Masukตอนที่ 5
“ข้าคิดว่า การที่นางได้รับบาดเจ็บหนักในครั้งนี้ ทำให้เลือดลมในร่างกายเปลี่ยนไป มันอาจเป็นความโชคดีของนาง” หมอหูพูดถึงการคาดเดาของเขาให้อีกฝ่ายได้ฟัง แม้เขาจะไม่แน่ใจ แต่นี่เป็นเหตุผลเดียวที่พอจะเป็นไปได้
โจวซื่อที่ได้ยินเช่นนั้น กลับไม่ทำให้นางรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าอย่าพึ่งเป็นกังวลไปเลย ระหว่างนี้ก็คอยดูอาการของนางไปก่อน ข้าจะจัดยาบำรุงร่างกายให้นางหนึ่งชุด”
“ขอบคุณหมอหูมากเจ้าค่ะ” โจวซื่อกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายด้วยความซาบซึ้งใจ
“เจ้าอย่าได้เกรงใจเกินไปเลย แม้ข้าจะไม่ได้อาศัยอยู่หมู่บ้านแห่งนี้ แต่ก็เคยได้รับความช่วยเหลือจากมารดาของนางมาบ้างเช่นกัน” หมอหูกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยความจริงใจ
หากจะว่าไปแล้ว สาเหตุที่ทำให้หญิงสาวอย่างซูอวี้หนิงสามารถมีชีวิตอยู่อย่างตัวคนเดียวได้ถึงทุกวันนี้ ก็เป็นเพราะมารดาของนาง
ก่อนที่มารดาของนางจะสิ้นลมไป เคยช่วยเหลือชาวบ้านเอาไว้มากมาย รวมถึงคนหมู่บ้านใกล้เคียงอีกด้วย ครอบครัวของเขาเองก็เคยได้รับการช่วยเหลือจากมารดาของนางเช่นกัน
หมอหูถอนหายใจออกมาด้วยความเวทนา เขาเองก็ไม่สามารถช่วยอีกฝ่ายได้มากนัก ทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทำได้เพียงมาตรวจชีพจรให้นางทุก ๆ สิบวันเท่านั้น มีเพียงการทำเช่นนี้เพื่อตอบแทนมารดาของนางที่สิ้นลมไป
ก่อนกลับหมอหูได้เขียนรายการเทียบยาให้กับโจวจื่อเฉียง เพื่อให้เขาเข้าเมือง ไปซื้อที่ร้านขายยา
ซูอวี้หนิงที่อยู่ภายในห้องไม่ได้รับรู้เลยว่าตอนนี้ด้านนอกนั้น ทุกคนกำลังกังวลกับอาการป่วยของนางมากเพียงไร เพราะตอนนี้นางกำลังมองไปที่รอบ ๆ ห้องด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้ รวมถึงประเมินสถานการณ์ที่นางกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้
ร่างบางค่อย ๆ เลิกผ้าห่มที่คลุมร่างกายท่อนร่างของนางออก แต่ทันทีที่เท้าของนางสัมผัสพื้น ทำให้ซูอวี้หนิงรับรู้ได้ทันทีถึงอาการเจ็บปวดบริเวณข้อเท้า และสะโพก
แต่ที่เจ็บหนักมากที่สุดน่าจะเป็นอาการบาดเจ็บที่ศีรษะของตนเองเสียมากกว่า
นางเป็นหมอ ย่อมประเมินสภาพร่างกายของตนเองในตอนนี้คร่าว ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้นางหยุดความคิดที่จะเดินออกไปด้านนอกทันที
นางกวาดตาไปมองรอบ ๆ อย่างพิจารณา เตียงนอนไม้ที่นางกำลังนอนอยู่ แม้จะดูเก่ามากแล้ว แต่มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่า มันถูกทำมาอย่างปราณีต เครื่องใช้ภายในห้องเช่นกัน ทุกอย่างเป็นของใช้ที่ดูล้าสมัยคล้ายกับยุคโบราณที่นางเคยเห็นในหนังผ่าน ๆ มา
ขณะที่นางกำลังมองสำรวจไปรอบ ๆ ก็ได้ยินเสียงของใครบางคนที่อยู่ด้านหน้าประตู ก่อนใครบางคนนั้นจะเปิดประตูเข้ามา พร้อมกับชามใบหนึ่ง
“เสี่ยวซู ท่านแม่ให้ข้านำน้ำแกงมาให้เจ้า” โจวจวงจื่อเดินถือชามน้ำแกงเข้ามา พร้อมกับมองมาที่หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงด้วยแววตาคล้ายประหม่าเล็กน้อย
ในตอนนั้นเอง ความทรงจำเลือนรางของใครบางคนก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของนางอย่างรวดเร็ว ทำให้ซูอวี้หนิงรับรู้ได้ถึงความสัมพันธ์ของเจ้าของร่างนี้กับหญิงสาวตรงหน้า
เจ้าของร่างเดิมเป็นคนไม่พูดและมักถูกเด็ก ๆ ในหมู่บ้านรังแก มีเพียงเด็กสาวตรงหน้าและพี่ชายของนางเท่านั้น ที่คอยปกป้องและคอยดูแลนางตลอดเวลา
อาจเป็นเพราะความรู้สึกของซูอวี้หนิงคนก่อนยังหลงเหลืออยู่ภายในจิตใจของร่างนี้ ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายกับอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว
“ขอบคุณ” น้ำเสียงแผ่วเบาดังขึ้น
แม้มันจะแผ่วเบาและแหบพร่าอยู่บ้าง แต่โจวจวงจื่อกลับได้ยินมันชัดเจน
ทันใดนั้นเอง ซูอวี้หนิงกลับเป็นฝ่ายที่ต้องตกใจเอง เพราะโจวจวงจื่อที่อยู่ตรงหน้าของนางกลับร้องไห้ออกมาราวกับเด็กน้อย ทำเอานางทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว
“ฮือ เสี่ยวซู ในที่สุดเจ้าก็ยอมพูดแล้ว ฮือ ๆ” โจวจวงจื่อกล่าวไปพร้อมกับร้องไห้ไป นางพูดอีกหลายคำ แต่เพราะอีกฝ่ายร้องไห้มากกว่า ทำให้ซูอวี้หนิงฟังไม่ถนัดหูว่านางพูดว่าอะไร
รอจนผ่านไปสักพักอีกฝ่ายก็หยุดร้องไห้เอง
การกระทำของนางทำเอาซูอวี้หนิงถึงกับหัวเราะออกมา หญิงสาวตรงหน้ามองดูก็รู้ว่าน่าจะอายุราว ๆ สิบหก สิบเจ็ดแล้ว แต่ยังร้องไห้ราวกับเด็กน้อยผู้หนึ่ง
เมื่อซูอวี้หนิงดื่มน้ำแกงจนหมดชามแล้ว โจวจวงจื่อก็กลับออกไป แต่ออกไปเพียงไม่นาน นางก็กลับมาด้านในอีกครั้ง แต่ครั้งนี้นางไม่ได้พูดอะไรกับซูอวี้หนิงอีก นางเพียงเข้ามานำผ้าห่มและผ้าปูเตียงของนางออกไป และนำอีกชุดมาเปลี่ยนให้
ในตอนนั้นเองซูอวี้หนิงก็สังเกตบางอย่างได้ ดูจากชุดที่โจวจื่อจวงสวมใส่ เป็นชุดผ้าป่านของชาวนาทั่วไป ส่วนตัวของนางเองนั้นเป็นเสื้อผ้าที่ดูก็รู้ว่ามันดีกว่าของอีกฝ่ายเล็กน้อย
นั่นหมายความว่า ฐานะทางบ้านของนางตอนนี้ไม่ได้แย่มากนัก
“เสี่ยวซู เจ้าอยากออกไปนั่งเล่นที่ด้านนอกไหม? ท่านหมอหูบอกว่าอาการของเจ้าตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว สามารถออกไปรับลมด้านนอกบ้าง จะช่วยให้อาการของเจ้าดีขึ้น”
ซูอวี้หนิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้าให้นางเล็กน้อย
