บทที่ 2 แน่จริงพูดต่อหน้าสิ
“หัวเราะอะไรของมึงวะ” ผมหันไปมองไอ้เวย์เพื่อนสนิทที่กำลังนั่งพิมพ์รายงานอยู่หน้าโน้ตบุ๊ก “เสือกไรด้วย” “อ้าว ถามดีๆ ไหมเพื่อน” “ไอ้เวร” “เวย์ครับเวย์” “กูมีแฟนแล้ว” “ฮะ มึงว่าไงนะ” เวย์ถามอีกครั้งอย่างกับไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน “มึงหูตึงอีกคนหรือไงวะ” “มึงมีแฟน?” “เออ” “ไหนบอกว่ารอขอน้องลูกหมาลูกหมูอะไรเป็นแฟนเปลี่ยนใจแล้ว?” เวย์ถามด้วยความสงสัย “แฟนกูก็ลูกหมูลูกหมานั่นแหละ” “เชี่ย มึงไปบอกชอบน้องแล้วเหรอ” “ไม่ได้บอกชอบแค่ขอเป็นแฟน” “มึงจะบอกกูว่ามึงขอเป็นแฟนน้องเลยทั้งที่ไม่ได้บอกชอบ?” “อืม” “แล้วน้องยอม?” “อืม” “เชี่ย ความสัมพันธ์แบบอิหยังวะ ตอบตกลงเป็นแฟนมึงทั้งที่ไม่รู้จักมึงเนี่ยนะแปลกคนฉิบหาย” เวย์ได้แต่คิดในใจว่ามันจะมีคนแบบนี้ด้วยเหรอที่ยอมคบกับคนคนหนึ่งทั้งที่ไม่รู้จัก “ไม่เห็นแปลกคนหล่อหน้าตาดีแบบกูใครก็อยากได้เป็นแฟน” “หลงตัวเองเกินไปแล้วมึง แล้วน้องไม่ถามมึงเลยหรือไงว่ามึงเป็นใครทำไมถึงขอเป็นแฟน” “ถามแต่กูบอกมีธุระเลยไม่ได้คุยต่อ” “ทำกูรู้สึกผิดเลยที่ธุระของมึงคือมาหากูเนี่ย ไอ้ที่หัวเราะแล้วยิ้มเหมือนคนบ้านี่คือคุยกับน้อง” “เออ จะให้กูคุยกับใครละ” “หึ พ่อคนคลั่งรักเพราะแค่เห็นสาวปารองเท้าโดนหัวโจรช่วยคนแก่” “เลิกพูดมากแล้วมาทำรายงานส่งอาจารย์แม่มึงได้แล้ว” “ครับๆ ทำแล้วครับ” ผมก็ยอมรับว่าเหตุการณ์วันนั้นทำให้ผมชอบเธอจริงๆ นั่นแหละ ผู้หญิงตัวกลมๆ วิ่งตามโจรขโมยกระเป๋าเงินคุณยายข้างถนนพอวิ่งไปสักพักเธอก็เริ่มโมโหถอดร้องเท้าปาแม่นอย่างกับจับวางโดนหัวโจรคนนั้นเข้าเต็มๆ ภาพวันนั้นยังติดตาผมไม่หายเลย “เสร็จสักที” “เสร็จแล้วกูกลับแหละ” “เออ กลับให้ถึงบ้านนะมึงไม่ใช่แอบไปหาสาว” “เสือก” หกโมงเย็น ผมออกจากคอนโดของไอ้เวย์ ก่อนจะขับรถเพื่อที่จะกลับบ้าน ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับว่าทำไมผมถึงกลับบ้านไม่ได้กลับคอนโดเพราะร้านทองบ้านผมอยู่ใกล้มหาลัยป๊าม๊าเลยให้นอนเฝ้าร้านทองไปเลย “ตัวเงินไปกินข้าวเย็นกัน” ผมขับรถมาจอดหน้าหอพักของลูกหมูแฟนของผมเพื่อจะชวนเธอไปหาอะไรทานตอนเย็น “ (ตอนนี้?) ” “ใช่ ลงมาตัวทองมารออยู่หน้าหอตัวเงินแล้วถ้าช้าจะขึ้นไปลากลงมาเอง” พอมาคิดดูชื่อที่ใช่เรียกกันมันก็แปลกๆ จริงๆ เหมือนผมโดนหลอกด่ายังไงก็ไม่รู้แต่ถ้าเธอว่าดีนนท์ก็ว่าดี “ (หึ นายไม่รู้ห้องฉันหรอก) ” “304 ชั้น 3” “ (เออ กำลังลงไป) ” เธอคงแปลกใจว่าผมรู้หอรู้เลขห้องเธอได้ยังไง เอ่อ...