วันต่อมา
@บ้านวิสุทธิ์ภักดี "ตาแบงค์มานั่งคุยกับแม่หน่อย" เสียงของผู้เป็นแม่ทำให้แบงค์ที่กำลังจะเดินผ่านห้องโถงหยุดชะงัก หันไปเลิกคิ้วถามท่านด้วยความสงสัย "แม่มีอะไรครับผมต้องรีบไปเคลียร์งานที่บริษัท เสร็จแล้วจะได้ไปเปิดคลินิกต่อ" "วันนี้ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ลูกต้องไปธุระกับพ่อ และแม่" คุณหญิงผกาเอ่ยแกล้มออกคำสั่งจ้องมองบุตรชายด้วยแววตาดุไร้แววล้อเล่นทำเอาแบงค์แปลกใจไม่น้อยเพราะไม่ใช่บ่อยครั้งที่จะเห็นผู้เป็นแม่ในมุมแบบนี้ แสดงว่ามันต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่ ๆ เขาจึงต้องเดินเข้าไปหย่อนก้นนั่งบนโซฟาอีกตัวตรงข้ามพ่อแม่อย่างเลี่ยงไม่ได้ "แม่มีอะไรครับทำไมต้องทำหน้าซีเรียสขนาดนั้น" เปล่งเสียงถามไปด้วยความสงสัยกับท่าทางตึงเครียดของแม่กับพ่อที่มองมายังเขาราวกับว่าเขาไปทำอะไรผิดมาอย่างนั้น "แกทำหนูส้มท้องยังมีหน้ามาพูดอีกเหรอ" วินิจประมุขของบ้านพูดโดยไม่อ้อมค้อม มองหน้าบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนด้วยแววตาคาดโทษ ขณะที่แบงค์นั่นถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจกับคำบอกกล่าวจากปากผู้เป็นพ่อ คิ้วเข้มขมวดชนกันด้วยความสงสัย สมองเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามว่าท่านรู้เรื่องนี้ได้ยังไงกัน ไหนจะกังวัลว่าบทสรุปของเรื่องนี้จะออกมายังไงในเมื่อพ่อแม่รู้เรื่องนี้แล้ว โดยที่เขายังไม่ทันได้ทำอะไรเลยเพิ่งผ่านไปเพียงชั่วข้ามคืนแท้ ๆ "บอกแม่มาสิว่าลูกจะเอายังไงกับเรื่องนี้" ผกาเอ่ยเสริมด้วยน้ำเสียงแข็งครั้นเห็นปฏิกิริยาของบุตรชาย "พ่อกับแม่รู้เรื่องนี้ได้ยังไงครับ" แบงค์ย้อนถามไปแทนที่จะตอบคำถามผู้เป็นแม่ ตอนนี้เขาอยากรู้มากกว่าว่าใครกันที่คาบเรื่องนี้มาบอกพ่อแม่ก่อนเขาแบบนี้ เขาถึงกับขบกรามกรอดในวินาทีต่อมาเมื่อฉุกคิดขึ้นได้ว่าเรื่องที่เขาเป็นพ่อของลูกในท้องส้มมีแค่เขากับเธอเท่านั้นที่รู้ หากเธอไม่บอกแล้วจะเป็นใครไปได้เพราะเขามั่นใจว่าเมื่อวานที่คุยกันในห้องไม่มีใครได้ยินแน่นอน ใช่มันต้องใช่แน่ ๆ แต่เธอจะทำแบบนี้ไปทำไมกันทั้งที่เมื่อวานก็คุยกันเข้าใจแล้ว "ไม่ต้องรู้หรอกว่าแม่รู้ได้ยังไง มันสำคัญที่ว่าลูกไปทำหนูส้มท้องได้ยังไง ไหนบอกว่าเป็นเพื่อนกัน รู้ไหมว่าทำแบบนี้หนูส้มกับครอบครัวเสียหายนะหากคนอื่นรู้เข้า ลูกต้องรับผิดชอบโดยการแต่งงานกับหนูส้ม พ่อกับแม่จะไปคุยเรื่องนี้ที่บ้านหนูส้ม และลูกต้องไปด้วยไปขอโทษพ่อแม่หนูส้มกับเรื่องที่เกิดขึ้น" ผกาเองก็ไม่คิดจะตอบคำถามบุตรชายเช่นกันเลือกพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดไว้เพราะเธอกับสามีได้ปรึกษากันแล้วว่าการให้เด็กทั้งสองแต่งงานกันคือทางออกที่ดีที่สุด