ต่างคนต่างเงียบงันไปครู่หนึ่ง... น้ำตาสองสายค่อยๆ ไหลรินลงมาจากดวงตาที่ดูชราไปอีกหลายปีในชั่วเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ อาบใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลาของเหอผิง อาเฟยรู้สึกอึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออก แต่ต้องพยายามวางสีหน้าให้สงบนิ่งเอาไว้ เหอกวงนั้นดวงตาฉายแววดูแคลนวูบหนึ่ง คิดในใจว่า...ที่แท้ปู่ที่ชอบวางท่าทียโสจนคุ้นตาของเขานั้นมีกำพืดเป็นแค่เด็กยากไร้ในชนบท!"ข้าได้แต่นำป้ายวิญญาณของมารดากับเงินจำนวนน้อยนิดมุ่งหน้าเดินทางเข้าเมืองหลวง...ซินเหมยนำเงินเก็บทั้งหมดของนางมามอบให้ข้าติดตัวมาด้วย ข้าสัญญากับนางว่าเมื่อสร้างตัวได้จะไปรับนางมาอยู่ด้วย ซึ่งข้าก็ได้ทำตามสัญญา แม้นางจะไม่ได้เป็นฟูเหรินเอก เป็นแค่ฟูเหรินรองก็ตาม แต่ข้าก็ดูแลนางอย่างดี" เหอผิงถอนหายใจ "แต่ก่อนที่ข้าจะสร้างตัวได้ ข้าต้องทนกับความอัปยศอดสูไม่น้อย...ข้าเข้าเรียนที่สำนักศึกษาแห่งหนึ่งในเมืองหลวง ที่นั่นข้าได้รู้จักกับหวงหลงซึ่งมีบิดาเป็นบุตรชายคนรองเหมือนกับข้า แต่บิดาของเขากลับได้รับมรดกอย่างเป็นธรรม และนำมาลงทุนค้าขายในเมืองหลวง อีกทั้งเหมือนดังเทพเซียนเมตตาบิดาของหวงหลงเป็นพิเศษ
ลั่วซวงจึงเล่าเรื่องราวที่พระชายาอาเฟยแต่งตั้งให้นางเป็นผู้นำตระกูลลั่ว ช่วยให้นางพ้นโทษเนรเทศให้ทุกคนฟัง ยกเว้นวิธีการช่วยเหลือครอบครัวตระกูลเหออย่างลับๆ ที่พระชายาอาเฟยแนะนำนั้นมิได้บอกกล่าวออกไป เพราะเป็นเรื่องที่เปิดเผยไม่ได้ เหอผิงฟังอย่างสงบ เหอทงมีสีหน้ายินดีเล็กน้อย ซินเหมยภรรยารองของเหอผิงพร่ำพูดแต่ว่า "แล้วอาเถียนลูกสาวของข้าล่ะ?" มารดาของลั่วซวงน้ำตาไหลเพราะความดีใจ "อยู่ทางนี้ลูกต้องทำตัวดีๆ นะ อย่าทำให้พระชายาขุ่นเคืองใจเป็นอันขาด" "เจ้าค่ะ ท่านแม่" ลั่วซวงรับคำ "พี่ละนับถือเจ้าจริงๆ" เหอกวงกล่าวด้วยน้ำเสียงกระแนะกระแหน "ยอมทิ้งแซ่เพื่อความสุขสบาย" ลั่วซวงจึงอธิบายว่า "แซ่ 'ลั่ว' นี้เป็นแซ่ของท่านทวด ข้าสืบต่อก็สมควรอยู่มิใช่หรือท่านพี่?" เหอกวงขยับปาก แต่ไม่ทันได้พูดอะไร เสียงเหอผิงก็ดังแทรกขึ้นเสียก่อน "อาซวง เจ้าช่วยปู่สักเรื่องเถิด" "ให้หลานทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ?" "ช่วยให้ปู่ได้พบกับพระชายาอาเฟยสักครั้งก่อนจะถูกเนรเทศ" "ข้าก็ต้องการพบพระชายาเช่นกัน" เหอกวงเอ่ยแทรกขึ้น เรื่องเหอผิง
