อินเป็นคนนิ่งเงียบและมักจะไม่ค่อยสุงสิงกับบุคคลอื่นที่เขาไม่สนิท นิสัยส่วนนี้ของเขาคล้ายคลึงกับกันต์เป็นอย่างมาก ทว่าเพื่อนสนิทคนนี้กลับพูดน้อยยิ่งกว่าเขาเสียอีกทำให้อินจำเป็นต้องฝึกทักษะการสื่อสาร รวมถึงทักษะการเข้าสังคมเพิ่มมากขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับพวกเขา
แต่มีอีกหนึ่งสิ่งที่น้อยคนจะได้รับรู้เกี่ยวกับอินคือเขาเป็นคนคิดมาก สมองของเขามักจะมีการประเมินสถานการณ์ คิดวิเคราะห์และประมวลผลหลายสิ่งหลายอย่างอยู่ตลอด จนกว่าจะได้ทางเลือกที่คิดว่าดีที่สุดออกมา ซึ่งอินมักจะตัดสินใจและลงมือทำตามความคิดนั้น สิ่งนี้เป็นสาเหตุที่เขาทำทุกอย่างได้ดีโดยไม่รู้ตัว
เขาทำพฤติกรรมนั้นซ้ำไปซ้ำมาจนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต คนทั่วไปก็มักยกย่องให้อินเป็นบุคคลต้นแบบเพราะเขาใจเย็น สุขุมรอบคอบ น้อยครั้งที่คนอื่นจะได้เห็นความผิดพลาดจากเขา ทุกคนต่างสรรเสริญเยินยอผลลัพธ์ที่ได้ โดยไม่มีใครสนใจว่าเขาทำแบบนั้นได้อย่างไรหรือกระบวนการนั้นต้องผ่านสถานการณ์ที่น่าอึดอัดและหดหู่มากน้อยแค่ไหน
อินหยิบกระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่ภายในเต็มไปด้วยเสื้อผ้าสะพายขึ้นบ่าพร้อมถือกระเป๋าใบใหญ่อีกใบที่เตรียมไว้สำหรับเก็บอุปกรณ์ออกกำลังกายไปด้วย สองขายาวกำลังก้าวเดินออกจากประตู ก่อนจะหยุดชะงักเล็กน้อยเหมือนนึกขึ้นได้ว่าลืมทำอะไรบางอย่าง ตอนนั้นเองที่สายตาเหลือบเห็นรูปภาพในกรอบไม้ขนาดเล็กวางอยู่บนโต๊ะใกล้ ๆ ประตู
รูปของเด็กผู้ชายสองคนที่มีใบหน้าเหมือนกันอย่างกับแกะ ยิ้มกว้างและหันมองมาทางกล้อง ร่างกายของทั้งสองมีขนาดใกล้เคียงกัน ทว่าเด็กที่ตัวเล็กกว่ามีแววตาแสนสดใสจนสัมผัสได้ถึงความร่าเริง ขณะที่อีกคนเป็นเจ้าของดวงตาแสนหมองหม่น ใครมองภาพนี้ก็คงคิดเหมือนกันว่าโลกทั้งใบที่เด็กคนนั้นเห็นจะต้องมีแต่สีเทาแน่นอน
อินมองภาพนั้นด้วยสายตาเศร้าเกินจะบรรยายแต่ก็แค่นหัวเราะออกมาเพราะคิดถึงวันที่เขาได้ถ่ายรูปใบนี้ มันน่าแปลกใจมากที่เขาดูเศร้าขนาดนั้นแล้วแต่ก็ยังคงแสร้งยิ้มกว้างจนมีภาพนี้มาใส่ไว้ในกรอบได้ในที่สุด...
