่พวกเขา แม้แต่กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นนายของอ๋องฉู่ก็ถูกคนช่วยออกไปแล้ว”“ว่ากระไรนะเพคะ?”ฉงชูโม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง!เมื่อได้สติกลับมา นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ด้วยกำลังของอ๋องฉู่เพียงลำพัง ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้แน่ ดังนั้นเบื้องหลังของเขาต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือเป็นแน่เพคะ!”ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ศพของหูก่วงเซิงและพวกอยู่ที่ใด?”“ตอนนี้อยู่ที่ศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปดูกัน”ฉินซูกล่าวจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วหวังฉือเห็นเขาออกมาก็คำนับแล้วกำลังจะกล่าวทว่าฉินซูกลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าหวัง ไปกันเถิด ไปศาลต้าหลี่ของท่านด้วยกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังฉือก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้าหนึ่งชั่วยามต่อมาพวกเขาก็มาถึงศาลต้าหลี่เมื่อมองดูร่างไร้วิญญาณของหูก่วงเซิงและพวก ฉ