เฉินโม่เหยียนมีความเด็ดขาดในการปกครองกองทัพ จนทุกวันนี้จึงเป็นที่ศรัทธาของทุกคน เมื่อบาดเจ็บสาหัสจึงทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพเสียไปเมื่อขาดผู้นำที่แข็งแกร่งไป
          หลังจากสั่งการลงไป ทำได้เพียงรอคำตอบรับของแคว้นหานว่าจะยินดีรับผลประโยชน์ที่นางมอบให้หรือไม่ และเผ่าเซียนเป่ยน่าจะไม่มีปัญหาด้วยการเจรจาการค้าครั้งก่อน ก็ค่อนข้างมีไมตรีต่อกันค่อนข้างมาก
          “ทั้งหมดให้ทำหน้าที่ที่แบ่งไว้ให้ ทำอาหาร ดูแลคนบาดเจ็บให้ดี” โจวฟางหลินสั่งการให้ลูกน้องที่พามาด้วยให้ทำหน้าที่ตามที่สั่งเอาไว้ เมื่อถึงคราสู้รบจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกิน ส่วนคนที่บาดเจ็บก็จะมีคนคอยดูแลไม่ต้องตามมีตามเกิดอย่างเช่นตอนนี้ ยามแม่ทัพบาดเจ็บสาหัสขาดผู้บัญชาการ ก็มักจะขาดระบบระเบียบจนบางทีก็วุ่นวายจนไม่สามารถควบคุมได้ก็มีให้เห็นบ่อยครั้ง
           “ท่านกุนซือโจว ท่านแม่ทัพฟื้นแล้วขอรับ” ทหารชั้นผู้น้อยคนหนึ่งได้วิ่งมาบอกอย่างตื่นเต้นที่แม่ทัพใหญ่ได้ฟื้นขึ้นมาจากประตูปรโลกจนได้เสียที เพราะจะยิ่งสร้างขวัญกำลังใจให้กับกองทัพ
          “ข้ารู้แล้ว” ร่างบางรับคำด้วยความเรียบเฉย ไม่ได้ตื่นเต้นตกใจกับสิ่งที่ได้รับรู้จึงหันมาดูความเรียบร้อยต่อไป
          ภายในห้องเฉินโม่เหยียนที่ฟื้นขึ้นมายังคงนอนอยู่บนแคร่ มีรองแม่ทัพหานกำลังรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ท่านแม่ทัพบาดเจ็บจนหมดสติไปอย่างคล่องแคล่ว ยามเอ่ยถึงกุนซือก็มีแต่ความชื่นชมในความเก่งกาจของนาง
          “ตอนนี้ท่านกุนซือโจวได้วางแผนการรบตามที่ข้าได้กล่าวไป ช่างเป็นกลยุทธ์ที่ข้าไม่คาดคิดมาก่อน ข้านับถือท่านกุนซือเสียยิ่งนัก” ร่างหนาของรองแม่ทัพหานเอ่ยขึ้นอย่างคล่องปากและค่อนข้างจะมีความมั่นอกมั่นใจในกลศึกครั้งนี้อย่างยิ่ง จนไม่ได้สังเกตุสีหน้าของฝ่ายตรงข้ามสักนิดว่าเริ่มขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
          ร่างสูงกำยำรู้สึกขัดหูไปหมด อะไรคือท่านกุนซือโจว นางคือฮูหยินของเขา ทำไมคนเหล่านี้ถึงไม่เรียกนางว่าฮูหยินแม่ทัพ กลับเรียกแต่ว่าท่านกุนซือเสียอย่างนั้น
          “โจวฟางหลินคือฮูหยินของข้าเจ้าต้องเรียกนางว่ากระไรรึ” เฉินโม่เหยียนเอ่ยด้วยหน้าเรียบตึง
          “อ่อ.ข้าทราบแล้วต่อไปจะเรียกฮูหยินท่านแม่ทัพ” รองแม่ทัพหานเอ่ยขึ้นกึ่งยิ้ม ถ้าท่านรักฮูหยินทำไมถึงมีข่าวออกมาว่าท่านไม่ชอบท่านกุนซือ และที่ไม่ยอมกลับจวนเป็นเวลานานก็เพราะไม่ได้รักใคร่ฮูหยินพระราชทานผู้นี้ไม่ใช่รึ
