Masukตอนที่ 6
เมื่อเห็นว่าซูอวี้หนิงนิ่งเงียบเหม่อมองไปที่ทุ่งนาด้านล่างด้วยความสนใจ นางจึงกล่าวขึ้น
“อีกสิบกว่าวันก็ต้องลงทุ่งนาเกี่ยวข้าวแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นพวกชาวบ้านก็จะนำข้าวเปลือกมาแบ่งให้แก่เจ้า พร้อมกับค่าเช่า เมื่อถึงเวลานั้น พี่ชายใหญ่และข้าจะยุ่งมาก คงพาเจ้าไปเที่ยวที่ลำธารไม่ได้” โจวงจวงจื่อถอนหายใจออกมา
ซูอวี้หนิงเลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรต่อ นางจึงอดไม่ได้ที่จะถามอีกฝ่าย
“เพราะเหตุใดพวกเขาต้องนำข้าวเปลือกมาให้ข้า?”
“เจ้าคงลืมไปแล้วกระมัง?” โจวจวงจื่อมองหน้าพร้อมกับชี้นิ้วออกไปที่ท้องนาที่อยู่ด้านล่างพร้อมอธิบายให้นางฟังอย่างใจเย็น “ทุ่งนาตั้งแต่ตรงนี้ จนไปถึงตรงโน้นที่มีต้นไม้ใหญ่สองต้นนั้น ล้วนเป็นของเจ้าทั้งหมด”
ซูอวี้หนิงมองตามที่อีกฝ่ายชี้ให้ตนเองดู ก่อนจะเบิกตากว้าง
เพราะที่ที่โจวจวงจื่อชี้ให้นางดูนั้น มันไม่ใช่พื้นที่น้อย ๆ เลย หรือจะเรียกได้ว่าแทบจะเป็นพื้นที่เทียบเท่ากับหมู่บ้านหมู่บ้านหนึ่งได้เลย
“ตั้งแต่ท่านแม่บุญธรรม… ข้าหมายถึงแม่ของเจ้าจากไปเมื่อสามปีก่อน ทุกอย่างของเจ้าเป็นพี่ใหญ่และข้าช่วยกันดูแลแทนเจ้าทั้งสิ้น ในเมื่อตอนนี้อาการป่วยของเจ้าหายดีแล้ว เจ้าควรจัดการมันด้วยตัวเอง” โจวจวงจื่อกล่าว
“แต่ในเมื่อปล่อยให้ชาวบ้านได้เช่าทำกินแล้ว เหตุใดพวกเขายังคงต้องนำข้าวเปลือกมาให้ข้าอีก?” เพียงแค่ต้องจ่ายค่าเช่าเพื่อทำนาแล้ว นั่นก็เป็นจำนวนเงินที่เยอะมากแล้วสำหรับชาวบ้านเช่นนี้ เพราะจากประวัติศาสตร์ที่นางเรียนมา หากชาวบ้านจำต้องเช่าที่นาเพื่อทำมาหากิน นั่นหมายความว่าชีวิตของพวกเขาแทบไม่มีทางเลือกแล้ว
“นั่นเป็นเพราะ มารดาของเจ้าที่มีน้ำใจต่อคนในหมู่บ้านนี้ นางคิดค่าเช่ากับพวกเขาเพียงสามส่วน แม้ว่าจะต้องแบ่งผลผลิตหนึ่งส่วนมาให้เจ้าแทน แต่ถึงจะเป็นผลผลิตแค่หนึ่งส่วน พวกเขาก็ยังมีเงินเหลืออีกมาก นี่เป็นสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจแม่บุญธรรมมากที่สุด ทั้งที่นางสามารถหาเงินได้จากการให้เช่าได้มากแท้ๆ แต่นางกลับไม่ทำเช่นนั้น"
โจวจวงจื่อบ่นออกมาอย่างไม่รู้ตัว เป็นเพราะนางใช้ชีวิตอยู่กับแม่บุญธรรมมารดาของซูอวี้หนิงเป็นส่วนใหญ่ นางจึงคิดว่าการกระทำของแม่บุญธรรมนั้นเป็นการเสียเปรียบผู้อื่น
แต่ซูอวี้หนิงที่ได้ยินเช่นนั้นกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
มารดาของเจ้าของร่างนี้เป็นคนที่มีความคิดลึกซึ้งอย่างยิ่ง นางเป็นเพียงหญิงม่ายที่ใช้ชีวิตอยู่ชนบทเช่นนี้ หากวันหนึ่งที่นางจะต้องสิ้นลมไปและปล่อยให้ลูกสาวที่สติไม่สมประกอบอยู่ตามลำพัง มีเพียงการให้ชาวบ้านเป็นหนี้บุญคุณแก่นาง เพื่อให้การดูแลบุตรสาวของตนในภายภาคหน้า ให้มีชีวิตที่ไม่อาภัพนัก
