บอดี้การ์ดทั้งสองคนจับต้นแขนพริมโรสไว้คนละข้าง พาเดินไปอย่างเร่งรีบจนตัวเธอแทบจะลอยได้ ก้าวเท้าเร็วคล้ายกำลังจะก้าวกระโดด สักพักก็ฝ่าฝูงชนออกมาถึงริมถนนใหญ่ มีรถลีมูซีนกำลังจอดรออยู่
คนหนึ่งรีบเดินไปขึ้นข้างหน้า อีกคนเปิดประตูให้เธอขึ้นไปนั่งด้านหลัง ขณะที่กำลังจะก้าวเข้าไป เธอก็ถูกดึงแขนให้ถอยห่างรถออกมาอย่างแรง จนเซไปปะทะร่างแข็งแรงของใครคนหนึ่ง เธอแหงนมองหน้าร่างนั้นอย่างตระหนก
“แก!!” ผู้พันอิฟราอิมเค้นเสียงออกมาอย่างเกรี้ยวกราด แล้วโถมหมัดเข้าใส่บอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ตรงนั้นทันที
“เธอเป็นอะไรหรือเปล่า?” เตวิชกับจอมทัพวิ่งมาขนาบข้างตัว พริมโรสมองอย่างงุนงง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วพวกเขามาที่นี่กันได้อย่างไร
ยังไม่ทันที่เธอจะไต่ถาม สองหนุ่มข้างตัวก็ถลาไปหาบอดี้การ์ดอีกสองคนที่กำลังงงงันอยู่ข้างรถทันที หญิงสาวยืนมองพวกเขาตะลุมบอนกันอย่างนัวเนีย ทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วครู่
“โรส! หลีกไป!!” ผู้พันอิฟราอิมตะโกนสั่งเสียงดังลั่น ทำให้เธอได้สติ ถอยไปยืนอยู่มุมหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะเข้าไปห้ามยังไง
“เดี๋ยวก่อนค่ะ! หยุดก่อน! พวกคุณกำลังเข้าใจผิด!!” เธอพยายามจะอธิบาย แต่ดูเหมือนไม่มีใครอยากจะฟัง
สักพักกลุ่มคนใส่สูทผูกไทค์ชุดดำ ก็กรูกันมาร่วมสิบกว่าคน สามบอดี้การ์ดเห็นดังนั้น จึงรีบผละออกจากการต่อสู้ ต่างคนต่างรีบขึ้นรถ แล้วขับออกไปทันที
“ตามไป!!” ผู้พันตะโกนสั่งลูกน้อง ซึ่งก็กระจายกันขึ้นรถแล้วขับตามรถคันหน้าไป
“เป็นยังไงบ้าง?” เขาหันมาถามหญิงสาวที่กำลังหน้าตาตื่นด้วยความเป็นห่วง
“เอ่อ..พวกคุณมาได้ยังไงคะ แล้วรู้ได้ยังไงคะว่าฉันอยู่ที่นี่?”
“ผมวิ่งอยู่ในสวนเมื่อเช้า เห็นคุณเดินผ่านไปกำลังจะตามไปดู พอดีเพื่อนคุณโทรมาบอกว่าคุณส่งข้อความเข้ามาแต่จะไปที่ไหนไม่ได้บอกไว้ ผมเป็นห่วงเลยตามมา แล้วก็มาทันตอนคุณเจอระเบิดพอดี คนพวกนั้นเป็นใคร ทำไมคุณต้องมากับพวกเขา แล้วมาทำอะไรกันที่นี่?” เขาตั้งคำถามเป็นชุด พริมโรสกลืนน้ำลาย รู้สึกเหมือนกำลังโดนสอบสวน
“เอ่อ..คือ พวกเขาน่าจะเป็นคนของพิพิธภัณฑ์ หรือไม่ก็เป็นคนที่คุณพ่อให้มารับ พอดีว่าฉันต้องมารับของแทนคุณพ่อที่พิพิธภัณฑ์ของชนเผ่าอารเบียค่ะ อีกอย่างพวกเขามีเบอร์โทรฉัน”
“งั้นก็เป็นเรื่องเข้าใจผิดน่ะสิ!” เตวิชอุทาน
“ก็ไม่แน่ ผมรู้สึกว่ามันผิดปกติ แต่ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรผิดแปลกไปตรงไหน” ผู้พันอิฟราอิม ยังคงรู้สึกติดอยู่ในใจ แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้
“แต่ที่แน่ใจคือระเบิดตรงปากทางมันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ!” จอมทัพพูดขึ้นมาบ้าง
“อ้อ! จริงสิ โทรศัพท์ฉันหาย อยู่ๆ ก็หายไปต่อหน้าต่อตา มองไม่เห็นด้วยว่าใครหยิบไป! บอดี้การ์ดสองคนนั้นยังพูดเลยว่าเหตุการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แล้วเขาก็รีบพาฉันออกมาเลย” ทุกคนมองหน้ากัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“ไป..รีบกลับบ้าน! พวกเราต้องช่วยกันวิเคราะห์อย่างละเอียด” ผู้พันอิฟราอิมพูดขึ้นมา ทุกคนพยักหน้าออกมาพร้อมกัน
…………………….
