Masukตอนที่ 1
โรงพยาบาลอวี้เหอ
เสียงล้อเตียงคนไข้เสียดสีไปตามพื้นกระเบื้อง ดังแทรกสลับกับเสียงเรียกชื่อจากพยาบาล แพทย์เวร และญาติผู้ป่วย โรงพยาบาลอวี้เหอในยามสายแน่นขนัดราวกับใจกลางตลาดยามเช้า
ตรงชั้นล่าง หน้าห้องฉุกเฉิน มีคนไข้นั่งรอ ห้อมล้อมไปด้วยเสียงเครื่องช่วยหายใจและเสียงประกาศขอเลือดด่วน
ส่วนชั้นสอง ผู้ป่วยแผนกอายุรกรรมเบียดเสียดกันอยู่บนเก้าอี้สีเทา ใบหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยความหวังและความกังวล แม้แต่เจ้าหน้าที่เวรเปลก็ยังวิ่งสวนกันไปมาไม่หยุด เหงื่อไหลชุ่มหลังเสื้อในเวลาเพียงครึ่งวัน
แต่บนชั้นสิบเจ็ด ท่ามกลางบรรยากาศวุ่นวายของทั้งอาคาร กลับมีพื้นที่หนึ่งที่เงียบกริบเกินจริง
ห้องประชุมใหญ่สุดของศูนย์ศัลยกรรมทรวงอก เงียบจนได้ยินแม้แต่เสียงพลิกกระดาษ
ซูอวี้หนิง ยืนพิงโต๊ะประชุม ทอดสายตามองภาพสแกน 3 มิติบนจอโปรเจกเตอร์
บนจอนั้นคือภาพของเด็กหญิงวัยห้าขวบ มีเนื้องอกชนิดหายากฝังลึกใกล้เส้นเลือดใหญ่ภายในทรวงอกด้านซ้าย
การผ่าตัดนี้ ไม่ใช่แค่งานยาก แต่ยังต้องแข่งกับเวลาอีกด้วยอาจารย์แพทย์รุ่นใหญ่นั่งล้อมวงอยู่รอบโต๊ะ บ้างขมวดคิ้ว บ้างพยักหน้าเงียบ ๆ ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำถาม
หญิงสาวในชุดกาวน์สีขาว มีผมดำขลับรวบไว้เรียบร้อย ใบหน้าเรียวสวยกลับไร้เครื่องสำอางใด ๆ ดวงตาเรียวคม จับจ้องภาพตรงหน้าโดยไม่สั่นไหว แม้จะมีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาในห้อง แต่แววตาของเธอกลับเปล่งประกายอย่างมั่นคง ราวกับมั่นใจในหนทางข้างหน้าอย่างไม่มีข้อกังขา
"มีเวลาไม่ถึงห้าชั่วโมงก่อนที่ความดันในปอดจะพุ่งสูงจนเด็กเสียชีวิต"
น้ำเสียงของเธอนิ่ง ราบเรียบ แต่ทรงพลัง
"ฉันจะลงมือนำผ่าในครั้งนี้เอง ขอทีมผ่าตัดเตรียมพร้อมในสองชั่วโมง ทีมหัวใจ ทีมประสาท ทีมวิสัญญี… ขอความร่วมมือจากทุกท่าน"
ยังไม่มีผู้ใดกล่าวคำใดออกมา แม้ภายในห้องจะมีเหล่าแพทย์อาวุโสมากมาย แต่กลับไม่มีใครกล้าที่จะเอ่ยปากคัดค้านเลยแม้แต่คนเดียว
เหล่าทีมแพทย์ที่ได้รับคำสั่งจากหญิงสาวต่างพากันพยักหน้ารับ ก่อนจะแยกย้ายกันไปเตรียมตัวในส่วนของตนเอง เหล่าแพทย์คนอื่น ๆ ต่างเริ่มทยอยเดินออกจากห้อง สายตาหลายคู่ต่างจับจ้องมองมาที่หญิงสาว บ้างก็ชื่นชมในความสามารถและความเก่งกาจของเธอ แต่เมื่อมีคนชื่นชมก็ต้องมีคนที่ต้องการเหยียบย่ำเธอให้จมดินเช่นกัน
