@บ้านเอกวิโรจน์
สุดท้ายแบงค์ก็ไม่อาจต้านทานแรงกดดัน และคำประกาศกร้าวของพ่อแม่ได้จำใจต้องมาที่บ้านของเพื่อนสาวกับพวกท่าน เขาถอนหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ครั้นรถจอดลงหน้าบ้านเอกวิโรจน์ บ้านของเพื่อนสาวที่เขาเข้าออกเป็นว่าเล่น แต่ตอนนี้เขากลับไม่อยากจะเหยียบเข้าไปที่สุด "ทำหน้าให้มันดี ๆ ตาแบงค์" ผกาเอ็ดบุตรชายด้วยน้ำเสียงดุรู้สึกไม่ชอบใจที่บุตรชายทำหน้าซังกะตาย หากพ่อแม่ของเด็กสาวเห็นคงคิดว่าบุตรชายของเธอไม่เต็มใจรับผิดชอบลูกสาวของทั้งสอง คนโดนดุไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับ ลงจากรถไปเงียบ ๆ ทิ้งให้คนเป็นพ่อแม่ส่ายหน้าเบา ๆ อย่างเอือมระอากับท่าทางของบุตรชาย ก่อนจะพากันลงจากรถ.. "รู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไงเมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อแม่หนูส้ม อย่าคิดทำอะไรให้แม่กับพ่อขายหน้าเด็ดขาดเข้าใจไหม" ผกาเน้นย้ำกับบุตรชายด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้งในขณะที่กำลังพากันเดินเข้าไปในบ้าน "แม่ย้ำกับผมเป็นร้อยรอบแล้วครับ" แบงค์เอ่ยออกมาอย่างอ่อนใจพลางปรายตามองผู้เป็นแม่ เพราะตั้งแต่ออกจากบ้านมาท่านก็เอาแต่ย้ำเรื่องนี้ กลัวเหลือเกินกลัวว่าวะเสียหน้าไม่คิดจะถามเขาเลยสักนิดว่ารู้สึกอย่างไรมีความสุขไหมกับการตัดสินใจของพวกท่าน ทว่าวินาทีต่อมาเขาก็ต้องปรับสีหน้าให้เป็นปกติเมื่อเห็นพ่อกับแม่ของเพื่อนสาวเดินออกมา ก่อนยกมือขึ้นไหว้ตามมารยาท "สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า" "สวัสดีจ้ะ" อัปสรพยักหน้ารับน้อย ๆ ก่อนทั้งสองจะเอ่ยทักทายพ่อแม่ของเด็กหนุ่มที่มีอายุมากกว่าสองสามปีต่อ "คุณผกา คุณวินิจสวัสดีค่ะ" "สวสดีครับพี่ผกา พี่วินิจ" ตามด้วยอภิสิทธ์ที่กล่าวทักทายไม่คิดรับไหว้แบงค์สักนิดเพราะเขายังรู้สึกเคืองที่เด็กหนุ่มทำบุตรสาวท้องมันเหมือนเป็นการไม่ให้เกียรติครอบครัวของเขา "สวัสดีค่ะ" "สวัสดีครับ" ผกากับวินิจพยักหน้ารับน้อย ๆ จากนั้นก็เดินตามทั้งสองเข้าไปยังห้องโถงโดยมีแบงค์เดินตามหลังไปเงียบ ๆ เท้าใหญ่ชะงักเล็กน้อยในวินาทีที่เห็นเพื่อนสาวอย่างส้มนั่งอยู่บนโซฟาในห้องโถงเพียงเห็นหน้าเธอก็นึกโกรธเป็นอย่างมาก "บะ..แบงค์" ขณะที่ส้มนั้นถึงกับตาเบิกกว้างผุดลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ มองหน้าเพื่อนชายด้วยแววตาสั่นไหวพอ ๆ กับหัวใจที่กระหน่ำเต้นราวกับกลองชุด สมองเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามว่านี่มันเรื่องอะไรกันทำไมเพื่อนชายกับพ่อแม่ของเขาถึงมาโผล่นี่ได้ ทำไมพ่อกับแม่ไม่เห็นบอกอะไรเลยว่าครอบครัวเพื่อนชายจะมาที่บ้านเพียงโทรตามให้เธอกลับมาบ้านด่วนบอกว่ามีธุระสำคัญจะคุยด้วย ชักหวั่นใจขึ้นมาแล้วสิ หวังว่าที่พวกท่านมามันจะไม่ใช่เรื่องที่กำลังคิดนะ "สวัสดีค่ะคุณลุง คุณป้า" เธอพยายามเก็บอาการมากมายเอาไว้ภายใต้ใบหน้าเคลือบรอยยิ้มยกมือขึ้นไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองที่เดินเข้ามาอย่างนอบน้อม ทว่าสายตากลับมองผ่านไปยังเพื่อนชายที่อยู่ด้านหลัง เหมือนมีกระแสไฟแล่นเข้าสู่หัวใจจนเจ็บแปลบเมื่อสบสายตาของเพื่อนชายที่มันดูเย็นชา และว่างเปล่าจนน่าใจหายทั้งที่เมื่อก่อนมันเต็มไปด้วยความอบอุ่น อ่อนโยนยามที่มองมายังเธอ "สวัสดีจ้ะหนูส้ม" เสียงของผกาดังขึ้นทำให้เธอรีบสลัดความรู้สึกเศร้าออก แล้วเลื่อนสายตามองท่านพลางคลี่ยิ้มบาง ๆ ขณะที่ในใจได้แต่ภาวนาขอให้ทุกอย่างไม่เป็นดั่งที่เธอกำลังกังวล "หนูเป็นยังไงบ้างจ๊ะ ได้ไปให้หมอตรวจดูรึยังเรื่องตั้งครรภ์" ทว่าคำพูดต่อมาของผกาทำให้เธอแทบล้มทั้งยืนหน้าเหวอตาเบิกกว้าง รีบเลื่อนสายตามองหน้าเพื่อนชายอีกครั้งเชิงตั้งคำถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นทำไมพวกท่านทั้งสองถึงรู้เรื่องที่เธอท้อง หากให้เดาพวกท่านคงจะรู้ด้วยว่าใครคือพ่อของเด็กไม่อย่างนั้นคงไม่พากันมาที่บ้าน แต่เพื่อนชายกลับเมินหน้าหนีไปทางอื่นราวกับว่าไม่เห็นยิ่งทำให้ภายในใจของเธอมันร้อนรนหนักกว่าเดิม อยากจะถามไถ่และพูดคุยกับเพื่อนชายให้รู้เรื่องเสียเดี๋ยวนี้แต่ก็อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ "เชิญนั่งก่อนดีกว่าค่ะ แล้วค่อยคุยกัน" อัปสรเอ่ยแทรกขึ้นจึงทำให้ส้มต้องละสายตาจากเพื่อนชาย แล้วหย่อนก้นนั่งเหมือนเดิม โดยมีพ่อแม่เดินเข้ามานั่งบนโซฟาตัวข้าง ๆ วินิจกับผกานั่งอีกตัวที่ถัดจากพ่อแม่ของเธอ ส่วนแบงค์นั่งอีกตัวที่ตรงข้ามกับเธอทำให้ต้องเผชิญหน้ากันจัง ๆ หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงจะไม่รู้สึกอึดอัดขนาดนี้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว แบงค์เพื่อนชายคนดีคนเดิมของเธอไม่มีอีกแล้ว ที่เธอเห็นเวลานี้มีเพียงผู้ชายเย็นชา "งั้นเข้าประเด็นเลยนะครับ" ทันทีที่ทุกคนนั่งกันเรียบร้อยวินิจก็เปิดประเด็นคุยโดยไม่รีรอ "ที่ผมกับภรรยามาวันนี้จะมาคุยเรื่องหนูส้มกับลูกชายเราครับ ผมต้องขอโทษแทนลูกชายด้วยนะครับที่ทำอะไรไม่ให้เกียรติครอบครัวคุณอภิสิทธิ์" "ดิฉันกับสามีต้องขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ นะคะ" ผกาเอ่ยเสริมเมื่ออีกฝั่งยังมีท่าทีนิ่งเฉย ใบหน้าเคร่งขรึมบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากขนาดไหน ก่อนจะแอบส่งสายตาให้บุตรชายที่นั่งหัวโด่อยู่ "ผมขอโทษคุณลุง คุณป้านะครับกับเรื่องที่เกิดขึ้น" แบงค์ยกมือไหว้ขอโทษอย่างรู้งาน แต่ไม่คิดจะเอ่ยอะไรนอกเหนือจากนั้นไม่คิดจะพูดแสดงความรับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น "ขอโทษแล้วมันแก้ปัญหาได้ไหม