          หลังจากรองแม่ทัพหานออกไป เฉินโม่เหยียนครุ่นคิดถึงกลศึกที่ภรรยาได้วางเอาไว้ นางมีความสามารถถึงเพียงนี้เชียวรึ กลยุทธ์ที่ล้ำลึกเช่นนี้ยังคิดออกมาได้ เขาเองยังคาดไม่ถึงด้วยซ้ำ เขาพลาดอะไรไปรึเปล่า การห่างเหินถึงสองปีทำให้นางเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าจะให้กลับมาดูแลเอาใจใส่เขาเช่นเดิมจะสามารถทำได้อีกครั้งรึไม่เขาเองก็เริ่มไม่มั่นใจ
          โจวฟางหลินหลังจากดูความเรียบร้อยจากงานที่สั่งการเอาไว้แล้ว จึงคิดว่าจะเข้าไปดูสามีภูเขาน้ำแข็งเสียหน่อยจะได้พูดคุยถึงเรื่องการทำศึกครั้งนี้ แต่คงจะออกรบไม่ได้ในข่วงนี้ แต่คงบัญชาการรบได้กระมัง นางเพียงเป็นผู้วางแผนหากการบัญชาการรบคงต้องให้ท่านแม่ทัพเป็นผู้สั่งการเอง
           ร่างสูงกำยำใจเต้นแรงขึ้น ยามเห็นร่างบางยังใส่ชุดดำจึงยิ่งส่งให้มีรูปร่างบอบบางมากขึ้น สิ่งที่ควรมีก็มีจนดูเย้ายวนใจ ใบหน้างดงามหมดจด ผมยาวสลวยก็รวบมัดตึงจนใด้เห็นใบหน้ารูปไข่ที่เล็กเพียงฝ่ามือทำไมเมื่อก่อนถึงไม่เคยสังเกต เพียงแต่ใบหน้าที่นิ่งสนิทแบบนี้เขาเองก็เริ่มจะชินตาเสียแล้วตั้งเจอกันครั้งก่อนก็ยังไม่เห็นจะมีสีหน้าใดนอกจากนี้
          “ท่านแม่ทัพเป็นเช่นไรบ้าง” ร่างบางเอ่ยถามด้วยต้องการจะทราบว่าจะสามารถทำอะไรได้บ้างแต่ดูแล้วบาดแผลที่ค่อนข้างลึกหลายแห่ง ทั้งที่หลังด้านหน้า และขาที่มีกล้ามเนื้อได้รูป สรุปที่ว่าบาดเจ็บสาหัสก็คงไม่เกินไป ไม่ได้สังเกตุสักนิดว่าชายหนุ่มตรงหน้าได้สำรวจร่างกายนางอย่างถี่ถ้วนเพียงใด
           “ก็ดีขึ้นบ้าง ขอบใจเจ้าที่มาในครั้งนี้” ร่างสูงที่ยังบาดเจ็บเอ่ยขึ้นมาด้วยความซึ้งใจที่นางมาในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้
           “ข้าต้องมาอยู่แล้วหากแพ้ศึกครานี้ข้าคงต้องลำบากไปด้วยคิดว่ากองทัพแคว้นเยี่ยนจะปล่อยเมืองเจี่ยงไปรึ” ร่างบางเอ่ยเสียงเรียบ นางไม่ได้มาครั้งนี้เพื่อใครแต่เพียงไม่ต้องการ จะตกเป็นคนชั้นล่างให้แคว้นอื่นเหยียบย่ำถ้าทางเฉินโม่เหยียนไม่สามารถชนะศึกครั้งนี้ได้ ก็คงไม่พ้นถูกกวาดต้อนไปให้แคว้นเหลียวเหยียบย่ำอย่างแน่นอน ต่อให้ตนจะเฉลียวฉลาดเพียงใดก็คงไม่พ้นเคราะห์นี้เช่นกัน
           “เจ้าไม่ห่วงหาอาทรข้าเลยรึ” เฉินโม่เหยียนรู้สึกขมในอก นางไม่รู้สึกกับเขาแล้วจริงรึ
          โจวฟางหลินช้อนสายตาขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาของสามีในนาม ทำไมถึงทำเหมือนมีความรู้สึกให้นาง แต่แล้วก็ยกยิ้มเบาบางรู้สึกขันในความคิดไร้สาระเช่นนี้ นางพยายามมาหนึ่งชาติสามีน้ำแข็งผู้นี้ยังไม่สั่นคลอนสักนิด จะมารักใคร่อันใดในตอนที่นางไม่เอาอกเอาใจเช่นเดิมอีกแล้ว
           “ท่านแม่ทัพล้อเล่นแล้ว ข้าย่อมห่วงใยท่านเป็นธรรมดาในเมื่อท่านก็ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของข้า” โจวฟางหลินรู้สึกเบื่อหน่ายถ้าจะมาพูดคุยกันในเรื่องรักใคร่ในสนามรบเช่นนี้ จึงได้เปลี่ยนหัวข้อการสนทนา