“เรื่องระเบิด เป็นไปได้ไหมว่าเพราะต้องการยับยั้งคุณไม่ให้ไปที่นั่น! แล้วบอดี้การ์ดสองคนนั้นจะมีเอี่ยวหรือเปล่า?” จอมทัพตั้งคำถามขึ้นมา
“ผมไม่รู้ว่าบอดี้การ์ดสองคนนั้นเป็นพวกไหน แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่กลุ่มที่วางระเบิด”
“สองคนนั้นก็ตั้งข้อสังเกตว่าเหตุการณ์วันนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ต้องไม่ใช่ฝีมือของพวกเขาอยู่แล้ว!” พริมโรสชี้แจง
“แล้วคุณพ่อคุณให้ไปที่นั่นทำไม?” ผู้พันอิฟราอิมเปิดปากถาม พร้อมจ้องเขม็ง นัยน์ตาดำสนิทหรี่ลงเล็กน้อยคล้ายกำลังประเมิน
“คุณพ่อฉันเขาชอบสะสมของเก่าค่ะ เขาติดตามนักสะสมระดับเอลิสต์ของเปเรซอยู่คนหนึ่ง ติดต่อสอบถามกันมานานแล้ว จนนักสะสมคนนั้นยอมปล่อยของสะสมที่คุณพ่อกำลังสนใจอยู่ คุณพ่อกลัวเขาจะเปลี่ยนใจ เลยให้ฉันรีบไปติดต่อ”
“ของที่ว่านั่นคืออะไร?” เขาคาดคั้น
“ไม่ทราบเหมือนกันคะ คิดไว้ว่าคงได้เห็นและตรวจสอบก่อนที่จะรับมา แต่ก็มาเกิดเรื่องเสียก่อน”
“คุณพ่อพริมเขาชอบสะสมของเก่าโบราณเป็นงานอดิเรกครับ เรื่องนี้รู้กันทั่วไป” เตวิชช่วยชี้แจง
“คุณเห็นว่ามีอะไรผิดปกติหรือคะ?” พริมโรสรู้สึกสงสัยในความคิดของเขา
“อืม.. ไม่รู้เหมือนกัน กำลังค้นหาคำตอบอยู่ แต่ตอนนี้เรามาวางแผนเรื่องติดตามตัวประกันกันก่อนดีกว่า”
…………………….
::สหพันธ์เฮชบุล::
“หัวหน้าสาขา! คนของเรายืนยันแล้วว่าหลักฐานทั้งหมดตรงกับข้อมูลในโทรศัพท์ของผู้ชายคนนั้นครับ”
“หมายความว่าเขาเป็นแค่คู่รักออนไลน์กันจริงๆ ไม่ใช่คนที่เรากำลังตามหา?”
“ครับผม! ข้อความในโทรศัพท์ตรงกันทุกประการ แม้ว่าจะเดินทางมาจากทีแลนด์ แต่ก็เป็นเพียงยูทูปเบอร์ทั่วไป มีช่องยูทูปที่เปิดมานาน และทำคอนเทนต์หลากหลายทั่วโลก ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ เลยครับ แต่ที่น่าสนใจก็คือ...”
