“ผู้พันคะ!” หญิงสาวทัก เมื่อเห็นเขานั่งชันศอกข้างหนึ่งค้ำประตู ปลายนิ้วเขี่ยริมฝีปากล่างไปมาอย่างใช้ความคิด เธอสังเกตเขามาพักใหญ่แล้ว ตั้งแต่ออกรถมาจนถึงตอนนี้
“หืม?” เขาทำเสียงตอบในลำคอ แต่ไม่ได้หันมา ยังคงมองตรงทางข้างหน้านิ่ง
เธอมั่นใจว่าไม่ได้ไปขัดใจอะไรเขา จะให้ปลอมเป็นคู่หมั้นก็รับปาก ชุดนี้ก็เป็นเขาเองที่บอกว่าดีแล้ว แต่ก็มานิ่งเงียบแบบนี้ จนทำให้เธอเริ่มวิตก
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
“เปล่า! ไม่ได้เป็นอะไร! ผมกำลังคิดอะไรเพลินไปหน่อย คุณถามอะไรแล้วผมไม่ได้ตอบกลับหรือเปล่า?” หญิงสาวถอนใจ บางทีเขาอาจไม่สะดวกใจอะไรบางอย่างอยู่ก็ได้ เลยคิดจะเปลี่ยนเรื่องคุย
“คุณได้ข้อมูลเรื่องพิกัดหรือยังคะ?”
“เราจะไม่คุยเรื่องงานกันตอนนี้ที่รัก” พริมโรสเลิกคิ้ว เริ่มหงุดหงิดนิดๆ
โน่นก็ไม่ได้! นี่ก็ไม่ได้! หมอนี่เป็นคนยังไงกันแน่!! เอาใจยากชะมัด!!
เธอเริ่มไม่พอใจ จึงหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างรถ ยกแขนขึ้นกอดอก ยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างอย่างเจ้าอารมณ์เต็มที่ ทำให้ขอบซับในร่นลงมามากกว่าเดิม เผยให้เห็นท่อนขาเรียวสวยขาวนวลเนียนอยู่ภายใต้เนื้อผ้ารำไร ชายหนุ่มเห็นการเคลื่อนไหวอยู่ปลายหางตา จึงเหลือบมองอย่างไม่ได้ตั้งใจ จนทำให้ต้องสูดลมหายใจเข้าแรง แล้วหันกลับมามองถนนด้วยความรู้สึกที่ปั่นป่วนยิ่งกว่าเดิม
…
หลังจากต่างคนต่างนั่งเงียบมาได้สักพัก เขาก็เลี้ยวรถเข้าซุ้มประตูขนาดใหญ่ สองข้างทางเป็นสวนไม้ดอกไม้ใบร่มรื่นยาวสุดลูกหูลูกตา จนเขาชะลอความเร็วลงจึงเห็นว่ามีทางเลี้ยวอยู่ตรงช่วงระหว่างกลาง สุดปลายทางเลี้ยวนั้นมองเห็นคฤหาสน์สีขาวหรูหราโอ่อ่าอลังการบนพื้นที่กว้างขวาง ที่ถ่ายทอดสถาปัตยกรรมวัฒนธรรมเก่าแก่ของเปเรซออกมาได้สวยสดงดงาม ราวกับเป็นปราสาทในเทพนิยาย
พริมโรสตื่นตะลึง ปากอ้าตาค้างไปกับความอลังการนั้น
“นี่มันปราสาทในเทพนิยายชัดๆ!” เธอเผลอคิดออกมาดังๆ จนเขาต้องหัวเราะ
แม่เจ้า! ต้องรวยระดับไหนกัน ถึงจะมีปราสาทแบบนี้ได้!
“ชอบไหม?”
“คุณอยู่ที่นี่หรือคะ?
“เปล่า! แต่แม่กับน้องสาวผมอยู่ที่นี่”
“อ๋อ! แหม..ฉันกำลังจินตนาการไปว่าคุณน่ารวยระดับหมื่นล้านเลยนะเนี่ย ทำเอาตกใจไม่น้อย!”
