Share

บทที่ 4

Author: SnailW
last update Last Updated: 2025-10-30 17:14:23

ตอนที่ 3

ลิฟต์เปิดออกพร้อมเสียงแจ้งเตือนแผ่วเบา ไฟในโถงชั้นที่ยี่สิบสามติดขึ้นทันทีที่เซ็นเซอร์จับการเคลื่อนไหวของเธอได้

ซูอวี้หนิงเดินไปยังประตูห้องหมายเลข 2307 มือข้างหนึ่งยกบัตรคีย์การ์ดแตะเข้ากับช่องสแกน ก่อนเสียงคลิกเบา ๆ จะดังขึ้นตามด้วยประตูที่ปลดล็อก

เมื่อก้าวเข้ามาในห้อง คอนโดแบบดูเพล็กซ์ขนาดกลางก็ปรากฏสู่สายตา ทุกอย่างยังคงสะอาดเรียบร้อยไร้ที่ติเหมือนทุกครั้งที่เธอกลับมา โต๊ะทำงานวางคอมพิวเตอร์พับฝาไว้เรียบร้อย โซฟาสีเทาเข้มตรงกลางห้องดูนิ่งเฉยพอ ๆ กับเจ้าของ

ซูอวี้หนิงวางกระเป๋าลงบนเคาน์เตอร์ครัว ถอนหายใจเบา ๆ แล้วเดินตรงไปเปิดผ้าม่านออก แสงไฟจากเมืองใหญ่เบื้องล่างส่องลอดเข้ามา ทำให้ห้องที่มืดสนิทกลับมีแสงสลัวปกคลุม

เธอยืนมองทิวทัศน์นั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปหยุดตรงชั้นหนังสือที่วางอยู่ริมผนัง หยิบกล่องไม้สีน้ำตาลเข้มขึ้นมา เปิดฝาอย่างระมัดระวัง ข้างในมีกล่องแหวนกำมะหยี่สีเงินวางอยู่

ซูอวี้หนิงเปิดฝากล่องนั้น แหวนแต่งงานวงเรียบที่ไม่มีการสลักชื่อใด ๆ สะท้อนแสงไฟจากภายนอก

เธอเคยมองแหวนวงนี้ด้วยสายตาอบอุ่นในวันแต่งงาน…แต่บัดนี้ มันก็เป็นเพียงของไร้ค่าอีกชิ้นหนึ่ง

หญิงสาวหยิบแหวนออกมา หมุนมันช้า ๆ ปลายนิ้วลูบไปตามผิวโลหะ ก่อนจะยิ้มบาง ๆ ให้กับตัวเอง รอยยิ้มที่ทั้งเศร้าและเด็ดขาดในคราวเดียว

จากนั้นเธอก็เดินไปยังลิ้นชักข้างเตียง หยิบซองเอกสารที่เตรียมไว้ล่วงหน้านานแล้ว

มันคือเอกสารหย่า...มีเพียงช่องลายเซ็นของเขาที่ยังว่างเปล่า

วันนี้ไม่ใช่การนอกใจครั้งแรกของเขา หลังจากแต่งงานไม่นาน เขาก็เริ่มที่จะมีกลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงคนอื่นติดตัวกลับมาด้วยเสมอ จากนั้นไม่นาน เธอก็เห็นว่าเขาเก็บหญิงสาวไว้มากมายอยู่ภายในที่ทำงาน ทำให้เธอเลือกที่จะห่างเหินกับอีกฝ่าย จนกระทั่งย้ายมาอยู่เพียงลำพังที่คอนโดแห่งนี้

“ทุกอย่างควรจะจบลงสักที” เธอกระซิบกับตัวเองเบา ๆ ขณะวางแหวนลงไปในซองเดียวกันนั้น แล้วปิดลิ้นชักอย่างแน่นหนา

ค่ำคืนนี้…เธอเลือกที่จะอยู่คนเดียว

ไร้เสียงของคนอื่น ไร้คำแก้ตัว ไร้การร้องขอให้ให้อภัย

เหลือเพียงแค่เธอกับความเงียบ

ทว่า…มันกลับเป็นความเงียบที่เธอควบคุมได้ และมันสงบ…กว่าที่เธอเคยรู้จักมาตลอดหลายปี