โดยเฉพาะการรับพี่น้องตระกูลโจวทั้งสองคนเป็นบุตรบุญธรรมเช่นนี้
ซูอวี้หนิงเป็นคนที่มาจากโลกอนาคต มีสิ่งใดแผนการใดที่นางไม่เคยพบเห็นบ้าง? ต่างจากเด็กสาวตรงหน้าที่มีนิสัยใสซื่อ ย่อมคิดไม่ถึงความแยบยลในแผนการนี้
นั่งเล่นอยู่เพียงสักพักใหญ่ๆ แสงแดดก็เริ่มร้อนแรงมากยิ่งขึ้น โจวจวงจื่อจึงประคองร่างผอมบางเข้าไปที่ด้านใน พร้อมกับเตรียมอาหารให้อีกฝ่าย
ชีวิตประจำวันที่เรียบง่ายอย่างที่ไม่เคยมีมาในชีวิตก่อนของซูอวี้หนิง ทำให้ตอนนี้นางกลับมาคิดวางแผนว่านางควรจะทำอะไรต่อไปจากนี้
ซูอวี้หนิงพยายามนึกถึงความทรงจำที่ตนเองได้รับมาอย่างเลือนรางว่าก่อนหน้านี้ ซูอวี้หนิงคนก่อนมักทำสิ่งใด เพื่อไม่ให้ทุกคนในบ้านสงสัย และความพยายามของนางก็สัมฤทธิ์ผล เมื่อความจำบางอย่างที่เกี่ยวกับตัวตนของซูอวี้หนิงคนก่อนก็ผ่านเข้ามาในหัวของนาง
ซูอวี้หนิงไม่รอช้า ค่อย ๆ พยุงตัวเองไปอีกห้องหนึ่งที่อยู่ติดกัน ซึ่งนางจำได้ว่าห้องนี้เป็นห้องที่ซูอวี้หนิงคนก่อนชอบมานั่งอยู่เพียงลำพัง เมื่อเข้ามาด้านใน นางก็พบกับชั้นวางของเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ริมห้อง บนชั้นมีชุดน้ำชาเรียบ ๆ วางเอาไว้ พร้อมกับตำราสามสี่เล่ม มันถูกวางคล้ายกับสิ่งของชิ้นนี้เป็นของรักของหวงของเจ้าของห้อง
เป็นไปได้ว่าซูอวี้หนิงคนเดิมนั้นมีนิสัยชอบอ่านตำราอย่างยิ่ง ดูจากร่องรอยที่อีกฝ่ายเปิดอ่าน จะรู้ได้ทันทีว่านางชื่นชอบเล่มไหน
นอกจากตำราที่วางอยู่ชั้นด้านข้างแล้ว อีกด้านหนึ่งของห้องยังมีหีบไม้อีกหนึ่งใบวางอยู่ด้านข้าง เมื่อเปิดดูด้านใน ซูอวี้หนิงก็ต้องประหลาดใจ เพราะด้านในไม่ได้มีเพียงตำรานิทานทั่วไปเท่านั้น แต่มันกลับมีตำราและม้วนไม้ไผ่หมวดหมู่ต่าง ๆ มากมายที่อยู่ด้านใน
ซูอวี้หนิงเลือกเล่มที่น่าสนใจออกมาสองสามเล่มเพื่ออ่านมันคั่นเวลา
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ซูอวี้หนิงกลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดจนกระทั่งได้ยินเสียงของโจวจวงจื่อที่ดังมาจากทางหน้าเรือน คล้ายว่านางกำลังพูดคุยกับใครบางคน
ซูอวี้หนิงวางตำราเล่มหนาในมือลง ก่อนจะค่อย ๆ พยุงร่างกายของตนเองออกไปด้านหน้าเรือน
เมื่อออกมาถึงด้านนอก นางก็พบว่าแสงแดดของวันเริ่มจะหมดลงแล้ว
ที่ด้านหน้าประตู โจวจวงจื่อกำลังพูดคุยกับใครบางคนด้วยสีหน้าแตกตื่น โดยมีโจวจื่อเฉียงพี่ชายของนางยืนฟังอยู่ด้านข้างด้วย
เมื่อได้ยินเสียงบางอย่าง โจวจื่อเฉียงหันมามองซูอวี้หนิงที่เดินกระเผลกออกมาจากด้านในเรือนด้วยตนเอง เขาจึงรีบทิ้งน้องสาวไว้ที่ประตู รีบเข้ามาพยุงหญิงสาวทันที
เหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ว่าซูอวี้หนิงต้องการเดินออกมานั่งที่ใต้ต้นหม่อนหน้าบ้าน เขาจึงช่วยพยุงนางมาที่ม้านั่งที่นางต้องการ โดยไม่ได้กล่าวอะไร
แต่กลับเป็นนางที่กล่าวถามขึ้น
“มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ?” ซูอวี้หนิงถามอีกฝ่าย แต่ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะทันได้ตอบ เสียงของโจวจวงจื่อก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“เสี่ยวซู เจ้าซานโก่วนั้นถูกกรรมตามสนองเข้าให้แล้ว!!” โจวงจวงจื่อที่คุยกับคนที่ด้านหน้าประตูรั้วเสร็จแล้ว รีบวิ่งเข้ามาบอกข่าวแก่นาง
“??” ซูอวี้หนิงขมวดคิ้วสงสัยครู่หนึ่ง คล้ายต้องการนึกถึงว่าใครคือซานโก่วที่อีกฝ่ายพูดถึง
เมื่อเห็นว่าซูอวี้หนิงจะจำซานโก่วที่รังแกนางไม่ได้ โจวจวงจื่อจึงรีบบอกอีกฝ่ายทันที
“คนที่ผลักเจ้าจนได้รับบาดเจ็บหนักเช่นนี้อย่างไรเล่า!! เมื่อครู่นี้พี่สาวลู่มาบอกข้าว่า เจ้าซานโก่วหายออกจากบ้านไปเมื่อวันก่อนและไม่กลับมาอีก แม่ของเจ้านั่นเป็นห่วงอย่างมาก จึงมาแจ้งหัวหน้าหมู่บ้านด้านล่างเพื่อตามหา จนเมื่อครู่นี้มีคนพบศพของเจ้านั่นอยู่ริมแม่น้ำ"
แม้ว่าโจวจวงจื่ออยากจะให้อีกฝ่ายถูกกรรมตามสนองมากเพียงใด แต่การที่เห็นว่าอีกฝ่ายกลายเป็นศพไปจริงๆ นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่เล็กน้อย จะอย่างไร อีกฝ่ายก็เคยเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก
ต่างจากซูอวี้หนิงที่คิดว่าเรื่องนี้น่าสงสัยอยู่ไม่น้อย นางอยากไปดูศพของอีกฝ่ายด้วยตาตนเอง ว่าเขาจมน้ำตายหรือเพราะถูกใครฆาตกรรมหรือไม่
แต่ด้วยสภาพร่างกายเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้ไปดูผู้เสียชีวิต หรือหากนางไปตอนนี้ ครอบครัวของอีกฝ่ายคงไม่ให้นางไปแตะต้องศพอย่างแน่นอน
เนื่องจากร่างกายของซูอวี้หนิงตอนนี้ยังเยาว์วัยอยยู่มาก ทำให้ร่างกายฟื้นตัวเองได้อย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่วันนางก็สามารถเดินเหินได้ด้วยตนเองโดยไม่ลำบากคนอื่น ๆ อีกต่อไป มีเพียงร่องรอยขีดข่วนตามร่างกายอีกเล็กน้อยเท่านั้นที่ยังคงหลงเหลือให้เห็นอยู่
ซูอวี้หนิงใช้เวลาว่างที่ตนเองมีอยู่อ่านม้วนตำราที่มีอยู่ภายในห้องไปมากกว่าครึ่ง ทำให้นางได้รู้ว่า สถานที่ที่นางอาศัยอยู่ตอนนี้ไม่ได้ตรงกับยุคสมัยใดในประวัติศาสตร์ของจีนเลยแม้แต่น้อย แต่การดำรงชีวิตของผู้คนที่นี่กลับคล้ายจีนในยุคสมัยก่อนอย่างมาก