หลังจากไท่ชินอ๋องให้อ่านราชโองการประกาศโทษทัณฑ์ในท้องพระโรงเสร็จ ทุกอย่างก็ถูกจัดการตามนั้นอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ลั่วซวง (แซ่ใหม่ของเหอซวง) ถูกนำตัวมาพบกับพระชายาอาเฟยที่พระตำหนักตะวันตกซึ่งเป็นที่อยู่ของท่านอ๋องสี่และพระชายาอาเฟยพอเข้ามาในห้องโถงรับรองที่อาเฟยนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน...ลั่วซวงซึ่งบัดนี้แต่งกายงดงามสมฐานะประมุขตระกูลลั่ว ก็คุกเข่าลงโขกศีรษะ "น้อมคารวะพระชายาเจ้าค่ะ" "เชิญลุกขึ้น" พระชายาอาเฟยกล่าว "ขอบพระคุณเจ้าค่ะ" นางน้อมคำนับอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้อย "เชิญนั่ง" พอพระชายาอาเฟยออกปาก ขันทีก็ยกเก้าอี้มาให้ลั่วซวงนั่ง พร้อมกับมีโต๊ะเล็กมาวางข้างๆ และน้ำชาอย่างดีในถ้วยหยก "ว่ากันตามอายุแล้ว...ข้าต้องเรียกแม่นางว่าพี่สาว" อาเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ "มิกล้า" ลั่วซวงกล่าวด้วยกิริยาสุภาพนอบน้อม "เพียงแต่ข้าน้อยสงสัยว่าเพราะเหตุใดพระชายาจึงเลือกข้าน้อยเป็นผู้นำตระกูลลั่ว แทนที่จะเป็นพี่ชายของข้าน้อยซึ่งมีคุณสมบัติดีกว่าข้าน้อยในทุกๆ ด้าน?" พระชายาอาเฟยคลี่ยิ้มเล็กน้อย พลางคิดในใจ... เหอกวงมีค
"ตามใจเจ้าก็แล้วกัน" ไท่ชินอ๋องกล่าวกับอาเฟย "ขอบพระคุณขอรับ" พระชายาอาเฟยค้อมศีรษะคำนับอย่างสุภาพ "เอาละ...ข้าจะพิจารณาคดีต่อ..." ไท่ชินอ๋องเข้าเรื่องงาน "สมบัติตระกูลเหอให้ตรวจสอบอย่างละเอียดว่า...ส่วนใดเป็นสินเดิมของเหอฟูเหริน ก็คืนแก่ตระกูลลั่ว ส่วนใดที่เหอผิงและบุตรชายฉ้อราษฎร์บังหลวงมา ก็ยึดกลับหลวง ส่วนทุกคนในจวนให้แยกแยะให้ชัดเจนว่า ผู้ใดเป็นคนตระกูลเหอ ผู้ใดเป็นคนตระกูลลั่ว คนตระกูลเหอต้องโทษเนรเทศ ส่วนคนตระกูลลั่วหากมได้ทำความผิดก็ให้ปล่อยตัว...สำหรับเหอซวง ให้นางเปลี่ยนเป็นใช้แซ่ลั่วเพื่อสืบสกุลลั่วของตาทวด เป็นหัวหน้าตระกูลลั่ว เปลี่ยนจวนตระกูลเหอกลับมาเป็นคฤหาสน์ตระกูลลั่วดังเดิม ลั่วซวงไม่มีสิทธิ์สมรสเอง แต่ต้องตบแต่งเขยเข้าตระกูลโดยสมรสพระราชทานเท่านั้น" "ขอรับ" อำมาตย์จินเหยารับคำ "ท่านอำมาตย์ไปจัดการตามนี้ทันที" "ขอรับ" แล้วอำมาตย์จินเหยาก็ขอตัวกลับไท่ชินอ๋องกับท่านอ๋องสี่ย้ายไปปรึกษาราชการกันต่อที่ห้องทำงาน...ส่วนไท่หวางเฟยหลี่ชิงชวนพระชายาอาเฟยไปนั่งเล่นที่ศาลาในสวนดอกไม้ "เกอเกอ..." พระชายาอาเฟยเรียกหลี่ชิง แล้วกล่า
"อืมม์...จริงของเจ้า" ไท่ชินอ๋องเห็นด้วย "ดังนั้น ข้าคิดว่าสมควรจะคืนจวนตระกูลเหอให้แก่ตระกูลลั่วขอรับ" อาเฟยกล่าว "และเจ้าของคนใหม่ของคฤหาสน์ตระกูลลั่วก็สมควรจะต้องเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านยายด้วยขอรับ" "ความหมายของเจ้าคือ...?" ไท่ชินอ๋องเอ่ยเป็นเชิงถาม "บุตรชายคนโตของท่านยายคืออำมาตย์เหอทง และอำมาตย์เหอทงมีบุตรชายคนหนึ่งกับบุตรสาวคนหนึ่ง...น่าจะเลือกหนึ่งในสองคนนี้เป็นหัวหน้าตระกูลลั่วและเป็นเจ้าของคฤหาสน์กับทรัพย์สินของตระกูลลั่ว" "หมายความว่า...