ซูอวี้หนิงที่ยืนอยู่บริเวณด้านหน้าเวทีของห้องประชุมไม่ได้สนใจสายตาที่มองมาที่ตัวเองเลยแม้แต่น้อย เพราะในตอนนี้เธอกำลังให้ความสนใจกับเอกสารผลตรวจหลาย ๆ อย่างของคนไข้อย่างละเอียดอีกครั้ง
เธอเป็นเช่นนี้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดเล็กหรือใหญ่ เธอมักจะอ่านข้อมูลเหล่านี้ของคนไข้ให้ขึ้นใจ เพื่อให้เกิดข้อผิดพลาดระหว่างผ่าตัดน้อยที่สุด
เธอใช้เวลาอีกหลายนาทีไล่สายตาไปตามผลเอ็กซเรย์ สแกนภาพจาก CT และค่าการทำงานของหัวใจ ซ้ำไปซ้ำมาอย่างใจเย็น ปลายนิ้วค่อย ๆ ลากไล่ตามโครงสร้างหลอดเลือดอย่างระมัดระวัง ก่อนจะขีดเส้นเน้นจุดเสี่ยงที่สุดที่ไม่อาจให้มีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้แม้แต่น้อย
ทุกครั้งก่อนผ่าตัด ไม่ว่าผู้ป่วยจะเป็นใคร หรือเคสจะยากเพียงใด ซูอวี้หนิง จะลงรายละเอียดทุกอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะสำหรับเธอ ข้อผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจหมายถึงชีวิตของคนทั้งชีวิต
เมื่อมั่นใจในข้อมูลทั้งหมดแล้ว หญิงสาวก็ลุกขึ้น เดินออกจากห้องประชุมไปยังห้องพักเปลี่ยนชุดสำหรับทีมผ่าตัด
เธอปลดชุดกาวน์สีขาวออกอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชุดปลอดเชื้อที่เตรียมไว้ เส้นผมถูกรวบขึ้นอีกครั้งอย่างเรียบร้อยภายใต้หมวกคลุมผ่าตัดสีฟ้าอ่อน มือเรียวยาวสวมถุงมือยางแนบสนิท
ใบหน้าเรียวสวยไม่มีสีสันใดทาแต่ง แต่กลับเปล่งรัศมีของคนที่พร้อมเผชิญกับความตายโดยไม่มีความกลัว
กระจกเงาบานหนึ่งในห้องสะท้อนภาพหญิงสาวที่ยืนอยู่กลางห้องอย่างสงบนิ่ง ดวงตาเรียวคู่นั้นมองตนเองครู่หนึ่ง
เมื่อทุกอย่างพร้อม ซูอวี้หนิงจึงเดินออกจากห้องเปลี่ยนชุดอย่างสง่างาม ทุกย่างก้าวมั่นคงและไม่ลังเล
ทางเดินในโซนห้องผ่าตัดค่อนข้างเงียบ มีเพียงเสียงฝีเท้าของเธอและเสียงเครื่องดูดอากาศกรองเชื้อโรคในระบบห้องปลอดเชื้อ ขณะที่บานประตูอัตโนมัติเลื่อนเปิดออก เบื้องหน้าเป็นทีมแพทย์ในชุดผ่าตัดที่ยืนรออยู่พร้อมแล้วทั้งหมด
ดวงตาทุกคู่หันมามองเธอเป็นหนึ่งเดียว
“เริ่มขั้นตอนปลอดเชื้อเต็มรูปแบบ” เธอกล่าวเสียงเรียบ “ยืนยันลำดับการผ่าตัดอีกครั้ง”
