"มีอะไรก็ว่ามา" ทันทีที่เดินมาถึงลานสนามหญ้าหน้าบ้านแบงค์ก็ถามไถ่ขึ้นทั้งที่ไม่หันไปมองหน้าคนที่ดินตามหลังมาสักนิด เขาไม่อยากเห็นหน้าเพื่อนสาวตอนนี้เกรงว่าจะข่มอารมณ์ไม่อยู่แล้วเผลอทำอะไรรุนแรงไป
"ส้มขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น ส้มมันสะเพร่าเองทำให้แบงค์ต้องมาเดือดร้อนด้วย แบงค์คงโกรธส้มมากสินะ" ส้มไม่รู้หรอกว่าตอนนี้เพื่อนชายจะทำหน้ายังไงพยายามกักเก็บความเสียใจเอาไว้เปล่งเสียงพูดไปอย่างแผ่วเบา หวังว่าคำขอโทษจากเธอมันจะสามารถเรียกความรู้สึกของเพื่อนชายกลับมาได้บ้าง แต่เธอก็ต้องผิดหวังเพราะเขาไม่แม้แต่จะตอบอะไรกลับมายืนนิ่งราวกับหิน มือทั้งสองกำแน่นจนเส้นเลือดนูนคงกำลังข่มอารมณ์บางอย่างอยู่เพราะเพื่อนชายมักกำหมัดแน่นทุกครั้งที่โกรธ หรือต้องข่มอารมณ์ต่าง ๆ ไว้ บอกตามตรงว่าเจอแบบนี้ก็แอบหวั่นใจเหมือนกันเธอเคยเห็นมาแล้วว่าเวลาเพื่อนชายโกรธมันน่ากลัวขนาดไหน ทว่าหากไม่ใช้โอกาสนี้คุยกันให้เข้าใจเกรงว่าหลังจากนี้จะไม่ได้คุยดี ๆ กันอีกแล้วจึงรวบรวมความกล้า แล้วเดินอ้อมไปยืนเผชิญหน้ากับเขา เอ่ยไปด้วยใบหน้าเศร้า "มีอะไร หรือรู้สึกอะไรแบงค์ช่วยพูดกับส้มตรง ๆ ได้ไหม อย่าทำเย็นชาแบบนี้เลยส้มรู้สึกไม่ดี" "ฉันกับเธอมีอะไรต้องคุยกันอีกเหรอ ทุกอย่างมันเป็นไปตามที่เธอต้องการแล้วไม่ใช่เหรอจะอะไรอีก" แบงค์หลับตาพ่นลมหายใจออกมาหนัก ๆ พยายามข่มอารมณ์โกรธเอาไว้ แล้วปรือตาขึ้นตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จ้องมองหน้าอดีตเพื่อนสนิทด้วยแววตาว่างเปล่าไร้ความรู้สึกใด ๆ แม้แต่สรรพนามที่ใช้เรียกแทนตัวเองและเธอก็ดูเหินห่าง "ส้มขอโทษส้มไม่รู้จริง ๆ ว่าเรื่องมันจะเลยเถิดมาขนาดนี้ แบงค์อย่าโกรธส้มเลย อย่าทำตัวเหินห่าง หรือเฉยชากับส้มแบบนี้สิ" ทุกสิ่งทุกอย่างที่เพื่อนชายพูดหรือแสดงออกมาทำเอาคนฟังเจ็บจี๊ดในอก มองสบสายตาว่างเปล่าด้วยแววตาไหวระริก ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อ ๆ การแอบรักว่าเจ็บแล้ว แต่การเห็นคนที่แอบรักเมินเฉยต่อกันมันเจ็บยิ่งกว่า เธอรับไม่ได้จริง ๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น "เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ใช่ไหมแบงค์ ทุกอย่างยังเหมือนเดิมใช่ไหมแบงค์" เปล่งเสียงสั่นเครือถามไปส่งสายตาเว้าวอนร่างสูงตรงหน้าสุดฤทธิ์ มือเรียวเอื้อมไปจับมือเขามากอบกุมไว้หลวม ๆ "มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว หากอยากเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมก็ไปบอกพ่อแม่เธอกับพ่อแม่ฉันให้ล้มเลิกเรื่องแต่งงานสิ ทำได้ไหมส้ม" ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับยิ่งทำให้เธอเจ็บหนักกว่าเดิมน้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ค่อย