แต่สิ่งที่นางให้ความสนใจมากกว่านั้น คือวิชาแพทย์ของที่นี่ โชคดีที่ในหีบนี้ยังพอมีตำราสมุนไพรทั่วไปให้นางพอได้ศึกษาดูบ้าง แต่เมื่อนางได้อ่านดู นางกลับพบว่าสมุนไพรที่ถูกบันทึกไว้นั้นมีน้อยกว่าที่นางเคยศึกษาจากชีวิตก่อนเป็นอย่างมาก
ในชีวิตที่แล้ว ซูอวี้หนิงเป็นเด็กหัวกะทิที่ถูกคัดเลือกเป็นพิเศษจากรัฐบาลมาตั้งแต่อายุห้าขวบ เนื่องจากทางบ้านเป็นครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง ทำให้พ่อและแม่ของเธอในชีวิตก่อนเลือกส่งเธอเข้ารับการคัดเลือกพิเศษนี้ตั้งแต่เด็ก เด็กที่สามารถผ่านการคัดเลือกได้ ได้รับเงินรางวัลและทุนการศึกษาพิเศษจากรัฐบาล และแน่นอนว่าตัวเธอเองก็ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่โรงเรียนประจำชาติ ที่ทางรัฐบาลก่อตั้งขึ้น
พวกเธอจะถูกแบ่งแยกตามความสามารถและความถนัดของตนเอง และเธอถูกคัดเลือกให้เรียนแพทย์ทุกแขนง ทำให้เธอประสบความสำเร็จและกลายเป็นศัลยแพทย์ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย
และแน่นอนว่าตำราสมุนไพรโบราณเช่นนี้ ตอนที่ยังอยู่ในศูนย์วิจัยของรัฐบาล ซูอวี้หนิงเองก็เคยศึกษามาแล้วเช่นกัน
“เสี่ยวซู”
ในขณะที่ซูอวี้หนิงกำลังอ่านตำราสมุนไพรอยู่ภายในห้องนั้น ก็มีเสียงของโจวจื่อเฉียงดังมาจากทางด้านหน้าประตู
แม้ประตูจะไม่ได้ปิดไว้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่เดินเข้ามา โจวจื่อเฉียงเพียงเอ่ยปากเรียกนางอยู่ที่ด้านหน้าประตูเท่านั้น ซูอวี้หนิงวางม้วนตำราลงไว้ที่ด้านข้าง ก่อนจะลุกเดินออกไปหาอีกฝ่ายที่ด้านหน้าเรือน
เมื่อซูอวี้หนิงเดินออกไปก็พบว่า ที่ด้านหน้าประตูไม่ได้มีเพียงแค่โจวจื่อเฉียงเท่านั้นที่ยืนอยู่
ที่ด้านหลังของเขามีชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าคล้ายกับโจวจื่อเฉียงอยู่หลายส่วนยืนอยู่ด้วย ซึ่งซูอวี้หนิงคาดเดาไม่ยากว่าคนคนนี้ ก็คือ ท่านลุงโจว ที่ออกไปขายข้าวเปลือกต่างเมืองพึ่งกลับมา
ซูอวี้หนิงสังเกตอีกฝ่ายโดยไม่หลบเลี่ยง แต่เมื่อสบตากับอีกฝ่าย ซูอวี้หนิงก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาเล็กน้อย เพราะแววตาที่อีกฝ่ายมองมานั้น ไม่ต่างจากหัวหน้าหน่วยในสายงานตำรวจที่นางเคยร่วมงานกันเมื่อชีวิตก่อนเลย
แต่แววตาคู่นั้นก็พลันอ่อนโยนลงอย่างรวดเร็ว ราวกับเมื่อครู่นี้ ซูอวี้หนิงตาฝาดไป
“เสี่ยวซู” น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้นมาจากอีกฝ่าย
ในตอนนั้นเอง ภาพเลือนรางในอดีตก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาในหัวของซูอวี้หนิงอีกครั้ง
เป็นภาพของนางเมื่อครั้งยังเด็กที่ถูกอีกฝ่ายคอยเลี้ยงดูและพาขี่หลังออกไปเที่ยวเล่นรอบ ๆ หมู่บ้าน
ทำให้นางรู้ได้ว่า ซูอวี้หนิงคนก่อนนั้น รักชายวัยกลางคนผู้นี้เป็นอย่างมาก