ตอนนี้ร่างกายของนางยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ หากเคลื่อนไหวโดยไม่มีรถเข็น อาจทำให้อาการบาดเจ็บที่เป็นอยู่ตอนนี้แย่ลงได้ แม้ในใจของนางอยากออกไปดูด้านนอกมากแค่ไหน ก็ทำได้เพียงหักห้ามใจของตนเองไว้
ที่ลานบ้านด้านข้างกับบ้านของซูอวี้หนิง หญิงชรากำลังนั่งอยู่ภายในลานพร้อมกับลูกชายของตนเองด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“แม่ อย่ากังวลไปเลย หมอหูก็บอกอยู่มิใช่หรือ ว่าอาการบาดเจ็บของนางดีขึ้นมากแล้ว” โจวจื่อเฉียงกล่าวกับมารดาที่นั่งเป็นกังวลอยู่
“เฮ้อ จะไม่ให้ข้าเป็นกังวลได้อย่างไร นางได้รับบาดเจ็บในเวลาที่พ่อของเจ้าไม่อยู่ หากพ่อเจ้ากลับมาแล้วรู้เรื่องนี้เข้า เขาจะต้องตำหนิแม่และเจ้าแน่ที่ไม่ดูแลนางให้ดี”
หญิงชราถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ สามีของนางนั้นรักใคร่เสี่ยวซูเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อครึ่งเดือนก่อน สามีของนางและชาวบ้านที่เป็นผู้ชายบางส่วนจะต้องนำข้าวเปลือกไปส่งที่เมืองข้างเคียง ก่อนจะเดินทางออกไป เขาได้กำชับกับนางและลูก ๆ ว่าให้ดูแลเสี่ยวซูให้ดี
“ท่านพ่อเดินทางไปเมืองอี้โจวเกือบครึ่งเดือนแล้ว ข้าคิดว่าอีกไม่กี่วันคงกลับมาถึง”
โจวจื่อเฉียงที่เคยไปเมืองอี้โจวกับบิดามาหลายครั้ง ย่อมรู้ว่าต้องใช้เวลากี่วันในการเดินทางไปและกลับ
“อืม ส่วนเจ้าซานโก่ว…”
“รอให้ท่านพ่อกลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่า” โจวจื่อเฉียงรู้ว่ามารดาของเขากำลังจะพูดอะไร
หลายครั้งที่เสี่ยวซูมักถูกคนในหมู่บ้านกลั่นแกล้ง แต่นั่นก็มีการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย เขาก็ได้ทำการสั่งสอนพวกคนเหล่านั้นไป แต่ครั้งนี้ เสี่ยวซูได้รับบาดเจ็บจนเกือบถึงชีวิต เรื่องนี้จำต้องให้บิดาของเขาจัดการเอง
หลังจากที่ซูอวี้หนิงได้ตื่นมาแล้วพบว่าตนเองอยู่ในร่างของซูอวี้หนิง เด็กสาวที่มีใบหน้าและชื่อเหมือนกันกับนาง จนกระทั่งล่วงเลยมาหลายวันจนแน่ชัดแล้วว่า นี่ไม่ใช่ความฝัน
ซูอวี้หนิงรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับหมู่บ้านที่นางอาศัยอยู่ตอนนี้ได้เล็กน้อย จากคำบอกเล่าของโจวจวงจื่อ เด็กสาวที่เข้ามาดูแลนางทุกวัน อาจเป็นเพราะซูอวี้หนิงคนก่อนไม่ใช่คนช่างพูด โจวจวงจื่อจึงคุ้นชินกันการพูดอยู่ฝ่ายเดียวเสมอ ไม่ว่าใครจะทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ซูอวี้หนิงก็สามารถรับรู้ได้ทุกอย่างจากนาง โดยที่ไม่ต้องถามสักคำ
และวันนี้เป็นวันที่รู้สึกว่าตนเองสามารถออกไปรับอากาศด้านนอกได้บ้างแล้ว เมื่อโจวจวงจื่อเข้ามาด้านใน ก็พบว่าซูอวี้หนิงกำลังใช้มือของตนเองค้ำยันที่พื้นเตียงเพื่อพยุงตนเองให้ลุกขึ้นยืน
เมื่อเห็นดังนั้นหญิงสาวก็ตกใจเป็นอย่างยิ่ง