ๆ รินไหลออกจากตาหยดเผาะลงบนพวงแก้ม มองหน้าเพื่อนชายอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่เคยแสนดี และมีเหตุผลมากจะกลายเป็นคนแบบนี้ได้ เธอเป็นฝ่ายเสียเปรียบทุกอย่างแต่เขาไม่เคยนึกถึงข้อนี้เลย ไม่เคยถามว่าเธอรู้ยังไง ไม่เคยสนใจด้วยซ้ำว่าเธอจะโดนพ่อแม่ด่าไหมนึกถึงแต่ตัวเอง ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าเขาจะเห็นแก่ตัวได้ขนาดนี้หากเธอตั้งใจให้เรื่องนี้มันเกิดขึ้นก็ว่าไปอย่าง "แล้วแบงค์เคยรู้บ้างไหมว่าส้มต้องเจออะไรบ้างกับเรื่องที่เกิดขึ้น คิดว่าส้มอยากให้เรื่องนี้มันเกิดขึ้นรึไง" สุดท้ายเธอก็ทนไม่ไหวตอกกลับเพื่อนชายอย่างเหลืออด หวังว่าเขาจะคิดอะไรได้บ้าง ทว่าสำหรับแบงค์แล้วต่อให้เธอพูดยังไงก็ไม่สามารถลบความคิดที่ว่าเธอตลบหลังเขาได้แล้ว เขาปักใจเชื่อไปร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว "ถ้าไม่ได้จากนี้ไปฉันกับเธอก็ไม่ใช่เพื่อนกัน เราจะเป็นแค่คนแปลกหน้ากันเท่านั้น" เขาเค้นหัวเราะในลำคออย่างเย้ยหยันกดเสียงพูดอย่างไร้เยื่อใย ว่าจบก็สะบัดมือออกจากการจับกุมของหญิงสาว แล้วเดินตัวปลิวกลับเข้าไปในบ้านไม่สนใจอีกคนที่ยืนร้องไห้สักนิด "อึก.." ส้มใช้มือขยำชายกระโปรงชุดเดรสแน่นจนมือสั่นพยายามสะกดกลั้นน้ำตาที่กำลังรินไหลลงมาด้วยความเจ็บปวดและเสียใจ สำหรับเพื่อนชายแล้วความสัมพันธ์อันดีที่มีมายาวนานคงไม่มีความหมายอะไรเลยเขาถึงตัดได้อย่างง่ายดายแบบนี้ ความรักและสิ่งดี ๆ ที่เธอคอยทำให้เขามาตลอดมันไม่เคยแทรกซึมเข้าไปในหัวใจของเขาบ้างเลยหรือยังไงกัน ทว่าต่อจากนี้ไม่ว่าจะเสียใจยังไงเธอก็คงต้องทำใจยอมรับให้ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะชีวิตต้องเดินหน้าต่อไป เดินไปตามเส้นทางที่พ่อแม่ขีดไว้อย่างเลี่ยงไม่ได้ . . หลังจากเหตุการณ์วันนั้นเวลาก็ล่วงเลยมาหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ การแต่งงานของส้มกับแบงค์จะถูกจัดขึ้นในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าตามฤกษ์ที่ผกาได้ไปดูมา ทุกฝ่ายดูเหมือนจะแฮปปี้มากยกเว้นเจ้าบ่าวเจ้าสาวอย่างส้มกับแบงค์ที่ยิ่งเข้าใกล้วันแต่งงานเท่าไรก็ยิ่งทุกข์ใจ ส้มถูกพ่อแม่กักบริเวณให้อยู่ในบ้านทุกวัน จะออกไปไหนต้องมีคนคอยติดตามเพราะผู้เป็นแม่กลัวว่าเธอจะหนีงานแต่ง อีกทั้งยังหวงลูกในท้องของเธอด้วยกลัวว่าเธอจะซุ่มซ่ามจนแท้งหลังจากได้รู้ว่าใครคือพ่อของลูก มันช่างหน้าขำสิ้นดี สมมุติว่าเธอท้องกับผู้ชายที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าแม่ของเธอคงจะไม่ชอบถึงขั้นไล่ให้เธอไปเอาออกด้วยซ้ำมั้ง "แต่งตัวรึยังส้ม เดี๋ยวตาแบงค์จะมารับไปลองชุดแต่งงาน" เสียงของผู้เป็นแม่ดังทบโสตประสาททำให้ส้มที่นั่งเหม่อลอยอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งสะดุ้งหลุดจากภวังค์ เธอลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนเอี่ยวหน้าตอบผู้เป็นแม่ที่ยืนชะเง้อคอมองอยู่หลังประตูด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "เสร็จแล้วค่ะ" "ดีมาก เสร็จแล้วก็ลงไปนั่งรอเขาด้านล่าง" อัปสรยกยิ้มอย่างพึงพอใจที่บุตรสาวไม่หือไม่อือ ว่าจบก็เดินจากไปทิ้งให้ส้มนั่งถอนหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่ารู้สึกเหนื่อยกับชีวิตเหลือเกิน ทุกวันนี้เธอก็ไม่ต่างอะไรจากหุ่นยนต์ที่ถูกพ่อแม่ชักนำ พวกท่านจัดการและคิดทุกอย่างแทนเธอไปหมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องแต่งงาน ไม่เว้นแม้แต่ติดต่อกับเพื่อนชายเรื่องการลองชุดแต่งงาน และอีกสารพัดเรื่อง เพราะหลังจากเพื่อนชายตัดความเป็นเพื่อนกันในวันนั้นเธอกับเขาก็ไม่ได้พบเจอ หรือติดต่อกันอีกเลยทุกเรื่องจะผ่านทางแม่ของเธอกับแม่ของเขาหมด การเจอกันวันนี้ไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไงอีกบอกตามตรงว่าเธอไม่ดีใจเลยสักนิด แค่นึกถึงสีหน้าท่าทางของเพื่อนชายในวันนั้นก็อึดอัดตั้งไว้แล้ว แต่ก็นั่นแหละถึงไม่อยากเจอก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เธอถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนจะคว้ากระเป๋าขึ้นสะพายไหล่ แล้วเดินลงไปยังชั้นล่างเพื่อรอเพื่อนชายมารับตามคำบอกกล่าวของผู้เป็นแม่ เท้าเล็กพลันชะงักเล็กน้อยครั้นเดินมาถึงห้องโถงแล้วพบว่าเพื่อนชายนั่งคุยอยู่กับแม่ หัวใจดวงน้อย ๆ สั่นไหวอย่างห้ามไม่ได้เกิดอาการเกร็งฉับพลันจนต้องใช้มือกำสายสะพายกระเป๋าแน่นในตอนที่ดวงตาคมกริบของเพื่อนชายตวัดมองมายังเธอ ภายในแววตามันเต็มไปด้วยความเย็นชาคนถูกมองอย่างเธอถึงกับหนาวไปถึงขั้วหัวใจ อาการปวดหนึบในหัวใจเริ่มกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่ง "น้องมาแล้วจ้ะ" อัปสรเอ่ยขึ้นเมื่อหันไปเห็นบุตรสาว ซึ่งแบงค์ก็พยักหน้ารับด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้ม ก่อนหยัดกายลุกขึ้นยืน "งั้นผมไปก่อนนะครับ" บอกกล่าวกับท่าน แล้วหันไปเอ่ยกับหญิงสาวต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเพราะอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ "ไปกันเถอะ" ส้มเพียงพยักหน้ารับแล้วเดินตามเพื่อนชายออกไปจากบ้านโดยไม่คิดพูดจากับผู้เป็นแม่สักนิด เธอมองรถสปอร์ตคันหรูที่จองอยู่หน้าบ้านด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยว เมื่อก่อนมันเคยเป็นรถที่เธอชอบนั่งมากที่สุดชอบให้เพื่อนชายพาซิงไปเที่ยวเพราะได้ใช้เวลาร่วมกับเขา แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อีกแล้วมันมีแต่ความรู้สึกอึดอัด "จะขึ้นรถได้รึยัง หรือต้องให้อันเชิญ" ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เธอยืนเหม่อลอยกระทั่งเสียงแข็งกร้าวดังขึ้นทำให้เธอได้สติ รีบกุลีกุจอขึ้นไปนั่งบนรถด้วยความเร็วแม้ในใจกำลังนึกเสียใจกับคำพูดแดกดันของเพื่อนชาย ต่อมน้ำตาพานจะแตกเสียให้ได้จึงต้องเบือนหน้ามองออกไปนอกกระจกรถ จิกเล็บลงบนอุ้งมือแน่นข่มไม่ให้น้ำตาไหลออกมา เธอไม่ได้อยากอ่อนแอแบบนี้เลยแต่ไม่รู้ทำไมถึงอ่อนไหวง่ายนัก อะไรกระทบจิตใจหน่อยก็จะร้องไห้อย่างเดียวทั้งที่เมื่อก่อนเธอเข็มแข็งกว่านี้ ภายในรถตกอยู่ในความเงียบแบงค์ไม่คิดจะคุยกับคนข้าง ๆ ไม่แม้แต่จะชายตามอง สร้างความอึดอัดให้อีกคนไม่น้อย หากทำได้เธออยากจะหายไปจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอดเพราะยิ่งคิดถึงเรื่องราววันเก่าที่เธอกับเขาเคยนั่งรถเที่ยวด้วยกันอย่างมีความสุข มีแต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้มก็ยิ่งตอกย้ำให้รู้สึกเจ็บ ช่างน่าเสียดายที่หลังจากนี้มันจะไม่มีอีกแล้ว..@ร้านสวีทเวดดิ้งเดย์ ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงรถสปอร์ตคันหรูก็เคลื่อนตัวมาจอดลงหน้าร้านชุดแต่งงานชื่อดังย่านใจกลางเมืองส้มลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเลื่อนมือไปเปิดประตูเพื่อลงจากรถไม่รอให้อีกคนพูดจากระแทกแดกดันอีก "เธอเข้าไปลองชุดคนเดียวแล้วกัน ส่วนฉันมีการมีงานต้องทำไม่มีเวลาว่างมาทำเรื่องไร้สาระแบบนี้" ทว่าในตอนที่กำลังก้าวขาลงจากรถเธอก็ต้องชะงักดังกึกกับประโยคบอกกล่าวไร้เยื่อใยของคนที่นั่งประจำตำแหน่งคนขับ หันกลับไปมองใบหน้าหล่อเหลาด้วยแววตาไหวระริก สำหรับเขาแล้วการแต่งงานในครั้งนี้มันคงเป็นเรื่องที่แย่ และไร้สาระมากสินะ ข้อนี้เธอพอเข้าใจแต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมเพื่อนชายถึงเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ พูดจาออกมาแต่ละคำไม่นึกถึงใจคนฟังสักนิดว่ารู้สึกยังไงทั้งที่เมื่อก่อนเขาเป็นคนที่แคร์ความรู้สึกคนรอบข้างมาก จะทำอะไรก็นึกถึงจิตใจคนอื่นก่อนเสมอ "อ๋อ..แล้วก็อย่าปากโป้งเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อแม่ฉันอีกล่ะ" แบงค์มองสบแววตาไหวระริกของหญิงสาวนิ่ง ๆ นานนับนาที ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงดุเมื่อเธอเอาแต่มองหน้าเขาไม่ตอบโต้อะไร ความจริงเขาไม่ได้มีธุระที่ไหนหรอก เรื่องงานผู้เป็นแม่ก็สั่งให้หยุดเพื่อมาลองชุดแต่งงานโดยเฉพาะ แต่การแต่งงานครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะผู้ใหญ่บังคับเขาไม่จำเป็นจะต้องให้ความสำคัญแค่ทำให้มันเสร็จ ๆ ไปตามหน้าที่ ส้มไม่ได้ตอบอะไรกลับเช่นเดิมรีบก้าวลงจากรถก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมา แต่สุดท้ายเธอก็กลั้นมันไม่ไหวอยู่ดีเมื่อได้ยินเสียงรถเพื่อนชายแล่นออกไป