Masukตอนที่ 3
ลิฟต์เปิดออกพร้อมเสียงแจ้งเตือนแผ่วเบา ไฟในโถงชั้นที่ยี่สิบสามติดขึ้นทันทีที่เซ็นเซอร์จับการเคลื่อนไหวของเธอได้
ซูอวี้หนิงเดินไปยังประตูห้องหมายเลข 2307 มือข้างหนึ่งยกบัตรคีย์การ์ดแตะเข้ากับช่องสแกน ก่อนเสียงคลิกเบา ๆ จะดังขึ้นตามด้วยประตูที่ปลดล็อก
เมื่อก้าวเข้ามาในห้อง คอนโดแบบดูเพล็กซ์ขนาดกลางก็ปรากฏสู่สายตา ทุกอย่างยังคงสะอาดเรียบร้อยไร้ที่ติเหมือนทุกครั้งที่เธอกลับมา โต๊ะทำงานวางคอมพิวเตอร์พับฝาไว้เรียบร้อย โซฟาสีเทาเข้มตรงกลางห้องดูนิ่งเฉยพอ ๆ กับเจ้าของ
ซูอวี้หนิงวางกระเป๋าลงบนเคาน์เตอร์ครัว ถอนหายใจเบา ๆ แล้วเดินตรงไปเปิดผ้าม่านออก แสงไฟจากเมืองใหญ่เบื้องล่างส่องลอดเข้ามา ทำให้ห้องที่มืดสนิทกลับมีแสงสลัวปกคลุม
เธอยืนมองทิวทัศน์นั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปหยุดตรงชั้นหนังสือที่วางอยู่ริมผนัง หยิบกล่องไม้สีน้ำตาลเข้มขึ้นมา เปิดฝาอย่างระมัดระวัง ข้างในมีกล่องแหวนกำมะหยี่สีเงินวางอยู่
ซูอวี้หนิงเปิดฝากล่องนั้น แหวนแต่งงานวงเรียบที่ไม่มีการสลักชื่อใด ๆ สะท้อนแสงไฟจากภายนอก
เธอเคยมองแหวนวงนี้ด้วยสายตาอบอุ่นในวันแต่งงาน…แต่บัดนี้ มันก็เป็นเพียงของไร้ค่าอีกชิ้นหนึ่ง
หญิงสาวหยิบแหวนออกมา หมุนมันช้า ๆ ปลายนิ้วลูบไปตามผิวโลหะ ก่อนจะยิ้มบาง ๆ ให้กับตัวเอง รอยยิ้มที่ทั้งเศร้าและเด็ดขาดในคราวเดียว
จากนั้นเธอก็เดินไปยังลิ้นชักข้างเตียง หยิบซองเอกสารที่เตรียมไว้ล่วงหน้านานแล้ว
มันคือเอกสารหย่า...มีเพียงช่องลายเซ็นของเขาที่ยังว่างเปล่า
วันนี้ไม่ใช่การนอกใจครั้งแรกของเขา หลังจากแต่งงานไม่นาน เขาก็เริ่มที่จะมีกลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงคนอื่นติดตัวกลับมาด้วยเสมอ จากนั้นไม่นาน เธอก็เห็นว่าเขาเก็บหญิงสาวไว้มากมายอยู่ภายในที่ทำงาน ทำให้เธอเลือกที่จะห่างเหินกับอีกฝ่าย จนกระทั่งย้ายมาอยู่เพียงลำพังที่คอนโดแห่งนี้
“ทุกอย่างควรจะจบลงสักที” เธอกระซิบกับตัวเองเบา ๆ ขณะวางแหวนลงไปในซองเดียวกันนั้น แล้วปิดลิ้นชักอย่างแน่นหนา
ค่ำคืนนี้…เธอเลือกที่จะอยู่คนเดียว
ไร้เสียงของคนอื่น ไร้คำแก้ตัว ไร้การร้องขอให้ให้อภัย
เหลือเพียงแค่เธอกับความเงียบ
ทว่า…มันกลับเป็นความเงียบที่เธอควบคุมได้ และมันสงบ…กว่าที่เธอเคยรู้จักมาตลอดหลายปี
หลายวันต่อมา ซูอวี้หนิงยังคงใช้ชีวิตในแบบที่เธอคุ้นเคย ตื่นเช้า กินอาหารง่าย ๆ ก่อนตรงไปยังโรงพยาบาลอวี้เหอด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่มีร่องรอยของความเศร้าหรือสับสนใดให้จับต้องได้