ผู้ช่วยแพทย์รีบหยิบกระดานและไล่ลำดับตามที่เธอกำหนดไว้ก่อนหน้าอย่างไม่มีตกหล่น บรรยากาศในห้องผ่าตัดตึงเครียด แต่เรียบร้อย
ขณะเดียวกัน เสียงนาฬิกาเดินตรงไปยังนาทีสุดท้ายของโอกาสรอดชีวิต
และเมื่อเธอสวมถุงมือปลอดเชื้อคู่สุดท้ายเสร็จ
การผ่าตัดเพื่อชิงชีวิตจากความตาย… ก็เริ่มขึ้น
“เริ่มการผ่าตัดได้”
ไฟเพดานสีขาวนวลสว่างเต็มพื้นที่ บรรยากาศภายในห้องผ่าตัดถูกปกคลุมด้วยความเงียบงันอันเยียบเย็น มีเพียงเสียงเบา ๆ จากเครื่องช่วยหายใจและเสียงติ๊ด สม่ำเสมอจากจอมอนิเตอร์ชีพจร
บนผนังด้านหนึ่ง จอดิจิตอลสีแดงบอกเวลา นาทีแห่งความเป็นความตายค่อย ๆ ลดลงไปทีละวินาที
04:27:31
การเคลื่อนไหวทุกครั้งต้องรวดเร็วแต่มั่นคง เสียงโลหะกระทบกันเบา ๆ ดังขึ้นเมื่อพยาบาลส่งเครื่องมือให้ซูอวี้หนิง
มีดผ่าตัดแตะผิวผนังทรวงอก ก่อนเคลื่อนลงด้วยความมั่นใจที่แฝงไว้ด้วยความระมัดระวังสูงสุดดวงตาเรียวคู่นั้นจับจ้องอยู่เพียงแค่ช่องเปิดขนาดไม่กี่เซนติเมตรตรงหน้า มือทั้งสองนิ่งดั่งถูกฝึกมาเป็นพันครั้ง ราวกับเครื่องจักรชั้นเลิศที่ถูกตั้งด้วยโปรแกรม
“Clamp1.” เสียงเรียกสั้น ๆ ดังขึ้น ผู้ช่วยรีบส่งเครื่องมือให้อย่างรู้หน้าที่ เสียงกระทบกันของโลหะยังคงดังเป็นระยะ ชัดพอจะบอกว่าทุกคนในห้องยังมีชีวิต
03:11:45
เสียงจากจอชีพจรดัง “ติ๊ด… ติ๊ด… ติ๊ด…”
ในขณะที่ระดับอ็อกซิเจนลดลงเล็กน้อย สายตาทุกคู่หันไปมองจอเหมือนใจจะหยุดเต้นตาม ซูอวี้หนิงขมวดคิ้วเพียงเล็กน้อย ไม่พูดอะไร นางขยับปลายมีดให้แคบลงอีกนิด แล้วลงมือเคลียร์จุดที่เบียดเส้นเลือดใหญ่ตามแผนที่วางไว้
เวลาไหลผ่านราวกระแสน้ำที่ไม่ยอมหยุด เหงื่อเริ่มผุดตามไรผมของทีมแพทย์ที่อยู่ภายในชุดปลอดเชื้อที่แน่นหนา
แม้ห้องจะเย็น แต่ความตึงเครียดกลับทำให้บางคนหายใจไม่ทั่วท้อง01:59:22
“ชีพจรตกลง 10 จุดค่ะ!” เสียงผู้ช่วยตะโกนขึ้นอย่างระแวดระวัง
สัญญาณชีพเริ่มเปลี่ยนแปลง ในวินาทีนั้นทั้งห้องราวกับหยุดหายใจ
แต่ซูอวี้หนิงยังคงนิ่งเฉย มือเรียวยังคงทำการผ่าตัดต่อไป
"เพิ่มอ็อกซิเจนอีก 10%" เธอสั่งด้วยเสียงราบเรียบ ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นจากแผล
"ทีมประสาทเตรียมพร้อม ถ้าความดันลดอีก ฉันอาจต้องเปลี่ยนลำดับการจัดการ" คำสั่งของเธอกระชับ ชัดเจน และเด็ดขาดจนไม่มีใครกล้าตั้งคำถาม
00:46:09
“พบจุดเบียดแน่นค่ะ!”