ผมบอกก่อนนะว่าผมไม่ใช่โรคจิตหรือสโตกเกอร์และที่ผมรู้เพราะหอที่เธอพักเป็นธุรกิจเล็กๆ ของที่บ้านผมเอง “ไหนบอกพามากินข้าว” “อยากกินชาบูมากกว่ามาเถอะเดี๋ยวเลี้ยงเอง” ฉันมองตาหลังนายอินทนนท์ที่กำลังเดินเข้าไปที่ร้านชาบูสุดหรูก่อนจะก้มลงมองชุดตัวเองที่ใส่ออกมาแล้วได้แต่ถอนหายใจออกมาแรงๆ “บอกว่าจะพามากินข้าวเราก็นึกว่ากินข้าวขาหมูหน้าหอแต่ที่ไหนได้พามาร้านชาบูสุดหรูขนาดนี้ โอ๊ย! ไม่สงสารชุดนอนเก่าๆ ลายม้าโพนี่ที่ฉันใส่เลยหรือไงพ่อคุณ!” หงุดหงิดๆ จนอยากยักแทะกระดูกไก่เล่น “ยืนทำเซ่ออะไรอยู่เข้ามาสิ” พลึบ สุดท้ายฉันก็โดนตัวทองจูงมือเข้ามานั่งกินชาบูในร้านจนได้ และใช่หลังจากที่เข้ามาในร้านทุกโต๊ะต่างมองมาที่ฉันกับเขาอย่างสนใจ “ทำอย่างกับว่าไม่เคยเห็นคนหน้าตาดีนั่งกินชาบูไปได้” “เธอเอาน้ำอะไร” “โค้ก” “หมายถึงน้ำชาบู” เอ้า แล้วก็ไม่ถามให้ดีใครจะไปรู้ “ต้มยำกับน้ำดำ” “…” นายนนท์ ขอเรียกอย่างนี้แล้วกันเรียกอินทนนท์มันยาวไปขี้เกียจพูดเยอะเจ็บคอ นายนนท์สั่งของที่อยากได้ก่อนจะกดสั่งผ่านเครื่องสั่งอาหารที่ทางงานติดตั้งไว้ตามโต๊ะไม่นานของที่สั่งก็มาอยู่บนโต๊ะ ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง ปลาหมึก หมูสันนอกสไลด์ หมูสามชั้นสไลด์บางๆ อีกมากมายแล้วก็ผักที่ยกมาเกือบทั้งสวนเลยมั้ง “นายชอบกินผักงั้นเหรอ” ฉันมองผักที่มากกว่าสี่จานบนโต๊ะก่อนจะถามเขา “เปล่าสั่งมาให้เธอ” “เรื่องอะไรสั่งมาก็กินเองสิ ฉันไม่ชอบผัก” “พามาเลี้ยงอย่าเรื่องเยอะกินๆ ไปเถอะไม่ตายหรอกมันดีต่อสุขภาพ” “หมูกับเนื้อมันก็ดีต่อสุขภาพเหมือนกันนั่นแหละ” “เถียงเก่ง” “ขอบคุณที่ชม” ฉันยิ้มรับคำชมจากหมอนี่กินจะตักหมูที่อยู่ในหม้อชาบูขึ้นมากิน “งื้ม อร่อยยย” อร่อยจริงๆ สมกับราคาที่แพงหูฉีก โอ้ยอร่อยจนอยากเข้ามานั่งกินทุกวันให้หมดตัว “ค่อยๆ กินเดี๋ยวก็ติดคอหรอ” พลึบ! “…” นิ่งไปเลยฉัน เพราะจู่ๆ นายนนท์ก็หยิบเช็ดชูมาเช็ดปากให้ฉัน “ปากเลอะ กินอย่างไงของเธอซกม๊กจริง” เอ่อ เมื่อกี้เกือบเขินล่ะ แต่ตอนนี้มันได้หายหายไปหมดเลยความเขินที่กำลังก่อตัวขึ้นมาอย่างกับพายุ “นั้นปากหรือโถส้วม ปากเสียชะมัด” “ลองชิมดูไหมละว่าปากฉันเหมือนส้วมจริงหรือเปล่า” “หยี้ ไม่เอาเลิกพูดเรื่องโถส้วมเถอะเดี๋ยวชาบูแสนอร่อยมันจะไม่อร่อย” ฉันบอกเขาก่อนจะตักหมูที่นอนแช่ออนเซ็นน้ำดำขึ้นมานั่งพักบนจานราดน้ำจิ้มรสเด็ดของทางร้านและพาพวกหมูทั้งหลายไปทัวร์ในปากก่อนจะลงไปเที่ยวต่อในกระเพาะอาหารของฉัน โอ้ยอูมามิสุดๆ ลูกหมูช๊อบชอบ “แกว่าผู้ชายหล่อคนนั้นเป็นแฟนของยัยอ้วนนั่นไหม” “ฉันว่าไม่น่าใช่ผู้ชายหน้าตาดีขนาดนั้นคงไม่ใฝ่ต่ำเอาผู้หญิงอ้วนแบบนั้นมาเป็นแฟนหรอก” “นั่นสินะแกฮาฮ่าฮา ฉันนี่คิดอะไรเนอะ” อ้วนแล้วไปหนักหัวพวกหล่อนหรือไงยะ หมดกันชาบูแสนอร่อยของฉันเบื่อจริงๆ พวกบูลลี่คนอื่นเนี่ย ส่วนหมอนี่ก็อีกคนเอาแต่จ้องจะตักผักมาใส่จานฉันอยู่ได้ไม่ได้ยินยัยสองคนนั้นนินทาเลยหรือไงกัน “ไม่ต้องไปสนใจ” พูดแบบนี้แสดงว่าได้ยินสินะ “อืม” ถึงแม้ในใจอยากจะยกหม้อชาบูไปราดหน้าหนาๆ ของยัยสองคนนั้นก็ตามเถอะครั้งนี้ปล่อยไปก่อนแล้วกัน “พอแล้วผักมันจะเยอะกว่าหมูอยู่แล้ว” ฉันบอกเขาเพราะเห็นว่ากำลังจะลงผักทั้งหลายลงในหม้อชาบูให้อีกเยอะกว่านี้มีหวังฉันอ้วกแน่ๆ คนยิ่งไม่ชอบผักอยู่ถ้าลงหมูเพิ่มก็อีกเรื่องหนึ่ง “อิ่มจังเลย” “แน่สิ เธอกินไปตั้งเยอะร้านเขาเองแล้วมั้ง” “อย่ามาเวอร์มันไม่ได้เยอะขนาดนั้น” “นาย ขอไลน์หน่อยสิ” ระหว่างที่ฉันกับนายอินทนนท์กำลังเดินคุยกันไปที่รถจู่ๆ ก็มีผู้หญิงสองคนเข้ามาขอไลน์หมอนี่ที่ตอนนี้เป็นแฟนฉัน พอมองหน้าดีๆ ผู้หญิงสองคนนี้คือคนที่นินทาฉันในร้านชาบูเมื่อกี้ แหมช่างกล้านะยะหล่อนนินทาแฟนเขาแล้วยังมีหน้ามาขอไลน์แฟนฉันต่อหน้าฉันอีก “มีแฟนแล้ว ไปกันเถอะ” เขาบอกก่อนจะจับมือฉันเพื่อเดินไปที่รถที่จอดอยู่ไม่ไกล “ด...เดี๋ยวสิไหนล่ะแฟนนายไม่เห็นเลยอย่ามาโกหกเลยดีกว่า” ตาบอดหรือไงแฟนไอ้บ้านี่ก็ยืนหัวโด่อยู่นี่ไงค่ะ “นั่นสิ อย่ามาโกหกเราสองคนดีกว่า” “ผู้หญิงคนนี้ไงแฟนฉัน” “ห๊ะ ยัยอ้วนม่อต้อเนี่ยน่ะนะ” “ฉันไม่ได้ไปอ้วนบนหัวหล่อนซะหน่อย” หงุดหงิดโมโหอยากถอดรองเท้าช้างดาวห้าดวงตบปากคนโว้ยยย! “นายอย่ามาโกหกหน่อยเลยพวกฉันไม่เชื่อว่านายจะตาต่ำไปคบกับยัยอ้วนนี่” พลึบ จ๊วบ! “…” ช็อกสติหลุดไปเลย จู่ๆ นายอินทนนท์ก็จับล็อกหน้าฉันไว้แล้วก้มลงมาจูบฉันดังจ๊วบต่อหน้ายัยสองคนนั้น ไอ้บ้าเอ้ย…จูบแรกของฉันเลยนะโว้ยถ้าจะจูบก็ช่วยบอกกันก่อนสิจะได้เตรียมตัวเตรียมใจก่อน! “เชื่อหรือยังว่ายัยนี่เป็นแฟนฉันคงไม่ต้องถึงขนาดเล่นหนักสดให้ดูหรอกนะ อ๋อ...