และแน่นอนว่าเธอกับสามีพอใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ส้มมาเป็นลูกสะใภ้เพราะหมายมั่นปั้นมือมานานแล้วติดที่บุตรชายไม่ยอมทำตามคำแนะนำของเธอ ครั้นสบโอกาสเธอจะไม่คว้าได้ยังไงกันการ ได้เกี่ยวดองกับตระกูลของเด็กสาวถือเป็นเรื่องดีมาก ๆ "ไม่นะครับแม่ผมไม่แต่ง ผมไม่ได้รักส้มจะแต่งได้ยังไงกัน อีกอย่างเราสองคนก็คุยกันเข้าใจแล้วว่าจะทำหน้าที่พ่อแม่เท่านั้น" แบงค์ปฏิเสธเสียงแข็งไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่ยอมแต่งงานกับเพื่อนสาวเด็ดขาด "ลูกไม่ได้รักหนูส้มแล้วทำไมถึงทำเธอท้องได้ล่ะ ตอบพ่อมาสิ" เป็นวินิจย้อนถามบุตรชายอย่างเหลืออด "ผมกับส้มเมาเลยพลาดมีอะไรกันครับ แค่ครั้งเดียวเอง" เสียงทุ้มตอบไปเหมือนกับว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องปกติ และใช่เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติในสังคมสมัยนี้ เหตุการณ์แบบนี้มีให้เห็นบ่อย ๆ ซึ่งเขาก็เคยวันไนท์สแตนด์กับสาวคนอื่นมาแล้วหลายครั้งไม่เห็นว่าจะมีปัญหาเหมือนครั้งนี้เลย "จะครั้งเดียวหรือกี่ครั้งแกก็ควรรับผิดชอบในการกระทำของตัวเอง ได้เขาแล้วก็ต้องรับผิดชอบ อย่าเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนี้ นึกถึงหน้าพ่อแม่หนูส้ม และก็ช่วยนึกถึงหน้าพ่อกับแม่ตัวเองด้วยหากคนอื่นรู้เขาจะว่าเอาได้" "เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องปกติของหนุ่มสาวครับ จะทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ทำไม หากผมมีอะไรกับใครแล้วต้องรับผิดชอบด้วยการแต่งงานตลอดป่านนี้ผมคงมีเมียไม่รู้กี่คนแล้วครับ" "ลูกต้องรับผิดชอบโดยการแต่งงานกับหนูส้ม นี่เป็นคำสั่งจากแม่ อย่าให้คนอื่นมาว่าเอาได้ว่าลูกเป็นผู้ชายเห็นแก่ตัวไม่มีความรับผิดชอบ" ผกาเอ่ยเสริม "ผมไม่แต่งครับ ผมจะรับผิดชอบแค่เรื่องลูกเท่านั้น" "ถ้าแกไม่แต่งก็ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าแม่ เพราะฉันไม่อยากมีลูกที่ไร้ความรับผิดชอบ และไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษแบบนี้" "แม่.." เขาเอ่ยเรียกผู้เป็นแม่อย่างไม่อยากจะเชื่อว่าท่านยอมตัดแม่ตัดลูกกับเขาเพียงเพราะเรื่องนี้ พวกท่านไม่ยอมฟังคำพูด และความต้องการของเขาเลยสักนิด แล้วแบบนี้เขาจะทำอะไรได้อีกนอกจากก้มหน้ายอมรับ ขณะที่ในใจพานนึกโกรธเพื่อนสาวที่ตลบหลังเขาเอาเรื่องนี้มาบอกกับพ่อแม่จนเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ เห็นทีความสัมพันธ์อันดีระหว่างเขากับเธอคงต้องจบลงเพียงเท่านี้ จากนี้ไปมันจะไม่มีอีกแล้วเพื่อนสนิทที่ชื่อว่าส้ม@บ้านวิสุทธิ์ภักดี"ว้าย!" ส้มร้องอุทานด้วยความตกใจเมื่อจู่ ๆ ก็ถูกพ่อของลูกยกขึ้นอุ้มในท่าเจ้าสาวขณะที่กำลังจะก้าวเท้าเดินเข้าไปในบ้านวิสุทธิ์ภักดี "จะอุ้มทำไมแบงค์ส้มก็กำลังจะเดินเข้าบ้านอยู่นี่ไง" ครั้นตั้งตัวได้เธก็โวยวายใส่ร่างสูงพลางใช้มือทุบอกเขาแรง ๆ ไม่เข้าใจว่าเขาจะมาอุ้มทำไมกันในเมื่อเธอก็ยอมเดินเข้าบ้านดี ๆ ไม่ได้จะวิ่งหนีกลับบ้านสักหน่อยแบงค์เพียงยิ้มให้เพื่อนสาวเล็กน้อยไม่ได้ตอบอะไรตั้งหน้าอุ้มเธอเดินดุ่ม ๆ เข้าบ้าน ก่อนจะพาเดินตรงขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านทำเอาส้มต้องขมวดคิ้วเป็นปม รีบเปล่งเสียงถามทันที "แบงค์จะพาส้มไปไหน ปล่อยส้มลงเดี๋ยวนี้นะ""พาขึ้นไปดูทะเบียนสมรส แล้วก็ใบหย่าไงเพื่อยืนยันว่าแบงค์ยังไม่ได้เซ็นมันจริง ๆ เพราะฉะนั้นเรายังเป็นสามีภรรยากันอยู่" สิ้นประโยคใบหน้าหล่อเหลาก็เคลือบไปด้วยรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม แววตาทอประกายเจ้าเล่ห์จนส้มอดหัวใจเต้นแรงไม่ได้รู้สึกว่ามันไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย พยายามข่มอาการเอาไว้แล้วเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงดุหวังว่าอีกคนจะเกรงขึ้นมาบ้าง "แบงค์ก็ขึ้นไปหยิบลงมาให้ดูสิ จะอุ้มส้มขึ้นไปด้วยทำไม" "อยากพาขึ้นไปดูให้ถึงที่ไง" "มันใช่เรื่องไหม
หลายปีต่อมา"คุณพ่อคะเมื่อวานตอนไปห้างมีหนุ่ม ๆ มาจีบคุณแม่ด้วยค่ะ" ทันทีที่แบงค์ย่างกรายเข้ามาภายในบ้านเอกวิโรจน์บุตรสาวที่นั่งรอการมาของเขาในห้องโถงก็รีบเอ่ยฟ้องเสียงเจื้อยแจ๋ว"จริงเหรอครับ" ทำเอาแบงค์ถึงกับหูผึ่งรีบเดินเข้าไปหย่อนก้นนั่งข้างบุตรสาว ถามไถ่ด้วยความร้อนรนใจ "แล้วผู้ชายคนนั้นหล่อไหม แล้วแม่เขาตอบผู้ชายคนนั้นไปว่ายังไงบ้าง""เขาก็หล่อนะคะ แต่น้อยกว่าคุณพ่อ" ภริตาเด็กน้อยวัยย่างเข้าเก้าขวบตอบไปตามความจริงเพราะสำหรับเธอแล้วไม่มีใครหล่อกว่าพ่อตัวเอง "ส่วนคุณแม่แค่ยิ้มหวานให้ผู้ชายคนนั้นค่ะไม่ได้ตอบอะไร น้องริตาเลยตอบแทนคุณแม่ไปว่ามีลูกแล้วผู้ชายคนนั้นก็เดินหนีไปเลย""ทำดีมากลูกรัก ไม่เสียแรงที่พ่อให้ลูกช่วยดูแลแม่จากผู้ชายคนอื่น" ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยบึ้งตึงก่อนหน้านี้เริ่มมีรอยยิ้มปรากฏให้เห็นเมื่อได้ยินประโยคต่อมาจากบุตรสาว ก่อนเขาจะเอื้อมมือไปหยีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนเบา ๆ ด้วยความมันเขี้ยว ตอนนี้เวลาก็ผ่านมาสี่ปีเกือบห้าปีแล้วอีกแค่วันเดียวเท่านั้นก็จะคบห้าปีพอดี บุตรสาวของเขาอายุย่างเข้าเก้าปีเริ่มเติบโตเป็นสาวแล้วรู้เรื่องทุกอย่างจึงเป็นตัวช่วยของเขาได้ดีงานที่เขามอ