           “ท่านแม่ทัพจะ_”
          “เรียกท่านพี่” ร่างสูงเอ่ยขัดขณะที่นางยังเอ่ยไม่จบประโยคเสียด้วยซ้ำ
          ร่างอรชรถึงกับหน้ามืดครึ้มที่ร่างสูงกำยำตรงหน้าได้เอ่ยวาจาไร้สาระ จะสำคัญตรงใดกัน นางก็เรียกแบบนี้มาตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว จะมาขัดหูอะไรในเวลานี้
          “ข้าเป็นสามีเจ้า ใยต้องเรียกห่างเหินถึงเพียงนี้” เฉินโม่เหยียนคิดว่าน่าจะพูดคุยให้กระจ่างด้วยสถานะของพวกเขาสองคนต้องแก้ไขความห่างเหินระหว่างสามีภรรยาเสียก่อนจะสายไปกว่านี้
          “เอาไว้กลับจวนเสียก่อนข้าจะเรียกตามธรรมเนียมปฏิบัติ แต่ณวลานี้ข้าเป็นเพียงกุนซือในกองทัพ ไม่ใช่จะต้องมาเอ่ยอ้างว่าเป็นภรรยาของท่าน” ร่างบางรู้สึกหงุดหงิดกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้
          “เช่นนั้นรึ" ร่างสูงอมยิ้มที่ได้เย้าแหย่นางเช่นนี้ ไม่เคยรู้มาก่อนว่านางก็ไม่ใช่สตรีที่น่าเบื่ออย่างที่คิด
          โจวฟางหลินรู้สึกอยากจะชักมีดมาแทงบุรุษตรงหน้า มันใช่เวลามายั่วโมโหนางหรือไม่น่าจะเพิ่มบาดแผลสักหนึ่งหรือสองแผลให้นัก
          ในระหว่างจับจ้องกันที่ฝ่ายหนึ่งรู้สึกหงุดหงิดกับอีกฝ่ายที่ยกยิ้มกวนประสาท ทหารชั้นผู้น้อยได้มารายงานว่า นกพิราบสื่อสารได้มีจดหมายมาจากแคว้นหาน
          “เรียนท่านกุนซือมีจดหมายมาถึงท่าน”
          โจวฟางหลินรับจดหมายมาอ่าน ถูกส่งมาจากหนานกง ว่าทางแคว้นหานยินดีช่วยทำศึกครั้งนี้ พร้อมแนบจดหมายจากแม่ทัพน้อยมาด้วย ในความจดหมายได้กล่าวถึงไว้ว่า หวังว่าไมตรีครั้งนี้จะทำให้ระหว่างสองแคว้นจะไม่มีการทำศึกต่อกันในภายภาคหน้าและเป็นพันธมิตรต่อกัน รอยยิ้มบางๆผุดขึ้นบนใบหน้างดงาม พลางคิดชื่นชมหนางกงที่เจรจาสำเร็จได้จริงๆ
          “ทางแคว้นหานตกลงจะมาช่วยตามแผนของเราแล้ว” โจวฟางหลินเอ่ยเพื่อบอกกับเฉินโม่เหยียน เหลือเพียงเผ่าเซียนเป่ยเท่านั้น ก็เริ่มโจมตีกองทัพเยี่ยนได้ทันที
           ร่างสูงกำยำมองใบหน้างดงามที่ยกยิ้มเพียงบางเบา ทำให้ใจเต้นจนต้องยกมือเรียวหนามาจับตรงอกด้วยกลัวเสียงจะดังออกมาจนร่างบางตรงหน้าได้ยิน
          เขาไม่เคยคิดว่าจะมีความรู้สึกเช่นนี้กับนางได้ แต่บัดนี้มั่นใจแล้วว่าเขากำลังจะตกหลุมรักนาง ความเก่งกาจความฉลาดเฉลียว ทำไมก่อนหน้านี้ถึงมองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ ในเวลานี้กลับเย็นชาเสียจนน่าหนักใจ คาดว่าครั้งนี้อาจจะเป็นเขาที่ต้องวิ่งไล่ตามนางเสียเองหรือไม่
