เสิ่นอวี้มองนางแวบหนึ่ง พลันคุกเข่านอกประตูใหญ่เรือนฉือเฟิงโดยไม่ขัดขืนองค์หญิงใหญ่ยังไม่หนำใจ นางชี้เสิ่นจิ้นกับเสิ่นลั่วที่เดินออกจากเรือน “พวกเจ้าก็เช่นกัน!”เสิ่นจิ้นทุกข์ระทมเกินคำบรรยาย แต่ก็ต้องคุกเข่าลงเสิ่นลั่วเดินออกมาคุกเข่าข้างกายเสิ่นอวี้โดยไม่พูดอะไรองค์หญิงใหญ่จ้องทั้งสามคนตรงหน้า อย่างไรก็ไม่สามารถระงับความอัดอั้นตันใจที่อก มีความรู้สึกอยากฆ่าคนเห็นเลือดจึงจะหนำใจ สุดท้ายเป็นอวี้จู๋ที่กล่าวปลอบเกลี้ยกล่อม “องค์หญิงใหญ่ ท่านอ๋องเฒ่าก็ล้มป่วยแล้ว หากท่านล้มอีกคน ท่านอ๋องก็ไม่ฟื้น…จวนอ๋องจะทำอย่างไรเจ้าคะ?”“ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว หากท่านนอนไม่หลับ ก็เข้าไปงีบครู่หนึ่งก็ยังดี…ข้างนอกลมแรง ระวังเป็นหวัดนะเจ้าคะ”องค์หญิงใหญ่สั่นไปทั้งร่าง เขม็งตระกูลเสิ่นสามคนบนพื้นแวบหนึ่ง แล้วกล่าวกับองครักษ์ลับโดยรอบ “จับตาดูไว้ให้ดี ไม่ว่าใครก็ห้ามลุกขึ้น!”เสิ่นจิ้นได้ยินแล้วรีบออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พลางกล่าวอ้อนวอน “องค์หญิงใหญ่ ท่านลงโทษข้ากับลั่วเอ๋อร์ไม่มีปัญหา แต่อวี้เอ๋อร์เดิมทีก็บาดเจ็บอยู่แล้ว และหมดสติหลายวันเพิ่งฟื้น บวกกับเมื่อครู่ก็ถูกกระบี่ของป๋ายชีแทง เลือดไหลออกจา
“เปรี้ยง…แกร๊ก”เสียงฟ้าผ่าดังลั่น ผ่าต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างๆ หักฉับพลัน ลำต้นหักโค่นลงมา ปลุกเสิ่นอวี้ตื่นจากอาการสะลึมสะลือ นางขยี้ดวงตาที่แห้งผาก กล่าวเสียงแหบ “พี่ชายรอง กี่ยามแล้ว?”ขาทั้งสองข้างคุกเข่าจนชา ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้วเสิ่นลั่วกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ใก้ลยามอิ๋น[footnoteRef:1]แล้ว” [1: ยามอิ๋น ช่วงเวลา 03.00-05.00 น.] เสิ่นอวี้หันคอที่ปวดเมื่อยและบวมมองไปทางเรือนฉือเฟิง จิตใจหนักอึ้งเมื่อชาติที่แล้ว หมอหลวงหลายคนออกความเห็นร่วมกัน แต่สุดท้ายก็ไร้วิธีรับมือท้ายที่สุดพี่ชายรองไม่มีทางเลือก จึงรับประกันด้วยชีวิต ใช้ยาแรงปลุกจ้านอวิ๋นเซียวฟื้น แต่ตอนที่จ้านอวิ๋นเซียวฟื้น ก็เป็นวันที่เก้าแล้วเหตุนี้ชื่อเสียงพี่ชายรองดังกระฉ่อน กลายเป็นหมอดังที่มีความสามารถและอายุน้อยที่สุดของสำนักแพทย์หลวง แต่ขณะเดียวกันก็ถูกทุกฝ่ายกีดกัน สุดท้ายได้รับผลกระทบจากนาง กลับทำให้เขาถึงคราวตกต่ำเร็วยิ่งขึ้นนึกถึงตรงนี้ เสิ่นอวี้รู้สึกผิดอย่างยิ่งเพียงแต่ทักษะการแพทย์ของเสวียโส่วน่าจะเหนือชั้นกว่าพี่ชายรองเยอะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะฟื้นเมื่อไร?และไม่รู้ว่าตนเองจะสามารถอดท
