ตอนที่ 3
ลิฟต์เปิดออกพร้อมเสียงแจ้งเตือนแผ่วเบา ไฟในโถงชั้นที่ยี่สิบสามติดขึ้นทันทีที่เซ็นเซอร์จับการเคลื่อนไหวของเธอได้
ซูอวี้หนิงเดินไปยังประตูห้องหมายเลข 2307 มือข้างหนึ่งยกบัตรคีย์การ์ดแตะเข้ากับช่องสแกน ก่อนเสียงคลิกเบา ๆ จะดังขึ้นตามด้วยประตูที่ปลดล็อก
เมื่อก้าวเข้ามาในห้อง คอนโดแบบดูเพล็กซ์ขนาดกลางก็ปรากฏสู่สายตา ทุกอย่างยังคงสะอาดเรียบร้อยไร้ที่ติเหมือนทุกครั้งที่เธอกลับมา โต๊ะทำงานวางคอมพิวเตอร์พับฝาไว้เรียบร้อย โซฟาสีเทาเข้มตรงกลางห้องดูนิ่งเฉยพอ ๆ กับเจ้าของ
ซูอวี้หนิงวางกระเป๋าลงบนเคาน์เตอร์ครัว ถอนหายใจเบา ๆ แล้วเดินตรงไปเปิดผ้าม่านออก แสงไฟจากเมืองใหญ่เบื้องล่างส่องลอดเข้ามา ทำให้ห้องที่มืดสนิทกลับมีแสงสลัวปกคลุม
เธอยืนมองทิวทัศน์นั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปหยุดตรงชั้นหนังสือที่วางอยู่ริมผนัง หยิบกล่องไม้สีน้ำตาลเข้มขึ้นมา เปิดฝาอย่างระมัดระวัง ข้างในมีกล่องแหวนกำมะหยี่สีเงินวางอยู่
ซูอวี้หนิงเปิดฝากล่องนั้น แหวนแต่งงานวงเรียบที่ไม่มีการสลักชื่อใด ๆ สะท้อนแสงไฟจากภายนอก
เธอเคยมองแหวนวงนี้ด้วยสายตาอบอุ่นในวันแต่งงาน…แต่บัดนี้ มันก็เป็นเพียงของไร้ค่าอีกชิ้นหนึ่ง
หญิงสาวหยิบแหวนออกมา หมุนมันช้า ๆ ปลายนิ้วลูบไปตามผิวโลหะ ก่อนจะยิ้มบาง ๆ ให้กับตัวเอง รอยยิ้มที่ทั้งเศร้าและเด็ดขาดในคราวเดียว
จากนั้นเธอก็เดินไปยังลิ้นชักข้างเตียง หยิบซองเอกสารที่เตรียมไว้ล่วงหน้านานแล้ว
มันคือเอกสารหย่า...มีเพียงช่องลายเซ็นของเขาที่ยังว่างเปล่า
วันนี้ไม่ใช่การนอกใจครั้งแรกของเขา หลังจากแต่งงานไม่นาน เขาก็เริ่มที่จะมีกลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงคนอื่นติดตัวกลับมาด้วยเสมอ จากนั้นไม่นาน เธอก็เห็นว่าเขาเก็บหญิงสาวไว้มากมายอยู่ภายในที่ทำงาน ทำให้เธอเลือกที่จะห่างเหินกับอีกฝ่าย จนกระทั่งย้ายมาอยู่เพียงลำพังที่คอนโดแห่งนี้
