เข้าสู่ระบบฟางเซี่ยนเซี่ยนประสบอุบัติเหตุรถตกไหล่ถนน เพราะใจนึกถึงแต่นิยายที่ค้าง จิตวิญญาณเลยข้ามมิติเข้าไปในนิยายที่เพิ่งอ่านได้แค่บทนำ มิหนำซ้ำยังกลายมาเป็นเจ้าสาวในยุคจีนโบราณที่ถูกกลุ่มโจรดักปล้นขบวนเกี้ยว!
ดูเพิ่มเติมหญิงสาวร่างระหงนั่งมองเงาสะท้อนของตนผ่านคันฉ่องสีอำพัน เครื่องหัวและอาภรณ์วันนี้งดงามอย่างมาก ทว่าแววตาของผู้สวมใส่กลับแฝงไปด้วยความเศร้าหมอง
“ท่านแม่ลูกต้องแต่งจริงหรือเจ้าคะ แต่เดิมลูกกับท่านพี่ซ่งติดต่อกันน้อยมาก เขาเพิ่งกลับมารับตำแหน่งราชครูไม่นานอยู่ ๆ ก็ต้องออกเรือนเสียแล้ว ทำเช่นนี้ไม่เท่ากับมัดมือชกกันหรือ”
มือเรียวของมารดาบีบไหล่แคบของบุตรสาวแผ่วเบา “ลูกรักแต่แม่ได้ยินมาว่าเหวยซูส่งจดหมายมาหาลูกทุกเดือนไม่ใช่หรือ สิบปีมานี้จะถือว่าห่างเหินกันได้อย่างไร”
คิ้วสวยเคลื่อนเข้าหากัน “หา…ท่านแม่ทราบได้อย่างไรว่าท่านพี่ซ่งส่งมาทุกเดือน ข้ายัง…”
“เจ้ายังอะไร เรื่องเช่นนี้ต้องอายพ่อแม่ด้วยหรือ เลิกปิดบังได้แล้ว ตอนนี้อายุของเจ้าก็มิใช่น้อยไยจึงงอแงเป็นเด็กไม่รู้จักโต”
กลีบปากสีกุหลาบอ้าเผยอพลางกะพริบเปลือกตาถี่ ไม่ทันกล่าวประโยคสนทนาต่อก็ต้องกลืนน้ำลายลงคอเดี๋ยวนั้น
“ท่านแม่ ขบวนเกี้ยวเจ้าสาวมารอแล้วเจ้าค่ะ”
ผู้เป็นแม่เหลียวไปยังต้นเสียงพลางส่งยิ้มให้บุตรสาวบุญธรรม “ได้…เจ้าดูสิพี่สาวของเจ้างดงามหรือไม่”
น้องสาวหน้าตาจิ้มลิ้มยกริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม มือที่กอบกุมบริเวณเข็มขัดผ้าบีบกันไว้แน่นกระทั่งเล็บจิกเข้าเนื้อจนรู้สึกเจ็บ “งดงามมากเจ้าค่ะ ไม่ว่าพี่หญิงจะสวมอาภรณ์ตัวใดก็ล้วนงดงามทั้งสิ้น”
“นั่นสินะ วันนี้เป็นงานมงคลของพี่เจ้า อีกไม่นานก็จะต้องถึงคราวเจ้าบ้าง มาเถิดมาช่วยแม่ประคองพี่ของเจ้าไปขึ้นเกี้ยวกัน”
“เจ้าค่ะ”