“กูไปมหาลัยก่อนนะ” เสียงทุ้มเข้มของอินเปล่งออกมาเบา ๆ ขณะเอื้อมมือจับลูกบิดเปิดประตู มือหนากระชับสายสะพายเป้ให้คล่องตัวขึ้นและขนสัมภาระลงไปชั้นล่าง
ทางด้านกันต์ที่ตอนนี้นั่งกินข้าวเพื่อรออินก็คุยเล่นกับคุณลุงคุณป้าเหมือนทุกที ทว่าคุยกันได้เพียงไม่นานก็เห็นอินเดินลงมาจากชั้นบนพร้อมกระเป๋าใบใหญ่สองใบ กันต์รีบตักข้าวที่เหลือในจานเข้าปากและเอาจานไปล้างทันที ก่อนจะกล่าวลาผู้ใหญ่
“ไอ้อินลงมาละ พวกผมไปก่อนนะครับ ลุงอาร์มป้าฝันสวัสดีครับ” สองมือหนาประกบเข้าหากันและยกขึ้นไหว้ด้วยความรีบร้อน
“ไม่เห็นต้องรีบกินขนาดนั้นเลย ฮ่าฮ่าฮ่า” พ่อหัวเราะร่วนเมื่อเห็นการกระทำของเพื่อนสนิทลูกชาย สงสัยนับวันอินจะยิ่งทำตัวเหมือนคนแก่เข้าไปทุกที เพื่อนถึงได้กลายเป็นแบบนี้
“ไม่ได้หรอกครับลุงอาร์ม เดี๋ยวไอ้อินรอนานแล้วมันมาโมโหผมอีก...มึงรอหน้าบ้านเลย กูไปเอารถแป๊บ” กันต์หันไปตอบโต้คำแซวจากลุงอาร์ม ก่อนจะตะโกนบอกอินที่กำลังนั่งใส่รองเท้าอยู่ พูดเสร็จก็เดินกลับไปขับรถเพื่อมาขนของ
รอเพียงครู่เดียวเท่านั้น รถเก๋งสีแดงก็มาจอดเทียบหน้าประตูบ้าน ฝากระโปรงหลังรถเด้งขึ้นเล็กน้อยเพราะคนขับกดเปิดให้ อินเห็นแบบนั้นก็ยกสัมภาระที่มีเก็บไว้ตรงพื้นที่ว่างทันทีและปิดฝากระโปรงดังเดิม เด็กหนุ่มหันมองพ่อแม่ยืนโบกมือลาอยู่หน้าประตูและก้าวขึ้นรถ
บรรยากาศภายในรถเก๋งคันหรูเต็มไปด้วยความเงียบเชียบเพราะพื้นฐานเด็กหนุ่มทั้งสองคนก็ไม่ค่อยพูดคุยกันอยู่แล้ว อีกอย่างพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องสรรหาหรือหยิบยกเรื่องอะไรขึ้นมาพูดคุยกัน เพียงแค่นั่งรถและขับรถไปอย่างเงียบ ๆ ก็พอแล้ว ปล่อยให้ห้วงเวลานี้ได้ไหลผ่านไป
กว่าที่อินและกันต์จะเดินทางมาจนถึงรั้วมหาลัยฯ ก็ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง นี่ขนาดรถไม่ติดนะ ถ้าวันไหนรถติดล่ะไม่อยากคิดสภาพเลยว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน
กันต์ขับรถไปจอดในลานจอดรถอย่างเรียบร้อย ขณะเดียวกันอินก็สอดส่องมองหาอาคารประชาสัมพันธ์เพราะอยากสอบถามรายละเอียดของการย้ายเข้าหอพักและดูเหมือนว่าเขาจะเจออาคารที่เป็นเป้าหมายแล้ว
“กูจะลงไปถามเรื่องหอ มึงจะไปด้วยมั้ย” อินปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยพลางเอ่ยถามเพื่อนสนิท
“ไม่ไป คุยเสร็จโทรมาละกัน” และคำตอบที่ได้มาจากอีกฝ่ายก็ไม่ต่างจากที่เขาคิดไว้สักเท่าไหร่