“ทุกอย่างควรจะจบลงสักที” เธอกระซิบกับตัวเองเบา ๆ ขณะวางแหวนลงไปในซองเดียวกันนั้น แล้วปิดลิ้นชักอย่างแน่นหนา
ค่ำคืนนี้…เธอเลือกที่จะอยู่คนเดียว
ไร้เสียงของคนอื่น ไร้คำแก้ตัว ไร้การร้องขอให้ให้อภัย
เหลือเพียงแค่เธอกับความเงียบ
ทว่า…มันกลับเป็นความเงียบที่เธอควบคุมได้ และมันสงบ…กว่าที่เธอเคยรู้จักมาตลอดหลายปี
หลายวันต่อมา ซูอวี้หนิงยังคงใช้ชีวิตในแบบที่เธอคุ้นเคย ตื่นเช้า กินอาหารง่าย ๆ ก่อนตรงไปยังโรงพยาบาลอวี้เหอด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่มีร่องรอยของความเศร้าหรือสับสนใดให้จับต้องได้
เธอผ่าตัด เปลี่ยนเวร ตรวจคนไข้ ประชุมกับทีมแพทย์อย่างเป็นระบบไม่ขาดตกบกพร่อง หากจะมีอะไรเปลี่ยนไป ก็เป็นเพียงแววตาที่เย็นชากว่าเดิม และการที่เธอไม่กลับไปยังบ้านหลังนั้นอีกเลย
แม้แต่พยาบาลและเพื่อนร่วมงานบางคนที่เคยชินกับการเห็นเธอเก็บอารมณ์เงียบขรึม ยังรู้สึกได้ถึงกำแพงบางอย่างที่สูงขึ้นกว่าเดิม
ฉวีจิ้งไห่ปรากฏตัวที่โรงพยาบาลบ่อยครั้ง เขาไม่ได้ใช้ฐานะผู้บริหารในการเข้ามายุ่งเกี่ยวกับหน้าที่ของเธอโดยตรง แต่กลับเดินทางมารอเธอเงียบ ๆ หน้าห้องพักแพทย์ หรือบางครั้งก็ที่ล็อบบี้ชั้นสิบเจ็ด
“อวี้หนิง…เราแค่คุยกันหน่อยไม่ได้เหรอ?” เขาเอ่ยเบา ๆ ในวันหนึ่งที่เธอเพิ่งผ่าตัดเสร็จและเดินกลับมายังห้องทำงาน
หญิงสาวหยุดเท้าเพียงครู่เดียว ก่อนจะหันมองเขาด้วยสายตาที่สงบนิ่งเสียจนชายหนุ่มต้องเม้มปากแน่น
“ฉันส่งเอกสารให้คุณแล้ว รวมถึงสิ่งที่เคยเป็นของคุณ…” เสียงของเธอนุ่มลึกแต่หนักแน่น
“คุณไม่ต้องมาที่นี่อีก โรงพยาบาลแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ส่วนตัวของเรา มันคือพื้นที่ทำงานของฉัน และคุณควรให้เกียรติความเป็นมืออาชีพของฉันด้วย”
“แค่เซ็นมัน แล้วทุกอย่างจะจบลงโดยดี”
ฉวีจิ้งไห่นิ่งไป สีหน้าของเขาซับซ้อนระคนเจ็บปวด และโกรธเคืองในคราเดียว “เธอเย็นชาขนาดนี้เลยเหรอ อวี้หนิง?”