“อะไร?”
“เราหาตำแหน่งของปลายทาง ที่ข้อความสุดท้ายส่งไปไม่เจอครับ”
“แล้วนายไปพบผู้หญิงคนนั้นได้ยังไง?”
“เราเจอสัญญาณที่แอบติดไว้ในโทรศัพท์ของผู้ชายคนนั้นเมื่อเช้ามืดวันนี้ แต่ที่น่าสงสัยคือ..ก่อนหน้านี้เรากลับตรวจไม่พบ ผมจึงสั่งให้ทีมงานไปตรวจสอบ จุดที่พบสัญญาณครั้งแรก คาดว่าคงได้คำตอบเร็วๆ นี้”
“เร่งมือหน่อย! เหตุระเบิดวันนี้อาจเป็นฝีมือขององค์กรฮาริรี หรืออาจจะเป็นกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มอื่นๆ ก็เป็นได้ แต่ถ้าเป็นองค์กรฮาริรีจริงๆ แสดงว่าพวกเขาอาจรู้แล้ว ว่าพวกเราล่วงรู้โครงการลับของพวกเขา รีบไปรายงานผู้นำสหพันธ์ และแจ้งพันธมิตรให้เตรียมประชุมด่วนพรุ่งนี้ ส่วนเรื่องการตามตัวสองคนนั้น ไปมอบหมายให้ทีมอื่นจัดการแทน แล้วนายก็ไปสืบความเคลื่อนไหวขององค์กรฮาริรี สืบให้รู้แน่ๆ ว่าพวกเขาได้ตัวผู้หญิงคนนั้นไปแล้วหรือยัง?”
“ครับผม!”
…………………….
“อ๊ะ! คุณยังไม่นอนอีกหรือคะ?” หญิงสาวแปลกใจที่ดึกป่านนี้แล้วยังเห็นเจ้าของบ้านเดินเข้ามาในห้องปฏิบัติการ
หลังจากที่เขาได้แสกนมือของทุกคน และเพิ่มสิทธิ์ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าไปในฐานข้อมูลแล้ว ทำให้พริมโรสและทีม สามารถเข้าออกในห้องปฏิบัติการนี้ได้ตลอดเวลา
ทั้งยังสามารถเข้าไป ในระบบรักษาความปลอดภัย ของประเทศได้ โดยจำกัดสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลลับสำคัญ ของระบบเท่านั้น ทำให้เธอรู้สึกทึ่งและนับถือเขาที่ให้ความไว้วางใจทีมของเธอได้ขนาดนี้
แต่ก็ไม่มีอะไรที่น่ากังวลอยู่แล้ว เพราะทุกครั้งที่เข้าระบบ จะมีทามไลน์ระบุอยู่แล้ว ว่าเข้าไปทำอะไร และจะมีสัญญาณตรวจจับทันทีที่ต้องการหลบเลี่ยง หรือทำอะไรที่เบี่ยงเบนไปในทางที่ส่อแววว่ากำลังกระทำความผิด
“ผมไปเคาะห้องคุณ ฮาน่าบอกว่าคุณอยู่ที่นี่” เขาพูดแล้วลากเก้าอี้มานั่งลงใกล้ๆ
“กำลังตามรอยคนที่วางระเบิด เขาฉลาดมาก ทำลายกล้องวงจรปิดใกล้เคียงไปสามตัว ทำให้ไม่เห็นเหตุการณ์ก่อนและหลังที่จะระเบิด ฉันเลยเข้าไปดูในเซิฟเวอร์ของกรมทางหลวง หาช่วงเวลาที่ผู้ก่อเหตุมาถึง และไล่ย้อนไปตามเส้นทางที่เขาเดินทาง จนมาเจอที่นี่!” เธอพูดแล้วกดเอนเทอร์ ภาพเด้งขึ้นไปที่หน้าจอใหญ่ทันที
“ร้านรถเช่า?”
