ตอนที่ 2
ไม่นานหลังจากซูอวี้หนิงเดินออกจากห้องผ่าตัด ราวกับเงาของเธอยังไม่ทันจางหายไปจากประตูอัตโนมัติ เสียงซุบซิบก็ดังขึ้นทั่วแผนก
บริเวณหน้าเคาน์เตอร์พยาบาลชั้นสิบเจ็ด พยาบาลสาวสองคนยืนกระซิบกระซาบกันด้วยแววตาเป็นประกาย
“เธอเห็นไหม? แค่ยืนมองตอนเธอลงมีด ยังรู้สึกขนลุกเลย...”
“ฉันอยู่ตรงหัวเตียงนะ ตอนชีพจรตกลงไปสิบจุด ทุกคนแทบหยุดหายใจ แต่หมอซูกลับนิ่งสนิท!”
อีกคนพยักหน้าแรง “ใช่! ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ เหมือนเธอรู้ว่าจะเกิดอะไรล่วงหน้าหมดแล้วน่ะ!”
มุมหนึ่งของแผนก ทีมผู้ช่วยแพทย์ชายสามคนที่เพิ่งถอดหน้ากากปลอดเชื้อ ต่างถอนหายใจพร้อมกันเหมือนนัดหมายไว้
“ฉันไม่เคยเห็นใครเย็บทรวงอกได้เร็วขนาดนั้นเลยว่ะ” คนหนึ่งเอ่ย
“ไม่ใช่แค่เร็ว แต่เรียบร้อยเหมือนผ้าปักเลย แผลแทบไม่เห็นรอยตะเข็บ!”
“เอาจริงนะ ถ้าเป็นหมอคนอื่น ฉันว่าเด็กคนนั้นรอดไม่ทันแน่”
เสียงซุบซิบดังขึ้น แต่ซูอวี้หนิงกลับไม่คิดที่จะสนใจเลยแม้แต่น้อย ราวกับคำพูดเหล่านี้เธอได้ยินมันนับครั้งไม่ถ้วนเสียแล้ว แต่ระหว่างที่เธอกำลังจะก้าวออกคำพูดบางอย่างกับทำให้เธอชะงักชั่วครู่หนึ่ง
“ไม่ใช่แค่ฝีมือนะที่น่าอิจฉา แม้แต่สามีของหมอซูก็ทำให้พวกเราอิจฉาเช่นกัน” พยาบาลสาวที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์กล่าวพร้อมสีหน้าขวยเขิน
เมื่อพยาบาลคนอื่น ๆ ที่ได้ยินเช่นนั้น ก็ต่างบิดตัวเขินอายเช่นกัน
“ใช่ คุณชายฉวี สามีของหมอซู เป็นทายาทเจ้าของโรงพยาบาลแห่งนี้ แค่เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาก็ทำพวกเราแทบจะละลายได้อยู่แล้ว”
“อร้ายย อิจฉาหมอซูจริง ๆ”
เหล่านางพยาบาลที่อยู่ด้านหน้าต่างซุบซิบกันเสียงดัง แต่พวกเธอไม่รู้เลยว่า คำพูดเหล่านั้นของพวกเธอ ทำให้ใบหน้าของซูอวี้หนิงที่เคยสงบนิ่ง กลับดูเย็นชาขึ้นหลายส่วน โดยเฉพาะแววตา
ซูอวี้หนิงก้มมองนาฬิกาข้อมือเพื่อดูเวลา (17.24 น.)