เธอผ่าตัด เปลี่ยนเวร ตรวจคนไข้ ประชุมกับทีมแพทย์อย่างเป็นระบบไม่ขาดตกบกพร่อง หากจะมีอะไรเปลี่ยนไป ก็เป็นเพียงแววตาที่เย็นชากว่าเดิม และการที่เธอไม่กลับไปยังบ้านหลังนั้นอีกเลย
แม้แต่พยาบาลและเพื่อนร่วมงานบางคนที่เคยชินกับการเห็นเธอเก็บอารมณ์เงียบขรึม ยังรู้สึกได้ถึงกำแพงบางอย่างที่สูงขึ้นกว่าเดิม
ฉวีจิ้งไห่ปรากฏตัวที่โรงพยาบาลบ่อยครั้ง เขาไม่ได้ใช้ฐานะผู้บริหารในการเข้ามายุ่งเกี่ยวกับหน้าที่ของเธอโดยตรง แต่กลับเดินทางมารอเธอเงียบ ๆ หน้าห้องพักแพทย์ หรือบางครั้งก็ที่ล็อบบี้ชั้นสิบเจ็ด
“อวี้หนิง…เราแค่คุยกันหน่อยไม่ได้เหรอ?” เขาเอ่ยเบา ๆ ในวันหนึ่งที่เธอเพิ่งผ่าตัดเสร็จและเดินกลับมายังห้องทำงาน
หญิงสาวหยุดเท้าเพียงครู่เดียว ก่อนจะหันมองเขาด้วยสายตาที่สงบนิ่งเสียจนชายหนุ่มต้องเม้มปากแน่น
“ฉันส่งเอกสารให้คุณแล้ว รวมถึงสิ่งที่เคยเป็นของคุณ…” เสียงของเธอนุ่มลึกแต่หนักแน่น
“คุณไม่ต้องมาที่นี่อีก โรงพยาบาลแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ส่วนตัวของเรา มันคือพื้นที่ทำงานของฉัน และคุณควรให้เกียรติความเป็นมืออาชีพของฉันด้วย”
“แค่เซ็นมัน แล้วทุกอย่างจะจบลงโดยดี”
ฉวีจิ้งไห่นิ่งไป สีหน้าของเขาซับซ้อนระคนเจ็บปวด และโกรธเคืองในคราเดียว “เธอเย็นชาขนาดนี้เลยเหรอ อวี้หนิง?”
“ฉันแค่เรียนรู้ที่จะไม่ยึดติดอีกต่อไป” เธอตอบเรียบ ๆ ก่อนจะผลักประตูห้องพักแพทย์เข้าไป ปล่อยให้เขายืนอยู่อย่างเดียวดายตรงโถงทางเดิน
หลังจากนั้น เขาก็ยังพยายามตามหาเธออยู่บ้าง ส่งข้อความ โทรศัพท์ หรือฝากข้อความผ่านคนสนิท แต่ทั้งหมดล้วนไร้คำตอบกลับจากเธอ
“อาจารย์ซู คนไข้เตียงสิบสามอาการดีขึ้นมากแล้ว ญาติคนไข้ต้องการถามว่าจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่ค่ะ” พยาบาลผู้ช่วยของเธอเดินเข้ามารายงาน
ซูอวี้หนิงจำได้ว่า คนไข้เตียงที่สิบสามเป็นเด็กหญิงที่เธอผ่าตัดไปเมื่อไม่กี่วันก่อน หลังจากผ่าตัด อาการของเธอก็ดีขึ้นมากเรื่อย ๆ เนื่องจากคนไข้ยังเป็นเด็ก ทำให้ร่างกายฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว
“ฉันเข้าไปดูอาการของเธอหน่อยดีกว่า” เพราะวันนี้เธอไม่ได้มีประชุมวิชาการ ทำให้มีเวลาเหลืออีกมากกว่าจะเลิกงาน
ร่างระหงเดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยแผนกศัลยกรรมทรวงอก ภายในห้องพัก มีเตียงคนไข้อยู่ทั้งหมดสี่เตียง แต่ที่น่าแปลกคือห้องนี้ มีเพียงคนไข้เตียงที่สิบสามเท่านั้น ที่ยังเหลืออยู่ ส่วนเตียงที่เหลือตอนนี้ได้รับอนุญาตจากเธอให้กลับบ้านได้แล้ว