จากวันนั้นเวลาก็ดำเนินมาหนึ่งปีเต็ม ๆแบงค์ยังคงคอยดูแลลูกในฐานะคุณอาที่แสนดี ซึ่งเขาก็เต็มใจยอมรับไม่คิดเรียกร้องอะไรแค่ได้อยู่ในชีวิตผู้หญิงที่รักทั้งสองคนเขาก็มีความสุขแล้วครืดดด~สายเรียกเข้าจากโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้แบงค์ที่กำลังเดินไปขึ้นรถเพื่อเดินทางไปหาบุตรสาวที่บ้านเอกวิโรจน์เหมือนเช่นทุกวันต้องหยุดชะงัก ก่อนจะล้วงไปหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมาดูคิ้วเข้มพลันขมวดชนกันเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าสายที่โทรเข้ามาคือแม่ของลูกอดแปลกใจไม่ได้เพราะปกติเธอจะไม่โทรมาแต่เช้าแบบนี้ จึงกดรับสายด้วยความอยากรู้"โทรมาแต่เช้าเลยมีอะไรรึเปล่าส้ม"(ส้มจะโทรมาบอกว่าวันนี้ให้มาหาลูกตอนเย็น ๆ นะ เพราะช่วงเช้าพ่อกับแม่ส้มจะพาน้องริตาไปข้างนอก)พอได้ฟังประโยคจากปลายสายเขาก็หน้าหงอยลงฉับพลันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเพราะกะไว้ว่าจะไปรับสองแม่ลูกไปทำบุญด้วยกันที่วัดสักหน่อยเนื่องในวันนี้เป็นวันเกิดของเขา อดคิดไม่ได้ว่าเพื่อนสาวคงจะลืมไปแล้วว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเขาเพราะเป็นเวลาหลายปีแล้วที่ทั้งสองไม่ได้ฉลองวันเกิดด้วยกันตั้งแต่เกิดเรื่องนั่น"อ๋อ..ได้ ๆ" เขาได้แต่เก็บความเศร้าไว้ในใจแล้วเปล่งเสียงตอบปลายสายไ
ส้มทอดสายตามองบรรยากาศยามค่ำคืนริมระเบียงห้องพักด้วยความรู้สึกผ่อนคลายหลังจากที่พาบุตรสาวเข้านอนเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ในสมองก็ครุ่นคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับเรื่องชายหนุ่มและลูก ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เธอจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดจนสายลมเย็นยะเยือกลอยสัมผัสผิวเรียบเนียนทำให้เธอต้องรีบยกมือขึ้นโอบกอดตัวเอง ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีดำนิลที่มีดวงดาวน้อยใหญ่ลอยประดับประดาอย่างสวยงาม แต่นาทีต่อมาเธอก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรนุ่ม ๆ อุ่น ๆ ที่คลุมลงมาบนไหล่ ครั้นเอี่ยวหน้ามองก็พบว่าเป็นพ่อของลูกนั่นเองที่เอาผ้ามาคลุมไหล่ให้เธอ จึงเอ่ยขอบคุณไปตามมารยาท "ขอบคุณ"แบงค์เพียงยกยิ้มให้เพื่อนสาวบาง ๆ แล้วเดินไปยืนริมระเบียงข้าง ๆ ทอดสายตามองออกไปนอกท้องทะเลอันมืดสลัวโดยไม่พูดอะไรออกมา เฉกเช่นเดียวกับส้มที่มองออกไปยังทะเลอีกครั้งโดยไม่พูดอะไรทำให้บรรยากาศรอบ ๆ ปกคลุมไปด้วยความเงียบมีเพียงเสียงคลื่นกระทบฝั่งดังแว่วมาเป็นระยะไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ต่างคนต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ก่อนแบงค์จะเป็นฝ่ายเปิดประเด็นชวนคุยขณะที่สายตายังคงจดจ่อกับทะเลเบื้องหน้า "บรรยากาศดีเนาะ ส้มว่าไหม