เธอลองบอกมาสิว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้" แน่นอนว่าสร้างความไม่พอใจให้กับอภิสิทธิ์เป็นอย่างมากย้อนถามไปด้วยน้ำเสียงเหี้ยม สายตาจ้องมองหน้าเด็กหนุ่มอย่างเอาเรื่อง "ผะ.." "ทางเราจะรับผิดชอบโดยการให้เด็ก ๆ แต่งงานกันค่ะ จะได้ไม่มีใครเอาไปนินทาเสีย ๆ หาย ๆ ได้ วันนี้ที่มาก็เพื่อมาคุยเรื่องนี้แหละค่ะ" ไม่ทันที่แบงค์จะได้ตอบอะไรผกาก็ชิงพูดเสียก่อนเพราะเกรงว่าบุตรชายจะพูดอะไรที่ไม่สมควรพูดออกไปจนทำให้เธออดได้เด็กสาวเป็นลูกสะใภ้ แบงค์ได้แต่ขมวดคิ้วเป็นปมมองหน้าผู้เป็นแม่ด้วยแววตาอ่อน หากไม่ติดว่ากลัวท่านจะตัดแม่ตัดลูกเขาอยากจะตะโกนออกไปเหลือเกินว่าไม่แต่งเด็ดขาดจะขอรับผิดชอบเรื่องลูกเท่านั้น มือหนากำหมัดแน่นจนเส้นเลือดนูนพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ในกายเอาไว้ฝืนพยักหน้ารับคำพูดท่านด้วยความจำใจ "ใช่ครับ ผมจะรับผิดชอบโดยการแต่งงานกับส้ม" "ก็ดีที่กล้าทำก็กล้ารับผิดชอบ" อภิสิทธิ์พยักหน้ารับอย่างพึงพอใจเพราะถือว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ดีมากทีเดียว เช่นเดียวกับอัปสรที่กระอิ่มยิ้มในใจในที่สุดเธอก็ได้เด็กหนุ่มมาเป็นลูกเขยสมดั่งใจแล้ว หากรู้แต่แรกวาพ่อของลูกในท้องบุตรสาวเป็นเขาก็คงไม่ดุด่าหรอก คงจะมีแต่ส้มที่ยังคงอึ้ง และปรับอารมณ์ไม่ทันกับเรื่องที่เกิดขึ้น มองหน้าเพื่อนชายด้วยความรู้สึกหลากหลายบอกตามตรงว่าเธองงไปหมดแล้ว เมื่อวานเขายังบอกอยู่เลยว่าขอให้เก็บเรื่องที่เขาเป็นพ่อของลูกเป็นความลับก่อน ทว่าเพียงชั่วข้ามคืนเขากลับพาพ่อแม่มาพูดเรื่องแต่งงาน เขาคิดอะไรอยู่กันแน่ ไหนจะพ่อแม่เธออีกที่ไม่มีท่าทีตกลงใจเลยสักนิดกับการรู้ว่าเธอท้องกับเพื่อนชาย "ถ้าอย่างนั้นดิฉันจะไปหากฤษ์แต่งงานให้เร็วที่สุดนะคะ หากปล่อยไว้นานเดี๋ยวหนูส้มจะท้องโตซะก่อน" ผกาเอ่ยขึ้นเมื่ออีกฝ่ายเปิดทางให้ไม่ได้คัดค้านใด ๆ "โอเคค่ะ" อัปสรตอบรับโดยไม่ต้องคิด และไม่คิดจะถามความเห็นบุตรสาวสักนิด ส้มได้แต่นั่งหน้าเหวอเพราะยังอึน ๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้น ขณะที่แบงค์เองก็ไม่คิดเอ่ยอะไรปล่อยให้พวกผู้ใหญ่คุยกันตามสบายถึงยังไงเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว ซึ่งมันคงสมใจผู้หญิงที่นั่งตรงหน้าเขาแล้ว ผู้หญิงที่เคยเป็นเพื่อนสนิทของเขา.. ดวงตาคมกริบฉายแววแข็งกร้าวในทันตาเพียงคิดว่าเธอตลบหลังเขา มองสบสายตาเพื่อนทรยศที่จ้องมองมาเขม็งไม่เหลือความรู้สึกดี ๆ ให้สักนิด แน่นอนว่าส้มรับรู้ได้ว่าหลังจากนี้ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมแล้ว แต่อย่างน้อยเธอก็ขอถามถึงสิ่งที่สงสัย และขอรักษาความสัมพันธ์อันดีนี้ให้ถึงที่สุดจึงตัดสินใจเอ่ยกับเพื่อนชาย "แบงค์ออกไปคุยกับส้มหน่อยได้ไหม" แบงค์ไม่พูดอะไรตอบรับโดยการลุกเดินออกไปเงียบ ๆ ส้มจึงรีบบอกกล่าวกับผู้ใหญ่ทั้งสี่ว่าขอออกไปคุยกับแบงค์ จากนั้นก็รีบเดินตามเพื่อนชายออกไป@บ้านวิสุทธิ์ภักดี"ว้าย!" ส้มร้องอุทานด้วยความตกใจเมื่อจู่ ๆ ก็ถูกพ่อของลูกยกขึ้นอุ้มในท่าเจ้าสาวขณะที่กำลังจะก้าวเท้าเดินเข้าไปในบ้านวิสุทธิ์ภักดี "จะอุ้มทำไมแบงค์ส้มก็กำลังจะเดินเข้าบ้านอยู่นี่ไง" ครั้นตั้งตัวได้เธก็โวยวายใส่ร่างสูงพลางใช้มือทุบอกเขาแรง ๆ ไม่เข้าใจว่าเขาจะมาอุ้มทำไมกันในเมื่อเธอก็ยอมเดินเข้าบ้านดี ๆ ไม่ได้จะวิ่งหนีกลับบ้านสักหน่อยแบงค์เพียงยิ้มให้เพื่อนสาวเล็กน้อยไม่ได้ตอบอะไรตั้งหน้าอุ้มเธอเดินดุ่ม ๆ เข้าบ้าน ก่อนจะพาเดินตรงขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านทำเอาส้มต้องขมวดคิ้วเป็นปม รีบเปล่งเสียงถามทันที "แบงค์จะพาส้มไปไหน ปล่อยส้มลงเดี๋ยวนี้นะ""พาขึ้นไปดูทะเบียนสมรส แล้วก็ใบหย่าไงเพื่อยืนยันว่าแบงค์ยังไม่ได้เซ็นมันจริง ๆ เพราะฉะนั้นเรายังเป็นสามีภรรยากันอยู่" สิ้นประโยคใบหน้าหล่อเหลาก็เคลือบไปด้วยรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม แววตาทอประกายเจ้าเล่ห์จนส้มอดหัวใจเต้นแรงไม่ได้รู้สึกว่ามันไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย พยายามข่มอาการเอาไว้แล้วเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงดุหวังว่าอีกคนจะเกรงขึ้นมาบ้าง "แบงค์ก็ขึ้นไปหยิบลงมาให้ดูสิ จะอุ้มส้มขึ้นไปด้วยทำไม" "อยากพาขึ้นไปดูให้ถึงที่ไง" "มันใช่เรื่องไหม
หลายปีต่อมา"คุณพ่อคะเมื่อวานตอนไปห้างมีหนุ่ม ๆ มาจีบคุณแม่ด้วยค่ะ" ทันทีที่แบงค์ย่างกรายเข้ามาภายในบ้านเอกวิโรจน์บุตรสาวที่นั่งรอการมาของเขาในห้องโถงก็รีบเอ่ยฟ้องเสียงเจื้อยแจ๋ว"จริงเหรอครับ" ทำเอาแบงค์ถึงกับหูผึ่งรีบเดินเข้าไปหย่อนก้นนั่งข้างบุตรสาว ถามไถ่ด้วยความร้อนรนใจ "แล้วผู้ชายคนนั้นหล่อไหม แล้วแม่เขาตอบผู้ชายคนนั้นไปว่ายังไงบ้าง""เขาก็หล่อนะคะ แต่น้อยกว่าคุณพ่อ" ภริตาเด็กน้อยวัยย่างเข้าเก้าขวบตอบไปตามความจริงเพราะสำหรับเธอแล้วไม่มีใครหล่อกว่าพ่อตัวเอง "ส่วนคุณแม่แค่ยิ้มหวานให้ผู้ชายคนนั้นค่ะไม่ได้ตอบอะไร น้องริตาเลยตอบแทนคุณแม่ไปว่ามีลูกแล้วผู้ชายคนนั้นก็เดินหนีไปเลย""ทำดีมากลูกรัก ไม่เสียแรงที่พ่อให้ลูกช่วยดูแลแม่จากผู้ชายคนอื่น" ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยบึ้งตึงก่อนหน้านี้เริ่มมีรอยยิ้มปรากฏให้เห็นเมื่อได้ยินประโยคต่อมาจากบุตรสาว ก่อนเขาจะเอื้อมมือไปหยีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนเบา ๆ ด้วยความมันเขี้ยว ตอนนี้เวลาก็ผ่านมาสี่ปีเกือบห้าปีแล้วอีกแค่วันเดียวเท่านั้นก็จะคบห้าปีพอดี บุตรสาวของเขาอายุย่างเข้าเก้าปีเริ่มเติบโตเป็นสาวแล้วรู้เรื่องทุกอย่างจึงเป็นตัวช่วยของเขาได้ดีงานที่เขามอ