แล้วทีหลังอย่าไปเที่ยวพูดดูถูกใครแบบนี้อีกมันน่าเกียจส่อถึงกมลสันดานของพวกเธอที่สมองมีแต่ความคิดต่ำๆ ไร้การศึกษาแบบนี้” อุ๊ย!แรง แรงมากแม่โดนผู้ชายด่าขนาดนี้เป็นฉันวิ่งหนีไปผูกคอตายใต้ต้นถั่วงอกแล้วนะจังหวะนี้ “น...นายกรี๊...” “หยุด! ไม่ต้องกรี๊ดช่วยหัดเกรงใจคนอื่นเขาบ้างอย่างน้อยมารยาทก็ควรจะมีมากกว่าสมองหน่อย” “...” นิ่ง ยัยสองคนนั่นนิ่งอึ้งไปเลยที่โดนว่าไปขนาดนั้นเข้าใจเป็นใครก็ช็อก “ไปกันเถอะ” “นายไปก่อนเลยฉันขอพูดอะไรกับสองคนนี้นิดหน่อย” “อืม รีบตามมา” “ค่ะ คุณแฟน” ฉันตอบรับนายอินทนนท์เสียงหวานพร้อมแน่นคำว่าแฟนชัดๆ ให้ยัยสองคนนี้ได้ยินเต็มสองรูหูของพวกหล่อน “มองทำไมอีอ้วน!” “มองพวกที่คิดว่าตัวเองสวยกว่า...” “แน่นอนพวกฉันสวยกว่าแกอยู่แล้ว” “อืมใช่ สวยกว่าแต่ผู้ชายไม่เอา” “กรี๊ดดดด” “ไม่เอาอย่ากรี๊ดเกรงใจคนอื่นบ้างมารยาทในสังคมนะรู้จักกันไหม” “แก!” “ทีหลังจะนินทาอะไรใครแน่จริงพูดต่อหน้าสิ” “…” “ทำแบบนี้มันเหมือนพวกดีแต่เห่าแต่กัดไม่เป็น” “หึ อย่างน้อยฉันสองคนก็สวยกว่าหุ่นดีกว่าแกแหละยะ” "อุ๊ย...ผอมกว่าสวยกว่าแล้วยังไงสุดท้ายเขาก็เลือกฉัน! โฮโฮ่โฮ" (หัวเราะอย่างผู้ชนะ) ฉันบอกยัยสองคนนั้นทิ้งท้ายก่อนจะรีบเดินไปที่รถที่มีนายอินทนนท์สตาร์ทรถรออยู่แล้ว ฉันเดินออกห่างไม่นานเสียงกรีดร้องโหยหวนของชะนีร้องหาผัวทั้งสองก็ดังขึ้นจนคนในร้านชาบูหันมามองกันหมด เฮ้อ สุดท้ายสองคนนั้นแม้แต่มารยาทก็ยังไม่รู้จักส้มแล้วที่สมองไม่มีอยู่ในหัวตอนพิเศษ ดำนาช่วยพ่อตา5 ปีต่อมา ห้าปีแล้วนับตั้งแต่งานแต่งงานจนตอนนี้ฉันเรียนจบมาช่วยงานที่บ้านเรียบร้อย ถึงจะบอกว่าช่วยงานที่บ้านฉันก็แค่เปิดร้านขายปุ๋ยขายยาโดยผู้สนับสนุนหลักจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากสามีสุดที่รัก เขาเองก็มาอยู่กับฉันที่กำแพงเพชร แต่ยังคงเปิดร้านทองเหมือนเดิมแถวตัวเมื่อ เราสองคนก็ยังคงไปมากรุงเทพฯ กำแพงเพชรอยู่เรื่อย ๆ ชีวิตฉันตอนนี้มีความสุขมากเลย“หนูครับ”“ครับ หนูอยู่ตรงนี้”“ทำไมคนถึงมาบ้านเราเยอะขนาดนี้” สามีที่น่ารักเข้ามากอดฉันพร้อมกับหอมแก้มไปสองที“หนูยังไม่ได้บอกเหรอว่าวันนี้มีกิจกรรมของหมูบ้านดำนาประจำปี”“หืม ดำนา?” “ทำหน้าอย่างนี้ไม่รู้สินะ ดำนาก็คือการที่เรานำต้นกล้าหมายถึงต้นข้าวที่โตประมาณยี่สิบถึงยี่สิบห้าวันไปลงนาเพื่อปลูกน่ะ” ฉันอธิบายให้เขาเข้าใจ“แล้วที่พ่อบอกไปหว่านข้าวล่ะไม่เหมือนกันเหรอทำไมถึงต้องดำนาอีก”“เหอะ จะหว่านจะดำนาก็เหมือนกันนั่นแหละสุดท้ายก็เป็นข้าวให้เรากินกันอยู่ดี” ฉันที่ขี้เกียจอธิบายให้เขาเข้าใจจึงบอกตัดบทไป“แล้ว...”“พอเลิกสงสัยแล้วไปลองลงมือทำเองเลยดีกว่า” ฉันบอกเขาพร้อมกับจับมือไปที่รถขนกล้า“อืมได้ น่าสนุกดี” 20
บทที่ 40 อินทนนท์เป็นของลูกหมู @วันงานแต่งงาน“โห่ ฮี่โห่ ฮิ่โห่ ฮิ่โห่ ฮิ่โหยยย”“ฮิ้วววว”“ใครมีมะกรูดมาแลกมะนาวใครมีลูกสาวมาแลกลูกเขยเอาวะเอาเหวย ลูกเขยผู้ใหญ่นิดมาตาลาลา...”“หู้ยย..ฮา..โห่..ฮี้ว” เสียงเพลงวงลำแคนแต่งงานดังมาตั้งแต่ปากซอยก่อนจะเข้ามาถึงบ้านเจ้าสาวที่อยู่ห่างไม่ไกลบรรดาญาติฝ่ายหญิงเต้นรำตามขบวนขันหมากเพลงลำแคนอย่างสนุกสนานสร้างสีสันให้ขบวนได้เป็นอย่างดี ใช้เวลาเดินขบวนไม่นานขบวนขันหมากของอินทนนท์ก็ได้มาหยุดที่หน้าบ้านเจ้าสาวแสนสวยเป็นที่เรียบร้อย“ขอให้เพื่อนผมเข้าไปเจอเจ้าสาวหน่อยครับ” เวย์รับหน้าเอ่ยบอกคนกั้นประตูเงิน“จะเข้าไปต้องมีอะไรมาแลกนะจ๊ะ ซองไม่หนักประตูไม่เปิดจ๊ะ” ลูกเจี๊ยบบอกด้วยรอยยิ้ม“นี่เลยครับ เจ้าบ่าวเตรียมชุดใหญ่ให้เรียบร้อย” น่านที่รับหน้าที่เป็นคนถือซองยื่นซองขาวใส่เงินจำนวนหนึ่งให้ทั้งสองคนที่กั้นประตูเงินไว้ไป“ว้าว เชิญเลยจ๊ะ” เมื่อได้รับซองประตูเงินก็เปิดออกอย่างง่ายดาย“ไปเพื่อนไปหาเจ้าสาวมึงกัน” น่าน“เดี๋ยวค่ะ ยังเข้าไปไม่ได้นะคะ” เดินเข้ามาได้ไม่นานขบวนเจ้าบ่าวก็เจอเข้ากับประตูทองที่หนอไม้กับปกป้องยืนถือสร้อยทองกั้นป