เช้าวันต่อมาหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จทั้งสามคนพ่อแม่ลูกก็พากันลงไปทานอาหาร ครั้นทานอาหารเสร็จก็เช่ารถของโรงแรมพาบุตรสาวไปเล่นที่สวนน้ำกระทั่งเที่ยงจึงพากันไปทานอาหารที่ร้านอาหารชื่อดังของภูเก็ต"กินข้าวเสร็จคุณอาใจดีจะพาน้องริตาไปเที่ยวไหนต่อคะ" เด็กน้อยภริตาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ๋วระหว่างที่นั่งรออาหารมาเสิร์ฟพร้อมกับเอียงหน้าขึ้นมองคุณอาใจดีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ขณะที่ส้มนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้อีกฝั่งจ้องมองบุตรสาวด้วยความรู้สึกเอ็นดูระคนมันเขี้ยวเพราะยิ่งนับวันบุตรสาวก็ยิ่งติดคนเป็นพ่อมากขึ้น ดูอย่างตอนนี้สิแทนที่จะนั่งข้างเธอ กลับเลือกไปนั่งข้างชายหนุ่มแต่ก็คงไม่แปลกอะไรเพราะเขาเล่นตามใจบุตรสาวไปเสียทุกอย่างไม่ว่าบุตรสาวจะบอกจะขออะไรก็ทำให้หมดไม่เคยขัดจึงทำให้บุตรสาวชอบอยู่กับเขา"อืม..เราไปดูเครื่องบินที่หาดไม้ขาวกันไหมครับ พอแดดร่มหน่อยเดี๋ยวเราค่อยไปเล่นน้ำทะเลกัน" คนถูกถามอย่างแบงค์นั่งใช้ความคิดชั่วครู่ ก่อนเสนอความคิดเห็นให้บุตรสาวพร้อมกับยกมือลูบเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนเบา ๆ ด้วยความรักใคร่เอ็นดู"ได้ค่ะ"เด็กน้อยภริตายิ้มรับจนตาหยีพลอยทำให้คนเป็นพ่อแม่ยิ้มตามไปด้วย ก่อนแบงค์จะเล
นับจากวันนั้นเวลาก็ผ่านมาหนึ่งเดือนเต็ม ๆ แล้วที่แบงค์ได้กลับเข้ามาในชีวิตเพื่อนสาวกับลูกอีกครั้ง ตอนเช้าของทุกวันก่อนไปทำงานเขาจะแวะมาหาบุตรสาวก่อนเสมอ และหลังเลิกงานตอนเย็นก็แวะมาเล่นกับบุตรสาวอีกครั้ง หากเป็นวันหยุดเขาก็จะมารับบุตรสาวพาไปเที่ยวเป็นประจำ บางครั้งก็พาไปนอนค้างคืนที่บ้านด้วยกัน ส่วนความสัมพันธ์กับแม่ของลูกก็ไม่มีอะไรคืบหน้ามากกว่าเดิมเพราะเธอปิดกั้นเขาทุกทางคงจะมีแค่เรื่องลูกที่ทำให้เธอยอมเกี่ยวข้องกับเขา ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ถอดใจหวังว่าสักวันจะแทรกซึมเข้าไปในใจเธอได้อีกครั้งวันนี้เป็นวันหยุดเขาเลยชวนบุตรสาวไปเที่ยวทะเลตามที่ได้บอกไว้ก่อนหน้านี้ และเขายังแอบพูดกับบุตรสาวว่าให้ชวนแม่ไปด้วยเพราะหวังว่าจะได้สร้างโมเม้นท์ดี ๆ กับแม่ของลูกเผื่ออะไร ๆ จะดีขึ้นกว่าเดิม และทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนส้มยอมไปเที่ยวทะเลด้วยเพราะทนแรงออดอ้อนจากบุตรสาวไม่ไหว ทะเลที่เขาจะพาสองแม่ลูกไปเที่ยวก็คือภูเก็ตนั่นเองเพราะเขาไปมาครั้งที่แล้วมันสวยมาก ที่เที่ยวก็มีเยอะแยะจึงอยากให้บุตรสาวได้เที่ยวบ้าง ทั้งสามออกเดินทางจากกรุงเทพตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยรถส่วนตัวโดยแบงค์ทำหน้าที่เป็นคนขับ เขาอยากจะ