“เสี่ยวซู เจ้าทำอะไร!!” โจวจวงจื่อรีบวางของในมือพร้อมเข้ามาประคองตัวซูอวี้หนิงทันที
“ข้าอยากออกไปด้านนอก” ซูอวี้หนิงบอกกับอีกฝ่าย
แม้โจวจวงจื่อจะยังรู้สึกไม่คุ้นชินกับอีกฝ่ายที่พูดคุยกับนางเหมือนเป็นคนปกติเช่นนี้ แต่ตลอดหลายวันที่ดูแลอีกฝ่าย จะมีบางครั้งที่อีกฝ่ายพูดคุยกับนางบางคำ หากนางต้องการบางอย่าง
“เจ้าจะออกไปด้านนอกก็เพียงบอกข้า เจ้าทำเช่นนี้หากเกิดล้มลงอีกครั้ง จะบาดเจ็บซ้ำได้” โจวจวงจื่อพูดพร้อมตำหนิซูอวี้หนิงเล็กน้อย
เมื่อได้ยินเช่นนั้นจากปากของหญิงสาวอายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปดปี นางจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูอีกฝ่าย
โจวจวงจื่อประคองร่างผอมบางของซูอวี้หนิงออกมาด้านนอก แม้ทั้งสองจะอายุห่างกันเพียงแค่สองเดือน แต่โจวจวงจื่อก็ยังสูงและดูมีเนื้อมีหนังมากกว่าซูอวี้หนิงอยู่มาก
ซูอวี้หนิงพยายามเดินไม่ให้ลงน้ำหนักเท้าที่บาดเจ็บมากนัก แต่เมื่อออกมาที่ลานด้านนอก ความเจ็บปวดที่มีก็พลันหายไปชั่วครู่
แสงแดดอ่อน ๆ ทอดลงมายังหมู่บ้านที่ซูอวี้หนิงอาศัยอยู่ ทุกอย่างดูเงียบสงบแต่ก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
หมอกบาง ๆ ลอยคลอเคลียอยู่เหนือยอดเขาที่โอบล้อมหมู่บ้านไว้ทั้งสี่ด้าน แสงอาทิตย์แรกของวันค่อย ๆ ส่องลอดผ่านหมู่ไม้ลงมากระทบหลังคาหญ้าแห้งสีหม่นที่เรียงรายเป็นแถว
จากลานบ้านของนาง สามารถมองเห็นควันไฟสีขาวลอยขึ้นมาจากปล่องไฟของแต่ละเรือน บ่งบอกว่าผู้คนกำลังเริ่มหุงหาอาหารเช้า
ถนนดินสายเล็กทอดยาวผ่านกลางหมู่บ้าน เด็กเล็ก ๆ วิ่งเล่นกันอยู่ไกล ๆ ชวนให้ความรู้สึกอบอุ่น
ไม่ไกลนักคือทุ่งนา ขอบทุ่งมีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเริ่มลงแขกถอนหญ้า แสงแดดอุ่นอ่อนส่องกระทบหยดน้ำค้างบนใบข้าวเป็นประกายราวกับเม็ดแก้ว ขณะที่ลำธารเล็ก ๆ ไหลผ่านด้านทิศตะวันออกของหมู่บ้าน ส่งเสียงน้ำกระทบหินดังซู่ซ่า เสริมความสงบสุขของเช้าวันใหม่
ซูอวี้หนิงที่ถูกประคองออกมานั่งพักที่เก้าอี้ไม้ใต้ร่มต้นหม่อน รู้สึกได้ถึงสายลมเย็นที่พัดพาเอากลิ่นดอกหญ้าและกลิ่นดินชื้นหลังหมอกลงมาตีจมูก ภาพตรงหน้าช่างแตกต่างจากชีวิตในเมืองที่นางคุ้นเคยนัก ทุกสิ่งทุกอย่างดูเรียบง่าย แต่แฝงด้วยความอบอุ่นของวิถีชีวิตผู้คนที่พึ่งพาอาศัยกัน
โจวจวงจื่อที่อยู่ข้างกายยิ้มกว้าง พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส
“เสี่ยวซู หากเจ้าหายดีแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปเดินที่ลำธาร ที่นั่นมีดอกไม้ป่าเบ่งบานสวยยิ่งนัก”
คำพูดเรียบง่ายนั้นทำให้หัวใจของซูอวี้หนิงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นอย่างบอกไม่ถูก…
…………………..