บทสนทนาของทั้งคู่จบลงแค่นั้น อินเปิดประตูลงจากรถและเดินตรงไปที่อาคารเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเจอเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นบุคลากรของทางมหาลัยฯ เด็กหนุ่มไม่รอช้ารีบกล่าวคำทักทายทันที
“สวัสดีครับ” อินยกมือไหว้อีกฝ่ายพร้อมน้ำเสียงนุ่มทุ้ม
“สวัสดีจ้ะ” ผู้หญิงคนนั้นขานรับแต่มือก็ยังคงทำงานเอกสารของเธอต่อไป เด็กหนุ่มเลยถามสิ่งที่เขาสงสัยออกไปตามตรงเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเสียเวลา
“ผมเป็นนักศึกษาใหม่ครับ วันนี้จะมาติดต่อเรื่องหอพัก ไม่ทราบว่าต้องติดต่อที่ไหนครับ” คำพูดคำจาที่แสนสุภาพช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้อินอย่างไม่รู้ตัว
“นักศึกษามาติดต่อหอพักสำหรับเด็กปีหนึ่ง ซึ่งเป็นหอทั่วไปหรือติดต่อหอพักสำหรับนักเรียนทุนจ้ะ พอดีทั้งสองส่วนนี้ต้องติดต่อแยกกันจ้ะ” เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงสดใส ทว่ารายละเอียดที่เธอได้บอกมานั้นทำให้เด็กหนุ่มรับรู้ว่า นักศึกษาที่เข้ามาเรียนในมหาลัยฯ แห่งนี้จะได้รับสวัสดิการที่แตกต่างกันตั้งแต่เริ่มต้นเลย
“ผมเป็นนักเรียนทุนครับ” อินตอบกลับด้วยเสียงทุ้มเข้มปนขุ่นเคือง เขารู้สึกว่าการที่หอพักแยกกันแบบนี้อาจจะได้รับสิทธิพิเศษอะไรบางอย่างจากการเป็นนักเรียนทุน...ซึ่งเขาไม่ชอบใจเอาเสียเลยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“นักเรียนทุนสินะ นักศึกษาขับรถไปทางนั้นนะจ้ะ ขับตรงไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเจออาคารสีฟ้า อาคารนั้นเป็นหอพักสำหรับนักเรียนทุนจ้ะ ติดต่ออาจารย์ประจำหอที่ห้องพนักงานตรงชั้นหนึ่งได้เลยนะ” อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสารและชี้นิ้วไปยังทางที่จะต้องไป ก่อนยกยิ้มให้เล็กน้อย
“ขอบคุณมากครับ” อินก้มหัวให้อีกฝ่ายเพื่อเป็นการขอบคุณและเดินกลับไปที่รถทันที
“อ้าว ทำไมไม่โทรมา” กันต์ที่รออยู่ในรถเอ่ยถามเมื่อเห็นเพื่อนสนิทเดินขึ้นรถแทนที่จะโทรหาเขาตามที่คุยกันไว้
“ขับไปทางนั้นจนเจออาคารสีฟ้า” อินเลือกจะไม่ตอบคำถามและพูดพลางชี้นิ้วไปตามทางที่เขารับรู้มา ก่อนจะเอื้อมมือคาดเข็มขัดนิรภัยโดยอัตโนมัติ กันต์พยักหน้ารับรู้และขับรถไปตามเส้นทางที่อีกฝ่ายบอก ทว่าตอนนี้เขารู้สึกได้ถึงรังสีบางอย่างจากคนข้าง ๆ
“นี่มึงหงุดหงิดอะไรรึเปล่า” เด็กหนุ่มผิวแทนถามไถ่น้ำเสียงเป็นห่วง
“นิดหน่อย” อินเผลอขมวดคิ้วหงุดหงิดพลางคิดว่าเพื่อนสนิทเขาไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ทำไมตัวเองถึงตอบอีกฝ่ายเสียงห้วนแบบนี้