ซูอวี้หนิงไม่ตอบ เธอเพียงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนลงมืออย่างแม่นยำ ทุกคนในห้องราวกับหยุดหายใจ
มือเธอกดเข้าที่จุดสำคัญ ก่อนขยับเบา ๆ ด้วยปลายมีด เสี้ยววินาทีนั้น เสียงชีพจรจากมอนิเตอร์เปลี่ยนจังหวะติ๊ด… ติ๊ด… ติ๊ด…
กลับมาเป็นปกติ
เสียงถอนหายใจดังแผ่วเบาเหมือนพายุที่สงบลง
00:09:58
“ขั้นตอนสุดท้าย เริ่มเย็บปิดชั้นกล้ามเนื้อ” เสียงของเธอยังมั่นคงไม่ต่างจากตอนเริ่มต้น มือที่เคยสั่นในวัยนักเรียนแพทย์ บัดนี้เย็นเฉียบและมั่นคงเกินกว่าคำว่า “เชี่ยวชาญ”
ฝีเย็บทุกจุดเป็นไปอย่างแม่นยำ รวดเร็ว และสะอาด
00:02:43
“ระดับอ็อกซิเจนคงที่ ความดันเลือดเริ่มกลับสู่เกณฑ์” เสียงจากผู้ช่วยแพทย์รายงานเบา ๆ
ซูอวี้หนิงพยักหน้าเล็กน้อย ขยับเข็มครั้งสุดท้าย เย็บชั้นผิวหนังด้วยฝีเย็บเรียบตึงเสมอกัน แผลแนบสนิทจนแทบไม่เห็นรอยความเร่งรีบของเวลา
เธอหยุดมือ ถอยออกหนึ่งก้าว หายใจลึก
“จบการผ่าตัด”
คำเพียงประโยคเดียว ทำให้บรรยากาศหนักอึ้งในห้องปลอดเชื้อคล้ายถูกปลดปล่อย มีเสียงถอนหายใจดังขึ้นแทบพร้อมกันหลายแห่ง
“ส่งตัวเข้าห้องไอซียูเด็กทันที” ซูอวี้หนิงถอดถุงมือออก เสียงถุงมือปลอดเชื้อที่หลุดออกดังเบา ๆ แต่อัดแน่นด้วยความหมาย
“เฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดทุกสองชั่วโมง รายงานทันทีหากมีสัญญาณของการบวมน้ำในปอดหรือเส้นเลือดรั่วซึม"
“รับทราบค่ะ!” เสียงพยาบาลรับคำอย่างแข็งขัน
หญิงสาวเดินออกจากบริเวณเตียงผ่าตัดช้า ๆ แม้จะเหนื่อยล้า แต่แววตาของเธอยังแน่วแน่ไม่เปลี่ยน
เพราะสำหรับเธอแล้ว ภารกิจยังไม่จบ ตราบใดที่คนไข้ยังไม่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแสงจากเพดานห้องผ่าตัดยังคงสว่าง แต่ในใจของทุกคนที่ยืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ต่างรู้ดีว่า...
วันนี้ พวกเขาได้ดึงชีวิตหนึ่งกลับมาจากเงื้อมมือของความตายแล้ว
…………………….