สายตานั้น เสิ่นอวี้เคยเห็นหลายครั้งในชาติที่แล้วแต่กลับไม่เคยมองเขาอย่างละเอียดเวลานี้มองดูเขา จึงจะพบว่าแม้เขานอนอยู่ รูปร่างก็สูงใหญ่แข็งแรงกว่าคนวัยเดียวกันมาก เพียงแต่ขาสองข้างที่โผล่ออกมาข้างนอกครึ่งท่อนถูกพันด้วยผ้าพันแผล มีคราบเลือดซึมออกมาจำนวนมาก เห็นแล้วน่าตกใจยิ่งลูกธนูสองดอกนั้น ดอกหนึ่งยิงเข้าที่ข้อพับหลังเข่า อีกดอกยิงเข้าที่ต้นขาของเขา ตอนนี้ล้วนถูกเสวียโส่วดึงออกมาแล้ว โยนทิ้งไว้บนโต๊ะข้างๆ โดยมีเลือดและเนื้อติดอยู่แต่เขากลับไม่รู้สึกอะไรเลย เพียงแค่เอาแต่จ้องนางราวกับว่าหัวธนูที่มีขอกลับด้านไม่ได้ถูกขุดออกมาจากร่างกายของเขาหางตาของเสิ่นอวี้กวาดผ่านหัวธนูที่มีเลือดติดอยู่ ดวงตาสั่นเครือ รวบรวมความกล้าสบตาเขาต้าฉีดินแดนกำเนิดชนประเสริฐ เมืองอิ๋งโจวมีชายงามนับไม่ถ้วน สุภาพหล่องามก็มี ละมุมละไมกลมกล่อมก็มี สุขุมองอาจก็มี สันโดษเก็บตัวก็มีไม่น้อยแต่เมื่อเทียบกับเขา อย่างไรก็ขาดความน่าสนใจไปบ้างเขาเป็นประเภทสง่างามอย่างมีศิลปะ เค้าโครงใบหน้าของเขาเหมือนถูกแกะสลักด้วยมีด อวัยวะรับสัมผัสทั้งห้าโอ่อ่าอย่างที่สุด แต่ก็เยือกเย็นละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง เมื่อใดก็ตามท
เสวียโส่วได้ยินแล้วสูดลมเข้าลึกๆ จากนั้นก็พ่นออกมาแรงๆ จึงจะกล่าว “ที่เขาถูกคือกู่ กู่ไม่เพียงมีพิษที่รุนแรง ยังกลืนกินกำลังภายในด้วย ข้าใช้เข็มเงินผนึกแมลงกู่ไว้ที่ขาชั่วคราว ถ่ายกำลังภายในของเขาไปที่ร่างกายส่วนบน”“กู่?”พลันจ้านอวิ๋นเซียวได้ยินแล้วขมวดคิ้ว เงยหน้ามองไปทางเสวียโส่วชั่วพริบตา ดวงตามืดมนบีบคั้นคนเสวียโส่วมองเขา ราวกับนึกถึงใครบางคน เหม่อไปครู่หนึ่งจึงจะกล่าว “ท่านอ๋องไม่ต้องสงสัย เป็นกู่ของจิ่วหลี”จิ่วหลีไม่ได้อยู่ในต้าฉี แต่อยู่ทางตอนใต้ของต้าฉู่ แม้แต่เสิ่นอวี้ก็คาดคิดไม่ถึง การวางแผนครั้งนี้ขององค์ชายสาม มีอิทธิพลของแคว้นข้างเคียงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ชาติที่แล้วตอนนางรู้ว่าจ้านอวิ๋นเซียวถูกพิษ ก็หลังจากนั้นหลายปีแล้วตอนนี้แค่คิดก็รู้สึกว่าน่ากลัวแต่ครั้งนี้…“ผู้อาวุโส แล้วท่านสามารถกำจัดกู่นี้หรือไม่?” นางคว้าแขนเสื้อเสวียโส่วด้วยความร้อนใจ ในดวงตาเต็มไปด้วยความร้อนรนที่อยากจะพลิกสถานการณ์จ้านอวิ๋นเซียวมองนาง คิ้วขมวดแน่น ราวกับจะมองนางให้ทะลุปรุโปร่งเขาอยากถามคำหนึ่ง นางคาดหวังให้เขาไปตายที่สุดไม่ใช่หรือ? ตอนนี้เขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ นางควรจะดีใ