“ฉันแค่เรียนรู้ที่จะไม่ยึดติดอีกต่อไป” เธอตอบเรียบ ๆ ก่อนจะผลักประตูห้องพักแพทย์เข้าไป ปล่อยให้เขายืนอยู่อย่างเดียวดายตรงโถงทางเดิน
หลังจากนั้น เขาก็ยังพยายามตามหาเธออยู่บ้าง ส่งข้อความ โทรศัพท์ หรือฝากข้อความผ่านคนสนิท แต่ทั้งหมดล้วนไร้คำตอบกลับจากเธอ
“อาจารย์ซู คนไข้เตียงสิบสามอาการดีขึ้นมากแล้ว ญาติคนไข้ต้องการถามว่าจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่ค่ะ” พยาบาลผู้ช่วยของเธอเดินเข้ามารายงาน
ซูอวี้หนิงจำได้ว่า คนไข้เตียงที่สิบสามเป็นเด็กหญิงที่เธอผ่าตัดไปเมื่อไม่กี่วันก่อน หลังจากผ่าตัด อาการของเธอก็ดีขึ้นมากเรื่อย ๆ เนื่องจากคนไข้ยังเป็นเด็ก ทำให้ร่างกายฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว
“ฉันเข้าไปดูอาการของเธอหน่อยดีกว่า” เพราะวันนี้เธอไม่ได้มีประชุมวิชาการ ทำให้มีเวลาเหลืออีกมากกว่าจะเลิกงาน
ร่างระหงเดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยแผนกศัลยกรรมทรวงอก ภายในห้องพัก มีเตียงคนไข้อยู่ทั้งหมดสี่เตียง แต่ที่น่าแปลกคือห้องนี้ มีเพียงคนไข้เตียงที่สิบสามเท่านั้น ที่ยังเหลืออยู่ ส่วนเตียงที่เหลือตอนนี้ได้รับอนุญาตจากเธอให้กลับบ้านได้แล้ว
ซูอวี้หนิงที่เห็นเด็กหญิงในชุดคนไข้มองมาที่เธอ ทำให้ใบหน้าที่มักนิ่งเรียบของเธอตอนนี้ดูอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน
“วันนี้อาการเป็นอย่างไรบ้าง?” เธอสอบถามเด็กหญิงตรงหน้าด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แม้เธอจะรู้ดีว่าจะไม่ได้รับคำตอบจากอีกฝ่าย
ใช่…ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เด็กหญิงตรงหน้าไม่เคยเอ่ยปากพูดสิ่งใดเลยแม้แต่คำเดียว แม่ของเธอบอกว่าก่อนหน้านี้เด็กหญิงคนนี้จะเป็นคนช่างพูดอย่างมาก แต่ที่น่าแปลกคือเมื่อเธอฟื้นขึ้นมากลับนิ่งเงียบไม่ยอมพูดจา และมักจะเหม่อลอยเสมอ
“วันนี้แม่ของหนูไปไหนล่ะ?" ซูอวี้หนิงเปลี่ยนเรื่องพูดคุย
แต่เด็กหญิงตรงหน้าก็ยังคงจ้องมองมาที่เธอโดยไม่ละสายตา
“อวี้หนิง?”
ขณะที่ซูอวี้หนิงกำลังสำรวจสายน้ำเกลือให้อีกฝ่าย กลับได้ยินเสียงแหบเล็กดังขึ้น ซูอวี้หนิงก้มมองไปที่เด็กหญิง ที่กำลังมองหน้าเธออยู่ด้วยแววตาสับสนบางอย่าง แต่เมื่อผ่านไปมันก็กลับมามั่นคงอย่างรวดเร็ว
เมื่อครู่นี้เด็กหญิงพูดกับเธอ?
“ช่วยข้าได้หรือไม่?”