เขาไม่มีแม่แต่เยื่อใยให้กัน เป็นแบบนี้เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทนอยู่กับเขาได้นานแค่ไหน@บ้านวิสุทธิ์ภักดี"ว้าย!" ส้มร้องอุทานด้วยความตกใจเมื่อจู่ ๆ ก็ถูกพ่อของลูกยกขึ้นอุ้มในท่าเจ้าสาวขณะที่กำลังจะก้าวเท้าเดินเข้าไปในบ้านวิสุทธิ์ภักดี "จะอุ้มทำไมแบงค์ส้มก็กำลังจะเดินเข้าบ้านอยู่นี่ไง" ครั้นตั้งตัวได้เธก็โวยวายใส่ร่างสูงพลางใช้มือทุบอกเขาแรง ๆ ไม่เข้าใจว่าเขาจะมาอุ้มทำไมกันในเมื่อเธอก็ยอมเดินเข้าบ้านดี ๆ ไม่ได้จะวิ่งหนีกลับบ้านสักหน่อยแบงค์เพียงยิ้มให้เพื่อนสาวเล็กน้อยไม่ได้ตอบอะไรตั้งหน้าอุ้มเธอเดินดุ่ม ๆ เข้าบ้าน ก่อนจะพาเดินตรงขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านทำเอาส้มต้องขมวดคิ้วเป็นปม รีบเปล่งเสียงถามทันที "แบงค์จะพาส้มไปไหน ปล่อยส้มลงเดี๋ยวนี้นะ""พาขึ้นไปดูทะเบียนสมรส แล้วก็ใบหย่าไงเพื่อยืนยันว่าแบงค์ยังไม่ได้เซ็นมันจริง ๆ เพราะฉะนั้นเรายังเป็นสามีภรรยากันอยู่" สิ้นประโยคใบหน้าหล่อเหลาก็เคลือบไปด้วยรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม แววตาทอประกายเจ้าเล่ห์จนส้มอดหัวใจเต้นแรงไม่ได้รู้สึกว่ามันไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย พยายามข่มอาการเอาไว้แล้วเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงดุหวังว่าอีกคนจะเกรงขึ้นมาบ้าง "แบงค์ก็ขึ้นไปหยิบลงมาให้ดูสิ จะอุ้มส้มขึ้นไปด้วยทำไม" "อยากพาขึ้นไปดูให้ถึงที่ไง" "มันใช่เรื่องไหม
หลายปีต่อมา"คุณพ่อคะเมื่อวานตอนไปห้างมีหนุ่ม ๆ มาจีบคุณแม่ด้วยค่ะ" ทันทีที่แบงค์ย่างกรายเข้ามาภายในบ้านเอกวิโรจน์บุตรสาวที่นั่งรอการมาของเขาในห้องโถงก็รีบเอ่ยฟ้องเสียงเจื้อยแจ๋ว"จริงเหรอครับ" ทำเอาแบงค์ถึงกับหูผึ่งรีบเดินเข้าไปหย่อนก้นนั่งข้างบุตรสาว ถามไถ่ด้วยความร้อนรนใจ "แล้วผู้ชายคนนั้นหล่อไหม แล้วแม่เขาตอบผู้ชายคนนั้นไปว่ายังไงบ้าง""เขาก็หล่อนะคะ แต่น้อยกว่าคุณพ่อ" ภริตาเด็กน้อยวัยย่างเข้าเก้าขวบตอบไปตามความจริงเพราะสำหรับเธอแล้วไม่มีใครหล่อกว่าพ่อตัวเอง "ส่วนคุณแม่แค่ยิ้มหวานให้ผู้ชายคนนั้นค่ะไม่ได้ตอบอะไร น้องริตาเลยตอบแทนคุณแม่ไปว่ามีลูกแล้วผู้ชายคนนั้นก็เดินหนีไปเลย""ทำดีมากลูกรัก ไม่เสียแรงที่พ่อให้ลูกช่วยดูแลแม่จากผู้ชายคนอื่น" ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยบึ้งตึงก่อนหน้านี้เริ่มมีรอยยิ้มปรากฏให้เห็นเมื่อได้ยินประโยคต่อมาจากบุตรสาว ก่อนเขาจะเอื้อมมือไปหยีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนเบา ๆ ด้วยความมันเขี้ยว ตอนนี้เวลาก็ผ่านมาสี่ปีเกือบห้าปีแล้วอีกแค่วันเดียวเท่านั้นก็จะคบห้าปีพอดี บุตรสาวของเขาอายุย่างเข้าเก้าปีเริ่มเติบโตเป็นสาวแล้วรู้เรื่องทุกอย่างจึงเป็นตัวช่วยของเขาได้ดีงานที่เขามอ