หมายเหตุ
1 Clamp เป็นอุปกรณ์ช่วยหนีบจับในห้องผ่าตัด เพื่อยึดเนื้อเยื่อหรือหนีบเส้นเลือดเพื่อหยุดการไหลของเลือดขณะผ่าตัด มีหลายรูปทรงขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และตำแหน่งในการใช้งาน หรือในห้องผ่าตัดเรียกชื่อเฉพาะว่า “Scissor clamp” ด้วยมีลักษณะคล้ายกรรไกร
ตอนที่ 18“ลองกล่าวมา เห็นด้วยหรือไม่ข้าจะตัดสินเอง” โจวต้าซานกล่าวเสียงแข็ง เพราะสถานการณ์ตอนนี้เขาเองก็มองไม่เห็นทางออกใด ๆ ได้เลยเช่นกัน“ตอนนี้เสี่ยวซูเองก็อยู่วัยต้องออกเรือนแล้ว มิสู้ใช้เรื่องนี้ ให้เสี่ยวซูออกเรือนไปกับเฟิ่งอวี่เซียน…”ปัง!!“เจ้าจะบ้าหรือ!!” ยังไม่ทันที่หลี่เจิ้นกัวจะกล่าวจบ เยี่ยหลัวก็ตวาดขึ้นทันทีใบหน้าของเขาเกรี้ยวกราด คนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ก็ขมวดคิ้วพร้อมทำสีหน้าอย่างไม่เห็นด้วยเช่นกัน“แต่ข้ากลับเห็นด้วยกับเจิ้นกัว” ยังไม่ทันที่บรรยากาศภายในกระท่อมจะสงบ เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหน้าประตู เสียงนั้นแม้ไม่ดังนัก ทว่ากลับแฝงพลังหนักแน่นจนทุกคนเงียบกริบ เงาร่างในผ้าคลุมก้าวเข้ามาทีละก้าว เสียงฝีเท้าเบาราวกับลมพัด แต่ละก้าวกลับทำให้บรรยากาศภายในกระท่อมแปรเปลี่ยนไปในทันใด“ท่านหมอหู…” โจวต้าซานเอ่ยออกมาช้า ๆ ดวงตาเผยแววตื่นตระหนก เพราะน้อยครั้งนักที่หูเทียนเหิงจะเข้าร่วมพูดคุยในที่ลับเช่นนี้ มีเพียงคำสั่งของนายหญิงเท่านั้นที่จะสั่งการเขาได้ แต่การที่อีกฝ่ายมาปรากฏตัวที่นี่ นั่นย่อมต้องมีเรื่องที่เกี่ยวกับนายหญิงที่ล่วงลับไปอย่างแน่นอนหูเทียนเหิงเข้
ตอนที่ 17กลางดึก ฟ้ามืดสนิทราวกับผืนผ้าไหมดำ เงาเมฆบดบังแสงจันทร์จนทั่วทั้งป่าดูลึกลับน่าหวาดหวั่น เสียงจิ้งหรีดแผ่วเบาดังก้องอยู่ไกล ๆ สายลมเย็นพัดผ่านใบไม้เกิดเสียงซู่ซ่าดั่งเสียงกระซิบภายในกระท่อมไม้หลังเล็กกลางป่าลึก แสงตะเกียงเพียงดวงเดียวส่องแสงวาบวับ เผยให้เห็นเงาร่างของคนสิบกว่าคนในชุดอาภรณ์ดำที่ปกปิดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า พวกเขานั่งเรียงรายอยู่รอบโต๊ะไม้เก่า ทุกสายตาจับจ้องไปยังชายชราผู้หนึ่งที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ที่ทุกคนในหมู่บ้านเรียกเขาว่า โจวต้าซาน หรือท่านลุงโจวโจวจื่อเฉียงยืนอยู่ด้านหลังของบิดาด้วยทีท่าสงบ ไม่มีท่าทางขี้เล่นเหมือนที่แล้วมาแต่อย่างใด ทุกคนที่อยู่ภายในกระท่อมต่างทำความเคารพทั้งสองคนชุดดำที่เห็นว่าทั้งสองคนพ่อลูกเดินทางมาถึงแล้วพวกเขาก็ต่างถอดผ้าคุมหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าที่อยู่ด้านใน หากคนภายในหมู่บ้านเห็นคนเหล่านี้ ทุกคนจะรู้จักพวกเขาทั้งหมด เพราะพวกเขาเหล่านี้ต่างใช้ชีวิตแฝงตัวอยู่ภายในหมู่บ้าน เป็นชาวบ้านทั่วไป จนคนในหมู่บ้านต่างหลงลืมไปแล้วว่าพวกเขาเป็นคนต่างถิ่นที่มาอาศัยภายในหมู่บ้านนี้เพียงสิบกว่าปีนี้เท่านั้น“เรื่องข่าวลือจัดการเรียบร้อยแล้วหรือไ