วันนี้เธอคิดว่าอาจใช้เวลานานกว่านี้ในห้องผ่าตัด แต่เพราะทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่น ทำให้เสร็จเร็วกว่าที่เธอคิดไว้ เธอจึงเดินมาที่ถนนด้านหน้าโรงพยาบาล เพื่อเรียกรถกลับบ้านทันที
โดยปกติแล้วเธอไม่ค่อยได้กลับบ้านมากนัก เพราะเธอมีห้องคอนโดที่อยู่ห่างจากโรงพยาบาลไม่ไกล แต่เพราะวันนี้เธอจำได้ว่าเป็นวันพิเศษบางอย่าง ทำให้เธอเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องกลับบ้านสักหน่อย แม้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะจำได้หรือไม่ก็ตาม
รถแท็กซี่เคลื่อนตัวช้า ๆ ผ่านย่านเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยแสงไฟเจิดจ้า ตึกระฟ้าเรียงรายขนานไปกับถนนราวกับจะประชันความหรูหรา แต่หญิงสาวบนเบาะหลังกลับไม่ได้มองออกไปนอกหน้าต่างแม้แต่น้อย ซูอวี้หนิงนั่งเงียบ ดวงตาเหม่อลอยราวกับถูกความคิดบางอย่างดึงรั้งไว้
แสงไฟสีส้มจากเสาไฟข้างทางสะท้อนผ่านกระจกหน้าต่างสลับกับเงาใบหน้าเรียบนิ่งของเธอ จนเมื่อรถแล่นมาถึงหน้าประตูรั้วเหล็กอัตโนมัติของบ้านหลังใหญ่ แท็กซี่จึงค่อย ๆ ชะลอลง
บ้านหลังนี้ใหญ่โตและหรูหราอย่างยิ่ง ตัวเรือนก่อด้วยหินอ่อนสีขาวครีม ประดับด้วยบัวปูนฉลุลวดลายคลาสสิก แสงไฟจากโคมระย้าภายในสาดผ่านกระจกใสออกมาเผยให้เห็นความโอ่อ่าเกินกว่าจะเรียกว่าบ้านได้ลงคอ…มันคือคฤหาสน์ชั้นดี
นี่คือเรือนหอของเธอกับเขา ฉวีจิ้งไห่ ทายาทเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลฉวี เจ้าของเครือโรงพยาบาลอวี้เหอที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ
เสียงประตูรั้วอัตโนมัติเปิดออกช้า ๆ ขณะคนขับแท็กซี่หันมายิ้มให้ผ่านกระจกหลัง “ถึงแล้วครับ”
ซูอวี้หนิงพยักหน้าเบา ๆ ก่อนหยิบธนบัตรยื่นให้โดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติม เธอก้าวลงจากรถช้า ๆ สายลมยามเย็นพัดเส้นผมยาวของเธอปลิวตามแรงลม กลิ่นดอกไม้จากสวนด้านในโชยมาจาง ๆ
เมื่อก้าวผ่านประตูบ้าน เธอหยุดยืนอยู่ตรงบันไดหินอ่อนหน้าประตูราวกับลังเลอยู่ชั่วครู่
บ้านหลังนี้ แม้จะสวยงามเพียงใด…แต่มันกลับเย็นชาและเงียบงันในความรู้สึกของเธอเสมอ
เพียงก้าวเข้ามาด้านใน ซูอวี้หนิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะโดยปกติแล้ว จะต้องมีสาวใช้ออกมาต้อนรับเธอเสมอ แต่วันนี้ที่ด้านในกลับไม่มีใครอยู่เลยสักคน
เมื่อเดินเข้ามากลางบ้านแล้วยังไม่เห็นใคร ซูอวี้หนิงจึงเดินขึ้นไปที่ชั้นสอง ที่เป็นห้องทำงานของอีกฝ่าย
เสียงแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากด้านใน เป็นเสียงที่ไม่ควรปรากฏในบ้านหลังนี้…โดยเฉพาะในค่ำคืนนี้
ซูอวี้หนิงยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าห้องทำงานที่เปิดอ้าออก บนพื้นพรมหรูมีเสื้อคลุมผ้าไหมสีชมพูซีดหล่นอยู่ พร้อมรอยยับย่นที่ชัดเจนว่าเพิ่งถอดออกไม่กี่นาทีก่อน ตามด้วยรองเท้าส้นสูงที่วางตะแคงไม่เป็นระเบียบ
เธอก้มมองทุกอย่างด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ทว่าความเย็นชาในแววตากลับเข้มข้นขึ้นทุกขณะ ริมฝีปากเม้มแน่นจนแทบมองไม่เห็นรอยสีชมพูจางตามธรรมชาติ
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังลอดออกมาจากทางห้องนอนใหญ่ เสียงที่หากเป็นคนอื่นอาจรู้สึกขมขื่น หรือหัวใจสลาย
แต่ซูอวี้หนิงกลับเพียงแค่หรี่ตาลง แล้วหมุนตัวเดินไปทางต้นเสียงอย่างสงบ
เสียงหัวเราะนั้นถูกแทนที่ด้วยเสียงกระซิบกระซาบแผ่วเบา ราวกับบทสนทนาระหว่างชายหญิงที่ไม่ทันระวังว่า…ภรรยาที่แท้จริงของชายผู้นั้นได้กลับถึงบ้านแล้ว
ฝ่าเท้าของเธอเหยียบลงบนพรมอย่างไร้เสียง เธอไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเธอกลับมา และเธอ…ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย
เมื่อมาถึงหน้าห้องนอนใหญ่ ประตูไม้สักบานหนาก็แง้มอยู่เล็กน้อย แสงสลัวจากโคมข้างเตียงลอดผ่านช่องประตูออกมาพอให้เห็นเงาตะคุ่มของสองร่างบนเตียง
เสียงหญิงสาวเอ่ยขึ้นแผ่วเบา “…คุณชายฉวี ถ้าหมอซูกลับมา จะไม่เป็นไรเหรอคะ?”