ซูอวี้หนิงที่เห็นเด็กหญิงในชุดคนไข้มองมาที่เธอ ทำให้ใบหน้าที่มักนิ่งเรียบของเธอตอนนี้ดูอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน
“วันนี้อาการเป็นอย่างไรบ้าง?” เธอสอบถามเด็กหญิงตรงหน้าด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แม้เธอจะรู้ดีว่าจะไม่ได้รับคำตอบจากอีกฝ่าย
ใช่…ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เด็กหญิงตรงหน้าไม่เคยเอ่ยปากพูดสิ่งใดเลยแม้แต่คำเดียว แม่ของเธอบอกว่าก่อนหน้านี้เด็กหญิงคนนี้จะเป็นคนช่างพูดอย่างมาก แต่ที่น่าแปลกคือเมื่อเธอฟื้นขึ้นมากลับนิ่งเงียบไม่ยอมพูดจา และมักจะเหม่อลอยเสมอ
“วันนี้แม่ของหนูไปไหนล่ะ?" ซูอวี้หนิงเปลี่ยนเรื่องพูดคุย
แต่เด็กหญิงตรงหน้าก็ยังคงจ้องมองมาที่เธอโดยไม่ละสายตา
“อวี้หนิง?”
ขณะที่ซูอวี้หนิงกำลังสำรวจสายน้ำเกลือให้อีกฝ่าย กลับได้ยินเสียงแหบเล็กดังขึ้น ซูอวี้หนิงก้มมองไปที่เด็กหญิง ที่กำลังมองหน้าเธออยู่ด้วยแววตาสับสนบางอย่าง แต่เมื่อผ่านไปมันก็กลับมามั่นคงอย่างรวดเร็ว
เมื่อครู่นี้เด็กหญิงพูดกับเธอ?
“ช่วยข้าได้หรือไม่?”
ซูอวี้หนิงที่ได้ยินว่าอีกฝ่ายยอมพูดแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ
“สาวน้อย เธอต้องการให้น้าช่วยอะไรอย่างนั้นหรอ? หรือเธอเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
“รับปากสิ” เด็กหญิงยังคงไม่ยอมบอก แต่กลับมองมาที่เธอด้วยสีหน้าจริงจัง แววตาของอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย
แต่ซูอวี้หนิงคิดว่าเด็กหญิงคงไม่ได้ขออะไรที่มากเกินไป ยกตัวอย่างเช่น การขอออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับไปรักษาที่บ้าน ซึ่งเป็นปกติที่เด็กหญิงวัยนี้ จะไม่ชอบบรรยากาศที่โรงพยาบาล
“ได้สิ ถ้าน้าทำได้ น้าก็จะรับปาก”
เด็กหญิงที่อยู่ในชุดคนไข้ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา พร้อมหยิบบางอย่างออกมาให้เธอ
ซูอวี้หนิงยื่นมือออกไปรับ ก่อนจะพบว่ามันคือปิ่นไม้แกะสลักธรรมดา ๆ เล่มหนึ่ง แต่ที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือ ปิ่นเล่มนี้ดูผ่านเรื่องราวมามากมายโดยที่เธอเอง ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เธอจึงคิดเช่นนั้นกัน