“ท่านลุง” ซูอวี้หนิงที่ยืนอยู่กล่าวกับอีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจ
………………
ตอนที่ 18“ลองกล่าวมา เห็นด้วยหรือไม่ข้าจะตัดสินเอง” โจวต้าซานกล่าวเสียงแข็ง เพราะสถานการณ์ตอนนี้เขาเองก็มองไม่เห็นทางออกใด ๆ ได้เลยเช่นกัน“ตอนนี้เสี่ยวซูเองก็อยู่วัยต้องออกเรือนแล้ว มิสู้ใช้เรื่องนี้ ให้เสี่ยวซูออกเรือนไปกับเฟิ่งอวี่เซียน…”ปัง!!“เจ้าจะบ้าหรือ!!” ยังไม่ทันที่หลี่เจิ้นกัวจะกล่าวจบ เยี่ยหลัวก็ตวาดขึ้นทันทีใบหน้าของเขาเกรี้ยวกราด คนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ก็ขมวดคิ้วพร้อมทำสีหน้าอย่างไม่เห็นด้วยเช่นกัน“แต่ข้ากลับเห็นด้วยกับเจิ้นกัว” ยังไม่ทันที่บรรยากาศภายในกระท่อมจะสงบ เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหน้าประตู เสียงนั้นแม้ไม่ดังนัก ทว่ากลับแฝงพลังหนักแน่นจนทุกคนเงียบกริบ เงาร่างในผ้าคลุมก้าวเข้ามาทีละก้าว เสียงฝีเท้าเบาราวกับลมพัด แต่ละก้าวกลับทำให้บรรยากาศภายในกระท่อมแปรเปลี่ยนไปในทันใด“ท่านหมอหู…” โจวต้าซานเอ่ยออกมาช้า ๆ ดวงตาเผยแววตื่นตระหนก เพราะน้อยครั้งนักที่หูเทียนเหิงจะเข้าร่วมพูดคุยในที่ลับเช่นนี้ มีเพียงคำสั่งของนายหญิงเท่านั้นที่จะสั่งการเขาได้ แต่การที่อีกฝ่ายมาปรากฏตัวที่นี่ นั่นย่อมต้องมีเรื่องที่เกี่ยวกับนายหญิงที่ล่วงลับไปอย่างแน่นอนหูเทียนเหิงเข้
ตอนที่ 17กลางดึก ฟ้ามืดสนิทราวกับผืนผ้าไหมดำ เงาเมฆบดบังแสงจันทร์จนทั่วทั้งป่าดูลึกลับน่าหวาดหวั่น เสียงจิ้งหรีดแผ่วเบาดังก้องอยู่ไกล ๆ สายลมเย็นพัดผ่านใบไม้เกิดเสียงซู่ซ่าดั่งเสียงกระซิบภายในกระท่อมไม้หลังเล็กกลางป่าลึก แสงตะเกียงเพียงดวงเดียวส่องแสงวาบวับ เผยให้เห็นเงาร่างของคนสิบกว่าคนในชุดอาภรณ์ดำที่ปกปิดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า พวกเขานั่งเรียงรายอยู่รอบโต๊ะไม้เก่า ทุกสายตาจับจ้องไปยังชายชราผู้หนึ่งที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ที่ทุกคนในหมู่บ้านเรียกเขาว่า โจวต้าซาน หรือท่านลุงโจวโจวจื่อเฉียงยืนอยู่ด้านหลังของบิดาด้วยทีท่าสงบ ไม่มีท่าทางขี้เล่นเหมือนที่แล้วมาแต่อย่างใด ทุกคนที่อยู่ภายในกระท่อมต่างทำความเคารพทั้งสองคนชุดดำที่เห็นว่าทั้งสองคนพ่อลูกเดินทางมาถึงแล้วพวกเขาก็ต่างถอดผ้าคุมหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าที่อยู่ด้านใน หากคนภายในหมู่บ้านเห็นคนเหล่านี้ ทุกคนจะรู้จักพวกเขาทั้งหมด เพราะพวกเขาเหล่านี้ต่างใช้ชีวิตแฝงตัวอยู่ภายในหมู่บ้าน เป็นชาวบ้านทั่วไป จนคนในหมู่บ้านต่างหลงลืมไปแล้วว่าพวกเขาเป็นคนต่างถิ่นที่มาอาศัยภายในหมู่บ้านนี้เพียงสิบกว่าปีนี้เท่านั้น“เรื่องข่าวลือจัดการเรียบร้อยแล้วหรือไ