น้ำเสียงนั้นทั้งออดอ้อน ทั้งยั่วเย้า
และอีกเสียงที่ตามมาคือเสียงของเขา เสียงที่ซูอวี้หนิงคุ้นเคยดี…แต่เวลานี้มันกลับฟังดูห่างไกลเหลือเกิน
“เธอไม่ค่อยกลับมาหรอก อยู่โรงพยาบาลทั้งวันทั้งคืน...อย่างกับแต่งงานกับมีดผ่าตัด ไม่ใช่กับฉัน”
ซูอวี้หนิงยืนนิ่งกับที่ ริมฝีปากขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย ราวกับกำลังหัวเราะเยาะเบา ๆ กับคำพูดนั้น
มีดผ่าตัด อย่างนั้นหรือ?
ใช่สิ…นั่นคงเป็นสิ่งเดียวที่เธอยังควบคุมได้ในชีวิตนี้ แตกต่างจากความสัมพันธ์ตรงหน้า…ที่พังทลายลงมานานแล้ว
และคืนนี้…อาจถึงเวลาที่เธอจะต้องตัดมันทิ้งเสียที
แววตาของเธอวาววับราวกับมีดผ่าตัดในมือ เยือกเย็น แม่นยำ และไม่ลังเล เธอสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก่อนจะผลักประตูเปิดออกอย่างมั่นคง
เสียงดัง แกรก ของลูกบิดทำให้คนในห้องชะงักเงียบไปทันที ซูอวี้หนิงยืนอยู่ตรงประตู ดวงตานิ่งเฉียบจ้องตรงไปที่เตียงโดยไม่กล่าวคำใด
ใบหน้าของฉวีจิ้งไห่เปลี่ยนสีในชั่วพริบตา ส่วนหญิงสาวบนเตียงรีบคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมกายด้วยความตกใจ
ห้องที่เคยอบอุ่น กลับเย็นยะเยือกลงทันใด
ซูอวี้หนิงปรายตามองไปทางหญิงสาวที่รีบร้อนหาผ้ามาคลุมร่างกายที่เปลือยเปล่า ก่อนจะพบว่า อีกฝ่ายไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่กลับเป็นเพื่อนร่วมงานของเธอนั่นเอง
ถังอวี่เหอ สูตินรีแพทย์
ฉวีจิ้งไห่ที่กลับมามีสติอีกครั้งรีบปรับสีหน้าให้นิ่งเรียบ เขารีบคว้าผ้าคลุมที่ถอดกองอยู่ไม่ไกลมาสวมใส่ ก่อนเดินเข้ามาหาซูอวี้หนิงพร้อมจับมือของเธอออกจากห้องนี้
ฉวีจิ้งไห่จูงมือเธอมาหยุดอยู่ที่กลางห้องนั่งเล่นที่เงียบงัน แสงจากโคมไฟสลัวสะท้อนใบหน้าที่ขึงเครียดของเขา ขณะที่ซูอวี้หนิงยืนอยู่อย่างนิ่งเฉย สายตาเรียบเย็น จับจ้องไปยังเขาอย่างรอคอยคำอธิบาย
“อวี้หนิง…ฟังฉันก่อน” เขาเริ่มเสียงแผ่ว ราวกับกำลังหาคำพูดที่เหมาะสม
“สิ่งที่เธอเห็นเมื่อกี้ มันไม่ได้—” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วเปลี่ยนคำทันที “ฉันแค่…รู้สึกโดดเดี่ยวเกินไป”
เธอเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่พูดอะไร รอให้เขาพูดต่อ
“เธอไม่เคยอยู่บ้านเลย อวี้หนิง” เสียงเขาเข้มขึ้นเล็กน้อย “ตลอดเวลาที่เราแต่งงานกัน ฉันแทบไม่เคยได้ใช้ชีวิตแบบสามีภรรยากับเธอจริง ๆ ด้วยซ้ำ”