จะให้บุตรชายหรือบุตรสาวของเหอทงเปลี่ยนมาใช้แซ่ลั่ว เพื่อสืบสานปณิธานของตาทวดของเจ้า?" "ขอรับ" อาเฟยรับคำ "นับเป็นความคิดที่ไม่เลว" ไท่ชินอ๋องกล่าว "แต่...เจ้าจะให้เลือกคนใดเล่า?" "เรื่องนี้...ขอข้าเป็นผู้ตัดสินใจจะได้หรือไม่ขอรับ?" อาเฟยกล่าวเป็นเชิงขอร้อง "ได้สิ" ไท่ชินอ๋องรับคำที่ห้องพักผ่อนอีกห้องหนึ่งของพระตำหนักหลวง...ทหารได้นำตัวเหอกวงบุตรชายคนโตของเหอทงมาพบพระชายาอาเฟย โดยไม่มีไท่ชินอ๋อง ไท่หวางเฟย ท่านอ๋องสี่ และอำมาตย์จินเหยาอยู่ด้วย "คารวะพระชายาขอรับ" เหอกว
"จัดการเก็บกวาดพวกคดโกงให้หมดจดละ" ไท่ชินอ๋องกล่าวเสียงเข้ม "รับทราบ" อำมาตย์จินเหยาค้อมศีรษะคำนับ "ท่านอำมาตย์กล่าวต่อเถิด" "ขอรับ" อำมาตย์จินเหยากล่าวต่อ "เกาซื่อมีพื้นเพเดิมเป็นชาวยุทธ์ฝ่ายอธรรม ปล้นฆ่าเป็นอาชีพ เขากับเกาซ่งญาติผู้น้องมีฉายาร่วมกันว่าสองผีแห่งจงหยวน ต่อมาเข้าเมืองหลวงมาในฐานะเศรษฐีด้วยเงินทองที่ปล้นชิงมา เกาซื่อพอพลาดหวังจากคุณหนูเหอถิง ก็ตบแต่งกับคุณหนูเหอเถียน และเข้าสอบบัณฑิตหลวง เขาได้เป็นบัณฑิตหลวงอันดับหนึ่งเพราะติดสินบนกรรมการคุมสอบ และเข้ามาอยู่ในกรมอาญาเป็นผู้พิพากษาศาลชั้นต้น และไต่เต้าขึ้นมาจนถึงเป็นรองเจ้ากรมอาญา...หน้าฉากของเขาคือขุนนางที่ซื่อตรงและฉลาดเฉลียว ทว่าเบื้องหลังนั้นเขายังคงหวังในตัวคุณหนูเหอถิง เขาเป็นคนยุยงให้เหอผิงส่งหวงอวี้ไปอำเภอฉางซานที่อยู่ในอิทธิพลของพวกโจรผู้ร้ายที่เป็นสหายของเขาและเกาซ่ง และสั่งให้พวกโจรสังหารหวงอวี้เสีย พร้อมกับนำตัวคุณหนูเหอถิงกลับมาเมืองหลวง เขาต้องการจะรับคุณหนูเหอถิงเป็นภรรยาเอก และรับบุตรในครรภ์ของนางเป็นบุตรของตน..." "เจ้าคนสารเลว...ข้าอาเฟยไม่ยอมมีบิดาอย่างผู้แซ่เกาหรอก" พ
คุณหนูลั่วที่เป็นภรรยาเอกของเหอผิงไม่พอใจการกระทำของสามีแต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะนางกำลังตั้งครรภ์อยู่ ทว่าเหอผิงไม่หยุดเพียงแค่นั้น เขายังได้ส่งคนไปรับแม่นางซินเหมยผู้เป็นคู่หมั้นดั้งเดิมมายังเมืองหลวงและรับนางเป็นภรรยารอง ..." อำมาตย์จินเหยาเอ่ยถึงตรงนี้ พระชายาอาเฟยก็เอ่ยแทรกขึ้นว่า "แล้วท่านยะ...เอ้อ...เหอฟูเหรินยินยอมหรือ?" ในตอนแรกนั้น อาเฟยเกือบหลุดปากเรียก 'ท่านยาย' แต่รู้สึกขัดๆ จึงเรียก 'เหอฟูเหริน' แทน "เหอฟูเหรินย่อมไม่เต็มใจ" อำมาตย์จินตอบ "แต่เหอผิงอ้างกับนางว่า...อีกหน่อยหากเขาได้เข้ารับราชการ แล้วจู่ๆ มีสตรีมาร้องเรียนว่าเขาทอดทิ้งว่าที่ภรรยาที่หมั้นหมายกันมาตั้งแต่เด็ก เขาจะหมดอนาคตได้ ทำให้เหอฟูเหรินจำใจต้องยอมรับซินเหมยเป็นฟูเหรินรอง" อาเฟยเม้มปากอย่างขุ่นเคือง แล้วยกกำปั้นทุบต้นแขนท่านอ๋องสี่หลายตุบ ท่านอ๋องสี่ได้แต่มองบน "เหอผิงสอบบัณฑิตหลวงอีกสองครั้งต่างได้ที่ยี่สิบกว่า เขาจึงขอยืมเงินจากหวงหลงมาติดสินบนกรรมการคุมสอบในการสอบครั้งที่สี่ จึงสอบติดได้ที่สาม ซึ่งจะต้องออกไปเป็นขุนนางที่นอกเมืองหลวง แต่เขาอยากเป็นขุนนางส่ว