“ก็มีเงินพอที่จะเลี้ยงครอบครัวในอนาคตได้ แต่ไม่ได้มากถึงขนาดนั้น” หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ นั่งรอเขาเปิดประตูให้ตามมารยาทสุภาพบุรุษ แล้วเดินเข้าไปในตัวบ้านพร้อมกัน
“โอเค ฉันจะพยายามแสดงให้ดีที่สุด แต่ผลจะออกมายังไงไม่ขอรับผิดชอบนะคะ” หญิงสาวพูด พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อระงับความตื่นเต้น
“ไม่ต้องไปพยายามอะไรมาก เป็นตัวของตัวเองดีที่สุดแล้ว เสน่ห์ของคุณอยู่ที่ตรงนี้” พริมโรสหันไปมองหน้า
นี่เขากำลังชม??
อิฟราอิมพาหญิงสาวมานั่งในห้องโถงรับแขก แล้วขอตัวเดินเข้าไปด้านใน เธอจึงนั่งอยู่คนเดียวแบบกังวลเล็กน้อย สถานที่นี้ใหญ่เกินไปจนทำให้ตัวเธอหดเล็กลงจนเหลือนิดเดียว
…
“มาซาหุลค็อยร์ ท่านแม่!” เขาค้อมหลังลง สัมผัสปลายนิ้วที่ฝ่ามือด้านในเบาๆ พร้อมกับแตะจุมพิตที่หลังมือของผู้สูงวัย “ขอความสันติสุข ความเมตตาและสิริมงคลของพระองค์จงประสบแด่ท่าน” เขาแตะมือที่หน้าอกแล้วกล่าวอวยพร
“มาซาหุลค็อยร์ และขอความสันติสุข ความเมตตาและสิริมงคลของพระองค์ประสบแด่ลูกเช่นกัน” ผู้สูงวัยอวยพรกลับ แล้วกอดเขาไว้ด้วยความรัก มองใบหน้าคมคายที่เต็มไปด้วยหนวดเครายาวรุงรังนั้นอย่างเอ็นดู
“ลูกพาคนรักมาแนะนำให้ท่านแม่ได้รู้จัก เธอนั่งรออยู่ด้านนอก อย่างที่ลูกโทรบอกท่านแม่ไว้เมื่อวาน เธอไม่ได้รู้เรื่องฐานันดรอะไรนั่น รู้แค่ว่าลูกเป็นนายทหารเท่านั้น!” หญิงสูงวัยได้ยินคำพูดของลูกชายจึงถอนใจ
“แน่ใจแล้วรึว่าจะทำแบบนี้?”
“ลูกไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน ถูกใจเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้า ความรู้สึกนี้มันมีมากเสียจนไม่อยากเสี่ยงที่จะสูญเสียเธอไป”
เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกครั้งแล้วลุกขึ้น ส่งมือให้เขาพยุง มองหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตากังวล
“แม่ก็อยากตามใจลูกนะ แต่ลูกก็รู้กฎของตระกูลดีไม่ใช่หรือ ภรรยาคนแรกต้องเป็นคนในสกุลเดียวกันเท่านั้น!”
