บทที่5 คนทรยศ
  การส่งมอบสินค้าได้มาถึง อาวุธที่สั่งมาจำนวนมากได้ถูกลำเลียงมาจนครบ นางต้องจ่ายด้วยเงินจำนวนสูงถึงหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึงทอง
  คนงานที่ถูกซื้อตัวมาจากตลาดค้าทาสนับร้อยชีวิต ครึ่งหนึ่งถูกส่งไปที่ชายแดนตะวันออกเพื่อไปนำเกลือที่ถูกตากจนแห้งเอากลับมาที่นี่ ส่วนที่เหลือห้าสิบคนจะมาเอาไว้ใช้งาน ทั้งจัดเก็บสินค้าและคอยดูแลสินค้าทุกอย่าง จัดคนเฝ้ายามตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน
  ทาสที่ซื้อจากตลาดค้าทาส มีอยู่หนึ่งคนที่ดูโดดเด่นที่สุด โจวฟางหลินได้ตั้งชื่อว่า หนานกง มีรูปร่างสูงใหญ่มีที่มาไม่ชัดเจน ใบหน้ามีรอยบาดแผลที่หายแล้วแต่ยังคงเป็นแผลเป็นพาดบนใบหน้าจึงทำให้ดูน่ากลัว ขายตัวเองเป็นทาสแต่ไม่มีคนซื้อด้วยใบหน้าที่น่ากลัวรูปร่างสูงใหญ่จึงขายไม่ออกเมื่อเห็นสายตาของหนานกง เหมือนกับคนที่ผ่านเหตุการณ์มากระทบจิตใจ จึงดูเป็นคนหยาบกระด้าง คนแบบนี้ถ้าซื้อใจได้จะภักดีจนวันตาย และนางก็ชอบคนนิสัยแบบนี้เสียด้วยสิ จึงซื้อมาในราคาที่ไม่แพงมากด้วยคนค้าทาสกลัวจะขายไม่ออก จึงไม่ได้เรียกราคาสูงมากขายมาแค่ราคายี่สิบตำลึงเงิน
  “หนานกงเจ้าไปดูความเรียบร้อยทั้งหมด ข้าจะให้เจ้าเป็นหัวหน้าควบคุมดูแลสินค้า” ร่างบางเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง ใบหน้าดูเย็นชาน่าเกรงขาม ชุดที่ใส่เป็นสีแดงอมดำเช่นเคย นางใส่สีแดงอมดำมีเสื้อคลุมปักดิ้นทองสวยงามจนเคยชินตั้งแต่ย้อนกลับมาจึงยิ่งทำให้ดูน่าเกรงขาม
  “ขอรับนายหญิง” หนานกงน้อมรับด้วยความเต็มใจ ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกในอำนาจที่มีของสตรีร่างเล็กผู้นี้ ยามสบตาที่สงบนิ่งเหมือนบึงน้ำที่ไม่มีแม้ความเคลื่อนไหว จนต้องลดสายตาลงมา
  หลังจากนั้นผ่านไปเพียงหนึ่งก้านธูป ท่านเหล่าหลานก็ได้นำสินค้าที่เป็นข้าวสารมาส่งด้วยตัวเอง
  “ข้าได้นำสินค้ามาส่งตามจำนวนที่สั่งมา” ซึ่งมีถึงหนึ่งร้อยเกวียน ต่อแถวยาวจนสุดสายตา“ข้ารบกวนท่านแล้วไฉนถึงต้องมาด้วยตนเองด้วย” โจวฟางหลินแปลกใจการส่งสินค้าสามารถให้คนงานมาส่งก็ได้หรือมีเรื่องอันใดอีก
  “ข้าเพียงแต่ต้องการจะมาพูดคุยกับเจ้าเรื่องเกลือด้วย”
  “สิ้นเดือนนี้ข้าจะส่งให้ท่านได้ดูเสียก่อน ถ้าตกลงในคุณภาพก็ทำสัญญากันได้เลย แต่รับรองว่า เกลือของข้าท่านจะไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน” ร่างบางเอ่ยถึงเวลาที่ได้ตกลงกัน และเกลือของนางกำลังเดินทางกลับมาเพื่อจะมาต้มกรองจนสะอาดถึงจะส่งขายได้
  ชายร่างท้วมดูมีอำนาจได้มาเห็นกับตาว่า การกักตุนสินค้าครั้งนี้ไม่ใช่การค้าเล็กๆเสียแล้ว ด้วยพื้นที่กว้างใหญ่ห่างสายตาผู้คนกินเนื้อที่ด้านบนเขาเกือบทั้งหมด พลางเหลือบสายตามามองสตรีรูปร่างอรชรที่ใส่ชุดแดงเข้มจนเกือบดำเหมือนครั้งก่อนด้วยความสนใจ
  “ดูแล้วคงไม่ใช่การค้าธรรมดาเสียแล้วใช่รึไม่”สายตาคมกริบจากประสบการณ์ที่สั่งสมมาย่อมมองออกว่าสตรีผู้นี้ย่อมไม่ธรรดาตามสายตาที่เห็น ถึงจะรู้ว่าเป็นเพียงบุตรสาวอดีตท่านแม่ทัพโจวก็ตาม