จากวันนั้นเวลาก็ดำเนินมาหนึ่งปีเต็ม ๆแบงค์ยังคงคอยดูแลลูกในฐานะคุณอาที่แสนดี ซึ่งเขาก็เต็มใจยอมรับไม่คิดเรียกร้องอะไรแค่ได้อยู่ในชีวิตผู้หญิงที่รักทั้งสองคนเขาก็มีความสุขแล้วครืดดด~สายเรียกเข้าจากโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้แบงค์ที่กำลังเดินไปขึ้นรถเพื่อเดินทางไปหาบุตรสาวที่บ้านเอกวิโรจน์เหมือนเช่นทุกวันต้องหยุดชะงัก ก่อนจะล้วงไปหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมาดูคิ้วเข้มพลันขมวดชนกันเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าสายที่โทรเข้ามาคือแม่ของลูกอดแปลกใจไม่ได้เพราะปกติเธอจะไม่โทรมาแต่เช้าแบบนี้ จึงกดรับสายด้วยความอยากรู้"โทรมาแต่เช้าเลยมีอะไรรึเปล่าส้ม"(ส้มจะโทรมาบอกว่าวันนี้ให้มาหาลูกตอนเย็น ๆ นะ เพราะช่วงเช้าพ่อกับแม่ส้มจะพาน้องริตาไปข้างนอก)พอได้ฟังประโยคจากปลายสายเขาก็หน้าหงอยลงฉับพลันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเพราะกะไว้ว่าจะไปรับสองแม่ลูกไปทำบุญด้วยกันที่วัดสักหน่อยเนื่องในวันนี้เป็นวันเกิดของเขา อดคิดไม่ได้ว่าเพื่อนสาวคงจะลืมไปแล้วว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเขาเพราะเป็นเวลาหลายปีแล้วที่ทั้งสองไม่ได้ฉลองวันเกิดด้วยกันตั้งแต่เกิดเรื่องนั่น"อ๋อ..ได้ ๆ" เขาได้แต่เก็บความเศร้าไว้ในใจแล้วเปล่งเสียงตอบปลายสายไ
ส้มทอดสายตามองบรรยากาศยามค่ำคืนริมระเบียงห้องพักด้วยความรู้สึกผ่อนคลายหลังจากที่พาบุตรสาวเข้านอนเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ในสมองก็ครุ่นคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับเรื่องชายหนุ่มและลูก ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เธอจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดจนสายลมเย็นยะเยือกลอยสัมผัสผิวเรียบเนียนทำให้เธอต้องรีบยกมือขึ้นโอบกอดตัวเอง ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีดำนิลที่มีดวงดาวน้อยใหญ่ลอยประดับประดาอย่างสวยงาม แต่นาทีต่อมาเธอก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรนุ่ม ๆ อุ่น ๆ ที่คลุมลงมาบนไหล่ ครั้นเอี่ยวหน้ามองก็พบว่าเป็นพ่อของลูกนั่นเองที่เอาผ้ามาคลุมไหล่ให้เธอ จึงเอ่ยขอบคุณไปตามมารยาท "ขอบคุณ"แบงค์เพียงยกยิ้มให้เพื่อนสาวบาง ๆ แล้วเดินไปยืนริมระเบียงข้าง ๆ ทอดสายตามองออกไปนอกท้องทะเลอันมืดสลัวโดยไม่พูดอะไรออกมา เฉกเช่นเดียวกับส้มที่มองออกไปยังทะเลอีกครั้งโดยไม่พูดอะไรทำให้บรรยากาศรอบ ๆ ปกคลุมไปด้วยความเงียบมีเพียงเสียงคลื่นกระทบฝั่งดังแว่วมาเป็นระยะไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ต่างคนต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ก่อนแบงค์จะเป็นฝ่ายเปิดประเด็นชวนคุยขณะที่สายตายังคงจดจ่อกับทะเลเบื้องหน้า "บรรยากาศดีเนาะ ส้มว่าไหม