“ท่านแม่!..ได้โปรดเห็นใจ ลูกไม่ต้องการแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก และลูกตั้งคำมั่นไว้แล้วว่า จะมีเธอแค่เพียงคนเดียว!” มารดาได้ยินดังนั้นก็ส่ายศีรษะ ยกมืออีกข้างตบที่หลังมือลูกชายเบาๆ
“ถึงแม้แม่อยากจะตามใจ แต่เส้นทางของลูกกลับไม่ง่าย ลูกก็รู้อยู่แก่ใจว่า เสด็จอาคงไม่มีทางยินยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น อีกทั้งบรรดาผู้อาวุโสเหล่านั้น ไม่มีทางอ่อนข้อให้อย่างแน่นอน ไหนจะทางไลลานั่นอีก เขาออกตัวประกาศให้ราชวงศ์รับรู้แล้วว่า จะเป็นชายาในอนาคตของมกุฏราชกุมาร” ทั้งสองเดินมาจวนใกล้จะถึงห้องโถง จึงไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
พริมโรสเห็นชายหนุ่มพยุงหญิงสูงวัยเข้ามาในห้องก็ลุกยืนขึ้นด้วยความเคารพ และค้อมหลังเข้าไปหาทันทีที่ผู้อาวุโสนั่งลง
“มาซาหุลค็อยร์” หญิงสาวสัมผัสปลายนิ้วที่ฝ่ามือด้านในเบาๆ พร้อมกับแตะจุมพิตที่หลังมือ “ขอความสันติสุข ความเมตตาและสิริมงคลของพระองค์จงประสบแด่ท่าน” เธอแตะปลายนิ้วที่หน้าอกแล้วกล่าวอวยพร
“มาซาหุลค็อยร์ และขอความสันติสุข ความเมตตาและสิริมงคลของพระองค์ประสบแด่เธอเช่นกัน” หญิงสูงวัยกล่าวอวยพรตอบ เธอจึงถอยออกมานั่งบนโซฟา
ชายหนุ่มรู้สึกพอใจในการกระทำของหญิงสาว เขาไม่เคยแนะนำ หรือบอกว่าควรหรือไม่ควรทำอะไร เขาอยากให้เธอเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด ในฐานะที่เป็นชาวต่างชาติไม่จำเป็นต้องแสดงออกตามประเพณีก็ได้ แต่เธอกลับเข้าใจ และปฏิบัติได้อย่างถูกต้องจนไม่มีที่ติ ทำให้เขารู้สึกประทับใจในความใส่ใจของเธอไม่น้อย
“ลูกชายเขาบอกกับฉันว่า ได้หมั้นหมายกับเธอไว้แล้ว ชื่ออะไร มาจากไหนกันล่ะ?”
“พริมโรส นรากรค่ะ ดิฉันเป็นคนประเทศทีแลนด์”
“ทีแลนด์รึ?” หญิงสูงวัยทำท่าคิดย้อนอดีต “ฉันเคยไปนะ จำได้ว่าติดตามสามีไปด้วยครั้งหนึ่ง แต่ก็หลายปีมาแล้ว ตอนนั้นลูกชายอายุประมาณสักห้าขวบเห็นจะได้ ที่นั่นสวยมาก ทั้งสถาปัตยกรรมและโบราณสถานต่างๆ แต่ที่ฉันทึ่งมากที่สุดคือ เป็นประเทศเดียวที่คนหลากหลายเชื้อชาติและศาสนา สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข ราวกับเป็นดินแดนในฝันของมนุษยชาติเลยทีเดียว”
“ประเทศเปเรซเอง ก็เป็นเมืองในฝันของชาวทีแลนด์ด้วยเหมือนกันค่ะ ด้วยวิสัยทัศน์และทัศนคติของผู้ปกครองที่ไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตาและดินฟ้าอากาศ คิดค้นวิธีที่จะนำพาประเทศและประชากรให้ขึ้นมาอยู่ในระดับที่สูงเกินกว่าแค่การอยู่ดีกินดี ดิฉันซึ่งเป็นชาวต่างชาติเพียงแค่รับรู้จากข่าวสาร ยังรู้สึกซาบซึ้งกับการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ไปด้วยขนาดนี้ คงไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกของประชาชนชาวเปเรซเลยว่า จะรักและภาคภูมิใจไปกับผู้นำประเทศของพวกเขามากมายสักเพียงใด”
หญิงสูงวัยยิ้มออกมาอย่างเต็มที่ ชอบใจในคำพูดประจบประแจงนั้น สีหน้าและท่าทางของหญิงสาวในขณะที่พูด ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นความรู้สึกที่ออกมาจากใจจริงๆ และยินดีไปกับทุกคำที่พูดเยินยอเหล่านั้นด้วยความจริงใจ
“เธอทำงานอะไรรึ ทำไมถึงได้สนใจและรู้เรื่องเกี่ยวกับประเทศเปเรซได้ละเอียดนัก?”
“ดิฉันเป็นยูทูปเบอร์ ที่กำลังจะพัฒนาตัวเองไปเป็นอินฟลูเอนเซอร์มาร์เกตติ้งด้านการท่องเที่ยว ซึ่งจะรวมเรื่องวัฒนธรรมในด้านต่างๆ ของประเทศนั้นๆ เข้าไปด้วยอย่างละเอียด ตอนนี้ก็เริ่มมีรีวิวโฆษณาร้านอาหารชั้นนำของเปเรซเพิ่งจะติดต่อเข้ามาด้วยค่ะ”
“น่าสนใจ! แต่คงไม่ได้มีความสามารถเพียงเท่านี้กระมัง คนที่จะดึงดูดความสนใจจากลูกชายของฉันได้ ความสามารถต้องไม่ธรรมดาสามัญทั่วไป”
“แค่กๆๆ! ขะ..ขอโทษค่ะ!” พริมโรสสำลักน้ำชาที่กำลังดื่ม ต้องรีบออกตัวขอโทษเป็นพัลวัน
สมแล้วที่เป็นแม่ลูกกัน ยีนเรื่องการอ่านใจผู้คนช่างล้ำลึกหาตัวจับยากจริงๆ!! นับถือ!!
หญิงสาวเหลือบตามองอีกคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เห็นนัยน์ตาพราวระยับเธอก็รู้แล้วว่า เขาจะไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เธอต้องลากสังขารออกไปจากสถานการณ์นี้ให้ได้ด้วยตัวเอง หญิงสาวกัดกรามแน่นเล็กน้อยเพื่อข่มอารมณ์
ฝากไว้ก่อน! อย่าให้ถึงทีฉันบ้างก็แล้วกัน!
“อาจจะเป็นความสามารถในการยิงปืนก็ได้ค่ะ ดิฉันยิงปืนได้ทุกชนิดแม่นราวกับจับวาง ไม่เคยพลาดเป้าเลยสักครั้ง!” เธอพูดแล้วเชิดหน้ามองเขาอย่างท้าทาย
เขาคล้ายจะสะดุ้งใจเล็กน้อย ทรงตัวนั่งตรงแล้วกระแอมเบาๆ หญิงสูงวัยอมยิ้ม เห็นทีท่าพยศเหมือนม้าที่ปราดเปรียวก็เข้าใจแล้วว่าอะไรคือความดึงดูดใจที่ว่านั่น
ผู้หญิงบางคนก็ยากที่จะสยบ พวกเธอไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่จะว่านอนสอนง่ายเสมอไป พ่อของเขาก็ชอบแบบนี้ด้วยเหมือนกัน
“เอาล่ะ! ป่านนี้เด็กๆ คงจะตั้งโต๊ะเสร็จแล้ว ไปทานข้าวกันดีกว่า” อิฟราอิมได้ยินมารดาพูดดังนั้นก็รีบลุกขึ้น เข้ามาพยุงแขนอย่างว่องไว พริมโรสแอบมอง รู้สึกพอใจกับการแสดงออกของเขาที่มีต่อผู้สูงวัยเช่นนี้
เมื่อประคองมารดานั่งลงที่หัวโต๊ะเรียบร้อย ก็หันมาเลื่อนเก้าอี้ให้เธอนั่งตามมารยาทสุภาพบุรุษ พอเธอนั่งลงเขาก็ก้มลงจุมพิตที่ด้านข้างขมับทันทีอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว แล้วทำปากพูดเบาๆ ว่าขอบคุณ จากนั้นก็เดินไปนั่งฝั่งตรงกันข้ามเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เธอรู้ว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของการแสดง แต่ก็รู้สึกเลยว่าใบหน้าตัวเองร้อนขึ้นมาอย่างยากที่จะระงับ ซึ่งก็คงจะแดงระเรื่อยไปถึงลำคอ นอกจากความรู้สึกเขินอายที่ไม่คุ้นชินแล้ว ยังมีความไม่พอใจผสมอยู่ในนั้นด้วย จึงตวัดสายตาค้อนไปอย่างหมั่นไส้ แต่เขากลับมองตอบมาอย่างหยิ่งยโส
หนอย! เล่นใหญ่รัชดาลัยเธียเตอร์เชียวนะ!! เล่ห์เหลี่ยมชักจะเยอะขึ้นทุกทีแล้ว!