ตอนที่ 16เพียงไม่นานหลังจากเหตุการณ์นั้น เสียงลือเสียงเล่าอ้างก็แพร่กระจายรวดเร็วราวไฟลามทุ่ง จากปากของชาวบ้านที่อยู่ริมธาร ทั้งหมู่บ้านต่างพูดถึงเรื่อง “หญิงวิปลาสที่กล้าจูบศพชายที่ลอยน้ำมา”ซูอวี้หนิงที่นั่งอยู่ข้างเตียงคนเจ็บเพื่อเฝ้าดูอาการเขาอย่างเงียบงันไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องเล่านี้เลยแม้แต่น้อย เสียงลมพัดผ่านหน้าต่างไม้ไผ่เบา ๆ กลิ่นยาสมุนไพรยังลอยคลุ้งในอากาศ ชายที่อยู่บนเตียงยังคงไม่ได้สติ แต่สีหน้าดูสงบขึ้นมาก ชีพจรสม่ำเสมอขึ้นทีละน้อย“ซูอวี้หนิง!”เสียงทุ้มแหบของชายวัยกลางคนดังขึ้นจากด้านนอกก่อนร่างของ ลุงโจว จะปรากฏที่หน้าประตู สีหน้าของเขาในตอนนี้กลับเคร่งขรึมและไม่สบอารมณ์นัก และนี่เป็นครั้งแรกเช่นกันที่โจวจวงจื่อจะเห็นสีหน้าของบิดาที่มักจะอ่อนโยนต่อซูอวี้หนิงอยู่เสมอ แสดงสีหน้าน่ากลัวเช่นนี้ซูอวี้หนิงเงยหน้าขึ้นไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวอีกฝ่ายแต่อย่างใด ต่างจากโจวจวงจื่อที่ตอนนี้กระโดดหลบไปอยู่ด้านหลังของซูอวี้หนิงอย่างไม่รู้ตัว พร้อมกับตกใจจนหน้าซีดเผือดลุงโจวเดินเข้ามาในเรือนด้วยสีหน้าบึ้งตึง ดวงตาเขาเหลือบไปมองร่างชายแปลกหน้าที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนจะหันกลับมามองหน้าซู
ตอนที่15ซูอวี้หนิงโน้มตัวลงโดยไม่ลังเล มือทั้งสองประคองใบหน้าของชายหนุ่มให้หงายขึ้น ดวงตาเธอแน่วแน่ไร้ความลังเลใด ๆ“จวงจื่อ รีบหาผ้ามาซับตัวเขาไว้ก่อน แผลตรงหัวไหล่ห้ามให้โดนน้ำอีก!”เสียงสั่งนั้นหนักแน่นและเฉียบขาดจนอีกฝ่ายรีบทำตามโดยไม่กล้าซักถาม ซูอวี้หนิงยกคางชายผู้นั้นขึ้นเล็กน้อย ใช้นิ้วตรวจโพรงปากอย่างรวดเร็วเพื่อดูว่ามีสิ่งใดขวางอยู่หรือไม่ ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วโน้มตัวลงริมฝีปากอุ่นสัมผัสกับริมฝีปากเย็นเฉียบของชายแปลกหน้า นางเป่าลมหายใจเข้าไปอย่างสม่ำเสมอ สลับกับกดหน้าอกตามจังหวะที่คำนวณไว้ในใจ เสียงน้ำที่หยดลงจากปลายผมของนางผสมกับเสียงลมหายใจที่เป่ารัว ๆ กลายเป็นจังหวะที่เร่งเร้าทุกคนที่ยืนดูอยู่เงียบกริบ บ้างก็เอามือปิดปาก บ้างก็หันหน้าหนีไปทางอื่น ความตกใจและความหวาดกลัวปรากฏบนใบหน้าโดยไม่ปิดบัง“นาง... นางกำลังทำอะไรกับศพนั้นกัน?!”“บาปหนา! นางเป็นบ้าไปแล้ว!”คำพูดของชาวบ้านที่มาที่ริมลำธารต่างวิพากษ์วิจารณ์เสียงดัง แต่ซูอวี้หนิงไม่ได้ยินสักคำ เสียงในหัวนางมีเพียงจังหวะชีพจรที่พยายามตามหา ความเงียบงันในวินาทีนั้นยาวนานราวนิรันดร์จนกระทั่ง —“แค่ก! แค่ก แค่กกก!”เ