“ใช่ค่ะ คุณไปตรวจสอบช่วงเวลาที่เขาเข้าไป ทีนี้ก็จะได้รู้ว่าเขาเป็นใคร ฉันส่งภาพสแนพชอทที่ชัดที่สุดเท่าที่จะทำได้ ของผู้ชายคนนั้น กับพิกัดของร้านรถเช่า ไปในมือถือของคุณแล้ว” หญิงสาวปล่อยมือที่จับเมาส์ แล้วหันมามองเขา
ชายหนุ่มลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์มาจากกระเป๋าหลัง เปิดแอพพลิเคชั่นแล้วกดที่หน้าจออยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็โทรออกสั่งงานทันที
“เห็นหรือยังที่ส่งไป? อืม..ใช่” เขากดวางสาย แล้ววางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ หันตัวไปข้างหลัง หยิบถุงกระดาษใบเล็กมาส่งให้ พริมโรสรับมาอย่างแปลกใจ
“อะไรคะ? เอ๊ะ!” หญิงสาวถามด้วยความประหลาดใจในนาทีแรก แต่สายตาเหลือบไปเห็นกล่องขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้าอยู่ข้างในจึงอุทานออกมา แล้วมองเขาแบบงงๆ
“ใช่ โทรศัพท์ แทนเครื่องที่หายไง” หญิงสาวได้ยินดังนั้นก็ตาเป็นประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนที่จะหลุบตาลง
“อ่า ขอบคุณค่ะ แต่ว่า..”
“ดูเหมือนคุณจะเกรงใจ?” เขาพูดดักคอ
“ก็..ก็เกรงใจอยู่เหมือนกัน แต่คิดอีกทีก็ไม่อยากจะขัดศรัทธา อีกอย่างถึงแม้จะเป็นรุ่นล่าสุด และราคาแพงลิบขนาดไหน ก็คงไม่ถึงกับทำให้ขนหน้าแข้งของคุณกระดิกได้หรอก ปฏิเสธไปก็จะเสียน้ำใจกันเปล่าๆ” หญิงสาวฉีกยิ้มประจบอย่างที่ตัวเองคิดว่าจริงใจที่สุดแล้ว ไม่มากไม่น้อยเกินไป เขาจะได้ไม่คิดว่าเธอเห็นแก่ของฟรี
ชายหนุ่มยกยิ้มที่มุมปาก ดูคล้ายจะชอบใจที่เห็นรอยยิ้มจอมมารยาของจิ้งจอกน้อย
“ระหว่างนี้ผมไม่อยากให้คุณออกไหนโดยไม่บอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามไปไหนคนเดียวอีก คนของผมแจ้งมาว่า มีคนแปลกหน้ามาป้วนเปี้ยนในละแวกนี้ เข้าใจว่าคงมาซุ่มดูความเคลื่อนไหวของคุณ ผมกำลังแปลกใจมากทีเดียว ว่าคุณเข้าไปเกี่ยวข้องอะไร กับเหตุการณ์วันนี้!”
“ไม่ใช่แค่คุณ ฉันก็กำลังหาคำตอบอยู่เหมือนกัน ของอะไรที่คุณพ่อให้ฉันไปเอากันแน่ และของสิ่งนั้นมันสำคัญสำหรับคนพวกนั้นยังไง ฉันรู้นิสัยคุณพ่อดี และไม่คิดว่าเขาจะมีเรื่องลับลมคมในอะไร”
“ผมก็หวังว่าคุณคงไม่โกหก และคงไม่ทำลายความไว้วางใจของผมง่ายๆ แบบนี้แน่”
“นี่! คุณเห็นฉันเป็นคนหลอกลวง?”
“ไม่! แต่ถ้าเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ล่ะใช่แน่!” ร่องรอยความขบขันพาดผ่านแววตาสีดำสนิท โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันสังเกต
มาจนถึงตอนนี้เขาเพิ่งจะรู้ว่า ความเฉลียวฉลาดที่เห็นมาโดยตลอดนั้น แท้ที่จริงคือความเจ้าเล่ห์เพทุบาย และท่าทีที่แสดงออกว่าโอนอ่อนผ่อนตาม มันก็คือความลื่นไหลเอาตัวรอดนี่เอง
“คุณ!..” หญิงสาวพูดได้เท่านั้นก็หยุดชะงัก เธอจะสาดอารมณ์ใส่ผู้มีอุปการะคุณไม่ได้ เห็นแก่โทรศัพท์ราคาแพงลิบลิ่วเครื่องนี้ เธอจะละเว้นเขาไว้ก่อนก็แล้วกัน พอคิดได้ดังนั้นก็ลุกขึ้นสะบัดหน้าเดินหนีเขา
“ชิ!”