จากวันนั้นเวลาก็ดำเนินมาหนึ่งปีเต็ม ๆแบงค์ยังคงคอยดูแลลูกในฐานะคุณอาที่แสนดี ซึ่งเขาก็เต็มใจยอมรับไม่คิดเรียกร้องอะไรแค่ได้อยู่ในชีวิตผู้หญิงที่รักทั้งสองคนเขาก็มีความสุขแล้วครืดดด~สายเรียกเข้าจากโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้แบงค์ที่กำลังเดินไปขึ้นรถเพื่อเดินทางไปหาบุตรสาวที่บ้านเอกวิโรจน์เหมือนเช่นทุกวันต้องหยุดชะงัก ก่อนจะล้วงไปหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมาดูคิ้วเข้มพลันขมวดชนกันเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าสายที่โทรเข้ามาคือแม่ของลูกอดแปลกใจไม่ได้เพราะปกติเธอจะไม่โทรมาแต่เช้าแบบนี้ จึงกดรับสายด้วยความอยากรู้"โทรมาแต่เช้าเลยมีอะไรรึเปล่าส้ม"(ส้มจะโทรมาบอกว่าวันนี้ให้มาหาลูกตอนเย็น ๆ นะ เพราะช่วงเช้าพ่อกับแม่ส้มจะพาน้องริตาไปข้างนอก)พอได้ฟังประโยคจากปลายสายเขาก็หน้าหงอยลงฉับพลันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเพราะกะไว้ว่าจะไปรับสองแม่ลูกไปทำบุญด้วยกันที่วัดสักหน่อยเนื่องในวันนี้เป็นวันเกิดของเขา อดคิดไม่ได้ว่าเพื่อนสาวคงจะลืมไปแล้วว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเขาเพราะเป็นเวลาหลายปีแล้วที่ทั้งสองไม่ได้ฉลองวันเกิดด้วยกันตั้งแต่เกิดเรื่องนั่น"อ๋อ..ได้ ๆ" เขาได้แต่เก็บความเศร้าไว้ในใจแล้วเปล่งเสียงตอบปลายสายไ
ส้มทอดสายตามองบรรยากาศยามค่ำคืนริมระเบียงห้องพักด้วยความรู้สึกผ่อนคลายหลังจากที่พาบุตรสาวเข้านอนเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ในสมองก็ครุ่นคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับเรื่องชายหนุ่มและลูก ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เธอจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดจนสายลมเย็นยะเยือกลอยสัมผัสผิวเรียบเนียนทำให้เธอต้องรีบยกมือขึ้นโอบกอดตัวเอง ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีดำนิลที่มีดวงดาวน้อยใหญ่ลอยประดับประดาอย่างสวยงาม แต่นาทีต่อมาเธอก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรนุ่ม ๆ อุ่น ๆ ที่คลุมลงมาบนไหล่ ครั้นเอี่ยวหน้ามองก็พบว่าเป็นพ่อของลูกนั่นเองที่เอาผ้ามาคลุมไหล่ให้เธอ จึงเอ่ยขอบคุณไปตามมารยาท "ขอบคุณ"แบงค์เพียงยกยิ้มให้เพื่อนสาวบาง ๆ แล้วเดินไปยืนริมระเบียงข้าง ๆ ทอดสายตามองออกไปนอกท้องทะเลอันมืดสลัวโดยไม่พูดอะไรออกมา เฉกเช่นเดียวกับส้มที่มองออกไปยังทะเลอีกครั้งโดยไม่พูดอะไรทำให้บรรยากาศรอบ ๆ ปกคลุมไปด้วยความเงียบมีเพียงเสียงคลื่นกระทบฝั่งดังแว่วมาเป็นระยะไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ต่างคนต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ก่อนแบงค์จะเป็นฝ่ายเปิดประเด็นชวนคุยขณะที่สายตายังคงจดจ่อกับทะเลเบื้องหน้า "บรรยากาศดีเนาะ ส้มว่าไหม