…
หลังรับประทานอาหาร ก็คุยเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับสองประเทศอยู่ชั่วครู่ เขาก็ขอลากลับ เพราะต้องไปธุระต่อ เธอลอบถอนใจอย่างโล่งอก ที่ละครฉากใหญ่จบลงเสียที
ค่ำคืนแห่งพระเกียรติ ถูกจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติ ณ พระราชวังขององค์สุลต่าน งานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพถูกเนรมิตขึ้น อย่างวิจิตรตระการตา ทุกซอกทุกมุมของพระราชวังส่องประกายด้วยโคมไฟแก้วเจียระไนระยิบระยับ พรมแดงทอดยาวจากบันไดสู่โถงต้อนรับ โต๊ะอาหารเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ พร้อมเครื่องเงินแท้ที่ขัดเงาจนแวววาว เมนูรสเลิศจากเชฟมิชลิน ถูกเสิร์ฟแบบคอร์ส เคียงคู่กับเครื่องดื่มชั้นสูงจากทั่วทุกมุมโลก ขับกล่อมด้วยเสียงดนตรีออร์เคสตร้า ที่บรรเลงอย่างไพเราะ ทำให้ค่ำคืนนี้ สมพระเกียรติขององค์สุลต่านอย่างถึงที่สุด บรรดาผู้นำจากนานาประเทศ และทูตานุทูต ต่างตบเท้าเข้าร่วมงาน แขกเหรื่อล้วนเอ่ยปากชื่นชม ถึงบรรยากาศที่ได้รับการจัดเตรียมมาอย่างไร้ที่ติ และผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของงานนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น เจ้าหญิงไลลา สตรีหมายเลขหนึ่ง พระชายาของเจ้าชายอิดรีส ผู้ลงมาดูแลทุกอย่างด้วยตนเอง อย่างละเอียดถี่ถ้วน บางคนถึงกับกล่าวชมต่อหน้าเจ้าชายอิดรีส ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แม้เขาจะยังคงยืนสงบนิ่งในท่าทีสุขุมเช่นเคย แต่ในใจลึกๆ กลับรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ตนเลือกคู่ครองไม่ผิด สายตาของอิดรีส
แสงสว่างที่ลอยละล่องในความมืดส่องมาที่รินรดา พร้อมกับเสียงกระซิบที่แผ่วเบาแต่ชัดเจน เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของใครในโลกนี้ มันเหมือนเสียงที่มาจากที่ไกลโพ้น ฟังดูทั้งใกล้ และไกลในเวลาเดียวกัน“ถึงเวลาแล้ว...จงทำตามสัญญา!”รินรดารู้สึกเหมือนร่างกายของเธอกำลังล่องลอย แต่ในขณะเดียวกัน ก็ตกลงไปในความเวิ้งว้างอันไร้จุดสิ้นสุด เธอพยายามมองหาเจ้าของเสียงแต่ไม่พบใครเธอหลับตาลงแล้วทันใดนั้น ภาพอดีตของเธอเมื่ออายุสิบห้าปีก็ย้อนกลับมา เธอเห็นตัวเองยืนอยู่หน้าหินพ่อมดลาบราดอไลต์ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในห้องลับใต้พระราชวัง ความศักดิ์สิทธิ์ของมันทำให้เธอรู้สึกได้ ถึงพลังลี้ลับที่ซ่อนอยู่ภายใน เธอท่องบทสวดที่แอบจดจำไว้ พร้อมกับอธิษฐานถึงสิ่งที่อยากรู้ที่สุดในชีวิต นั่นคือ..การตามหาครอบครัวที่แท้จริงจากนั้นเธอก็เริ่มฝันซ้ำๆ เดิมๆ อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งถึงปัจจุบันเธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น พบว่าตัวเองยืนอยู่ในอุโมงค์ที่ทอดยาวไปสู่แสงสว่างที่อยู่เบื้องหน้า เธอรู้ว่านี่คือจุดที่ผู้ตายต้องเดินผ่านไปยังภพหน้า แต่แล้วเสียงอันศักดิ์สิทธิ์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง“รินรดา เธอยังมีสิทธิ์เลือกเส้นทางของตนเองอยู่นะ”เบื้องหน้าของเ