ค่ำคืนแห่งพระเกียรติ ถูกจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติ ณ พระราชวังขององค์สุลต่าน งานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพถูกเนรมิตขึ้น อย่างวิจิตรตระการตา ทุกซอกทุกมุมของพระราชวังส่องประกายด้วยโคมไฟแก้วเจียระไนระยิบระยับ พรมแดงทอดยาวจากบันไดสู่โถงต้อนรับ โต๊ะอาหารเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ พร้อมเครื่องเงินแท้ที่ขัดเงาจนแวววาว เมนูรสเลิศจากเชฟมิชลิน ถูกเสิร์ฟแบบคอร์ส เคียงคู่กับเครื่องดื่มชั้นสูงจากทั่วทุกมุมโลก ขับกล่อมด้วยเสียงดนตรีออร์เคสตร้า ที่บรรเลงอย่างไพเราะ ทำให้ค่ำคืนนี้ สมพระเกียรติขององค์สุลต่านอย่างถึงที่สุด บรรดาผู้นำจากนานาประเทศ และทูตานุทูต ต่างตบเท้าเข้าร่วมงาน แขกเหรื่อล้วนเอ่ยปากชื่นชม ถึงบรรยากาศที่ได้รับการจัดเตรียมมาอย่างไร้ที่ติ และผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของงานนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น เจ้าหญิงไลลา สตรีหมายเลขหนึ่ง พระชายาของเจ้าชายอิดรีส ผู้ลงมาดูแลทุกอย่างด้วยตนเอง อย่างละเอียดถี่ถ้วน บางคนถึงกับกล่าวชมต่อหน้าเจ้าชายอิดรีส ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แม้เขาจะยังคงยืนสงบนิ่งในท่าทีสุขุมเช่นเคย แต่ในใจลึกๆ กลับรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ตนเลือกคู่ครองไม่ผิด สายตาของอิดรีส
แสงสว่างที่ลอยละล่องในความมืดส่องมาที่รินรดา พร้อมกับเสียงกระซิบที่แผ่วเบาแต่ชัดเจน เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของใครในโลกนี้ มันเหมือนเสียงที่มาจากที่ไกลโพ้น ฟังดูทั้งใกล้ และไกลในเวลาเดียวกัน“ถึงเวลาแล้ว...จงทำตามสัญญา!”รินรดารู้สึกเหมือนร่างกายของเธอกำลังล่องลอย แต่ในขณะเดียวกัน ก็ตกลงไปในความเวิ้งว้างอันไร้จุดสิ้นสุด เธอพยายามมองหาเจ้าของเสียงแต่ไม่พบใครเธอหลับตาลงแล้วทันใดนั้น ภาพอดีตของเธอเมื่ออายุสิบห้าปีก็ย้อนกลับมา เธอเห็นตัวเองยืนอยู่หน้าหินพ่อมดลาบราดอไลต์ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในห้องลับใต้พระราชวัง ความศักดิ์สิทธิ์ของมันทำให้เธอรู้สึกได้ ถึงพลังลี้ลับที่ซ่อนอยู่ภายใน เธอท่องบทสวดที่แอบจดจำไว้ พร้อมกับอธิษฐานถึงสิ่งที่อยากรู้ที่สุดในชีวิต นั่นคือ..การตามหาครอบครัวที่แท้จริงจากนั้นเธอก็เริ่มฝันซ้ำๆ เดิมๆ อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งถึงปัจจุบันเธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น พบว่าตัวเองยืนอยู่ในอุโมงค์ที่ทอดยาวไปสู่แสงสว่างที่อยู่เบื้องหน้า เธอรู้ว่านี่คือจุดที่ผู้ตายต้องเดินผ่านไปยังภพหน้า แต่แล้วเสียงอันศักดิ์สิทธิ์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง“รินรดา เธอยังมีสิทธิ์เลือกเส้นทางของตนเองอยู่นะ”เบื้องหน้าของเ
