ตอนที่ 4
เสียงลมพัดหวิวผ่านต้นไม้ใหญ่ริมทุ่งหญ้า กลิ่นดินเปียกชื้นแทรกมากับไอหมอกบางยามเช้า แสงแดดอ่อน ๆ สาดผ่านใบไม้ลงมากระทบกับหลังคากระเบื้องดินเผาของบ้านหลังเล็กในชนบท
เสียงไก่ขันแว่วมาแต่ไกล ตามด้วยเสียงหมาเห่า และเสียงน้ำไหลจากรางไม้ที่พาดออกจากโอ่ง
ภายในห้องนอนขนาดเล็ก ผ้าห่มผืนบางปกคลุมร่างหญิงสาวคนหนึ่งที่นอนนิ่งอยู่บนฟูกเก่าที่ปูบนเสื่อทอมือ ข้างเตียงมีถ้วยน้ำวางอยู่ และสมุนไพรตากแห้งห้อยระโยงระยางอยู่เหนือหัวเตียง
หญิงวัยกลางคนผิวกร้านในชุดผ้าฝ้ายเก่าขาดแต่สะอาด เดินเข้ามาด้วยท่าทางเป็นห่วง เธอถือชามข้าวต้มอุ่น ๆ ไว้ในมือ มองดูหญิงสาวที่ยังไม่ตื่นด้วยสายตาเวทนาอีกฝ่าย
“ท่านแม่” เสียงเรียกของหญิงสาวนางหนึ่งที่เดินมาจากทางด้านหลังดังขึ้น ก่อนจะเดินเข้ามาด้วยท่าทางเป็นห่วงสตรีที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงเช่นกัน
“นางไม่ได้สติมาสามวันแล้ว พวกเราพานางไปที่ในเมืองให้ท่านหมอตรวจดูอีกรอบดีหรือไม่?”
หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ด้านข้างเตียง มองหน้าบุตรสาวสลับกับหญิงสาวที่นอนอยู่ด้วยสีหน้าลำบากใจ
“หากวันนี้นางยังไม่ฟื้นอีก พรุ่งนี้เราค่อยให้พี่ชายเจ้าพานางไปก็แล้วกัน”
แม้เด็กสาวที่นอนอยู่จะไม่ใช่คนในครอบครัวของนาง แต่มารดาที่ล่วงลับไปของอีกฝ่ายกลับมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อครอบครัวนางเป็นอย่างยิ่ง
แต่เมื่อนึกถึงคนที่ทำให้เด็กสาวต้องเป็นเช่นนี้ นางก็อดที่จะโมโหขึ้นไม่ได้
“ครั้งนี้เจ้าซานโก่วทำเกินไปแล้ว ถึงกับกลั่นแกล้งกันถึงตายเช่นนี้”
โจวจวงจื่อที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย
“เดิมทีการที่นางเป็นเช่นนี้ก็น่าสงสารพออยู่แล้ว”
ทั้งสองคนต่างถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาพร้อมมองหญิงสาวด้วยสายตาที่เวทนาอีกครั้ง
“อาา…” เสียงครางแผ่วเบาดังขึ้นมา พร้อมกับเปลือกตาของสตรีที่นอนไม่ได้สติขยับเล็กน้อย สีหน้าของนางคล้ายกำลังทรมาน
โจวซื่อ*ที่เห็นเช่นนั้นก็เบิกตากว้างทันที พร้อมกับรีบเข้ามาดูนางอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่าคนที่กำลังนอนอยู่กำลังจะได้สติขึ้นมาแล้ว
หญิงสาวค่อย ๆ ขมวดคิ้วแน่น ดวงตาที่ปิดสนิทอยู่เริ่มสั่นไหวคล้ายต่อสู้กับความฝันอันเลือนราง เสียงหายใจแผ่วเบาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นลมหายใจถี่รัว ก่อนที่เปลือกตาจะค่อย ๆ เปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า