“อยากคุยมั้ยอ่ะ” แต่กันต์ที่เข้าใจก็ไม่ได้ว่าอะไรแถมยังชวนคุยต่อ อินถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะระบายสิ่งที่คิดออกมา
“หอพักของนักศึกษาใหม่กับหอพักนักเรียนทุน แยกอาคารกัน”
“แล้วไง” คิ้วเข้มของกันต์เลิกขึ้นและหันมองอีกฝ่าย เขาไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาตรงไหน ก่อนจะต้องร้องอ๋อเมื่อได้ยินคำตอบ
“แค่รู้สึกเหมือนได้รับสิทธิพิเศษ”
“คิดมากไปรึเปล่า หอนักเรียนทุนอาจจะแย่กว่าหอเด็กใหม่ก็ได้” ทันทีที่ได้ฟังคำพูดของกันต์ อินก็ปลดแอกความรู้สึกขุ่นเคืองในใจทิ้งไปและไม่คิดมากอีก ก็จริงอย่างที่ไอ้กันต์พูด อีกอย่างตอนนี้เราก็ไม่รู้ว่าหอเด็กทุนเป็นยังไง และแล้วสายตาของอินก็เห็นอาคารสีฟ้าเด่นตระหง่านอยู่ไม่ไกล
“อืม...นั่น น่าจะอาคารนั้น มึงไปจอดหน้าอาคารเลย พี่เค้าบอกว่าต้องคุยกับอาจารย์ประจำหอที่ชั้นล่าง”
“รับทราบ” กันต์ตอบรับด้วยน้ำเสียงติดเล่นเท่าที่จะทำได้เพราะความจริงแล้วเขาก็ไม่ใช่คนตลกอะไร เพียงแต่ไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดมากกับเรื่องสิทธิพิเศษของหอพักก็เท่านั้น
รถเก๋งสีแดงจอดเทียบหน้าอาคาร ความแวววาวของรถสะท้อนแสงจนแสบตาไปหมด ทำเอาคนที่เดินผ่านไปผ่านมาถึงขั้นต้องหันกลับมามอง ซึ่งคนเหล่านั้นก็น่าจะเป็นนักศึกษาที่มาติดต่อเรื่องหอพักด้วยเหมือนกัน ขณะที่กลุ่มคนบางส่วนสวมชุดทางการน่าจะเป็นบุคลากรของทางมหาลัยฯ
เสียงฮือฮาดังขึ้นทันที เมื่อร่างสูงใหญ่ของเด็กหนุ่มทั้งสองคนก้าวขาลงจากรถ ทางฝั่งคนขับเป็นเด็กหนุ่มผิวแทนรูปร่างสมส่วนมีกล้ามเนื้อพอประมาณ กรอบหน้าชัดเจนเห็นสันกราม มองไกล ๆ ยังรู้เลยว่าหุ่นนักกีฬา
ตั้งแต่ใบหูลามมาถึงติ่งหูมีการเจาะรูทั้งสองข้างรวมกันแล้วหลายสิบรู แถมมีนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มแสนดุดัน เมื่อมองรวมกับคิ้วหนาและริมฝีปากสีคล้ำตามพันธุกรรมยิ่งทำให้ดูน่าเกรงขามขึ้นทวีคูณ
ส่วนอีกคนเป็นเด็กหนุ่มผิวขาว ร่างกายมีกล้ามเนื้อที่ดูดีไม่แพ้กัน ก้าวขาลงมาจากฝั่งที่นั่งข้างคนขับ เส้นผมสีดำสนิทถูกตัดสั้นจนเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่ม สันจมูกโด่งสอดรับกับดวงตาคมสีน้ำตาลเข้มที่สร้างความหวาดหวั่นและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน
ชีวิตของเด็กหนุ่มทั้งสองก็ดำเนินต่อไป ผ่านเรื่องราวสุขทุกข์แต่ก็ยังคงจับมือกันและฝันฝ่าทุกอย่างไปได้จนมาถึงวันนี้ วันที่ทั้งสองคนเรียนจบและเข้ารับปริญญาทุกคนต่างก็มีเป้าหมายและเดินไปตามเส้นทางที่ตัวเองเลือกกันต์เรียนจบช้ากว่าพวกเขาไปหนึ่งเทอมแต่ก็ยังโชคดีที่เด็กหนุ่มขยันและติดตามงานจนเรียนจบมาได้ซึ่งแน่นอนว่าเส้นทางที่เขาเลือกเดินคือการไปทำงานต่างประเทศร่วมกับแม่ เด็กหนุ่มตัดสินใจประกาศปล่อยขายบ้าน ตอนนั้นเองที่หมี่คุยกับพี่ชายของตัวเองว่าอยากให้ช่วยซื้อบ้านหลังนี้ จะได้ย้ายมาอยู่ใกล้ ๆ กันแมนก็กลับไปคิดทบทวนอยู่หลายวันเพราะการย้ายบ้านเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา ทั้งข้าวของเครื่องใช้ ทั้งการเดินทางและเรื่องการเงิน อีกอย่างตอนนี้เขาไม่ได้เป็นโสดแล้ว ย่อมต้องปรึกษาคนรักท้ายที่สุดแล้วแมนก็ตัดสินใจซื้อบ้านหลังนั้นพร้อมพาแฟนมาอยู่ด้วยกัน หมี่มีความสุขมากที่เห็นพี่ชายมีคนรักที่ดี คนตัวเล็กรู้สึกชอบว่าที่พี่สะใภ้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น พี่กวางทั้งสวยทั้งน่ารัก ทำงานเก่ง นิสัยดีแถมยังชวนหมี่ทำอาหารด้วยกันบ่อยมากซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้หมี่ก็ได้เดินตามเส้นทางของตัวเองเหมือนกัน เขาไปสมัครงานที่ร้
และแล้วช่วงเวลาก็ผ่านพ้นไปจนใกล้จะสิ้นปีอีกครั้ง ตอนนี้ทุกคนก็ใกล้จะจบการศึกษากันแล้ว ทว่ากิจกรรมที่หมี่อยากลองทำร่วมกับอินมาโดยตลอดคือการแต่งตัวในวันฮัลโลวีน“นะ มึงเบ้าหน้าดีจะตาย แต่งตัวคู่กับกูหน่อยไม่ได้เหรอ” น้ำเสียงออดอ้อนแกมเว้าวอนดังมาจากหมี่“ไม่เอา” อินที่ฟังประโยคนี้มาร่วมสัปดาห์ก็เริ่มรู้สึกท้อใจแทนคนตัวเล็กแต่เขาไม่อยากแต่งตัวแฟนตาซี จะให้ทำยังไงได้“โธ่! ปีหน้าก็เรียนจบกันแล้ว ขอแค่นี้ก็ไม่ได้!” จากการอ้อนก็เปลี่ยนเป็นประชดประชัน ซึ่งแน่นอนว่าคนอย่างอินเหรอจะยอม“เฮ้อ ก็ได้” และใช่ เขายอม“จริงนะ!” หมี่กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ สาเหตุที่เขาชวนอินทำกิจกรรมร่วมกันไว้วันนี้เป็นเพราะรู้สึกเบื่อ นี่ถ้าพ่ออาร์มกับแม่ฝันอยู่บ้านคนตัวเล็กคงอ้อนผู้ใหญ่มากกว่าชวนร่างสูงทำอะไรแบบนี้“แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ” อินที่ตอบตกลงก็พูดต่อ เด็กหนุ่มไม่อยากจะนับเลยว่าเขาพูดไอ้คำว่า ‘แค่ครั้งเดียว’ กับอีกฝ่ายไปกี่ล้านครั้งแล้ว ทว่าหมี่ที่เอาแต่คิดรังสรรเรื่องเครื่องแต่งกายก็ไม่ได้ฟังเลยแม้แต่น้อย“แล้วเราจะแต่งไปหลอกใครดี” ปากเล็กขยับขอความคิดเห็นจากคนรักด้วยท่าทีตื่นเต้น ต่างจากอินที่คิ้วขมว