บทที่ 39 พรีเวดดิ้ง“เอ็งสองคนไปถ่ายรูปติดงานแต่งกันได้แล้ว”“พรีเวดดิ้งพ่อ”“เออนั่นแหละ ไปถ่ายกันได้แล้วข้ากับเทวาเตรียมงานหมดแล้วแล้ว” “จ๊ะ” หลังจากพูดคุยกันเสร็จเรียบร้อยทั้งสองครอบครัวจึงแยกย้ายไปจัดเตรียมของต่างๆที่จะใช้ในงานแต่งงานอีกครั้ง ลูกหมูกับอินทนนท์พร้อมเพื่อนและพี่แยกกันไปถ่ายรูปพรีเวดดิ้งทุ่งนา“เนี่ยเหรอวะต้นข้าว” เวย์เอ่ยถามอย่างตื่นเต้นเมื่อได้เห็นต้นข้าวของจริงใกล้ๆ“ค่ะ ใกล้ได้เวลาเกี่ยวแล้ว”“แล้วต้นเขียวๆตรงนั้นคือข้าวเหมือนกันใช่ไหมลูกหมู” น่านชี้ไปที่ทุ่งนาอีกฝั่งที่เป็นต้นอ่อน“ใช่ค่ะ ต้นกล้าอ่อนยังไม่โต กว่าจะโตเราต้องให้น้ำให้ปุ้ยค่อยบำรุงให้ต้นข้าวโตได้ดี” ฉันอธิบายให้พวกเขาฟังก็อย่างนี้ล่ะนะคนเมืองไม่ค่อยเจออะไรแบบนี้จึงไม่ค่อยรู้ถึงความลำบากของชาวนาว่าจะได้ข้าวไปให้กิน“สวยจริงๆ เหมาะแล้วที่เลือกถ่ายพรีเวดดิ้งที่นี้” อินทนิลเอ่ยบอก“พร้อมถ่ายกันหรือยัง คนถ่ายพร้อมแล้วนะครับ” เวย์ ใช่แล้วพวกเราไม่ได้จ้างตากล้องมาถ่ายรูปให้เพราะพี่เวย์เองก็ถ่ายรูปแต่งรูปได้ดีมากจึงอาสาทำให้เราฟรีๆ แต่ฉันว่าจ้างจะถูกกว่าเพราะพี่เขาเล่นไปซื้อของจัดฉากจัด
บทที่ 38 หนุ่มน้อยตกน้ำ“ทนไม่ไหวแล้วโว้ย! ถ้าจะหอนดังขนาดนั้นแน่จริงก็เดินมาพูดต่อหน้าสิวะอีพวกผีเปรตขอส่วนบุญ!” ใครจะมองยังไงช่างแม่งแล้วขอทีเถอะพวกชอบนินทาคนอื่นเนี่ยชีวิตนี้คงไม่มีอะไรทำหรือไงวะถึงได้ชอบอิจฉาคนอื่นไปทั่วถ้าไม่ได้สั่งสอนวันนี้คงนอนไม่หลับ“หนูเป็นอะไร”“มานี่” ฉันลากพี่นนท์เดินตรงไปยังกลุ่มผีเปรตที่ร้องขอส่วนบุญทันที“อะ...อะไร” “ไหนคนไหนชื่อเนย!” ฉันถามพวกมันทั้งเจ็ดคนพร้อมกับมองเรียงตัวและสายตาของทุกคนก็มองไปที่ผู้หญิงคนหนึ่ง“คนนี้สินะ พี่นนท์ชอบหน้าตาและหุ่นอย่างยัยนี่มั้ย”“ครับ?”“หนูถามว่าพี่ชอบหุ่นหน้าตาอย่างยัยนี่มั้ย?”“ไม่ครับพี่ชอบหนู ไม่สิพี่รักลูกหมูคนเดียว”“ชัดไหมยัยพวกไม้เสียบผี เขารักฉันถึงไม่สวยแน่แต่ผู้ชายที่พวกเธออยากได้เขารักฉันของใครให้รู้ซะบ้าง”“แกอีกอ้วน!”“อ้วนแล้วหนักหัวแม่...”“นิสัยเหมือนน่าตาเลยนะครับ”“คะ?”“พวกคุณทำตัวน่ารังเกียจมาก”“สุดหล่อพวกเรายังไม่ได้ทำอะไรยัยอ้วนนี่เลย จู่ๆมันก็เดินมาหาเรื่องพวกเราก่อนอย่างนี้ใครเป็นคนน่ารังเกียจกัน”“เหรอครับ แล้วการที่พวกคุณนินทาต่อว่าคนอื่นมันดีมากเลยสินะ”“พวกเราก็แค่คุยกันขำๆ