“ไม่ว่าเช้าหรือค่ำ เธอก็เอาแต่ผ่าตัด เวรดึก ประชุมวิชาการ แล้วก็ทำงาน ทำงาน ทำงาน…” เขาสูดหายใจลึก แล้วสบตาเธอ
“ฉันเป็นคน ไม่ใช่เครื่องเรือนที่ตั้งอยู่รอให้เธอหันมาสนใจเป็นครั้งคราว”
“อวี้เหอ… ฉันรู้สึกไร้ค่า มันว่างเปล่าจนฉันทนไม่ไหวจริง ๆ” คำพูดนั้นลอยอยู่กลางห้องอยู่นาน ก่อนซูอวี้หนิงจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบและหนักแน่น
“เพราะฉันทำงานหนักเกินไป…คุณเลยต้องนอนกับเพื่อนร่วมงานของฉัน?” ฉวีจิ้งไห่ชะงัก ดวงตาเขาวูบไหว
“ฉันรู้ว่าเราสองคนไม่ได้แต่งงานกันด้วยความรัก” หญิงสาวคลี่ยิ้มบาง เป็นรอยยิ้มที่เย็นเสียยิ่งกว่าน้ำแข็ง
“และก็จริง…ฉันเองก็ไม่เคยให้เวลากับคุณในแบบที่สามีควรได้รับจากภรรยา แต่ฉวีจิ้งไห่ อย่างน้อย…เราก็แต่งงานกัน” เธอก้าวเข้าไปใกล้อีกเพียงครึ่งก้าว เสียงเย็นชาชัดถ้อยชัดคำ
“ฉันอาจไม่ใช่ภรรยาที่ดีนัก แต่ฉันก็ให้เกียรติคุณในฐานะคนที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกันเสมอมา แต่คุณกลับเลือกเหยียบย่ำมันทั้งหมดลงใต้เท้า แล้วโยนความผิดมาที่ฉัน เหมือนที่คนขี้ขลาดมักจะทำ”
เขาเม้มปากแน่น กำมือข้างหนึ่งจนเส้นเลือดปูด
“เธอไม่เข้าใจ…” เขาพึมพำ
ซูอวี้หนิงหัวเราะเย็นเธอเบือนหน้าหนี หยิบกระเป๋าที่วางพาดโซฟาไว้ขึ้นมา
“จิ้งไห่ คุณคงคิดว่าฉันไม่รู้เรื่องการกระทำตลอดเวลาที่ผ่านมาของคุณใช่ไหม?” ซูอวี้หนิงหันกลับไปมองหน้าอีกฝ่ายอีกครั้ง พร้อมยิ้มด้วยท่าทางสมเพช
“มันไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณมักใช้ผู้หญิงเหล่านี้ในการปลดเปลื้องความต้องการของคุณ เรื่องนี้ฉันรับรู้มันมาโดยตลอด และที่ฉันมาที่นี่วันนี้ก็ไม่ใช่เพื่อมาจับผิดคุณ แต่มาเพราะวันนี้เป็นวันครบรอบวันแต่งงานของเราทั้งสองคน”
ฉวีจิ้งไห่ที่กำลังมองหน้าผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมายของตนเองด้วยแววตาที่วูบไหวทันทีที่ได้ยินประโยคของอีกฝ่าย
“คุณบอกว่าฉันไม่เคยใส่ใจคุณเท่าที่ภรรยาสมควรทำ แต่ความผิดเหล่านี้ ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายผิด?”
ร่างบางกล่าวจบก็ไม่สนใจสีหน้าของอีกฝ่าย เธอเดินออกมาจากห้องนั่งเล่นทันที โดยไม่สนใจเสียงเรียกร้องของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
……………….