ขบวนเกี้ยวเจ้าสาวเคลื่อนตัวออกจากเรือนขุนนางใหญ่สกุลฟางแล้ว เจ้าสาวที่นั่งด้านในแอบหวั่นใจอยู่บ้าง มารดาของนางบอกว่าเขาส่งจดหมายมาให้นางตลอด แล้วเหตุใดจึงไม่เคยเห็นจดหมายที่ว่าสักแผ่น หรือว่าซ่งเหวยซูกุเรื่องโกหกเพื่อเข้าทางพ่อแม่ให้นางต้องเร่งแต่งงานกับเขา
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกปวดขมับ หญิงสาวโยนความสงสัยทิ้งไว้เบื้องหลัง ถึงอย่างไรนางและเขาก็เป็นคู่หมั้นกันตั้งแต่ยังเยาว์ ต่อให้น้อยเนื้อต่ำใจก็มิอาจมีสิทธิ์มีเสียงต่อต้าน เป็นสตรียุคนี้ช่างดูด้อยค่ากว่าบุรุษยิ่งนัก
“พี่หญิงดูเหมือนว่าข้าจะลืม อย่างไรข้าขอตัวกลับไปครู่หนึ่งได้หรือไม่”
หญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านในตอบกลับ “ได้สิ เช่นนั้นเจ้าพาองครักษ์อิงฮ่าวไปด้วยก็แล้วกัน”
องครักษ์หน้าซีด “แต่นายท่านให้ข้าคุ้มกันขบวนเจ้าสาวไปอย่างปลอดภัยนะขอรับ”
“นั่นสิพี่หญิง หากท่านองครักษ์ตามข้าไปด้วยจะดีหรือ ผ่านป่าไผ่กลับไปไม่กี่ลี้ [1] เท่านั้น ข้าจะรีบไปรีบกลับเจ้าค่ะ”
เสียงใสเอ่ยลอดเกี้ยว “นั่นยิ่งไม่ได้ ขบวนเจ้าสาวมีคนคุ้มกันตั้งมาก แต่เจ้ากลับไปเพียงลำพัง ท่านองครักษ์ถือว่าทำเพื่อข้าเถิด”
องครักษ์ทอดถอนใจ เขาเหลียวมองเกี้ยวและหญิงสาวใบหน้าจิ้มลิ้มสลับไปมา ยามนี้เดินทางออกมาจากจวนสกุลฟางไม่ไกลมากนัก หากเขาเร่งพานางควบม้ากลับไปไม่กี่อึดใจก็คงไม่เป็นอันใด
“ขอรับ เช่นนั้นข้าจะรีบไปรีบกลับ”
ทั้งสองควบม้าจากไปแล้ว ขบวนเจ้าสาวยังคงมุ่งหน้าต่อไปเรื่อย ๆ ตามเส้นทางอันเงียบสงัด
ครึก
ครึก
จู่ ๆ เกี้ยวเจ้าสาวก็โคลงเคลงผิดปกติ มือเรียวเลิกแพรผืนหนาที่กั้นประตูเกี้ยวออก “เกิดอะไรขึ้น!?”
“โจรขอรับ มีโจรดักปล้นขบวนเจ้าสาว!”
นัยน์ตาดอกท้อเบิกกว้างตะลึงลาน “โจรปล้นรึ!”
เชิงอรรถ
^มาตราวัดระยะทางของจีน 1 ลี้ ยาวประมาณครึ่งกิโลเมตร.