บทที่ 37 เที่ยวงานวันก็ได้เรื่องเกิดความเงียบขึ้นเมื่อได้ยินเมื่อได้ยินสิ่งที่ลูกหมูบอก ผู้ใหญ่นิดจ้องมองไปที่เครื่องนวดหอมพร้อมกับหหัวเราะออกมาเสียงดัง“ฮาฮ่าๆ นวดกันรึงั้นก็แล้วไป เออข้าลืมเลยว่าแม่เองให้ข้ามาตามไปกินข้าวไปๆรีบตามกันมาล่ะ” ผู้ใหญ่นิดบอกก่อนจะเดินออกจากห้องเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ทั้งห้องเกิดความเงียบทุกสายตามองตามหลังของผู้ใหญ่นิดก่อนจะหันหน้ามองกัน“จบเรื่องง่ายขนาดนี้เลย”“นี่แหละพ่อมึง จัดของเสร็จก็ลงไปกินข้าวเดี๋ยวรอนานพ่อเอ็งจะหมาบ้าเข้าอีก ลงไปกันเถอะจบเรื่องแล้ว” สาวสายหน้าเอือมระอาพร้อมกับเอ่ยบอกคนทั้งเจ็ดที่กำลังยืนอึ้งกับเหตุการณ์ก่อนหน้า“ลุกออกมาได้แล้วอินทนนท์เป็นลูกผู้ชายซะเปล่าเข้าไปแอบทำไม” เทวาเอ่ยถามลูกชายที่กำลังนั่งหลบอยู่ใต้โต๊ะฟึ่บ!“โธ่ ป๊าก็พูดได้สิป๊าไม่ได้เจอแบบผมนิ”“หึ เจอแค่หมัดกับเท้าป๊าเจอปืนจ่อหัวยังไม่หลบเหมือนแกเลยไอ้ลูกชาย” เทวาว่าออกมาพร้อมกับเดินออกจากห้องไป“จริงเหรอม๊า” อินทนนท์เอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ“จ๊ะ ลุกขึ้นจัดการตัวเองแล้วตามม๊ามานะ” น้ำอิงบอกก่อนจะเดินตามสามีไป“ฮาฮ่า กูอยากถ่ายรูปมึงตอนนี้เอาไปเปิด
บทที่ 36 ลูกเขยเวร!“เก็บท้องไว้กินของแม่ด้วยพวกมึง” ผมเตือนมันสองตัวที่ขอเพิ่มขนมจีนน้ำยาป่าคนละสองจานแล้ว“เออ รู้แล้วแต่น้ำยาที่ใส่ขนมจีนอร่อยวะ” น่าน“จริงกูพึ่งเคยกินครั้งแรกเลย” เวย์ “พี่ก็ว่าอร่อย”“ใช่ไหมที่ผมเคยกินยังไม่อร่อยขนาดนี้เลย”“หรือเพราะพวกเราหิว” น่าน“อร่อยก็คืออร่อย ว่าแต่พี่นิลมานานแล้วเหรอพี่” เวย์เอ่ยถามอินทนิล“มาเพื่อวานตอนดึกเลย เพราะไอ้นนท์มันโทรมาบอกเรื่องเลื่อนงานแต่งงานเข้ามาม๊าป๊าเลยต้องมาเตรียมงานให้มัน” อินทนิลถือโอกาสบ่นน้องชายนิดหน่อย“ช้าเร็วผมก็แต่งอยู่แล้ว”“เออ กูรู้แต่นี่มันก็เร็วไปไหม เอาเหอะไม่มีใครขัดมึงอยู่แล้ว”“พี่นิล ป๊าม๊าไม่ได้ว่าอะไรใช่ไหมคะ?” เรียกพี่นิลทีไรชอบนึกถึงปลานิลนึ่งทุกทีเลยฉัน“ใครจะว่าอะไรล่ะครับ ป๊าม๊ายินดีจะตายจะได้ลูกหมูมาเป็นลูกสะใภ้เร็วขึ้นที่สำคัญ...เตรียมตกใจสินสอดที่ป๊าม๊าขนมาให้หนูได้เลย” สินสอดอะไรอีกทองที่ให้มาพ่อแม่ฉันยังไม่แตะเลย“สินสอดอะไรอีก แล้วของที่ให้คราวก่อน...”“มันไม่เหมือนกันสิครับ อันนั้นของฝากอันนี้สินสอด” โอ้มายก๊อด! นี่สินะที่เรียกว่าตกถังข้าวสาร แหะๆ“เอ่อ...พี่นิลช่วยกระซิบบอกหนูหน่อยได้ไหม