แสงแดดอ่อนยามเช้าสะท้อนเข้าดวงตา ทำให้เธอต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย เสียงน้ำในรางไม้ยังคงไหลอย่างสม่ำเสมอ กลิ่นสมุนไพรแห้งที่แขวนอยู่เหนือหัวเตียงลอยมาแตะจมูกทีละน้อย ท่ามกลางความพร่าเลือน หญิงสาวกะพริบตาถี่ ๆ ก่อนจะค่อย ๆ กลอกตามองไปรอบห้อง
“เสี่ยวซู! เสี่ยวซู?” โจวซื่อเอ่ยถามเสียงตื่นตระหนก มือกร้านของนางจับมือของสตรีผู้นอนป่วยแน่น
หญิงสาวกะพริบตาอีกครั้ง คราวนี้นางพยายามจะขยับริมฝีปาก แต่มีเพียงเสียงแหบพร่าไร้ถ้อยคำเล็ดรอดออกมา
โจวจวงจื่อที่ยืนอยู่อีกด้านรีบหยิบถ้วยน้ำที่วางข้างเตียงแล้วยื่นให้ “เจ้าดื่มน้ำก่อนนะ ช้า ๆ ไม่ต้องรีบ”
หญิงสาวเบือนหน้าช้า ๆ ไปทางต้นเสียง พยายามตั้งสติรับรู้ว่ามีใครอยู่รอบกาย ก่อนจะยกมือขึ้นรับถ้วยน้ำจากอีกฝ่าย มือของเธอสั่นจนโจวจวงจื่อต้องช่วยประคอง
เมื่อจิบน้ำลงคอได้เล็กน้อย ใบหน้าซีดเซียวก็เริ่มมีสีเลือดจาง ๆ กลับคืนมา หญิงสาวมองสองแม่ลูกสลับกันไปมา ความงุนงงและความระแวดระวังฉายชัดในแววตา
ไม่ว่าจะเป็นของที่อยู่รอบ ๆ หรือแม้แต่คนที่อยู่ตรงหน้าของเธอสองคน ซูอวี้หนิงกลับไม่คุ้นเคยทั้งคู่
“…ที่นี่…ที่ไหน…” เสียงแผ่วเบาราวกระซิบเล็ดรอดออกมาในที่สุด
แต่แทนที่คนทั้งสองจะตอบคำถามของนาง กลับกลายเป็นสีหน้าตกใจราวกับเห็นเรื่องที่คาดไม่ถึง โดยเฉพาะโจวซื่อ นางถึงกับยกมือขึ้นทาบอก
เพล้ง
ชามใส่น้ำในมือของโจวจวงจื่อเองก็ร่วงลงพื้นด้วยความตกใจเช่นกัน
ซูอวี้หนิงมองหน้าทั้งสอง ในตอนนั้นเองนางก็รู้สึกว่าคุ้นหน้าของทั้งสองอยู่บ้าง แต่อาจเป็นเพราะตอนนี้นางปวดหัวอยู่ ทำให้นางใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้
ป้าโจว โจวจวงจื่อ
ชื่อของทั้งสองคนปรากฏขึ้นในหัวของนาง ภาพเหตุการณ์บางอย่างปรากฏขึ้นอย่างเลือนรางภายในความทรงจำของใครคนหนึ่ง ซึ่งนางมั่นใจว่ามันไม่ใช่ความทรงจำของนางแน่นอน
“สะ เสี่ยวซู” โจวซื่อเรียกเด็กสาวที่นอนอยู่บนเตียง คล้ายว่าตนเองพึ่งค้นพบเสียงของตนเองได้ หลังจากผ่านความตกใจมาครู่หนึ่ง
ซูอวี้หนิงเงียบ ไม่ได้ตอบกลับอีกฝ่าย
โจวซื่อเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตอบกลับ นางจึงลุกขึ้น ก่อนดึงมือของบุตรสาวไปที่ด้านหน้าห้อง พร้อมกับสั่งการ
“เจ้าไปบอกพี่ชายของเจ้า ไปที่หมู่บ้านข้าง ๆ ตามท่านหมอหูมา” โจวซื่อบอกกับบุตรสาวด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก
“ท่านแม่…เสี่ยวซูนางจะไม่มีปัญหาใช่หรือไม่?” โจวจวงจื่อถามมารดาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน
“อย่าพึ่งพูดตอนนี้ ไปตามท่านหมอมาที่นี่ก่อน”