ตอนที่ 14แสงอาทิตย์ยามสายส่องลอดผ่านยอดไม้เข้ามาในลานเล็ก ๆ ด้านหน้าบ้านของซูอวี้หนิง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสมุนไพรที่ถูกต้มไว้ตั้งแต่รุ่งเช้าโชยคลุ้งไปทั่ว เรื่องที่มีคนถูกหมาป่ากัดเมื่อคืนนี้เองก็รับรู้กันทั่วทั้งหมู่บ้าน“ได้ยินว่าเมื่อคืนมีคนถูกหมาป่ากัด!"“ใช่ ๆ ว่ากันว่าเลือดไหลแทบหมดตัว แต่ซูอวี้หนิงใช้วิธีแปลก ๆ เย็บแผลเอาไว้จนยังมีชีวิตอยู่” “เย็บแผล? ใช่หรือไม่ที่ว่ากันว่าเหมือนเอาเข็มร้อยผ้าของหญิงสาวมาใช้กับร่างคน!”“ข้าบอกแล้วว่านางเป็นหญิงบ้าคนหนึ่ง จะมาเป็นหมอได้อย่างไร?”เสียงซุบซิบเริ่มกระจายเป็นวงกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับคลื่นน้ำที่ซัดกระทบผนังไม้ไม่หยุดหย่อน ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงความสงสัย แต่ปนด้วยความกลัวและรังเกียจ“ได้ยินมาว่า นางเย็บเนื้อคนเข้าด้วยกันจริง ๆ!”“ข้าเห็นกับตาเมื่อคืน เลือดเต็มมือ เหมือนพวกวิปลาสเลยต่างหาก!”“หากวันหนึ่งนางถือมีดไปปาดคอผู้อื่น ใครจะรับผิดชอบ!”ซูอวี้หนิงและคนอื่น ๆ ไม่ได้รับรู้ข่าวลือที่แพร่กระจายออกไปเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเมื่อคืนกว่านางจะได้นอนก็เกือบรุ่งสางเสียแล้ว นางได้นอนพักสายตาชั่วครู่ ก็ตื่นขึ้นมาเพื่อดูอาการของผู้ป่วยก่อน แ
ตอนที่ 13ยามดึกคืนนั้น แสงจันทร์ข้างแรมสาดผ่านม่านไม้ไผ่เข้ามาในห้องพักของซูอวี้หนิง นางเพิ่งจะวางแผ่นไม้ไผ่ที่จดบันทึกตำราสมุนไพรลงบนโต๊ะ กำลังเตรียมจะดับตะเกียงเพื่อพักผ่อน ทว่าทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงโกลาหลดังมาจากลานด้านหน้าเสียงฝีเท้าหนักรีบร้อนดังขึ้นพร้อมเสียงของโจวจวงจื่อ“เสี่ยวซู! เร็วเข้า! มีคนเจ็บ ถูกหมาป่ากัด”ประตูไม้ถูกเคาะแรง ๆ สามครั้ง ซูอวี้หนิงรีบลุกขึ้นผลักประตูออกไป เห็นโจวจวงจื่อใบหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วยเหงื่อ ส่วนด้านหลัง โจวจื่อเฉียงกำลังประคองชายหนุ่มร่างใหญ่ที่แขนขวาถูกกัดจนเนื้อฉีก เห็นได้ชัดว่าถูกหมาป่าฉีกกระชาก เลือดสดไหลทะลักจนชุ่มเสื้อผ้าแต่แทนที่ซูอวี้หนิงจะตื่นตกใจ นางกลับใจเย็นอย่างที่สองพี่น้องโจวไม่เคยเห็นมาก่อน“พาเข้ามาในเรือนด้านหน้าก่อน แล้วให้ใครก็ได้ไปตามหมอหู!” เสียงนางเด็ดขาดโดยไม่ลังเล“ข้าให้คนไปตามแล้ว” โจวจื่อเฉียงที่หามคนเจ็บมากล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มไม่นาน หมอหูก็มาถึงด้านหน้าเรือนของซูอวี้หนิง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด แต่ทันทีที่เห็นบาดแผลที่แขนชายหนุ่ม เขาก็ขมวดคิ้วแน่น “บาดแผลลึกมาก หากเสียเลือดมากกว่านี้ เกรงว่าจะไม่รอดถึงรุ