ค่ำคืนแห่งความสุขมาถึง... ท้องฟ้ายามราตรีของอาณาจักรเปเรซประดับไปด้วยแสงจันทร์และดวงดาวระยิบระยับ ขณะที่ปราสาทหลวง ถูกประดับด้วยผ้าม่านสีขาว และทอง ลวดลายอาหรับอันวิจิตร เจิดจรัสด้วยแสงไฟนวลอบอุ่น ของไฟระย้าคริสตัลสะท้อนแสง จนดูงดงามราวสรวงสวรรค์ ดอกไม้หายากจากทั่วทั้งอาณาจักร ถูกจัดวางประดับประดาไปทั่วบริเวณ สร้างบรรยากาศที่งดงาม ราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย ภายในห้องโถงใหญ่ของพระราชวัง พรมเนื้อละเอียดทอดยาวตั้งแต่ประตูไปจนถึงแท่นพิธี โต๊ะเลี้ยงอาหารค่ำประดับด้วยผ้าปักทอง ดอกกุหลาบและลิลลี่ขาวบริสุทธิ์ให้กลิ่นหอมอ่อนๆ ตัดกับแสงเทียนที่กระพริบไหว ม่านบางเบาปลิวไสวไปตามสายลมเย็นของค่ำคืน พระราชพิธีอภิเษกสมรส ถูกจัดขึ้นตามขนบธรรมเนียม เป็นพิธีนิกะห์อันศักดิ์สิทธิ์ของโมเสลม ภายใต้กฎหมายชารีอะห์ และธรรมเนียมของราชวงศ์ ซึ่งแสดงถึงความงดงาม และเปี่ยมไปด้วยความหมาย นักวิชาการศาสนา(อุละมาอ์) ผู้ประกอบพิธี นั่งอยู่บนแท่นหินอ่อน ด้านข้างมีพยานฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาว พร้อมด้วยบุคคลสำคัญจากราชวงศ์และข้าราชบริพาร เจ้าชายอิสราร์ ประทับยืนในชุดทางการขององค์มกุฏราชกุมาร เสด็จเข้ามายังแท่นพิธี พระอ
บรรยากาศภายในพระราชวังเปเรซวันนี้ เต็มไปด้วยความสงบและเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง ครบหนึ่งร้อยวันแห่งการจากไปของเจ้าหญิงรินรดา องค์สุลต่านทรงมีพระราชดำริให้จัด ‘โรงทานขนาดใหญ่’ เพื่อแจกจ่ายอาหาร และสิ่งของจำเป็นแก่ประชาชนผู้ยากไร้ ถือเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับ ภายในโรงทานถูกจัดขึ้นอย่างเป็นระเบียบ เต็นท์ขนาดใหญ่ถูกกางเรียงรายภายในลานกว้างของลานพิธีหน้าพระราชวัง โต๊ะยาวหลายตัวถูกตั้งไว้ สำหรับแจกจ่ายอาหารร้อนที่ปรุงสำเร็จ และขนมหวานอาหรับ เช่น บาสบูซาและกุนาฟา รวมถึงน้ำดื่มเย็นๆ สำหรับประชาชนที่มาร่วมรับแจกอาหาร บรรดาข้าราชบริพาร และอาสาสมัครจากประชาชน ต่างช่วยกันแจกจ่ายด้วยรอยยิ้ม แม้จะเป็นวันแห่งความอาลัย แต่ทุกคนก็เต็มใจทำความดี เพื่อเป็นบุญกุศล ให้แก่เจ้าหญิงผู้ล่วงลับ นอกจากอาหารแล้ว ยังมีจุดแจกอาหารแห้ง และของใช้จำเป็น เช่น อินทผลัม ข้าวสาร น้ำมันพืช เครื่องปรุงรส สบู่ และยาสามัญ เพื่อให้ผู้ยากไร้สามารถนำกลับไปใช้ที่บ้านได้ ภายในงานยังมีแพทย์อาสา คอยตรวจสุขภาพเบื้องต้นให้กับประชาชน ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการช่วยเหลือสังคม ที่เจ้าหญิงรินรดาเคยผลักดั