และในตอนนั้นเอง ภาพบางอย่างก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของเธออย่างรวดเร็ว ราวกับน้ำทะลักออกจากเขื่อน ภาพในหัวเหล่านั้นทำให้ซูอวี้หนิงเวียนหัวขึ้น ถึงขั้นต้องเอามือยกขึ้นกุมหัวของเธอเอาไว้ ราวกับว่าหากไม่ทำเช่นนั้นกระโหลกศีรษะของเธออาจแยกได้
“อ่าา” ซูอวี้หนิงครางออกมาด้วยความเจ็บปวด
ซูอวี้หนิงพยายามตั้งสติของเธอเอาไว้ ในตอนนั้นเองที่เธอสบตาเข้ากับเด็กหญิงที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงคนไข้ แต่เธอกลับเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอเกิดจากเด็กหญิงตรงหน้า
“เจ้าไม่ต้องห่วง แค่กลับไปในที่ที่เป็นของเจ้าเท่านั้น” เด็กหญิงที่นั่งมองเธออยู่กล่าวขึ้น
ร่างของซูอวี้หนิงทรุดลงไปกองอยู่ที่พื้นราวกับหุ่นไร้เรี่ยวแรง
ตุบ
ในขณะที่ซูอวี้หนิงใกล้จะหมดสติไปเต็มที่ เธอก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายรอบ ๆ ด้าน หนึ่งในเสียงนั้นคือเสียงพยาบาลผู้ช่วยของเธอเอง
ทุกอย่างดับวูบและมืดมิด รู้ตัวอีกทีเธอก็กลับมาอยู่ที่ที่หนึ่ง ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน เพราะทุกอย่างรอบข้างกลับมืดสนิท ไม่ว่าเธอจะเดินไปทางไหนก็ราวกับพื้นที่กว้างที่ว่างเปล่า
เธอไม่รู้ว่าเธอติดอยู่ในที่แห่งนี้นานแค่ไหน…
กรุ๊งกริ๊ง ๆ
เสียงบางอย่างดังขึ้นมาแผ่วเบาภายในความมืดมิด แต่ซูอวี้หนิงกลับรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังมาที่นี่ แม้เธอจะมองไม่เห็น
“นั่นใครน่ะ?” เธอพยายามมองไปที่ต้นเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่
“อยู่นี่เองสินะ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น
พรึ่บ
ทันทีที่เสียงนั้นกล่าวจบ แสงสว่างก็ปรากฏขึ้นในทิศทางหนึ่ง ทำให้ซูอวี้หนิงมองเห็นคนคนนั้นที่ก้าวเท้าเดินเข้ามาหาเธอ
แต่เธอกลับมองอีกฝ่ายได้ไม่ชัดเจนเพราะแสงที่ส่องมานั้นมันสว่างมากเกินไป
“ในที่สุดก็ได้พบกันเสียที…มาสิ ตามอาตมากลับไปกันเถอะ” เสียง ๆ นั้นดังขึ้น พร้อมกับหันหลังเดินไปในทิศทางที่แสงสว่างนั้นส่องมา
แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ซูอวี้หนิงกลับไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงตามอีกฝ่ายไปเท่านั้น
“พวกเราจะไปที่ไหน?” ซูอวี้หนิงที่เดินตามอีกฝ่ายอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
“เมื่อถึงเวลาเจ้าก็จะรู้เอง”
ว้าบบ
แสงสีขาวดูดกลืนร่างกายของทั้งสองทันที โลกที่มืดมิดแห่งนี้กลับมืดมิดอีกครั้งอย่างที่มันเคยเป็นมาตั้งแต่ต้น
………………….