  “ข้าเพียงเป็นคนคอยหาโอกาศก็เพียงเท่านั้น” โจวฟางหลินเอ่ยตอบเพียงสั้นๆ ยกยิ้มมุปากขัดกับสายตาที่เย็นชา
  นายท่านเหล่าหลานเมื่อเห็นการอธิบายสั้นๆเพียงเท่านั้นก็รู้ได้ว่า คนที่มีนิสัยแบบนี้ มักจะเป็นคนที่คิดการณ์ไกลเด็ดขาด และไม่ค่อยพูดมากถึงถามไปก็ไม่ได้ประโยชน์อันใด สู้กลับไปฟังข่าวเรื่องเกลือเสียดีกว่า และคิดว่าการการค้าครั้งต่อไปคงได้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
  “ตกลง ข้าใจร้อนเองจะไปรอฟังข่าวก็แล้วกัน” จึงได้กลับออกไปพร้อมกับลูกน้องที่ติดตามมามากมาย
  ข้าวสารที่นำมา เป็นราคาที่นางต้องจ่ายเกือบหนึ่งหมื่นตำลึงทอง แต่เงินทองเหล่านี้จะกลับมาอีกไม่นาน เพราะหลังจากนี้การค้าที่แท้จริงกำลังจะเริ่มแล้ว
  “หนานกง ไปจัดการให้เรียบร้อย เมื่อจัดเสร็จเรียบร้อย ให้นำเกลือไปหนึ่งกระสอบไปไว้ในห้องที่ว่าง จัดเตรียมเตาและหม้อใบใหญ่มาด้วย” ร่างบางสั่งงานครั้งเดียวจนครบ จากนั้นจึงเดินไปดูความเรียบร้อย ก่อนจะมาควบคุมการต้มเกลือด้วยตนเอง
  ภายในจวนแม่ทัพที่เงียบจนผิดปกติถ้าเป็นเมื่อก่อน เขากลับมาที่จวนโจวฟางหลินมักจะเข้ามาหาและนำของกินมาให้จนเขาลำคาญ แต่เวลาก็ล่วงมาจนถึงยามบ่ายยังไม่เห็นหน้านางสักครั้ง
  “ตงซานไปดูซิ ฮูหยินได้อยู่เรือนรึไม่”ร่างสูงเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง เหมือนเอ่ยถามด้วยเรื่องไม่สำคัญนัก“ขอรับน
  ายท่าน” ตงซานรับคำสั่งแต่ก็สังเกตุสีหน้าที่เรียบเฉยของนายท่าน เมื่อก่อนไม่เห็นจะอยากรู้นายหญิงจะอยู่รึไม่ ทำไมวันนี้ถึงอยากจะรู้ขึ้นมาได้“ฮูหยินน้อยอยู่เรือนหรือไม่” ตงซานเอ่ยถามชุนหงสาวใช้คนสนิทของฮูหยินท่านแม่ทัพ
  “ฮูหยินน้อยออกไปจากจวนตั้งแต่รุ่งสางแล้ว มีอันใดรึ” ซุนหงยังงอนที่นายหญิงไม่ให้ตามไปอีกแล้วน้ำเสียงจึงดูหงุดหงิดตามไปด้วย“ท่านแม่ทัพถามถึงคงอยากเจอฮูหยินน้อยกระมัง” ตงซานก็สับสนอยู่ว่าให้มาดูเฉยๆแต่ไม่ได้เรียกหา
  จึงไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรต่อไป “ทำไมถึงอยากเจอนายหญิงของข้า” ซุนหงค่อนข้างงุนงงปกติก็ทำท่าลำคาญนักมิใช่รึ
  แค่คิดก็รู้สึกปวดใจแทนนายหญิงแต่งงานเข้ามาร่วมสองปีพึ่งจะมีวันนี้ที่ท่านแม่ทัพถามหานายหญิงของนาง
  “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ข้าไปรายงานนายท่านก่อน ประเดี๋ยวจะหงุดหงิดไปเสียอีก” ตงซานจึงรีบกลับไปรายงานตามที่ซุนหงบอกมา“นายท่านฮูหยินน้อยไม่อยู่เรือนขอรับ ซุนหงบ่าวรับใช้ก็ไม่ได้ติดตามไปด้วย เห็นบอกว่าฮูหยินน้อยออกไป
  ตั้งแต่ย่ำรุ่งแล้วขอรับ”
  ร่างสูงกำยำขมวดคิ้วหนาได้รูปด้วยความหงุดหงิด ใยไม่มาแจ้งให้รับรู้ว่าจะไปที่ใดไม่เห็นหัวสามีเลยใช่รึไม่ เฉินโม่หยียนทำงานต่อด้วยความหงุดหงิด เมื่อสมาธิไม่มีจึงขยำกระดาษบนโต๊ะที่เขียนไว้ขว้างทิ้งด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