“ไปเล่นน้ำกันนนนน” หมี่สดใสร่าเริงแต่หัววันเพราะวันนี้เป็นวันสงกรานต์และทางมหาลัยฯ ได้จัดสถานที่สำหรับสาดน้ำไว้ให้นักศึกษาและชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง“ไปเปลี่ยนชุด” ทว่าขาของคนตัวเล็กก็ต้องหยุดชะงักทันทีเมื่อได้ยินเสียงทักท้วงเรื่องเครื่องแต่งกาย“เปลี่ยนทำไม ชุดนี้แหละได้แล้ว” คนตัวเล็กก้มมองชุดที่ตัวเองสวมอยู่ เสื้อยืดสีขาวเนื้อผ้าบางโปร่งโล่งสบาย กางเกงขาสั้นพร้อมลุยน้ำ สายคล้องคอสำหรับใส่มือถือกันเปียกน้ำ อุปกรณ์ก็พร้อมลุยแล้ว จะให้เปลี่ยนทำไม“จะไปเปลี่ยนเองหรือจะให้กูเปลี่ยนให้” แต่อินก็ยังคงยืนยันที่จะให้คนรักไปเปลี่ยนชุด เขาเป็นผู้ชายมากกว่าอีกฝ่ายและรู้ดีว่าชุดนี้มันล่อแหลม อันตรายมากขนาดไหน“กู! ไม่! เปลี่ยน!” หมี่ปฏิเสธเสียงแข็งและดึงดันที่จะใส่ชุดนี้ไปให้ได้ อินที่ทนไม่ไหวก็กำลังจะเอื้อมมือไปคว้าตัวอีกฝ่ายมาเปลี่ยนชุดก๊อก!! ก๊อก!! ก๊อก!!“ไอ้หมี่เสร็จยัง! แห้วรออยู่ข้างล่าง!” ตอนนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูตามมาด้วยเสียงเรียกจากบั๊มดังแทรกเข้ามา“เออ! เพื่อนมารอแล้วเห็นมั้ย รีบไปปป” คนตัวเล็กฉวยโอกาสนี้ดดันร่างสูงของอินตรงไปที่ประตู“ก็ได้” เด็กหนุ่มที่รับรู้ได้ว่าหมี่คงไม่ยอ
“แห้ว เรามีเรื่องจะปรึกษา” หมี่นั่งลงข้าง ๆ เพื่อนสาวเพียงคนเดียวที่เขามีพลางกระซิบกระซาบเสียงเบาเพราะตอนนี้พวกเขาอยู่ในห้องสมุดของทางมหาลัยฯ“เรื่องอะไรเหรอหมี่” หญิงสาวหันมองเพื่อนแสนแสบด้วยสายตาสงสัย“ปกติวันวาเลนไทน์ต้องซื้ออะไรให้คนรักเหรอ ไม่เอาพวกชอกโกแลตหรือของกินนะ” ได้ยินคำถามแล้วแห้วก็ยิ้มอ่อนทันที“ก็ของขวัญทั่วไปแหละ หมี่จะซื้อของให้อินเหรอ”“ใช่ คราวก่อนซื้อกำไลข้อมือไปให้ตอนปีใหม่อ่ะ” คนตัวเล็กพยักหน้างึกงัก ก่อนจะหน้าแดงเมื่อพูดถึงเรื่องนั้น“ซื้อกำไลให้...แล้วทำไมต้องหน้าแดงด้วยล่ะ” นั่นยิ่งสร้างความฉงนให้กับเพื่อนสาว“ก็...ช่างเถอะ แห้วล่ะ วันวาเลนไทน์นี้จะซื้อของให้บั๊มมั้ย” ในเมื่อเขาไม่อยากนึกถึงเรื่องค่ำคืนแลกของขวัญวันปีใหม่ก็มีแต่จะต้องเบี่ยงประเด็นเท่านั้น“เราทำเค้กให้น่ะ” แห้วตอบกลับแกมเขินอายพลางอมยิ้มเล็กน้อย ต่างจากหมี่ที่หน้าซีดหน้าเซียวเป็นไก่ต้ม“เค้กเหรอ ไม่เอาเค้ก!”“หมี่จะตะโกนทำไมเนี่ย เราตกใจหมดเลย” เพื่อนสาวถึงกับสะดุ้งโหยงเพราะจู่ ๆ คนตัวเล็กก็ตะโกนออกมาเสียงดังลั่น“ขะ ขอโทษ คือเรา...เราไม่อยากทำเค้กน่ะ” โอ๊ย! ให้ตายสิ สมองน้อย ๆ ของไอ้หมี่ อย่