หลายวันต่อมา ซูอวี้หนิงยังคงใช้ชีวิตในแบบที่เธอคุ้นเคย ตื่นเช้า กินอาหารง่าย ๆ ก่อนตรงไปยังโรงพยาบาลอวี้เหอด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่มีร่องรอยของความเศร้าหรือสับสนใดให้จับต้องได้

เธอผ่าตัด เปลี่ยนเวร ตรวจคนไข้ ประชุมกับทีมแพทย์อย่างเป็นระบบไม่ขาดตกบกพร่อง หากจะมีอะไรเปลี่ยนไป ก็เป็นเพียงแววตาที่เย็นชากว่าเดิม และการที่เธอไม่กลับไปยังบ้านหลังนั้นอีกเลย

แม้แต่พยาบาลและเพื่อนร่วมงานบางคนที่เคยชินกับการเห็นเธอเก็บอารมณ์เงียบขรึม ยังรู้สึกได้ถึงกำแพงบางอย่างที่สูงขึ้นกว่าเดิม

ฉวีจิ้งไห่ปรากฏตัวที่โรงพยาบาลบ่อยครั้ง เขาไม่ได้ใช้ฐานะผู้บริหารในการเข้ามายุ่งเกี่ยวกับหน้าที่ของเธอโดยตรง แต่กลับเดินทางมารอเธอเงียบ ๆ หน้าห้องพักแพทย์ หรือบางครั้งก็ที่ล็อบบี้ชั้นสิบเจ็ด

“อวี้หนิง…เราแค่คุยกันหน่อยไม่ได้เหรอ?” เขาเอ่ยเบา ๆ ในวันหนึ่งที่เธอเพิ่งผ่าตัดเสร็จและเดินกลับมายังห้องทำงาน

หญิงสาวหยุดเท้าเพียงครู่เดียว ก่อนจะหันมองเขาด้วยสายตาที่สงบนิ่งเสียจนชายหนุ่มต้องเม้มปากแน่น

“ฉันส่งเอกสารให้คุณแล้ว รวมถึงสิ่งที่เคยเป็นของคุณ…” เสียงของเธอนุ่มลึกแต่หนักแน่น

“คุณไม่ต้องมาที่นี่อีก โรงพยาบาลแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ส่วนตัวของเรา มันคือพื้นที่ทำงานของฉัน และคุณควรให้เกียรติความเป็นมืออาชีพของฉันด้วย”

“แค่เซ็นมัน แล้วทุกอย่างจะจบลงโดยดี”

ฉวีจิ้งไห่นิ่งไป สีหน้าของเขาซับซ้อนระคนเจ็บปวด และโกรธเคืองในคราเดียว “เธอเย็นชาขนาดนี้เลยเหรอ อวี้หนิง?”

“ฉันแค่เรียนรู้ที่จะไม่ยึดติดอีกต่อไป” เธอตอบเรียบ ๆ ก่อนจะผลักประตูห้องพักแพทย์เข้าไป ปล่อยให้เขายืนอยู่อย่างเดียวดายตรงโถงทางเดิน

หลังจากนั้น เขาก็ยังพยายามตามหาเธออยู่บ้าง ส่งข้อความ โทรศัพท์ หรือฝากข้อความผ่านคนสนิท แต่ทั้งหมดล้วนไร้คำตอบกลับจากเธอ

“อาจารย์ซู คนไข้เตียงสิบสามอาการดีขึ้นมากแล้ว ญาติคนไข้ต้องการถามว่าจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่ค่ะ” พยาบาลผู้ช่วยของเธอเดินเข้ามารายงาน

ซูอวี้หนิงจำได้ว่า คนไข้เตียงที่สิบสามเป็นเด็กหญิงที่เธอผ่าตัดไปเมื่อไม่กี่วันก่อน หลังจากผ่าตัด อาการของเธอก็ดีขึ้นมากเรื่อย ๆ เนื่องจากคนไข้ยังเป็นเด็ก ทำให้ร่างกายฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว

“ฉันเข้าไปดูอาการของเธอหน่อยดีกว่า” เพราะวันนี้เธอไม่ได้มีประชุมวิชาการ ทำให้มีเวลาเหลืออีกมากกว่าจะเลิกงาน

ร่างระหงเดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยแผนกศัลยกรรมทรวงอก ภายในห้องพัก มีเตียงคนไข้อยู่ทั้งหมดสี่เตียง แต่ที่น่าแปลกคือห้องนี้ มีเพียงคนไข้เตียงที่สิบสามเท่านั้น ที่ยังเหลืออยู่ ส่วนเตียงที่เหลือตอนนี้ได้รับอนุญาตจากเธอให้กลับบ้านได้แล้ว

ซูอวี้หนิงที่เห็นเด็กหญิงในชุดคนไข้มองมาที่เธอ ทำให้ใบหน้าที่มักนิ่งเรียบของเธอตอนนี้ดูอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน

“วันนี้อาการเป็นอย่างไรบ้าง?” เธอสอบถามเด็กหญิงตรงหน้าด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แม้เธอจะรู้ดีว่าจะไม่ได้รับคำตอบจากอีกฝ่าย

ใช่…ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เด็กหญิงตรงหน้าไม่เคยเอ่ยปากพูดสิ่งใดเลยแม้แต่คำเดียว แม่ของเธอบอกว่าก่อนหน้านี้เด็กหญิงคนนี้จะเป็นคนช่างพูดอย่างมาก แต่ที่น่าแปลกคือเมื่อเธอฟื้นขึ้นมากลับนิ่งเงียบไม่ยอมพูดจา และมักจะเหม่อลอยเสมอ

“วันนี้แม่ของหนูไปไหนล่ะ?" ซูอวี้หนิงเปลี่ยนเรื่องพูดคุย

แต่เด็กหญิงตรงหน้าก็ยังคงจ้องมองมาที่เธอโดยไม่ละสายตา

“อวี้หนิง?”

ขณะที่ซูอวี้หนิงกำลังสำรวจสายน้ำเกลือให้อีกฝ่าย กลับได้ยินเสียงแหบเล็กดังขึ้น ซูอวี้หนิงก้มมองไปที่เด็กหญิง ที่กำลังมองหน้าเธออยู่ด้วยแววตาสับสนบางอย่าง แต่เมื่อผ่านไปมันก็กลับมามั่นคงอย่างรวดเร็ว

เมื่อครู่นี้เด็กหญิงพูดกับเธอ?

“ช่วยข้าได้หรือไม่?”

ซูอวี้หนิงที่ได้ยินว่าอีกฝ่ายยอมพูดแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ

“สาวน้อย เธอต้องการให้น้าช่วยอะไรอย่างนั้นหรอ? หรือเธอเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”

“รับปากสิ” เด็กหญิงยังคงไม่ยอมบอก แต่กลับมองมาที่เธอด้วยสีหน้าจริงจัง แววตาของอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย

แต่ซูอวี้หนิงคิดว่าเด็กหญิงคงไม่ได้ขออะไรที่มากเกินไป ยกตัวอย่างเช่น การขอออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับไปรักษาที่บ้าน ซึ่งเป็นปกติที่เด็กหญิงวัยนี้ จะไม่ชอบบรรยากาศที่โรงพยาบาล

“ได้สิ ถ้าน้าทำได้ น้าก็จะรับปาก”

เด็กหญิงที่อยู่ในชุดคนไข้ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา พร้อมหยิบบางอย่างออกมาให้เธอ

ซูอวี้หนิงยื่นมือออกไปรับ ก่อนจะพบว่ามันคือปิ่นไม้แกะสลักธรรมดา ๆ เล่มหนึ่ง แต่ที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือ ปิ่นเล่มนี้ดูผ่านเรื่องราวมามากมายโดยที่เธอเอง ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เธอจึงคิดเช่นนั้นกัน