ณ ร้านออกแบบบ้านเรือนซูเซี่ยนนับตั้งแต่ฟางเซี่ยนเซี่ยนแต่งงานกับซ่งเหวยซูนางก็เบื่อที่ต้องนั่งกินนอนกินอยู่เฉย ๆ เขาคิดจะขุนนางให้เป็นหมูหรืออย่างไร ขยับนิดเดียวก็คิดว่าจะฉีกขาดประหนึ่งกระดาษบอบบางดังนั้นฟางเซี่ยนเซี่ยนเลยใช้มารยาหญิงออดอ้อนเขาเพื่อเปิดร้านซูเซี่ยนขึ้นมา หญิงสาวคิดนำความสามารถที่เรียนจากยุคของตนมาประกอบอาชีพ ซึ่งเป็นการรับออกแบบบ้านเรือน และรูปแบบที่ฟางเซี่ยนเซี่ยนออกแบบมาล้วนต้องตาบรรดาขุนนางและเหล่าเศรษฐีจนได้รำกำไรจนล้น สามีของนางมั่งมีอยู่แล้ว แต่ทว่าฟางเซี่ยนเซี่ยนก็หาเงินใช้เองได้จนแทบไม่ต้องแบมือขอเขาสักอีแปะ ฟางเซี่ยนเซี่ยนรู้สึกสุขใจอย่างมาก อย่างน้อยในโลกใบนี้นางก็ทำสำเร็จทุกสิ่ง ไม่ว่าจะความรัก ครอบครัว หรือหน้าที่การงาน มิได้โดดเดี่ยวเฉกเช่นโลกใบก่อนมือเรียวบรรจงวาดภาพด้วยความประณีต ส่วนปากก็ขยับหยุบหยับอยู่ตลอด ผลหมังกั่ว [1] ถูกส่งเข้าปากด้วยความเอร็ดอร่อย ลี่ลี่และยาถงมองตามเจ้านายที่กินเข้าไปหน้านิ่งก็พร้อมใจกันหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะรู้สึกเปรี้ยวแทนทั้งที่ยังไม่ได้แตะสักชิ้นลี่ลี่ “ฮูหยินเจ้าคะ เอ่อ…ท่านไม่เป
ฤกษ์มงคลมาเยือน เกี้ยวเจ้าสาวมารอรับที่หน้าเรือนพร้อมกับเจ้าบ่าวซึ่งนั่งองอาจบนหลังอาชาสีขาวนวล เครื่องแต่งกายสีชาดยิ่งขับเน้นผิวพรรณและใบหน้าของชายหนุ่มให้ดูหล่อเหลาชวนมอง สตรีที่มายืนห้อมล้อมต่างสุดเสียดายที่ตนมิได้เป็นคนนั่งบนเกี้ยวนั้นเสียเองวันนี้เหล่าสหายของฟางเซี่ยนเซี่ยนต่างมาร่วมแสดงความยินดี นับตั้งแต่ฟางเซี่ยนเซี่ยนร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับย่วนเผิงเฟยเขาก็แวะมาเยี่ยมเยียนนางที่จวนสกุลฟางหลายครั้งฟางเฉาหมิงและเกาโซ่จิ่งเองก็เอ็นดูย่วนเผิงเฟยมาก ทั้งกิริยาและความสามารถของชายหนุ่มล้วนโดดเด่นและก้าวกระโดดไวมาก พริบตาก็สร้างผลงานจนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรพูดคุยกันไปมาที่แท้ย่วนเผิงเฟยก็คนกันเอง มิน่าฟางเฉาหมิงจึงคุ้นหน้าย่วนเผิงเฟยนัก ใบหน้าของชายหนุ่มคล้ายบิดามากเนื่องจากบิดาของย่วนเผิงเฟยก็เป็นสหายของฟางเฉาหมิงเช่นกัน น่าเสียดายที่ตอนนั้นอำนาจสกุลฟางมีไม่มากพอจึงมิอาจยื่นมือเข้าช่วยเหลือสกุลย่วนได้ทันการณ์ตอนนั้นฟางเฉาหมิงคิดว่าบุตรชายคนเดียวของสกุลย่วนตายจากไปแล้ว จึงมิได้ออกตามหา มายามนี้ได้รู้เบื้องหลังของเขาทุกคนก็ยิ