ตอนที่ 16เพียงไม่นานหลังจากเหตุการณ์นั้น เสียงลือเสียงเล่าอ้างก็แพร่กระจายรวดเร็วราวไฟลามทุ่ง จากปากของชาวบ้านที่อยู่ริมธาร ทั้งหมู่บ้านต่างพูดถึงเรื่อง “หญิงวิปลาสที่กล้าจูบศพชายที่ลอยน้ำมา”ซูอวี้หนิงที่นั่งอยู่ข้างเตียงคนเจ็บเพื่อเฝ้าดูอาการเขาอย่างเงียบงันไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องเล่านี้เลยแม้แต่น้อย เสียงลมพัดผ่านหน้าต่างไม้ไผ่เบา ๆ กลิ่นยาสมุนไพรยังลอยคลุ้งในอากาศ ชายที่อยู่บนเตียงยังคงไม่ได้สติ แต่สีหน้าดูสงบขึ้นมาก ชีพจรสม่ำเสมอขึ้นทีละน้อย“ซูอวี้หนิง!”เสียงทุ้มแหบของชายวัยกลางคนดังขึ้นจากด้านนอกก่อนร่างของ ลุงโจว จะปรากฏที่หน้าประตู สีหน้าของเขาในตอนนี้กลับเคร่งขรึมและไม่สบอารมณ์นัก และนี่เป็นครั้งแรกเช่นกันที่โจวจวงจื่อจะเห็นสีหน้าของบิดาที่มักจะอ่อนโยนต่อซูอวี้หนิงอยู่เสมอ แสดงสีหน้าน่ากลัวเช่นนี้ซูอวี้หนิงเงยหน้าขึ้นไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวอีกฝ่ายแต่อย่างใด ต่างจากโจวจวงจื่อที่ตอนนี้กระโดดหลบไปอยู่ด้านหลังของซูอวี้หนิงอย่างไม่รู้ตัว พร้อมกับตกใจจนหน้าซีดเผือดลุงโจวเดินเข้ามาในเรือนด้วยสีหน้าบึ้งตึง ดวงตาเขาเหลือบไปมองร่างชายแปลกหน้าที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนจะหันกลับมามองหน้าซู
ตอนที่15ซูอวี้หนิงโน้มตัวลงโดยไม่ลังเล มือทั้งสองประคองใบหน้าของชายหนุ่มให้หงายขึ้น ดวงตาเธอแน่วแน่ไร้ความลังเลใด ๆ“จวงจื่อ รีบหาผ้ามาซับตัวเขาไว้ก่อน แผลตรงหัวไหล่ห้ามให้โดนน้ำอีก!”เสียงสั่งนั้นหนักแน่นและเฉียบขาดจนอีกฝ่ายรีบทำตามโดยไม่กล้าซักถาม ซูอวี้หนิงยกคางชายผู้นั้นขึ้นเล็กน้อย ใช้นิ้วตรวจโพรงปากอย่างรวดเร็วเพื่อดูว่ามีสิ่งใดขวางอยู่หรือไม่ ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วโน้มตัวลงริมฝีปากอุ่นสัมผัสกับริมฝีปากเย็นเฉียบของชายแปลกหน้า นางเป่าลมหายใจเข้าไปอย่างสม่ำเสมอ สลับกับกดหน้าอกตามจังหวะที่คำนวณไว้ในใจ เสียงน้ำที่หยดลงจากปลายผมของนางผสมกับเสียงลมหายใจที่เป่ารัว ๆ กลายเป็นจังหวะที่เร่งเร้าทุกคนที่ยืนดูอยู่เงียบกริบ บ้างก็เอามือปิดปาก บ้างก็หันหน้าหนีไปทางอื่น ความตกใจและความหวาดกลัวปรากฏบนใบหน้าโดยไม่ปิดบัง“นาง... นางกำลังทำอะไรกับศพนั้นกัน?!”“บาปหนา! นางเป็นบ้าไปแล้ว!”คำพูดของชาวบ้านที่มาที่ริมลำธารต่างวิพากษ์วิจารณ์เสียงดัง แต่ซูอวี้หนิงไม่ได้ยินสักคำ เสียงในหัวนางมีเพียงจังหวะชีพจรที่พยายามตามหา ความเงียบงันในวินาทีนั้นยาวนานราวนิรันดร์จนกระทั่ง —“แค่ก! แค่ก แค่กกก!”เ