ตอนที่ 18“ลองกล่าวมา เห็นด้วยหรือไม่ข้าจะตัดสินเอง” โจวต้าซานกล่าวเสียงแข็ง เพราะสถานการณ์ตอนนี้เขาเองก็มองไม่เห็นทางออกใด ๆ ได้เลยเช่นกัน“ตอนนี้เสี่ยวซูเองก็อยู่วัยต้องออกเรือนแล้ว มิสู้ใช้เรื่องนี้ ให้เสี่ยวซูออกเรือนไปกับเฟิ่งอวี่เซียน…”ปัง!!“เจ้าจะบ้าหรือ!!” ยังไม่ทันที่หลี่เจิ้นกัวจะกล่าวจบ เยี่ยหลัวก็ตวาดขึ้นทันทีใบหน้าของเขาเกรี้ยวกราด คนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ก็ขมวดคิ้วพร้อมทำสีหน้าอย่างไม่เห็นด้วยเช่นกัน“แต่ข้ากลับเห็นด้วยกับเจิ้นกัว” ยังไม่ทันที่บรรยากาศภายในกระท่อมจะสงบ เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหน้าประตู เสียงนั้นแม้ไม่ดังนัก ทว่ากลับแฝงพลังหนักแน่นจนทุกคนเงียบกริบ เงาร่างในผ้าคลุมก้าวเข้ามาทีละก้าว เสียงฝีเท้าเบาราวกับลมพัด แต่ละก้าวกลับทำให้บรรยากาศภายในกระท่อมแปรเปลี่ยนไปในทันใด“ท่านหมอหู…” โจวต้าซานเอ่ยออกมาช้า ๆ ดวงตาเผยแววตื่นตระหนก เพราะน้อยครั้งนักที่หูเทียนเหิงจะเข้าร่วมพูดคุยในที่ลับเช่นนี้ มีเพียงคำสั่งของนายหญิงเท่านั้นที่จะสั่งการเขาได้ แต่การที่อีกฝ่ายมาปรากฏตัวที่นี่ นั่นย่อมต้องมีเรื่องที่เกี่ยวกับนายหญิงที่ล่วงลับไปอย่างแน่นอนหูเทียนเหิงเข้
ตอนที่ 17กลางดึก ฟ้ามืดสนิทราวกับผืนผ้าไหมดำ เงาเมฆบดบังแสงจันทร์จนทั่วทั้งป่าดูลึกลับน่าหวาดหวั่น เสียงจิ้งหรีดแผ่วเบาดังก้องอยู่ไกล ๆ สายลมเย็นพัดผ่านใบไม้เกิดเสียงซู่ซ่าดั่งเสียงกระซิบภายในกระท่อมไม้หลังเล็กกลางป่าลึก แสงตะเกียงเพียงดวงเดียวส่องแสงวาบวับ เผยให้เห็นเงาร่างของคนสิบกว่าคนในชุดอาภรณ์ดำที่ปกปิดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า พวกเขานั่งเรียงรายอยู่รอบโต๊ะไม้เก่า ทุกสายตาจับจ้องไปยังชายชราผู้หนึ่งที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ที่ทุกคนในหมู่บ้านเรียกเขาว่า โจวต้าซาน หรือท่านลุงโจวโจวจื่อเฉียงยืนอยู่ด้านหลังของบิดาด้วยทีท่าสงบ ไม่มีท่าทางขี้เล่นเหมือนที่แล้วมาแต่อย่างใด ทุกคนที่อยู่ภายในกระท่อมต่างทำความเคารพทั้งสองคนชุดดำที่เห็นว่าทั้งสองคนพ่อลูกเดินทางมาถึงแล้วพวกเขาก็ต่างถอดผ้าคุมหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าที่อยู่ด้านใน หากคนภายในหมู่บ้านเห็นคนเหล่านี้ ทุกคนจะรู้จักพวกเขาทั้งหมด เพราะพวกเขาเหล่านี้ต่างใช้ชีวิตแฝงตัวอยู่ภายในหมู่บ้าน เป็นชาวบ้านทั่วไป จนคนในหมู่บ้านต่างหลงลืมไปแล้วว่าพวกเขาเป็นคนต่างถิ่นที่มาอาศัยภายในหมู่บ้านนี้เพียงสิบกว่าปีนี้เท่านั้น“เรื่องข่าวลือจัดการเรียบร้อยแล้วหรือไ