ค่ำคืนแห่งความสุขมาถึง... ท้องฟ้ายามราตรีของอาณาจักรเปเรซประดับไปด้วยแสงจันทร์และดวงดาวระยิบระยับ ขณะที่ปราสาทหลวง ถูกประดับด้วยผ้าม่านสีขาว และทอง ลวดลายอาหรับอันวิจิตร เจิดจรัสด้วยแสงไฟนวลอบอุ่น ของไฟระย้าคริสตัลสะท้อนแสง จนดูงดงามราวสรวงสวรรค์ ดอกไม้หายากจากทั่วทั้งอาณาจักร ถูกจัดวางประดับประดาไปทั่วบริเวณ สร้างบรรยากาศที่งดงาม ราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย ภายในห้องโถงใหญ่ของพระราชวัง พรมเนื้อละเอียดทอดยาวตั้งแต่ประตูไปจนถึงแท่นพิธี โต๊ะเลี้ยงอาหารค่ำประดับด้วยผ้าปักทอง ดอกกุหลาบและลิลลี่ขาวบริสุทธิ์ให้กลิ่นหอมอ่อนๆ ตัดกับแสงเทียนที่กระพริบไหว ม่านบางเบาปลิวไสวไปตามสายลมเย็นของค่ำคืน พระราชพิธีอภิเษกสมรส ถูกจัดขึ้นตามขนบธรรมเนียม เป็นพิธีนิกะห์อันศักดิ์สิทธิ์ของโมเสลม ภายใต้กฎหมายชารีอะห์ และธรรมเนียมของราชวงศ์ ซึ่งแสดงถึงความงดงาม และเปี่ยมไปด้วยความหมาย นักวิชาการศาสนา(อุละมาอ์) ผู้ประกอบพิธี นั่งอยู่บนแท่นหินอ่อน ด้านข้างมีพยานฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาว พร้อมด้วยบุคคลสำคัญจากราชวงศ์และข้าราชบริพาร เจ้าชายอิสราร์ ประทับยืนในชุดทางการขององค์มกุฏราชกุมาร เสด็จเข้ามายังแท่นพิธี พระอ
บรรยากาศภายในพระราชวังเปเรซวันนี้ เต็มไปด้วยความสงบและเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง ครบหนึ่งร้อยวันแห่งการจากไปของเจ้าหญิงรินรดา องค์สุลต่านทรงมีพระราชดำริให้จัด ‘โรงทานขนาดใหญ่’ เพื่อแจกจ่ายอาหาร และสิ่งของจำเป็นแก่ประชาชนผู้ยากไร้ ถือเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับ ภายในโรงทานถูกจัดขึ้นอย่างเป็นระเบียบ เต็นท์ขนาดใหญ่ถูกกางเรียงรายภายในลานกว้างของลานพิธีหน้าพระราชวัง โต๊ะยาวหลายตัวถูกตั้งไว้ สำหรับแจกจ่ายอาหารร้อนที่ปรุงสำเร็จ และขนมหวานอาหรับ เช่น บาสบูซาและกุนาฟา รวมถึงน้ำดื่มเย็นๆ สำหรับประชาชนที่มาร่วมรับแจกอาหาร บรรดาข้าราชบริพาร และอาสาสมัครจากประชาชน ต่างช่วยกันแจกจ่ายด้วยรอยยิ้ม แม้จะเป็นวันแห่งความอาลัย แต่ทุกคนก็เต็มใจทำความดี เพื่อเป็นบุญกุศล ให้แก่เจ้าหญิงผู้ล่วงลับ นอกจากอาหารแล้ว ยังมีจุดแจกอาหารแห้ง และของใช้จำเป็น เช่น อินทผลัม ข้าวสาร น้ำมันพืช เครื่องปรุงรส สบู่ และยาสามัญ เพื่อให้ผู้ยากไร้สามารถนำกลับไปใช้ที่บ้านได้ ภายในงานยังมีแพทย์อาสา คอยตรวจสุขภาพเบื้องต้นให้กับประชาชน ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการช่วยเหลือสังคม ที่เจ้าหญิงรินรดาเคยผลักดั