ตอนที่ 14แสงอาทิตย์ยามสายส่องลอดผ่านยอดไม้เข้ามาในลานเล็ก ๆ ด้านหน้าบ้านของซูอวี้หนิง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสมุนไพรที่ถูกต้มไว้ตั้งแต่รุ่งเช้าโชยคลุ้งไปทั่ว เรื่องที่มีคนถูกหมาป่ากัดเมื่อคืนนี้เองก็รับรู้กันทั่วทั้งหมู่บ้าน“ได้ยินว่าเมื่อคืนมีคนถูกหมาป่ากัด!"“ใช่ ๆ ว่ากันว่าเลือดไหลแทบหมดตัว แต่ซูอวี้หนิงใช้วิธีแปลก ๆ เย็บแผลเอาไว้จนยังมีชีวิตอยู่” “เย็บแผล? ใช่หรือไม่ที่ว่ากันว่าเหมือนเอาเข็มร้อยผ้าของหญิงสาวมาใช้กับร่างคน!”“ข้าบอกแล้วว่านางเป็นหญิงบ้าคนหนึ่ง จะมาเป็นหมอได้อย่างไร?”เสียงซุบซิบเริ่มกระจายเป็นวงกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับคลื่นน้ำที่ซัดกระทบผนังไม้ไม่หยุดหย่อน ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงความสงสัย แต่ปนด้วยความกลัวและรังเกียจ“ได้ยินมาว่า นางเย็บเนื้อคนเข้าด้วยกันจริง ๆ!”“ข้าเห็นกับตาเมื่อคืน เลือดเต็มมือ เหมือนพวกวิปลาสเลยต่างหาก!”“หากวันหนึ่งนางถือมีดไปปาดคอผู้อื่น ใครจะรับผิดชอบ!”ซูอวี้หนิงและคนอื่น ๆ ไม่ได้รับรู้ข่าวลือที่แพร่กระจายออกไปเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเมื่อคืนกว่านางจะได้นอนก็เกือบรุ่งสางเสียแล้ว นางได้นอนพักสายตาชั่วครู่ ก็ตื่นขึ้นมาเพื่อดูอาการของผู้ป่วยก่อน แ
ตอนที่ 13ยามดึกคืนนั้น แสงจันทร์ข้างแรมสาดผ่านม่านไม้ไผ่เข้ามาในห้องพักของซูอวี้หนิง นางเพิ่งจะวางแผ่นไม้ไผ่ที่จดบันทึกตำราสมุนไพรลงบนโต๊ะ กำลังเตรียมจะดับตะเกียงเพื่อพักผ่อน ทว่าทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงโกลาหลดังมาจากลานด้านหน้าเสียงฝีเท้าหนักรีบร้อนดังขึ้นพร้อมเสียงของโจวจวงจื่อ“เสี่ยวซู! เร็วเข้า! มีคนเจ็บ ถูกหมาป่ากัด”ประตูไม้ถูกเคาะแรง ๆ สามครั้ง ซูอวี้หนิงรีบลุกขึ้นผลักประตูออกไป เห็นโจวจวงจื่อใบหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วยเหงื่อ ส่วนด้านหลัง โจวจื่อเฉียงกำลังประคองชายหนุ่มร่างใหญ่ที่แขนขวาถูกกัดจนเนื้อฉีก เห็นได้ชัดว่าถูกหมาป่าฉีกกระชาก เลือดสดไหลทะลักจนชุ่มเสื้อผ้าแต่แทนที่ซูอวี้หนิงจะตื่นตกใจ นางกลับใจเย็นอย่างที่สองพี่น้องโจวไม่เคยเห็นมาก่อน“พาเข้ามาในเรือนด้านหน้าก่อน แล้วให้ใครก็ได้ไปตามหมอหู!” เสียงนางเด็ดขาดโดยไม่ลังเล“ข้าให้คนไปตามแล้ว” โจวจื่อเฉียงที่หามคนเจ็บมากล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มไม่นาน หมอหูก็มาถึงด้านหน้าเรือนของซูอวี้หนิง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด แต่ทันทีที่เห็นบาดแผลที่แขนชายหนุ่ม เขาก็ขมวดคิ้วแน่น “บาดแผลลึกมาก หากเสียเลือดมากกว่านี้ เกรงว่าจะไม่รอดถึงรุ