ตอนที่ 16เพียงไม่นานหลังจากเหตุการณ์นั้น เสียงลือเสียงเล่าอ้างก็แพร่กระจายรวดเร็วราวไฟลามทุ่ง จากปากของชาวบ้านที่อยู่ริมธาร ทั้งหมู่บ้านต่างพูดถึงเรื่อง “หญิงวิปลาสที่กล้าจูบศพชายที่ลอยน้ำมา”ซูอวี้หนิงที่นั่งอยู่ข้างเตียงคนเจ็บเพื่อเฝ้าดูอาการเขาอย่างเงียบงันไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องเล่านี้เลยแม้แต่น้อย เสียงลมพัดผ่านหน้าต่างไม้ไผ่เบา ๆ กลิ่นยาสมุนไพรยังลอยคลุ้งในอากาศ ชายที่อยู่บนเตียงยังคงไม่ได้สติ แต่สีหน้าดูสงบขึ้นมาก ชีพจรสม่ำเสมอขึ้นทีละน้อย“ซูอวี้หนิง!”เสียงทุ้มแหบของชายวัยกลางคนดังขึ้นจากด้านนอกก่อนร่างของ ลุงโจว จะปรากฏที่หน้าประตู สีหน้าของเขาในตอนนี้กลับเคร่งขรึมและไม่สบอารมณ์นัก และนี่เป็นครั้งแรกเช่นกันที่โจวจวงจื่อจะเห็นสีหน้าของบิดาที่มักจะอ่อนโยนต่อซูอวี้หนิงอยู่เสมอ แสดงสีหน้าน่ากลัวเช่นนี้ซูอวี้หนิงเงยหน้าขึ้นไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวอีกฝ่ายแต่อย่างใด ต่างจากโจวจวงจื่อที่ตอนนี้กระโดดหลบไปอยู่ด้านหลังของซูอวี้หนิงอย่างไม่รู้ตัว พร้อมกับตกใจจนหน้าซีดเผือดลุงโจวเดินเข้ามาในเรือนด้วยสีหน้าบึ้งตึง ดวงตาเขาเหลือบไปมองร่างชายแปลกหน้าที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนจะหันกลับมามองหน้าซู
ตอนที่15ซูอวี้หนิงโน้มตัวลงโดยไม่ลังเล มือทั้งสองประคองใบหน้าของชายหนุ่มให้หงายขึ้น ดวงตาเธอแน่วแน่ไร้ความลังเลใด ๆ“จวงจื่อ รีบหาผ้ามาซับตัวเขาไว้ก่อน แผลตรงหัวไหล่ห้ามให้โดนน้ำอีก!”เสียงสั่งนั้นหนักแน่นและเฉียบขาดจนอีกฝ่ายรีบทำตามโดยไม่กล้าซักถาม ซูอวี้หนิงยกคางชายผู้นั้นขึ้นเล็กน้อย ใช้นิ้วตรวจโพรงปากอย่างรวดเร็วเพื่อดูว่ามีสิ่งใดขวางอยู่หรือไม่ ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วโน้มตัวลงริมฝีปากอุ่นสัมผัสกับริมฝีปากเย็นเฉียบของชายแปลกหน้า นางเป่าลมหายใจเข้าไปอย่างสม่ำเสมอ สลับกับกดหน้าอกตามจังหวะที่คำนวณไว้ในใจ เสียงน้ำที่หยดลงจากปลายผมของนางผสมกับเสียงลมหายใจที่เป่ารัว ๆ กลายเป็นจังหวะที่เร่งเร้าทุกคนที่ยืนดูอยู่เงียบกริบ บ้างก็เอามือปิดปาก บ้างก็หันหน้าหนีไปทางอื่น ความตกใจและความหวาดกลัวปรากฏบนใบหน้าโดยไม่ปิดบัง“นาง... นางกำลังทำอะไรกับศพนั้นกัน?!”“บาปหนา! นางเป็นบ้าไปแล้ว!”คำพูดของชาวบ้านที่มาที่ริมลำธารต่างวิพากษ์วิจารณ์เสียงดัง แต่ซูอวี้หนิงไม่ได้ยินสักคำ เสียงในหัวนางมีเพียงจังหวะชีพจรที่พยายามตามหา ความเงียบงันในวินาทีนั้นยาวนานราวนิรันดร์จนกระทั่ง —“แค่ก! แค่ก แค่กกก!”เ