           หลังจากผ่านไปเพียงไม่นานก็มีจดหมายมาจากเสี่ยวเฉาที่ถูกส่งไปให้เจรจากับเผ่าเซียนเป่ย ว่าการเจรจาสำเร็จลุล่วงไปด้วยดียินดีจะร่วมมือด้วย จึงได้เรียกประชุมพร้อมกันอีกครั้ง เพื่อจะได้นัดหมายเวลาเพื่อจะได้จัดเตรียมตามแผนที่ได้วางเอาไว้
          “ท่านกุน.เอ่อ ฮูหยินน้อยท่านจะเริ่มแผนนี้เลยรึไม่" รองแม่ทัพหานเอ่ยขึ้นมาด้วยไม่รู้ว่าสมควรจะเรียกสตรีตรงหน้าด้วยคำไหนดี
          โจวฟางหลินถอนหายใจ ไม่คิดว่าสถานะของนางในตอนนี้จะทำให้ผู้คนสับสนจนไม่รู้ว่าจะเรียกเช่นไรถึงจะถูกต้อง
          “ข้าอยู่ในกองทัพเรียกข้าว่า กุนซือ เพียงเท่านั้น" ร่างบางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนจะเริ่มเอ่ยถึงแผนการที่จะเริ่มขึ้นในคืนนี้
           ช่วงที่พักจากการศึกสองวันทหารก็ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว ที่กองทัพเยี่ยนไม่กล้าโจมตีในช่วงสองวันนี้
 เพราะช่วงกลางคืนจะให้ทหารจุดไฟให้สว่างในด้านหน้าค่ายและให้ขี่ม้าวิ่งวนไปมาให้เกิดเสียงดัง ด้วยการจะทำให้เกิดเสียงในช่วงเวลากลางคืนเสียงจะก้องไปไกลกว่าช่วงกลางวันนัก จนทำให้กองทัพเยี่ยนจะต้องคอยดูสถานการณ์ไปก่อนด้วยคิดว่าแคว้นเว่ยได้มีกองกำลังมาเสริมจำนวนมาก การโจมตีเวลากลางคืนอาจเพลี่ยงพล้ำได้ง่ายจึงทำให้กองทัพเว่ยได้พักถึงสองวัน
          เสียงที่ดังตลอดทั้งคืนแม่ทัพใหญ่ของกองทัพเยี่ยนถึงกับควบม้าออกมาดูบนเชิงเขา ซ่างกวนผู้เป็นแม่ทัพใหญ่มีนิสัยโหดเหี้ยมดุดัน ได้ดูความเคลื่อนไหวของฝ่ายศัตรูที่มีความคึกคักราวกับมีกองหนุนมาเสริมทัพมากมาย เสียงฝีเท้าม้าศึกก็มีมากจนเกิดฝุ่นปลิวลอยมาตามลมตรงแสงไฟด้านหน้าค่าย คาดว่าอาจจะต้องเปิดศึกในอีกไม่นานนี้เป็นแน่
          ใบหน้าดุดันยกยิ้มอย่างไม่คิดหนักใจ ด้วยกองทัพเยี่ยนที่เดินทัพมาในครั้งนี้มีถึงหกแสนนาย เพียงทหารที่น้อยนิดเพียงนั้นจะสามารถต้านกองทัพขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
          ภายในค่ายทหารทัพเว่ยก็มีการวางกลศึกกันอีกครั้งก่อนที่จะเริ่มเดินทัพประจันหน้ากับทัพเยี่ยนที่มีทหารมากกว่าถึงสองเท่าจึงต้องรัดกุมที่สุดหากพลาดพลั้งหมายถึงชีวิตของทุกคนในแคว้นเว่ย
          “คืนนี้ให้แบ่งทหารห้าพันคนเดินลัดเลาะไปด้านหลังเขาและขึ้นไปตรงเนินเขาสูง จัดเตรียมธนูไปให้พร้อมรอสัญญาณจากทัพหน้า เมื่อถึงเวลาที่ต้องตีขนาบด้านข้างตรงกลางกองทัพเยี่ยน ให้พลธนูเริ่มยิงได้เลย”
           “ใยต้องตีตรงกลางก่อนด้วย” รองแม่ทัพจิ้งเอ่ยถามด้วยความสงสัย
           "ทัพเยี่ยนที่ยกมาครานี้ถึงจะดูยิ่งใหญ่นัก แต่หลังจากด้านหน้าก็เป็นเพียงชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์มารบ หาใช่ทหารผู้ที่ถูกฝึกมาอย่างช่ำชอง ถ้าเจอสถานการณ์จริงย่อมหวาดกลัวแน่ และเราจะต้องสร้างความวุ่นวายในจุดนี้ให้มากที่สุดถึงจะดี และเป็นฝ่ายได้เปรียบ คนที่มากมายเพียงนั้นหากไร้ซึ่งกฏระเบียบย่อมควบคุมยาก”