เช้าวันต่อมาหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จทั้งสามคนพ่อแม่ลูกก็พากันลงไปทานอาหาร ครั้นทานอาหารเสร็จก็เช่ารถของโรงแรมพาบุตรสาวไปเล่นที่สวนน้ำกระทั่งเที่ยงจึงพากันไปทานอาหารที่ร้านอาหารชื่อดังของภูเก็ต"กินข้าวเสร็จคุณอาใจดีจะพาน้องริตาไปเที่ยวไหนต่อคะ" เด็กน้อยภริตาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ๋วระหว่างที่นั่งรออาหารมาเสิร์ฟพร้อมกับเอียงหน้าขึ้นมองคุณอาใจดีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ขณะที่ส้มนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้อีกฝั่งจ้องมองบุตรสาวด้วยความรู้สึกเอ็นดูระคนมันเขี้ยวเพราะยิ่งนับวันบุตรสาวก็ยิ่งติดคนเป็นพ่อมากขึ้น ดูอย่างตอนนี้สิแทนที่จะนั่งข้างเธอ กลับเลือกไปนั่งข้างชายหนุ่มแต่ก็คงไม่แปลกอะไรเพราะเขาเล่นตามใจบุตรสาวไปเสียทุกอย่างไม่ว่าบุตรสาวจะบอกจะขออะไรก็ทำให้หมดไม่เคยขัดจึงทำให้บุตรสาวชอบอยู่กับเขา"อืม..เราไปดูเครื่องบินที่หาดไม้ขาวกันไหมครับ พอแดดร่มหน่อยเดี๋ยวเราค่อยไปเล่นน้ำทะเลกัน" คนถูกถามอย่างแบงค์นั่งใช้ความคิดชั่วครู่ ก่อนเสนอความคิดเห็นให้บุตรสาวพร้อมกับยกมือลูบเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนเบา ๆ ด้วยความรักใคร่เอ็นดู"ได้ค่ะ"เด็กน้อยภริตายิ้มรับจนตาหยีพลอยทำให้คนเป็นพ่อแม่ยิ้มตามไปด้วย ก่อนแบงค์จะเล
นับจากวันนั้นเวลาก็ผ่านมาหนึ่งเดือนเต็ม ๆ แล้วที่แบงค์ได้กลับเข้ามาในชีวิตเพื่อนสาวกับลูกอีกครั้ง ตอนเช้าของทุกวันก่อนไปทำงานเขาจะแวะมาหาบุตรสาวก่อนเสมอ และหลังเลิกงานตอนเย็นก็แวะมาเล่นกับบุตรสาวอีกครั้ง หากเป็นวันหยุดเขาก็จะมารับบุตรสาวพาไปเที่ยวเป็นประจำ บางครั้งก็พาไปนอนค้างคืนที่บ้านด้วยกัน ส่วนความสัมพันธ์กับแม่ของลูกก็ไม่มีอะไรคืบหน้ามากกว่าเดิมเพราะเธอปิดกั้นเขาทุกทางคงจะมีแค่เรื่องลูกที่ทำให้เธอยอมเกี่ยวข้องกับเขา ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ถอดใจหวังว่าสักวันจะแทรกซึมเข้าไปในใจเธอได้อีกครั้งวันนี้เป็นวันหยุดเขาเลยชวนบุตรสาวไปเที่ยวทะเลตามที่ได้บอกไว้ก่อนหน้านี้ และเขายังแอบพูดกับบุตรสาวว่าให้ชวนแม่ไปด้วยเพราะหวังว่าจะได้สร้างโมเม้นท์ดี ๆ กับแม่ของลูกเผื่ออะไร ๆ จะดีขึ้นกว่าเดิม และทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนส้มยอมไปเที่ยวทะเลด้วยเพราะทนแรงออดอ้อนจากบุตรสาวไม่ไหว ทะเลที่เขาจะพาสองแม่ลูกไปเที่ยวก็คือภูเก็ตนั่นเองเพราะเขาไปมาครั้งที่แล้วมันสวยมาก ที่เที่ยวก็มีเยอะแยะจึงอยากให้บุตรสาวได้เที่ยวบ้าง ทั้งสามออกเดินทางจากกรุงเทพตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยรถส่วนตัวโดยแบงค์ทำหน้าที่เป็นคนขับ เขาอยากจะ