องค์หญิงใหญ่ได้ยินแล้วตะลึงงันก่อน จากนั้นพ่นลมออกจากจมูกอย่างไม่สบอารมณ์ พลันมองไปทางเสิ่นอวี้เสิ่นอวี้เข้าใจความถากถางในดวงตาคู่นั้นเมื่อชาติที่แล้วนางโหยหาองค์ชายสามทั้งใจ ไม่รู้ว่าคืนนี้องค์หญิงใหญ่ปฏิบัติต่อซ่งหว่านฉิ่งอย่างไรแต่ตอนนี้ นางก็อยู่ที่นี่เช่นกัน องค์หญิงใหญ่กลับเผยให้เห็นรอยยิ้มเย็นชาที่ลึกลับเช่นนี้ ไม่ใช่ว่ากำลังเยาะเย้ยความน่าอับอายของพวกนางสองพี่น้องหรอกหรือ?เวลานี้เอง เสิ่นจิ้นเดินเข้ามาพลางรีบกล่าว “องค์หญิงใหญ่ กระหม่อมสั่งสอนลูกไม่ดี…”องค์หญิงใหญ่กลับชิงกล่าวตัดบทเขา พลันกวาดมองเสิ่นอวี้อย่างติดตลกแล้วกล่าว “ในเมื่อพี่น้องตระกูลเสิ่นเจตนาดีเช่นนี้ ไม่ให้เข้าเรือนก็ดูเหมือนข้าจะใจร้ายเกินไป…ท่านโหวเสิ่นกับหมอหลวงเสิ่นเข้ามานั่งเถอะ”พูดพลางกวาดมองที่นั่งข้างในเก้าอี้สองตัวนั้นถูกกำแพงขวางพอดีทั้งสองหมดหนทาง ได้แต่เข้ามานั่งลง รอซ่งหว่านฉิ่งเข้ามาสร้างความอับอายสายตาของเสิ่นอวี้เลื่อนผ่านใบหน้าองค์หญิงใหญ่ ตระหนักกะทันหัน : องค์หญิงใหญ่ไม่เพียงมีความเย่อหยิ่ง แต่ยังมีความโหดเหี้ยมและอุบายที่ถูกขัดเกลาออกมาจากวังหลังของราชวงศ์นางน่าจะมองความคิด
ดวงตาซ่งหว่านฉิ่งเบิกกว้างราวกับกระดิ่งเสิ่นอวี้มองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าเย็นชา จึงจะเอ่ยปาก “เจ้านับว่ารู้เรื่องสัญญาหมั้นระหว่างเสิ่นจ้านสองตระกูลไม่น้อยเลยนะ”อย่างที่ซ่งหว่านฉิ่งพูด สัญญาหมั้นของเสิ่นจ้านสองตระกูลเป็นเพียงการตกลงแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์ โดยส่งคนออกมาตระกูลละหนึ่งคน ขอแค่ทั้งสองฝ่ายสามารถเป็นตัวแทนของตระกูลเสิ่นกับตระกูลจ้านก็เพียงพอเพียงแต่ต่อมา ตระกูลจ้านมีจ้านอวิ๋นเซียวเป็นทายาทผู้สืบทอดเพียงคนเดียว เขามีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อยและถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องอย่างรวดเร็ว กลายเป็นขุนพลและท่านอ๋องที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของต้าฉี สัญญาหมั้นนี้ย่อมตกไปเป็นของเขาส่วนตระกูลเสิ่น ตอนนั้นมีเพียงเสิ่นซินกับเสิ่นอวี้ลูกสาวสองคนเสิ่นซินเป็นลูกสาวสายตรงคนโตของท่านโหวเสิ่นกับฮูหยินใหญ่นางกู้ จิตใจบริสุทธิ์บุคลิกสง่างาม เป็นแบบอย่างของเหล่าคุณหนูชนชั้นสูงในเมืองหลวง ส่วนเสิ่นอวี้เป็นลูกอนุภรรยาที่เกิดมาเพราะหลิ่วอี๋เหนียงวางยาท่านโหวเสิ่น และยังอยู่ภายใต้การอบรมสั่งสอนของหลิ่วอี๋เหนียง พูดจาเย่อหยิ่ง การกระทำหยาบคายไร้มารยาทแต่จ้านอวิ๋นเซียวกลับเลือกนาง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสิ่นลั่วเข้ามาช่วยนางทำแผลเสิ่นอวี้มองดูเขา