นับตั้งแต่ฟางเซี่ยนเซี่ยนหายจากอาการป่วย วันนี้ก็คือวันแรกที่ทุกคนในครอบครัวร่วมกินข้าวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ซ่งเหวยซูก็อยู่ด้วยเช่นเดียวกัน ทว่าอาหารเลิศรสที่วางบนโต๊ะกลับมิอาจดึงความสนใจของฟางเซี่ยนเซี่ยนได้“ท่านพ่อเจ้าคะ แล้วเฉินเฉินเล่า ข้าจำได้ว่าตั้งแต่ฟื้นจากจมน้ำก็ไม่เห็นหน้านางเลย”ตะเกียบในมือของซ่งเหวยซูชะงักลง ส่วนฟางเฉาหมิงเองก็ถอนหายใจก่อนตอบว่า “ตั้งแต่วันงานเซี่ยหยวนน้องของเจ้าก็บ่นว่าคิดถึงบ้านเดิม อยู่ ๆ ก็จากไปทิ้งจดหมายเอาไว้ว่าไม่ต้องตามหาเพราะอยากไปใช้ชีวิตที่บ้านเดิมของตนเองแล้ว”ฟางเซี่ยนเซี่ยนนิ่วหน้า “หา…เหตุใดอยู่ ๆ จึงไปเช่นนี้เลยเล่าเจ้าคะ” ฟางเซี่ยนเซี่ยนเกรงว่าน้องสาวบุญธรรมอาจรู้สึกผิดและโทษตัวเอง จึงเอ่ยต่อว่า “แล้วไยท่านพ่อท่านแม่จึงไม่ตามนางกลับเล่า”เกาโซ่จิ่งเอ่ยด้วยสีหน้าหมองหม่น “แต่เดิมเฉินเอ๋อร์ก็เป็นลูกของแม่นมฝู ตอนนั้นนางป่วยหนักตั้งแต่เจ้าอายุเพียงห้าหนาว ส่วนเฉินเอ๋อร์อายุครบสามหนาว พวกเราเวทนานางจึงรับเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ในเมื่อยามนี้นางอยากกลับไปทดแทนคุณบิดาผู้ให้กำเนิดพ่อและแม่เองก็ไม่อยากขวาง”“เ
สนทนากันมาพักใหญ่ รถม้าก็เคลื่อนตัวมาถึงปลายทาง ซ่งเหวยซูยื่นมือเพื่อช่วยพยุงร่างระหงลงจากรถทั้งสองเดินเคียงกันไปภายในราชวังอันโอ่โถง กระทั่งมาถึงหน้ากองกำลังองครักษ์เสื้อแพรฟางเซี่ยนเซี่ยนเห็นก็ตาค้าง“นี่ท่านอย่าบอกว่าพวกเขา…”“เจ้าคิดว่าอย่างไร”นัยน์ตาดอกท้อแดงก่ำ ไม่คิดว่าเขาถึงขั้นช่วยผลักดันสหายของนางมาจนถึงที่ตรงนี้“อาเซี่ยน!” เสียงทุ้มดังแว่วมาแต่ไกล ฟางเซี่ยนเซี่ยนหมุนกายกลับก็เห็นเหล่าสหายของตนยืนกองกันอยู่ และคนที่เรียกนางก็ไม่ใช่ใครอื่นริมฝีปากสีกุหลาบยกยิ้มดีใจ “พี่ใหญ่ย่วน”ทั้งสองเดินเข้าหากันคนละครึ่งทาง ซ่งเหวยซูไม่ได้ตามไปด้วย เขาอยากให้ทุกคนผ่อนคลายเพียงมองดูจากที่ไกล ๆ เท่านั้น“พี่ใหญ่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” หนึ่งในบรรดาลูกน้องทักทายฟางเซี่ยนเซี่ยนด้วยท่าทีตื่นเต้นเพียะ!“โอ๊ย เจ้าตบข้าทำไม” มือหยาบกร้านยกขึ้นลูบศีรษะของตนป้อย ๆ เมื่อถูกแขนบึกบึนฟาดเข้าให้“เจ้าไม่เห็นหรือว่านางเป็นสตรีงดงามบอบบาง เช่นนั้นก็เรียก แม่นางเซี่ยนเซี่ยน”ฟางเซี่ยนเซี่ยนหัวเราะ “ไม่เป็นไร เราท






ความคิดเห็น