“หมี่ ปีใหม่นี้ไปเที่ยวกันมั้ย” เสียงทุ้มของอินเอ่ยถามคนรักอย่างแผ่วเบา ตอนนี้พวกเขากำลังจัดตกแต่งบ้านเพื่อเตรียมต้อนรับช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันนี้“เที่ยวที่ไหน” คนตัวเล็กตอบพลางแปะแผ่น ‘สวัสดีปีใหม่’ ตรงขอบประตูหน้าบ้าน“ไม่รู้ อยากไปไหนรึเปล่า” เด็กหนุ่มตอบแบบขอไปทีเพราะเขาไม่ได้วางแผนอะไรไว้เลย...แค่อยากลองชวนหมี่ไปเที่ยวเท่านั้น“ขี้เกียจอ่ะ” ตอบเสร็จ คนตัวเล็กก็เท้าสะเอวยืนชื่นชมผลงานของตัวเอง ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวลงจากเก้าอี้ที่อินช่วยจับไว้ให้“ไปสวนสนุกมั้ย กูเห็นคนไปกันเยอะเลย”“ร้อนจะตาย ไม่ไป” หมี่หน้ายู่เมื่อคิดถึงสภาพอากาศที่ร้อนระอุขนาดนี้ในพื้นที่ที่มีผู้คนแออัด“แต่กูอยากทำกิจกรรมร่วมกับมึงไง” ดวงตาสีคาราเมลของคนตัวเล็กเบิกกว้าง ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่อีกฝ่ายพูดกับตนแบบนี้“เอ๊ะ? เมื่อก่อนกูเป็นคนพูดคำนี้นะ ทำไมเดี๋ยวนี้กลายเป็นมึงพูดแทนล่ะ” แค่คิดว่าทุกวันนี้ไอ้ยักษ์หลงตัวเองหัวปักหัวปำก็เขินจนตัวบิดเป็นเกลียว“เออน่า สรุปไปมั้ย” อินถามย้ำอีกครั้ง เขารู้ดีว่าตัวเองติดอีกฝ่ายงอมแงมมากแค่ไหนก็ยังใจแข็งไม่พูดออกไป“ไม่ไป” เมื่อได้ยินคนรักปฏิเสธเสียงแข็งก็ทำอะ
งานวันเกิดของหมี่เพิ่งผ่านไปไม่ถึงเดือน ก็ถึงงานวันเกิดของแฝดอย่างอินและอันต่อ ซึ่งหลายคนเห็นพ้องตรงกันว่าอยากจัดงานเล็ก ๆ แบบเดิม โดยงานนี้จะมัดรวมวันเกิดของกันต์ไว้ด้วยเด็กหนุ่มผิวแทนก็ไม่บ่นอะไรเพราะวันเกิดของเขาถัดไปอีกแค่สามวันเท่านั้น ดีซะอีกที่เขาไม่ต้องทำอะไรเยอะ แค่มาช่วยงานที่บ้านลุงอาร์มป้าฝันก็พอและถึงแม้ว่างานนี้จะไม่มีอันแล้วแต่ทกุคนก็ยังคงคิดถึงเขาอยู่เสมอ อินรู้สึกดีที่ได้งานวันเกิดปีนี้เขามีคนรักเพิ่มเติมมาด้วยและเขาก็รับรู้ว่าตัวเองมีความสุขมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา เด็กหนุ่มยิ้มให้ภาพของแฝดน้องที่ติดอยู่บนฝาผนัง ก่อนจะเดินไปหาหมี่ในครัว“สอนกูทำเค้กหน่อย” เสียงทุ้มของอินขอความช่วยเหลือจากคนรักเด็กหนุ่มคิดมาตั้งแต่งานวันเกิดหมี่แล้วว่าเขาอยากทำเค้กให้คนสำคัญได้กิน แต่ตอนนั้นถ้าบอกให้คนตัวเล็กสอนมีหวังความลับรั่วไหลกันพอดี เลยต้องอุบเงียบเอาไว้ก่อน ทว่าตอนนี้ถือเป็นโอกาสเหมาะที่จะได้ลองแล้ว“หะ? อารมณ์ไหนของมึงเนี่ย” คนตัวเล็กที่กำลังล้างจานอยู่ ถึงกับหันควับมามองหน้าแฟนหนุ่มของตน“กูอยากลองทำเค้กให้พ่อกับแม่กิน” อินตอบอย่างที่ใจคิด ถึงแม้ว่าลึก ๆ แล้วเขาเพียงแค่อยากใช