นึกถึงชาติที่แล้วเขาเดือดร้อนเพราะตนเอง กระดูกสันหลังหักได้รับความขุ่นเคือง เบ้าตาอดไม่ได้ที่จะแดง นางกล่าว “พี่ชายรอง ขอโทษเจ้าค่ะ เป็นเพราะข้าไม่รู้ความ ทำให้จวนโหวเดือดร้อน…” เสิ่นลั่วตะลึงงัน มองนางอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง จากนั้นเผยให้เห็นรอยยิ้มที่อบอุ่น “ยายเด็กโง่ พูดเหลวไหลอะไร?วันนี้เจ้าทำได้ดีมากที่จวนอ๋อง ทำให้พี่ชายรองต้องมองเจ้าใหม่แล้ว!” “เพียงแต่ดูท่าทางของแม่นางซ่งในวันนี้ เกรงว่าต้องคับแค้นใจแน่” “เจ้ากับนางอยู่ใก้ลกัน ต่อไปต้องระวังตัวให้มาก อย่าไปหลงกลนางล่ะ พรุ่งนี้ข้าจะไปคุยกับท่านแม่ ในเมื่อแม่นางซ่งปักปิ่นนานแล้ว ก็รีบหาใครสักคนแต่งออกไปเถอะ ไม่เช่นนั้นอยู่บ้านจะสร้างปัญหาอีก” ชาติที่แล้วตอนเขาพูดคำพูดนี้ เสิ่นอวี้ปกป้องซ่งหว่านฉิ่งจนแตกหักกับเขา ต่อมาก็ไม่ยอมเรียนแพทย์กับเขาอีก ทั้งสองคนห่างเหินกันขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาถูกลงทัณฑ์เลาะกระดูกตาย ทั้งสองก็ไม่มีโอกาสได้คุยกันในใจเสิ่นอวี้รู้สึกผิดมากครั้งนี้นางพยักหน้าอย่างเชื่อฟังมาก “ข้าฟังพี่ชายรองเจ้าค่ะ” เสิ่นลั่วได้ยินแล้วอดไม่ได้ที่จ
ผู้ที่เข้ามามีใบหน้างามสง่าและอ่อนโยน เขียนคิ้วจางๆ แต่ขอบตากลับคล้ำมาก เห็นได้ชัดว่าหลับไม่สนิทมาหลายคืนแล้ว ควบคู่กับนางตั้งครรภ์ต้องใช้พลังงานเยอะ แลดูซีดเซียวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนแต่สายตาที่มองไปทางนาง กลับอ่อนโยนและเป็นห่วง “อวี๋เอ๋อร์ เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้างแล้ว?”พูดพลาง คนเดินมาถึงตรงหน้าแล้วคือฮูหยินใหญ่นางกู้นั่นเองเสิ่นอวี้มองนางพลางเรียก “ท่านแม่”นางกู่ตะลึงงันเล็กน้อยไม่รู้ว่าใช่ภาพหลอนหรือไม่ นางรู้สึกว่าเสียงของลูกสาวคนเล็กที่เรียกนางในวันนี้ ไม่ได้ต่อต้านและแข็งกระด้างเช่นเมื่อก่อน กลับกันเหมือนแมวลูกอ่อนที่ติดแม่เล็กน้อยพลันใจของนางอ่อนลงทันที รีบก้าวออกไปตรวจดูร่างกายเสิ่นอวี้พลางกล่าว “เมื่อวานหาหมอหลวงไม่ได้ จึงหาหมอพเนจรมาให้เจ้าแทน คิดไม่ถึงว่าเจ้ากลับหนีไปเสียก่อน…ฝนตกหนักเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่รู้จักรักตัวเองเสียเลย?”“พี่ชายรองของเจ้าบอกว่าเจ้าถูกคนของจวนอ๋องแทง แผลยังเจ็บหรือไม่?” นางเอื้อมมือออกไปลูบไหล่นางอย่างระมัดระวัง นิ้วมือสั่นเทาเล็กน้อยเสิ่นอวี้หวนคืนสติ หัวใจสั่นสะท้าน จับมือของนางไว้ กล่าวเสียงสะอื้น “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นอะไร ให้ท่านแม่ต้อ