ตอนที่ 18“ลองกล่าวมา เห็นด้วยหรือไม่ข้าจะตัดสินเอง” โจวต้าซานกล่าวเสียงแข็ง เพราะสถานการณ์ตอนนี้เขาเองก็มองไม่เห็นทางออกใด ๆ ได้เลยเช่นกัน“ตอนนี้เสี่ยวซูเองก็อยู่วัยต้องออกเรือนแล้ว มิสู้ใช้เรื่องนี้ ให้เสี่ยวซูออกเรือนไปกับเฟิ่งอวี่เซียน…”ปัง!!“เจ้าจะบ้าหรือ!!” ยังไม่ทันที่หลี่เจิ้นกัวจะกล่าวจบ เยี่ยหลัวก็ตวาดขึ้นทันทีใบหน้าของเขาเกรี้ยวกราด คนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ก็ขมวดคิ้วพร้อมทำสีหน้าอย่างไม่เห็นด้วยเช่นกัน“แต่ข้ากลับเห็นด้วยกับเจิ้นกัว” ยังไม่ทันที่บรรยากาศภายในกระท่อมจะสงบ เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหน้าประตู เสียงนั้นแม้ไม่ดังนัก ทว่ากลับแฝงพลังหนักแน่นจนทุกคนเงียบกริบ เงาร่างในผ้าคลุมก้าวเข้ามาทีละก้าว เสียงฝีเท้าเบาราวกับลมพัด แต่ละก้าวกลับทำให้บรรยากาศภายในกระท่อมแปรเปลี่ยนไปในทันใด“ท่านหมอหู…” โจวต้าซานเอ่ยออกมาช้า ๆ ดวงตาเผยแววตื่นตระหนก เพราะน้อยครั้งนักที่หูเทียนเหิงจะเข้าร่วมพูดคุยในที่ลับเช่นนี้ มีเพียงคำสั่งของนายหญิงเท่านั้นที่จะสั่งการเขาได้ แต่การที่อีกฝ่ายมาปรากฏตัวที่นี่ นั่นย่อมต้องมีเรื่องที่เกี่ยวกับนายหญิงที่ล่วงลับไปอย่างแน่นอนหูเทียนเหิงเข้
ตอนที่ 17กลางดึก ฟ้ามืดสนิทราวกับผืนผ้าไหมดำ เงาเมฆบดบังแสงจันทร์จนทั่วทั้งป่าดูลึกลับน่าหวาดหวั่น เสียงจิ้งหรีดแผ่วเบาดังก้องอยู่ไกล ๆ สายลมเย็นพัดผ่านใบไม้เกิดเสียงซู่ซ่าดั่งเสียงกระซิบภายในกระท่อมไม้หลังเล็กกลางป่าลึก แสงตะเกียงเพียงดวงเดียวส่องแสงวาบวับ เผยให้เห็นเงาร่างของคนสิบกว่าคนในชุดอาภรณ์ดำที่ปกปิดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า พวกเขานั่งเรียงรายอยู่รอบโต๊ะไม้เก่า ทุกสายตาจับจ้องไปยังชายชราผู้หนึ่งที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ที่ทุกคนในหมู่บ้านเรียกเขาว่า โจวต้าซาน หรือท่านลุงโจวโจวจื่อเฉียงยืนอยู่ด้านหลังของบิดาด้วยทีท่าสงบ ไม่มีท่าทางขี้เล่นเหมือนที่แล้วมาแต่อย่างใด ทุกคนที่อยู่ภายในกระท่อมต่างทำความเคารพทั้งสองคนชุดดำที่เห็นว่าทั้งสองคนพ่อลูกเดินทางมาถึงแล้วพวกเขาก็ต่างถอดผ้าคุมหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าที่อยู่ด้านใน หากคนภายในหมู่บ้านเห็นคนเหล่านี้ ทุกคนจะรู้จักพวกเขาทั้งหมด เพราะพวกเขาเหล่านี้ต่างใช้ชีวิตแฝงตัวอยู่ภายในหมู่บ้าน เป็นชาวบ้านทั่วไป จนคนในหมู่บ้านต่างหลงลืมไปแล้วว่าพวกเขาเป็นคนต่างถิ่นที่มาอาศัยภายในหมู่บ้านนี้เพียงสิบกว่าปีนี้เท่านั้น“เรื่องข่าวลือจัดการเรียบร้อยแล้วหรือไ