โจวจวงจื่อพยักหน้ารับ ก่อนจะรีบวิ่งไปที่ทุ่งนาไม่ไกลจากบ้านของตนเอง เพื่อไปตามหาพี่ชายของนาง
โจวซื่อมองตามหลังบุตรสาวไป ก่อนจะถอนหายใจออกมา พร้อมกับมองไปที่เตียงด้านในห้องด้วยความประหลาดใจ
นางมองแววตาของซูอวี้หนิงที่เต็มไปด้วยความสับสนและระแวดระวัง แล้วยิ่งรู้สึกผิดแปลกไปจากเดิม เด็กสาวคนนี้ไม่เคยจ้องมองผู้ใดตรง ๆ แบบนั้นมาก่อน และไม่เคยเป็นฝ่ายพูดถามอะไรเลยสักครั้ง
แม้จะใช้ชื่อว่า “เสี่ยวซู” ร่วมอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ นี้มาตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่นางกลับเป็นเด็กที่ไม่เหมือนใคร
ตั้งแต่มารดาของนางเสียไปเมื่อสามปีก่อน เสี่ยวซูก็ยิ่งเงียบขรึมลงไปทุกที มิใช่เพียงไม่พูดจา หากแต่ไม่เคยส่งเสียงใด ๆ ออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ต่อให้บาดเจ็บจนเลือดไหล นางก็ยังคงเงียบงัน ราวกับโลกนี้ไม่มีสิ่งใดควรค่าแก่การตอบสนอง
ผู้คนในหมู่บ้านต่างก็เรียกขานกันอย่างแผ่วเบาว่า “วิปลาส” บ้างก็ว่า “อาภัพ” บ้างก็ว่า “ปีศาจไร้เสียง”
แม้ตัวนางและลูกสาวจะสงสารและให้ความเอ็นดูเสี่ยวซูอยู่เสมอ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า…เสี่ยวซูไม่เหมือนคนทั่วไปจริง ๆ
วันทั้งวันนางมักเอาแต่นั่งเหม่อมองออกไปทางลำห้วย หรือนั่งเขียนลวดลายแปลกประหลาดลงบนพื้นดินหน้าบ้าน เมื่อถามไถ่ก็ไม่ตอบ บางครั้งจ้องตาใครนานเกินไปจนคนรอบข้างรู้สึกขนลุก
จนกระทั่งเมื่อสามวันก่อนที่นางถูกซานโก่วกลั่นแกล้งอย่างรุนแรง ผลักตกเนินดินจนศีรษะกระแทกกับหินและหมดสติไป คนในหมู่บ้านก็พากันลือว่าบางทีนี่อาจเป็นผลกรรมจากความ “ผิดปกติ” ของนางเอง
แต่ตอนนี้...หญิงสาวที่นอนอยู่ตรงหน้ากลับเอ่ยถามว่า “ที่นี่ที่ไหน” อย่างชัดถ้อยชัดคำ!
ไม่เพียงน้ำเสียงที่ฟังดูแปลกไป หากแต่ยังเต็มไปด้วยสติและความฉลาดเฉียบแหลมที่ไม่เคยปรากฏในตัวเสี่ยวซูมาก่อน
โจวซื่อขมวดคิ้วแน่น มองซูอวี้หนิงด้วยความไม่แน่ใจ ไม่ใช่ความกลัว…แต่เป็นความสงสัยลึก ๆ ในใจ
หรือว่า...เด็กคนนี้จะไม่ใช่เสี่ยวซูคนเดิมอีกต่อไปแล้ว?
ราวกับรับรู้ได้ถึงสายตาเหล่านั้น ซูอวี้หนิงเหลือบตามองหญิงวัยกลางคนตรงหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเบือนหน้ากลับไปด้านข้าง ปล่อยให้ม่านตาทอดยาวไปยังรอยแตกร้าวบนผนังดิน
แม้ภายในใจจะคลาคล่ำไปด้วยคำถาม แต่เธอกลับไม่ปริปากใด ๆ ออกไปอีก
ซูอวี้หนิงกะพริบตาช้า ๆ หนึ่งครั้ง ก่อนหลับตาลงอีกครั้ง
"เสี่ยวซู"...ความทรงจำที่ไม่ใช่ของเธอ…
หรือว่าเธอ...กำลังติดอยู่ในร่างของคนอื่น?