เช้าวันต่อมาหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จทั้งสามคนพ่อแม่ลูกก็พากันลงไปทานอาหาร ครั้นทานอาหารเสร็จก็เช่ารถของโรงแรมพาบุตรสาวไปเล่นที่สวนน้ำกระทั่งเที่ยงจึงพากันไปทานอาหารที่ร้านอาหารชื่อดังของภูเก็ต"กินข้าวเสร็จคุณอาใจดีจะพาน้องริตาไปเที่ยวไหนต่อคะ" เด็กน้อยภริตาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ๋วระหว่างที่นั่งรออาหารมาเสิร์ฟพร้อมกับเอียงหน้าขึ้นมองคุณอาใจดีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ขณะที่ส้มนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้อีกฝั่งจ้องมองบุตรสาวด้วยความรู้สึกเอ็นดูระคนมันเขี้ยวเพราะยิ่งนับวันบุตรสาวก็ยิ่งติดคนเป็นพ่อมากขึ้น ดูอย่างตอนนี้สิแทนที่จะนั่งข้างเธอ กลับเลือกไปนั่งข้างชายหนุ่มแต่ก็คงไม่แปลกอะไรเพราะเขาเล่นตามใจบุตรสาวไปเสียทุกอย่างไม่ว่าบุตรสาวจะบอกจะขออะไรก็ทำให้หมดไม่เคยขัดจึงทำให้บุตรสาวชอบอยู่กับเขา"อืม..เราไปดูเครื่องบินที่หาดไม้ขาวกันไหมครับ พอแดดร่มหน่อยเดี๋ยวเราค่อยไปเล่นน้ำทะเลกัน" คนถูกถามอย่างแบงค์นั่งใช้ความคิดชั่วครู่ ก่อนเสนอความคิดเห็นให้บุตรสาวพร้อมกับยกมือลูบเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนเบา ๆ ด้วยความรักใคร่เอ็นดู"ได้ค่ะ"เด็กน้อยภริตายิ้มรับจนตาหยีพลอยทำให้คนเป็นพ่อแม่ยิ้มตามไปด้วย ก่อนแบงค์จะเล
นับจากวันนั้นเวลาก็ผ่านมาหนึ่งเดือนเต็ม ๆ แล้วที่แบงค์ได้กลับเข้ามาในชีวิตเพื่อนสาวกับลูกอีกครั้ง ตอนเช้าของทุกวันก่อนไปทำงานเขาจะแวะมาหาบุตรสาวก่อนเสมอ และหลังเลิกงานตอนเย็นก็แวะมาเล่นกับบุตรสาวอีกครั้ง หากเป็นวันหยุดเขาก็จะมารับบุตรสาวพาไปเที่ยวเป็นประจำ บางครั้งก็พาไปนอนค้างคืนที่บ้านด้วยกัน ส่วนความสัมพันธ์กับแม่ของลูกก็ไม่มีอะไรคืบหน้ามากกว่าเดิมเพราะเธอปิดกั้นเขาทุกทางคงจะมีแค่เรื่องลูกที่ทำให้เธอยอมเกี่ยวข้องกับเขา ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ถอดใจหวังว่าสักวันจะแทรกซึมเข้าไปในใจเธอได้อีกครั้งวันนี้เป็นวันหยุดเขาเลยชวนบุตรสาวไปเที่ยวทะเลตามที่ได้บอกไว้ก่อนหน้านี้ และเขายังแอบพูดกับบุตรสาวว่าให้ชวนแม่ไปด้วยเพราะหวังว่าจะได้สร้างโมเม้นท์ดี ๆ กับแม่ของลูกเผื่ออะไร ๆ จะดีขึ้นกว่าเดิม และทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนส้มยอมไปเที่ยวทะเลด้วยเพราะทนแรงออดอ้อนจากบุตรสาวไม่ไหว ทะเลที่เขาจะพาสองแม่ลูกไปเที่ยวก็คือภูเก็ตนั่นเองเพราะเขาไปมาครั้งที่แล้วมันสวยมาก ที่เที่ยวก็มีเยอะแยะจึงอยากให้บุตรสาวได้เที่ยวบ้าง ทั้งสามออกเดินทางจากกรุงเทพตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยรถส่วนตัวโดยแบงค์ทำหน้าที่เป็นคนขับ เขาอยากจะ