"ข้าทำท่านเจ็บมากใช่หรือไม่?" อาเฟยถาม เม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง จนแก้มสองข้างกลมยิ่งขึ้น รอยลักยิ้มบุ๋มเด่นชัด "ใช่ๆ...โอ๊ยๆๆๆ" ท่านอ๋องสี่ส่งเสียงครวญคราง ก่อนจะต่อท้ายว่า "แต่ถ้าเจ้าจูบข้าทีหนึ่ง ข้าก็จะหายเจ็บ" อาเฟยทำปากขมุบขมิบ...ยื่นมืออย่างรวดเร็วดึงทึ้งผ้าพันแผลของสามี "ทำไร?" ท่านอ๋องสี่ถาม สีหน้าตกใจนิดๆ "ดูแผล" อาเฟยเสียงห้วน "มะ ไม่ต้อง" "ต้อง" "อายชาวบ้าน" "ไม่อาย"เพียงตอบโต้กันไม่กี่คำ...ผ้าพันแผลของท่านอ๋องสี่ก็ถูกพระชายาอาเฟยดึงออกจนหมด อาเฟยมองปราดแล้วถาม "ไหนแผล?" ท่านอ๋องสี่ยิ้มเหมือนแยกเขี้ยว "ไม่มี" อาเฟยเงื้อกำปั้นชกเข้าที่ลำตัวท่านอ๋องสี่อย่างแรงทีหนึ่ง แล้วสบัดหน้า เดินฉับๆ กลับไปขึ้นเกี้ยว พร้อมกับสั่งสั้นๆ ว่า "กลับ!" เกี้ยวแปดคนหามก็เคลื่อนขบวนทันที ท่านอ๋องสี่อึ้งอย่างผิดแผน...เขามโนว่า อาเฟยจะต้องโอ๋เขา ต้องมานั่งข้างๆ บนเสลี่ยง กอดประคองเขาไว้ไม่ให้กระทบกระเทือน แต่แผนแตกเลยได้กินกำปั้นแทน! แถมอาเฟยยังโมโหอีก...ท่านอ๋องสี่ตาเหลือก กระโจนลงจากเสลี่ยง ไม
"แต่สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง" อาเฟยถอนหายใจเบาๆ "แล้วว่าที่นักปราชญ์อย่างข้า ซ้ำยังมีแค่สองเท้า ย่อมอาจจะพลาดเข้าสักครั้งสองครั้ง...และเมื่อใดที่ข้าพลาดเผลอนอนหลับในเวลาเรียนหนังสือ เจ้าก็จะต้องนำชามที่ทำเป็นพิเศษนี้ใส่ข้าวให้ข้าแทนชามที่ใช้อยู่ทุกวัน ข้ายอมกินแค่สองชามแทนสองชามครึ่งก็ได้" "เช่นนี้มิเท่ากับพระชายากินข้าวเท่าเดิมหรือขอรับ?" ต้าโก่วแย้ง พร้อมกับยกมือเกาหัว "แล้วข้ากินข้าวกี่ชามละ?" อาเฟยย้อนถาม "สองชามขอรับ" "ก็ใช่ยังไงละ...ข้าไม่ได้กินสามชามสักหน่อย" "อย่างนี้ไม่เป็นการคดโกงหรอกหรือขอรับ?" "ไม่เรียกว่า 'คดโกง' แต่เรียกว่า 'รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครา' ต่างหาก" อาเฟยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง "เจ้าจะต้องจำเอาไว้ให้แม่นยำ!" "ขอรับ" ต้าโก่วรับคำเสียงหนักแน่น "รีบไปจัดการซะ" อาเฟยสั่ง ต้าโก่วประสานมือน้อมคำนับ แล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องไป... เช้าวันรุ่งขึ้น...หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ...อาเฟยก็พาอาหลันเดินจากตำหนักตะวันตกที่ตนเองอยู่ ไปยังตำหนักตะวันออกเพื่อเรียนหนังสือกับท่านหญิงหาน