และในตอนนั้นเอง ภาพบางอย่างก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของเธออย่างรวดเร็ว ราวกับน้ำทะลักออกจากเขื่อน ภาพในหัวเหล่านั้นทำให้ซูอวี้หนิงเวียนหัวขึ้น ถึงขั้นต้องเอามือยกขึ้นกุมหัวของเธอเอาไว้ ราวกับว่าหากไม่ทำเช่นนั้นกระโหลกศีรษะของเธออาจแยกได้

“อ่าา” ซูอวี้หนิงครางออกมาด้วยความเจ็บปวด

ซูอวี้หนิงพยายามตั้งสติของเธอเอาไว้ ในตอนนั้นเองที่เธอสบตาเข้ากับเด็กหญิงที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงคนไข้ แต่เธอกลับเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอเกิดจากเด็กหญิงตรงหน้า

“เจ้าไม่ต้องห่วง แค่กลับไปในที่ที่เป็นของเจ้าเท่านั้น” เด็กหญิงที่นั่งมองเธออยู่กล่าวขึ้น

ร่างของซูอวี้หนิงทรุดลงไปกองอยู่ที่พื้นราวกับหุ่นไร้เรี่ยวแรง

ตุบ

ในขณะที่ซูอวี้หนิงใกล้จะหมดสติไปเต็มที่ เธอก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายรอบ ๆ ด้าน หนึ่งในเสียงนั้นคือเสียงพยาบาลผู้ช่วยของเธอเอง

ทุกอย่างดับวูบและมืดมิด รู้ตัวอีกทีเธอก็กลับมาอยู่ที่ที่หนึ่ง ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน เพราะทุกอย่างรอบข้างกลับมืดสนิท ไม่ว่าเธอจะเดินไปทางไหนก็ราวกับพื้นที่กว้างที่ว่างเปล่า

เธอไม่รู้ว่าเธอติดอยู่ในที่แห่งนี้นานแค่ไหน…

กรุ๊งกริ๊ง ๆ

เสียงบางอย่างดังขึ้นมาแผ่วเบาภายในความมืดมิด แต่ซูอวี้หนิงกลับรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังมาที่นี่ แม้เธอจะมองไม่เห็น

“นั่นใครน่ะ?” เธอพยายามมองไปที่ต้นเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่

“อยู่นี่เองสินะ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น

พรึ่บ

ทันทีที่เสียงนั้นกล่าวจบ แสงสว่างก็ปรากฏขึ้นในทิศทางหนึ่ง ทำให้ซูอวี้หนิงมองเห็นคนคนนั้นที่ก้าวเท้าเดินเข้ามาหาเธอ

แต่เธอกลับมองอีกฝ่ายได้ไม่ชัดเจนเพราะแสงที่ส่องมานั้นมันสว่างมากเกินไป

“ในที่สุดก็ได้พบกันเสียที…มาสิ ตามอาตมากลับไปกันเถอะ” เสียง ๆ นั้นดังขึ้น พร้อมกับหันหลังเดินไปในทิศทางที่แสงสว่างนั้นส่องมา

แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ซูอวี้หนิงกลับไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงตามอีกฝ่ายไปเท่านั้น

“พวกเราจะไปที่ไหน?” ซูอวี้หนิงที่เดินตามอีกฝ่ายอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น

“เมื่อถึงเวลาเจ้าก็จะรู้เอง”

ว้าบบ

แสงสีขาวดูดกลืนร่างกายของทั้งสองทันที โลกที่มืดมิดแห่งนี้กลับมืดมิดอีกครั้งอย่างที่มันเคยเป็นมาตั้งแต่ต้น

………………….