ซูอวี้หนิงที่ได้ยินว่าอีกฝ่ายยอมพูดแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ
“สาวน้อย เธอต้องการให้น้าช่วยอะไรอย่างนั้นหรอ? หรือเธอเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
“รับปากสิ” เด็กหญิงยังคงไม่ยอมบอก แต่กลับมองมาที่เธอด้วยสีหน้าจริงจัง แววตาของอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย
แต่ซูอวี้หนิงคิดว่าเด็กหญิงคงไม่ได้ขออะไรที่มากเกินไป ยกตัวอย่างเช่น การขอออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับไปรักษาที่บ้าน ซึ่งเป็นปกติที่เด็กหญิงวัยนี้ จะไม่ชอบบรรยากาศที่โรงพยาบาล
“ได้สิ ถ้าน้าทำได้ น้าก็จะรับปาก”
เด็กหญิงที่อยู่ในชุดคนไข้ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา พร้อมหยิบบางอย่างออกมาให้เธอ
ซูอวี้หนิงยื่นมือออกไปรับ ก่อนจะพบว่ามันคือปิ่นไม้แกะสลักธรรมดา ๆ เล่มหนึ่ง แต่ที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือ ปิ่นเล่มนี้ดูผ่านเรื่องราวมามากมายโดยที่เธอเอง ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เธอจึงคิดเช่นนั้นกัน
และในตอนนั้นเอง ภาพบางอย่างก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของเธออย่างรวดเร็ว ราวกับน้ำทะลักออกจากเขื่อน ภาพในหัวเหล่านั้นทำให้ซูอวี้หนิงเวียนหัวขึ้น ถึงขั้นต้องเอามือยกขึ้นกุมหัวของเธอเอาไว้ ราวกับว่าหากไม่ทำเช่นนั้นกระโหลกศีรษะของเธออาจแยกได้
“อ่าา” ซูอวี้หนิงครางออกมาด้วยความเจ็บปวด
ซูอวี้หนิงพยายามตั้งสติของเธอเอาไว้ ในตอนนั้นเองที่เธอสบตาเข้ากับเด็กหญิงที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงคนไข้ แต่เธอกลับเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอเกิดจากเด็กหญิงตรงหน้า
“เจ้าไม่ต้องห่วง แค่กลับไปในที่ที่เป็นของเจ้าเท่านั้น” เด็กหญิงที่นั่งมองเธออยู่กล่าวขึ้น
ร่างของซูอวี้หนิงทรุดลงไปกองอยู่ที่พื้นราวกับหุ่นไร้เรี่ยวแรง
ตุบ
ในขณะที่ซูอวี้หนิงใกล้จะหมดสติไปเต็มที่ เธอก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายรอบ ๆ ด้าน หนึ่งในเสียงนั้นคือเสียงพยาบาลผู้ช่วยของเธอเอง
ทุกอย่างดับวูบและมืดมิด รู้ตัวอีกทีเธอก็กลับมาอยู่ที่ที่หนึ่ง ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน เพราะทุกอย่างรอบข้างกลับมืดสนิท ไม่ว่าเธอจะเดินไปทางไหนก็ราวกับพื้นที่กว้างที่ว่างเปล่า
เธอไม่รู้ว่าเธอติดอยู่ในที่แห่งนี้นานแค่ไหน…
กรุ๊งกริ๊ง ๆ
เสียงบางอย่างดังขึ้นมาแผ่วเบาภายในความมืดมิด แต่ซูอวี้หนิงกลับรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังมาที่นี่ แม้เธอจะมองไม่เห็น
“นั่นใครน่ะ?” เธอพยายามมองไปที่ต้นเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่
“อยู่นี่เองสินะ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น
พรึ่บ
ทันทีที่เสียงนั้นกล่าวจบ แสงสว่างก็ปรากฏขึ้นในทิศทางหนึ่ง ทำให้ซูอวี้หนิงมองเห็นคนคนนั้นที่ก้าวเท้าเดินเข้ามาหาเธอ
แต่เธอกลับมองอีกฝ่ายได้ไม่ชัดเจนเพราะแสงที่ส่องมานั้นมันสว่างมากเกินไป
“ในที่สุดก็ได้พบกันเสียที…มาสิ ตามอาตมากลับไปกันเถอะ” เสียง ๆ นั้นดังขึ้น พร้อมกับหันหลังเดินไปในทิศทางที่แสงสว่างนั้นส่องมา
แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ซูอวี้หนิงกลับไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงตามอีกฝ่ายไปเท่านั้น
“พวกเราจะไปที่ไหน?” ซูอวี้หนิงที่เดินตามอีกฝ่ายอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
“เมื่อถึงเวลาเจ้าก็จะรู้เอง”
ว้าบบ
แสงสีขาวดูดกลืนร่างกายของทั้งสองทันที โลกที่มืดมิดแห่งนี้กลับมืดมิดอีกครั้งอย่างที่มันเคยเป็นมาตั้งแต่ต้น
………………….