เสียงฝีเท้าดังขึ้นใกล้ประตูบ้านไม้เก่า ก่อนที่บานประตูจะถูกผลักออกพร้อมกับเสียงหอบหายใจของหญิงสาวผู้วิ่งนำมา
“ท่านแม่! ข้า…ข้าพาท่านหมอหูกับพี่จื่อเฉียงมาด้วยแล้ว!”
โจวซื่อหันกลับไปทันทีเมื่อได้ยินเสียงของโจวจวงจื่อ แล้วจึงรีบลุกขึ้นต้อนรับชายชราร่างผอมในชุดผ้าสีเทาหม่นที่เดินตามเข้ามา พร้อมไม้เท้าซึ่งเจ้าตัวใช้ยันกาย แม้จะดูอายุมากแล้ว แต่ดวงตาของเขายังเฉียบคม
“ท่านหมอหู ลำบากท่านแล้วจริง ๆ” โจวซื่อกล่าวพลางโค้งตัวลงอย่างมีมารยาท
“ไม่เป็นไร ข้าเองก็อยากดูนางด้วยตา ข้าจำได้ว่าเสี่ยวซูไม่ค่อยพูดจา คราวนี้ที่ได้ยินว่า ‘เอ่ยปากถาม’ ก็อดไม่ได้จริง ๆ” หมอหูตอบกลับเสียงเรียบ ก่อนจะย่อตัวนั่งลงข้างเตียง
โจวจื่อเฉียง ชายหนุ่มในวัยยี่สิบต้น ๆ สะพายตะกร้าฟืนไว้บนหลัง เดินตามเข้ามาเงียบ ๆ ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เขาก้าวมายืนข้างน้องสาว มองซูอวี้หนิงที่นอนอยู่บนเตียงด้วยแววตาซับซ้อน
หมอหูเริ่มตรวจชีพจรด้วยท่าทางที่คล่องแคล่ว เขาจับข้อมือของซูอวี้หนิงเบา ๆ นิ้วเรียวยาวกดอยู่ตรงจุดสำคัญเป็นจังหวะ
ซูอวี้หนิงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของนางนิ่งเฉยแต่ลึกซึ้งเกินวัย ราวกับมองผ่านการวินิจฉัยของหมอหูออกหมดจด
“ชีพจร…ไม่ได้สับสน” หมอหูขมวดคิ้วเล็กน้อย อ่อนแอก็จริง แต่นิ่งและมั่นคงผิดปกติ…ราวกับคนที่จิตตั้งมั่นกว่าทุกครั้งที่เขามาจับชีพจรของนาง
หรือการที่นางได้รับบาดเจ็บในครั้งนี้ จะทำให้นางกลับมาเป็นเด็กสาวปกติอีกครั้ง?
“หมายความว่าอย่างไรหรือ ท่านหมอ?” โจวจื่อเฉียงถามขึ้นในที่สุด
หมอหูวางมือของซูอวี้หนิงไว้ตามเดิม ก่อนจะลุกขึ้นยืนมองหน้าคนในห้องอีกครั้ง “อาการของนางดีขึ้น ไม่มีไข้หรือผิดปกติใด ๆ แล้ว ข้าจะจัดยาให้นางอีกเทียบหนึ่ง"
หมอหูกล่าวพร้อมกับมองไปที่โจวซื่อ ก่อนส่งสายตาให้อีกฝ่ายเดินตามตนออกไป
โจวซื่อเดินตามอีกฝ่ายออกมาเงียบๆ เมื่อเห็นว่าห่างจากห้องเมื่อครู่พอสมควรแล้ว หญิงชราจึงถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“ท่านหมอ อาการของนางน่าเป็นห่วงอย่างมากเลยหรือ?”
หมอหูถอนหายใจออกมา “ไม่เป็นเช่นนั้น อาการของนางปกติยิ่ง”
โจวซื่อที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ “หากอาการของนางเป็นปกติ แล้วเหตุใดท่านจึงมีสีหน้ากังวลเช่นนี้”
“เพราะชีพจรของนางเหมือนคนปกติ ไม่เหมือนชีพจรก่อนหน้านี้อีกแล้ว”
“!!” โจวซื่อ
…………………….