ตอนที่ 16เพียงไม่นานหลังจากเหตุการณ์นั้น เสียงลือเสียงเล่าอ้างก็แพร่กระจายรวดเร็วราวไฟลามทุ่ง จากปากของชาวบ้านที่อยู่ริมธาร ทั้งหมู่บ้านต่างพูดถึงเรื่อง “หญิงวิปลาสที่กล้าจูบศพชายที่ลอยน้ำมา”ซูอวี้หนิงที่นั่งอยู่ข้างเตียงคนเจ็บเพื่อเฝ้าดูอาการเขาอย่างเงียบงันไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องเล่านี้เลยแม้แต่น้อย เสียงลมพัดผ่านหน้าต่างไม้ไผ่เบา ๆ กลิ่นยาสมุนไพรยังลอยคลุ้งในอากาศ ชายที่อยู่บนเตียงยังคงไม่ได้สติ แต่สีหน้าดูสงบขึ้นมาก ชีพจรสม่ำเสมอขึ้นทีละน้อย“ซูอวี้หนิง!”เสียงทุ้มแหบของชายวัยกลางคนดังขึ้นจากด้านนอกก่อนร่างของ ลุงโจว จะปรากฏที่หน้าประตู สีหน้าของเขาในตอนนี้กลับเคร่งขรึมและไม่สบอารมณ์นัก และนี่เป็นครั้งแรกเช่นกันที่โจวจวงจื่อจะเห็นสีหน้าของบิดาที่มักจะอ่อนโยนต่อซูอวี้หนิงอยู่เสมอ แสดงสีหน้าน่ากลัวเช่นนี้ซูอวี้หนิงเงยหน้าขึ้นไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวอีกฝ่ายแต่อย่างใด ต่างจากโจวจวงจื่อที่ตอนนี้กระโดดหลบไปอยู่ด้านหลังของซูอวี้หนิงอย่างไม่รู้ตัว พร้อมกับตกใจจนหน้าซีดเผือดลุงโจวเดินเข้ามาในเรือนด้วยสีหน้าบึ้งตึง ดวงตาเขาเหลือบไปมองร่างชายแปลกหน้าที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนจะหันกลับมามองหน้าซู
ตอนที่15ซูอวี้หนิงโน้มตัวลงโดยไม่ลังเล มือทั้งสองประคองใบหน้าของชายหนุ่มให้หงายขึ้น ดวงตาเธอแน่วแน่ไร้ความลังเลใด ๆ“จวงจื่อ รีบหาผ้ามาซับตัวเขาไว้ก่อน แผลตรงหัวไหล่ห้ามให้โดนน้ำอีก!”เสียงสั่งนั้นหนักแน่นและเฉียบขาดจนอีกฝ่ายรีบทำตามโดยไม่กล้าซักถาม ซูอวี้หนิงยกคางชายผู้นั้นขึ้นเล็กน้อย ใช้นิ้วตรวจโพรงปากอย่างรวดเร็วเพื่อดูว่ามีสิ่งใดขวางอยู่หรือไม่ ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วโน้มตัวลงริมฝีปากอุ่นสัมผัสกับริมฝีปากเย็นเฉียบของชายแปลกหน้า นางเป่าลมหายใจเข้าไปอย่างสม่ำเสมอ สลับกับกดหน้าอกตามจังหวะที่คำนวณไว้ในใจ เสียงน้ำที่หยดลงจากปลายผมของนางผสมกับเสียงลมหายใจที่เป่ารัว ๆ กลายเป็นจังหวะที่เร่งเร้าทุกคนที่ยืนดูอยู่เงียบกริบ บ้างก็เอามือปิดปาก บ้างก็หันหน้าหนีไปทางอื่น ความตกใจและความหวาดกลัวปรากฏบนใบหน้าโดยไม่ปิดบัง“นาง... นางกำลังทำอะไรกับศพนั้นกัน?!”“บาปหนา! นางเป็นบ้าไปแล้ว!”คำพูดของชาวบ้านที่มาที่ริมลำธารต่างวิพากษ์วิจารณ์เสียงดัง แต่ซูอวี้หนิงไม่ได้ยินสักคำ เสียงในหัวนางมีเพียงจังหวะชีพจรที่พยายามตามหา ความเงียบงันในวินาทีนั้นยาวนานราวนิรันดร์จนกระทั่ง —“แค่ก! แค่ก แค่กกก!”เ