          "ในระหว่างที่พลธนูเดินออกไป จะให้คนของข้าขี่ม้าเช่นเดิมเพื่อให้เกิดเสียงดังกลบเสียงฝีเท้าของพลธนู ยามขึ้นไปถึงเนินเขาสูงถึงจะหยุดเพื่อให้ม้าศึกของเราได้พักเสียก่อนจะออกไปในช่วงเวลาต่อไป”
          "ตรงนี้ข้าได้จัดเตรียมไว้แล้ว รอเพียงคำสั่งเท่านั้น” รองแม่ทัพหานได้จัดเตรียมไว้ตั้งแต่มีการประชุมครั้งแรกแล้วเพียงแต่ต้องไปตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้ง
          “จัดทัพหน้าทำตามแผนที่วางเอาไว้เมื่อเริ่มเปิดศึก จงให้พลธนูที่อยู่ด้านบนนำกระจกไปส่องกับแสงตะวันเพื่อส่งสัญญานให้ตีขนาบตรงกลางได้ทันที และจะต้องไล่ต้อนให้ไปทางแม่น้ำให้จงได้ กองทัพแคว้นหานจะรออยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ จะไม่ปล่อยไปแม้แต่คนเดียว”
          โจวฟางหลินได้ทวนแผนการอีกครั้งเป็นขั้นเป็นตอน ปักธงลงไปตามจุดเพื่อความเข้าใจในกระบะทรายขนาดใหญ่ที่ใช้เป็นสถานที่จำรองเหตุการณ์ในการรบครั้งนี้
           “ชนเผ่านอกด่านจะไม่สามารถมาสมทบกับกองทัพเยียนได้อีก เผ่าเซียนเป่ยกับคนของข้าจะคอยสกัดเอาไว้ให้ เราจะไม่เสียเปรียบถ้าไม่มีพวกชยงหนูที่เชี่ยวชาญการรบในทุ่งหญ้ามาร่วมทำศึกครั้งนี้ โอกาศที่จะโจมตีทัพเยี่ยนก็จะง่ายขึ้น” โจวฟางหลินหันมาจับจ้องสามีในนาม เพราะเฉินโม่เหยียนก็ต้องไปเป็นคนที่ต้องไปยืนบนกำแพงค่ายเพื่อให้กองทัพเยี่ยนได้เห็นว่า แม่ทัพใหญ่ของแคว้นเว่ยไม่ได้บาดเจ็บสาหัสอย่างที่เข้าใจ เพียงแต่จะเป็นคนบัญชาการรบด้วยตัวเอง แต่ก็ได้เห็นสายตาคมได้มองมาที่นางอยู่แล้ว
           “ท่านแม่ทัพท่านต้องไปยืนบนกำแพงค่าย เพื่อที่จะให้กองทัพเยี่ยนได้เห็นจะทำให้ฝ่ายนั้นสูญเสียความมั่นใจ เมื่อได้เห็นท่านไม่ได้บาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนั้นก็จะทำให้ศัตรูขาดขวัญกำลังใจไปได้มาก”
           เฉินโม่เหยียนพยักหน้ารับรู้ด้วยสภาพตอนนี้จะให้ออกรบด้วยตัวเองก็คงจะไม่ไหวเช่นกัน ด้วยบาดแผลลึกหลายแห่งแค่ประคองตนเองก็เจ็บร้าวไปทั้งร่างกาย แต่ถ้าไม่มีสตรีตรงหน้ามาที่นี่เขาคงต้องกัดฟันจับดาบออกไปสู้จนตัวตายเช่นกัน
           เมื่อได้ทบทวนแผนการอีกครั้งจนเข้าใจ จากนั้นจึงแยกย้ายไปทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายกันอย่างเร่งรีบ
          ย่ำรุ่งยามเปิดศึกลั่นกองรบ เลือดคงนองแผ่นดินจนย้อมสีเป็นสีแดงเป็นแน่ ยามศึกสงครามฝ่ายใดชิงความได้เปรียบก่อนย่อมเป็นผู้ชนะ ซึ่งทัพเว่ยจะต้องเป็่นผู้ชนะเท่านั้นจะไม่ยอมถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยแน่นอน