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ฮูหยินวิปลาส.   บทที่ 40

    ตอนที่ 26แสงเช้าสีทองอ่อนลอดผ่านช่องหน้าต่างไม้เข้ามาเป็นเส้นบาง ๆ ส่องลงบนผ้าปูสีแดงที่ยังคงยับย่นจากการเคลื่อนไหวเมื่อคืน ความอบอุ่นในอากาศช่างแตกต่างจากความร้อนพลุ่งพล่านของคืนวานราวฟ้ากับดินซูอวี้หนิงรู้สึกได้ถึงกลิ่นอ่อน ๆ ของไม้หอมและลมหายใจสม่ำเสมอคลออยู่ข้างหู นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้นด้วยความงั

  • ฮูหยินวิปลาส.   บทที่ 39

    เขาเดินมาหยุดหน้าฉากแม้จะไม่ก้าวล้ำเข้าไป แต่เพียงยืนใกล้ ๆ ก็ทำให้ซูอวี้หนิงรู้สึกถึงลมหายใจที่มั่นคงของเขา“เมื่อกี้ดื่มสุราเพียงนิดเดียว ไม่น่าทำให้เป็นแบบนี้”เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนเอ่ยเสียงจริงจัง “ออกมาหาข้าหน่อย”ซูอวี้หนิงพยายามลุกขึ้น แต่ขากลับอ่อนแรงจนลุกได้ช้ากว่าปกติ ทว่าก็ยังคงยืนขึ้นแล

  • ฮูหยินวิปลาส.   บทที่ 38

    ตอนที่ 25ยามค่ำคืนแห่งวันมงคลยามสนธยาค่อย ๆ คลี่คลุมหมู่บ้านเล็ก ๆ แสงสีส้มของดวงอาทิตย์สุดท้ายลาลับหลังแนวภูเขา ทิ้งความอบอุ่นไว้ก่อนที่ความมืดจะเข้ามาแทนที่ ชาวบ้านที่ยังคงนั่งพูดคุยกันอยู่ใต้โคมไฟแดงต่างทยอยลุกขึ้นกลับบ้าน เสียงหัวเราะค่อย ๆ เบาลง เหลือเพียงลมค่ำพัดเอื่อยและแสงโคมแดงที่ไหวระริก

  • ฮูหยินวิปลาส.   บทที่ 37

    โจวซื่ออมยิ้มพลางจัดชายแขนเสื้อให้เธออีกครั้ง“เจ้าบ่าวมาถึงแล้วล่ะเสี่ยวซู เจ้าต้องนั่งสงบ ๆ นะ อย่าลุกลี้ลุกลน…เจ้าสวยอยู่แล้ว”โจวจวงจื่อหัวเราะเบา ๆ “ข้าจะออกไปดูหน้าเจ้าบ่าวให้ก่อนว่าทำหน้าเหมือนคนพร้อมแต่งหรือไม่”ด้านนอก โจวซื่อเปิดประตูเรือนเล็กน้อยแล้วโผล่หน้าออกไป เห็นเฟิ่งอวี่เซียนยืนอยู่

  • ฮูหยินวิปลาส.   บทที่ 36

    ตอนที่ 24ในที่สุดวันงานมงคลก็มาถึงแสงอรุณแรกของวันมงคลสาดลอดผ่านหมอกบางเหนือยอดไม้ของหมู่บ้านเล็ก ๆ เสียงไก่ขันแผ่วเบาและกลิ่นควันไฟจากครัวเรือนที่เริ่มตื่นเช้าคละเคล้ากันไปทั่ว บรรยากาศของวันทั้งวันเหมือนถูกห่อหุ้มด้วยความอบอุ่นอ่อน ๆบ้านของตระกูลโจวที่ปกติเรียบง่าย กลับมีสีแดงสดแต่งแต้มประปรายไ

  • ฮูหยินวิปลาส.   บทที่ 35

    ตอนนี้ภายในบ้านมีเพียงเขาคนเดียว เนื่องจากอีกสองวันจะถึงวันมงคล ครอบครัวโจวได้ให้ซูอวี้หนิงไปพักอยู่ที่บ้านของพวกเขา เพื่อทำตามธรรมเนียมปฏิบัติ เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นตรงนอกประตู ก่อนที่เงาร่างหนึ่งจะค่อย ๆ คุกเข่าลง“ท่านแม่ทัพ”เฟิ่งอวี่เซียนไม่ได้หันมอง แต่เอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบเฉียบ“รายงาน

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status