เสียงไซเรนรถพยาบาลแผดก้องไปทั่วท้องถนน แต่รามิลไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น หูของเขาอื้อไปหมด มีเพียงเสียงลมหายใจบางเบาของรินรดา ที่กำลังแผ่วลงทุกขณะ เป็นสิ่งเดียวที่เขากำลังโฟกัส เลือดของเธอเปรอะเปื้อนเต็มมือเขา ลามไปตามแขนเสื้อ แผ่นอก และหยดลงเป็นทางบนเปลพยาบาล ร่างเล็กที่เคยเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับนอนแน่นิ่ง แต่ถึงอย่างนั้น เธอยังคงยิ้มให้เขา “คุณ..รามิล…” เสียงของเธอเบาหวิวแทบไม่ได้ยิน “รดา! เดี๋ยวเราก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว… แค่ทนไว้ก่อนนะรดา อย่าหลับนะ ได้ยินผมไหม!?” รามิลกุมมือหญิงสาวแน่น น้ำเสียงสั่นเครือ ความกลัวถาโถมเข้าใส่จนเขาหายใจแทบไม่ออก รินรดาไอออกมาเป็นเลือด ก่อนจะระบายลมหายใจบางเบา “ท่านพี่… ปลอดภัยไหม?” หัวใจของรามิลเหมือนถูกบีบจนแหลกสลาย เธอกำลังอาการสาหัส แต่ยังเป็นห่วงพี่ชายมากกว่าชีวิตตัวเองเสียอีก “ปลอดภัย! เขาปลอดภัย..” รามิลเม้มริมฝีปากแน่น พยายามกลั้นสะอื้น “ทำไมต้องทำแบบนี้ ทำไมต้องเสี่ยงขนาดนี้ด้วยฮึ!?” “เพราะเขาคือ… พี่ชายของฉัน” รินรดายิ้มจางๆ เสียงเธอขาดหายเป็นช่วงๆ เปลือกตาของเธอหนักอึ้งลงทุกที “รดา! อย่าหลับนะ! มองผมสิ มองผม!” มือของเธอใน
เสียงโกลาหลของฝูงชนยังคงดังก้องทั่วลานพิธี แต่แล้วจู่ๆ ผู้คนก็เริ่มแหวกออกเป็นสองทาง ราวกับคลื่นน้ำที่ถูกแบ่งออกโดยพลังที่มองไม่เห็น ท่ามกลางช่องว่างที่เปิดออก ปรากฏร่างของชายคนหนึ่ง เขายืนอยู่ในเงามืด แฝงตัวอยู่ในกลุ่มประชาชนที่กำลังแตกตื่น ในมือของเขากำปืนไรเฟิล ที่บรรจุกระสุนเจาะเกราะแน่น สายตาคมกริบกวาดไปรอบบริเวณอย่างระแวดระวัง ก่อนจะกลับมาตรึงอยู่ที่เป้าหมาย บุรุษผู้ตายยากที่สุดเท่าที่เขาเคยสังหารมา ร่างสูงสง่าของเจ้าชายอิสราร์ ยืนเด่นอยู่บนลานพิธียกพื้น ราวกับถูกจัดวางให้อยู่ในระยะยิงอย่างเหมาะเจาะ โอกาสมีเพียงครั้งเดียว ทุกอย่างจะต้องเกิดขึ้นเร็วที่สุด และต้องสร้างผลกระทบที่รุนแรงที่สุด ถ้าจะต้องถูกจับหลังจากเหนี่ยวไก อย่างน้อยก็ขอให้มันได้ตาย..เพื่อสังเวยผู้ที่ข้ารักและเคารพเหนือสิ่งอื่นใด ผู้ที่สมควรได้รับทุกสิ่งที่ปรารถนาบนโลกใบนี้!! “ตอนนี้แหละ!!” อาซีฟพึมพำกับตัวเองก่อนจะรีบยกปืนขึ้น ปึ่ก! แรงกระชากอย่างรุนแรง ทำให้ปืนในมือของอาซีฟหายไปในพริบตา เขาตวัดสายตาไปด้านข้าง แววตาเปลี่ยนเป็นโทสะสีเข้มจัด แต่แล้วเขาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นใบหน้าของผู้ที่ชิงอาวุธไปจากมือเขา