ตอนที่ 14แสงอาทิตย์ยามสายส่องลอดผ่านยอดไม้เข้ามาในลานเล็ก ๆ ด้านหน้าบ้านของซูอวี้หนิง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสมุนไพรที่ถูกต้มไว้ตั้งแต่รุ่งเช้าโชยคลุ้งไปทั่ว เรื่องที่มีคนถูกหมาป่ากัดเมื่อคืนนี้เองก็รับรู้กันทั่วทั้งหมู่บ้าน“ได้ยินว่าเมื่อคืนมีคนถูกหมาป่ากัด!"“ใช่ ๆ ว่ากันว่าเลือดไหลแทบหมดตัว แต่ซูอวี้หนิงใช้วิธีแปลก ๆ เย็บแผลเอาไว้จนยังมีชีวิตอยู่” “เย็บแผล? ใช่หรือไม่ที่ว่ากันว่าเหมือนเอาเข็มร้อยผ้าของหญิงสาวมาใช้กับร่างคน!”“ข้าบอกแล้วว่านางเป็นหญิงบ้าคนหนึ่ง จะมาเป็นหมอได้อย่างไร?”เสียงซุบซิบเริ่มกระจายเป็นวงกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับคลื่นน้ำที่ซัดกระทบผนังไม้ไม่หยุดหย่อน ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงความสงสัย แต่ปนด้วยความกลัวและรังเกียจ“ได้ยินมาว่า นางเย็บเนื้อคนเข้าด้วยกันจริง ๆ!”“ข้าเห็นกับตาเมื่อคืน เลือดเต็มมือ เหมือนพวกวิปลาสเลยต่างหาก!”“หากวันหนึ่งนางถือมีดไปปาดคอผู้อื่น ใครจะรับผิดชอบ!”ซูอวี้หนิงและคนอื่น ๆ ไม่ได้รับรู้ข่าวลือที่แพร่กระจายออกไปเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเมื่อคืนกว่านางจะได้นอนก็เกือบรุ่งสางเสียแล้ว นางได้นอนพักสายตาชั่วครู่ ก็ตื่นขึ้นมาเพื่อดูอาการของผู้ป่วยก่อน แ
ตอนที่ 13ยามดึกคืนนั้น แสงจันทร์ข้างแรมสาดผ่านม่านไม้ไผ่เข้ามาในห้องพักของซูอวี้หนิง นางเพิ่งจะวางแผ่นไม้ไผ่ที่จดบันทึกตำราสมุนไพรลงบนโต๊ะ กำลังเตรียมจะดับตะเกียงเพื่อพักผ่อน ทว่าทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงโกลาหลดังมาจากลานด้านหน้าเสียงฝีเท้าหนักรีบร้อนดังขึ้นพร้อมเสียงของโจวจวงจื่อ“เสี่ยวซู! เร็วเข้า! มีคนเจ็บ ถูกหมาป่ากัด”ประตูไม้ถูกเคาะแรง ๆ สามครั้ง ซูอวี้หนิงรีบลุกขึ้นผลักประตูออกไป เห็นโจวจวงจื่อใบหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วยเหงื่อ ส่วนด้านหลัง โจวจื่อเฉียงกำลังประคองชายหนุ่มร่างใหญ่ที่แขนขวาถูกกัดจนเนื้อฉีก เห็นได้ชัดว่าถูกหมาป่าฉีกกระชาก เลือดสดไหลทะลักจนชุ่มเสื้อผ้าแต่แทนที่ซูอวี้หนิงจะตื่นตกใจ นางกลับใจเย็นอย่างที่สองพี่น้องโจวไม่เคยเห็นมาก่อน“พาเข้ามาในเรือนด้านหน้าก่อน แล้วให้ใครก็ได้ไปตามหมอหู!” เสียงนางเด็ดขาดโดยไม่ลังเล“ข้าให้คนไปตามแล้ว” โจวจื่อเฉียงที่หามคนเจ็บมากล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มไม่นาน หมอหูก็มาถึงด้านหน้าเรือนของซูอวี้หนิง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด แต่ทันทีที่เห็นบาดแผลที่แขนชายหนุ่ม เขาก็ขมวดคิ้วแน่น “บาดแผลลึกมาก หากเสียเลือดมากกว่านี้ เกรงว่าจะไม่รอดถึงรุ