ตอนที่ 14แสงอาทิตย์ยามสายส่องลอดผ่านยอดไม้เข้ามาในลานเล็ก ๆ ด้านหน้าบ้านของซูอวี้หนิง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสมุนไพรที่ถูกต้มไว้ตั้งแต่รุ่งเช้าโชยคลุ้งไปทั่ว เรื่องที่มีคนถูกหมาป่ากัดเมื่อคืนนี้เองก็รับรู้กันทั่วทั้งหมู่บ้าน“ได้ยินว่าเมื่อคืนมีคนถูกหมาป่ากัด!"“ใช่ ๆ ว่ากันว่าเลือดไหลแทบหมดตัว แต่ซูอวี้หนิงใช้วิธีแปลก ๆ เย็บแผลเอาไว้จนยังมีชีวิตอยู่” “เย็บแผล? ใช่หรือไม่ที่ว่ากันว่าเหมือนเอาเข็มร้อยผ้าของหญิงสาวมาใช้กับร่างคน!”“ข้าบอกแล้วว่านางเป็นหญิงบ้าคนหนึ่ง จะมาเป็นหมอได้อย่างไร?”เสียงซุบซิบเริ่มกระจายเป็นวงกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับคลื่นน้ำที่ซัดกระทบผนังไม้ไม่หยุดหย่อน ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงความสงสัย แต่ปนด้วยความกลัวและรังเกียจ“ได้ยินมาว่า นางเย็บเนื้อคนเข้าด้วยกันจริง ๆ!”“ข้าเห็นกับตาเมื่อคืน เลือดเต็มมือ เหมือนพวกวิปลาสเลยต่างหาก!”“หากวันหนึ่งนางถือมีดไปปาดคอผู้อื่น ใครจะรับผิดชอบ!”ซูอวี้หนิงและคนอื่น ๆ ไม่ได้รับรู้ข่าวลือที่แพร่กระจายออกไปเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเมื่อคืนกว่านางจะได้นอนก็เกือบรุ่งสางเสียแล้ว นางได้นอนพักสายตาชั่วครู่ ก็ตื่นขึ้นมาเพื่อดูอาการของผู้ป่วยก่อน แ
ตอนที่ 13ยามดึกคืนนั้น แสงจันทร์ข้างแรมสาดผ่านม่านไม้ไผ่เข้ามาในห้องพักของซูอวี้หนิง นางเพิ่งจะวางแผ่นไม้ไผ่ที่จดบันทึกตำราสมุนไพรลงบนโต๊ะ กำลังเตรียมจะดับตะเกียงเพื่อพักผ่อน ทว่าทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงโกลาหลดังมาจากลานด้านหน้าเสียงฝีเท้าหนักรีบร้อนดังขึ้นพร้อมเสียงของโจวจวงจื่อ“เสี่ยวซู! เร็วเข้า! มีคนเจ็บ ถูกหมาป่ากัด”ประตูไม้ถูกเคาะแรง ๆ สามครั้ง ซูอวี้หนิงรีบลุกขึ้นผลักประตูออกไป เห็นโจวจวงจื่อใบหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วยเหงื่อ ส่วนด้านหลัง โจวจื่อเฉียงกำลังประคองชายหนุ่มร่างใหญ่ที่แขนขวาถูกกัดจนเนื้อฉีก เห็นได้ชัดว่าถูกหมาป่าฉีกกระชาก เลือดสดไหลทะลักจนชุ่มเสื้อผ้าแต่แทนที่ซูอวี้หนิงจะตื่นตกใจ นางกลับใจเย็นอย่างที่สองพี่น้องโจวไม่เคยเห็นมาก่อน“พาเข้ามาในเรือนด้านหน้าก่อน แล้วให้ใครก็ได้ไปตามหมอหู!” เสียงนางเด็ดขาดโดยไม่ลังเล“ข้าให้คนไปตามแล้ว” โจวจื่อเฉียงที่หามคนเจ็บมากล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มไม่นาน หมอหูก็มาถึงด้านหน้าเรือนของซูอวี้หนิง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด แต่ทันทีที่เห็นบาดแผลที่แขนชายหนุ่ม เขาก็ขมวดคิ้วแน่น “บาดแผลลึกมาก หากเสียเลือดมากกว่านี้ เกรงว่าจะไม่รอดถึงรุ