เสียงไซเรนรถพยาบาลแผดก้องไปทั่วท้องถนน แต่รามิลไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น หูของเขาอื้อไปหมด มีเพียงเสียงลมหายใจบางเบาของรินรดา ที่กำลังแผ่วลงทุกขณะ เป็นสิ่งเดียวที่เขากำลังโฟกัส เลือดของเธอเปรอะเปื้อนเต็มมือเขา ลามไปตามแขนเสื้อ แผ่นอก และหยดลงเป็นทางบนเปลพยาบาล ร่างเล็กที่เคยเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับนอนแน่นิ่ง แต่ถึงอย่างนั้น เธอยังคงยิ้มให้เขา “คุณ..รามิล…” เสียงของเธอเบาหวิวแทบไม่ได้ยิน “รดา! เดี๋ยวเราก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว… แค่ทนไว้ก่อนนะรดา อย่าหลับนะ ได้ยินผมไหม!?” รามิลกุมมือหญิงสาวแน่น น้ำเสียงสั่นเครือ ความกลัวถาโถมเข้าใส่จนเขาหายใจแทบไม่ออก รินรดาไอออกมาเป็นเลือด ก่อนจะระบายลมหายใจบางเบา “ท่านพี่… ปลอดภัยไหม?” หัวใจของรามิลเหมือนถูกบีบจนแหลกสลาย เธอกำลังอาการสาหัส แต่ยังเป็นห่วงพี่ชายมากกว่าชีวิตตัวเองเสียอีก “ปลอดภัย! เขาปลอดภัย..” รามิลเม้มริมฝีปากแน่น พยายามกลั้นสะอื้น “ทำไมต้องทำแบบนี้ ทำไมต้องเสี่ยงขนาดนี้ด้วยฮึ!?” “เพราะเขาคือ… พี่ชายของฉัน” รินรดายิ้มจางๆ เสียงเธอขาดหายเป็นช่วงๆ เปลือกตาของเธอหนักอึ้งลงทุกที “รดา! อย่าหลับนะ! มองผมสิ มองผม!” มือของเธอใน
เสียงโกลาหลของฝูงชนยังคงดังก้องทั่วลานพิธี แต่แล้วจู่ๆ ผู้คนก็เริ่มแหวกออกเป็นสองทาง ราวกับคลื่นน้ำที่ถูกแบ่งออกโดยพลังที่มองไม่เห็น ท่ามกลางช่องว่างที่เปิดออก ปรากฏร่างของชายคนหนึ่ง เขายืนอยู่ในเงามืด แฝงตัวอยู่ในกลุ่มประชาชนที่กำลังแตกตื่น ในมือของเขากำปืนไรเฟิล ที่บรรจุกระสุนเจาะเกราะแน่น สายตาคมกริบกวาดไปรอบบริเวณอย่างระแวดระวัง ก่อนจะกลับมาตรึงอยู่ที่เป้าหมาย บุรุษผู้ตายยากที่สุดเท่าที่เขาเคยสังหารมา ร่างสูงสง่าของเจ้าชายอิสราร์ ยืนเด่นอยู่บนลานพิธียกพื้น ราวกับถูกจัดวางให้อยู่ในระยะยิงอย่างเหมาะเจาะ โอกาสมีเพียงครั้งเดียว ทุกอย่างจะต้องเกิดขึ้นเร็วที่สุด และต้องสร้างผลกระทบที่รุนแรงที่สุด ถ้าจะต้องถูกจับหลังจากเหนี่ยวไก อย่างน้อยก็ขอให้มันได้ตาย..เพื่อสังเวยผู้ที่ข้ารักและเคารพเหนือสิ่งอื่นใด ผู้ที่สมควรได้รับทุกสิ่งที่ปรารถนาบนโลกใบนี้!! “ตอนนี้แหละ!!” อาซีฟพึมพำกับตัวเองก่อนจะรีบยกปืนขึ้น ปึ่ก! แรงกระชากอย่างรุนแรง ทำให้ปืนในมือของอาซีฟหายไปในพริบตา เขาตวัดสายตาไปด้านข้าง แววตาเปลี่ยนเป็นโทสะสีเข้มจัด แต่แล้วเขาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นใบหน้าของผู้ที่ชิงอาวุธไปจากมือเขา