  ตงซานมองตามกระดาษที่ถูกขยำและโยนทิ้ง จึงได้แต่เกาหัวว่านายท่านวันนี้เป็นอะไร หรือเพราะนายหญิงไม่ได้มาปรนนิบัติเหมือนเช่นเคย แต่นายท่านไม่ชอบฮูหยินน้อยมิใช่รึ จะต้องการพบเจอไปทำไมกัน
  ในระหว่างที่จวนมีแต่คนที่อารมณ์ไม่ดี แต่โจวฟางหลินที่ยังอยู่ในโกดังเก็บสินค้าขนาดใหญ่ กำลังสอนคนงานต้มเกลือเป็นขั้นเป็นตอน เริ่มจากนำเกลือมาต้มจนเดือดแล้วกรองเอาฝุ่นละอองออกให้มากที่สุด จากนั้นให้ต้มอีกครั้งและก็กรองสองชั้นให้น้ำเกลือค่อยๆหยดลงไป จะได้เกลือที่ขาวสะอาดและมาทิ้งให้แห้ง ค่อยนำมาบดจนละเอียด เกลือของเดิมที่ใช้กัน คือเกลือดิบที่ไม่ผ่านการต้มฆ่าเชื้อ มักจะสกปรกมากน้อยแล้วแต่จะกักขังน้ำเกลือที่บริเวณใด และจะมีรสขมติดปลายลิ้น แต่เกลือของนาง ย่อมขาวสะอาดรสชาติดี กรรมวิธีนี้ถึงจะดูไม่ยากแต่กว่าจะมีคนค้นพบก็ใช้เวลาไปเกือบสามสิบปีหลังจากนี้ “ขั้นตอนที่ข้าสั่งสอนหากมีผู้ใดนำไปกระจาย คงรู้ถึงโทษทัณฑ์ของมันดี” ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่
  สายตาช่างดุดัน ทำให้คนงานในที่นี้ถึงกับคุกเข่าลงมาตัวสั่นแบบไม่รู้ตัว “พวกข้าจะจงรักภักดีกับนายหญิงตลอด
  ชีวิต จะไม่พูดออกไปแน่นอนขอรับ” ทุกคนต่างเอ่ยด้วยเสียงอันสั่นกลัว ถึงจะยังไม่เคยโดนโทษทัณฑ์แต่ท่าทางนายหญิงช่างน่ากลัวเสียจริง “ถ้าใครจงรักภักดีต่อข้าก็จะมีชีวิตที่ดีหากแต่คิดที่เปลี่ยนไปอย่าหาว่าข้าโหดร้าย” โจวฟาง
  หลินเอ่ยขึ้นพร้อมกับกวาดสายตาอันแหลมคมไปทางเหล่าคนงาน ยิ่งทำให้คนงานก้มหน้าด้วยความเกรงกลัว นางแค่เพียงจะเตือนไว้เท่านั้น หากไม่ทำผิดอันใดก็ไม่ตัองกลัวว่าจะโดนทำโทษที่พวกเขาคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
  “นายหญิงจะนำเกลือทั้งหมดมาต้มเลยรึไม่ขอรับ” หนานกงเอ่ยถามเพื่อจะได้จัดการต่อไป“นำมาต้มเสียทั้งหมด
  การจัดก็บจะต้องสะอาดและปราศจากการอับชื้น” ร่างบางสั่งงานเสร็จก็กลับจวน ด้วยนางได้ออกจากจวนมาตั้งแต่ย่ำรุ่ง ควรจะกลับไม่ให้เย็นย่ำมาก ถ้าได้หย่าร้างเร็วๆก็คงดีจะได้สะดวกกว่านี้ เพียงแต่เป็นสมรสพระราชทานจึงทำให้เรื่องราวมันยุ่งยากขึ้น ช่างน่าปวดหัวเสียจริง เมื่อกลับถึงจวนซุนหงก็รีบออกมาบอกเรื่องราวต่างๆ ว่าท่านแม่ทัพ
  ถามหานายหญิงตั้งแต่ช่วงสายจึงคิดว่าจะแวะไปสักหน่อย อาจจะมีเรื่องราวอันใดก็เป็นได้ จึงได้สาวเท้าเดินกับไปทางเรือนหลักด้านหน้าที่พึ่งจะเดินผ่านมา “ไปแจ้งว่าข้ามาพบ” ร่างบางยืนด้านหน้าเรือนไม่ได้เข้าไปเช่นเมื่อก่อน จึงดู
  ห่างเหินจนตงซานรู้สึกแปลกใจ วันนี้นายหญิงไม่ได้เข้าไปเลยเช่นเมื่อก่อน กลับรออนุญาติเสียก่อน กิริยาท่าทางก็สง่าน่าเกรงขาม หลังตั้งตรงใบหน้าเรียบนิ่งจนตงซานต้องรีบไปเรียนนายท่านว่าฮูหยินน้อยมาพบ “นายท่านฮูหยินน้อย
  มาพบขอรับ”ตงซานพูดจบก็จ้องมองใบหน้าผู้เป็นนายว่าจะเอ่ยอะไรออกมาบ้างรึไม่
  เฉินโม่เหยียนรู้สึกใจเต้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าโจวฟางหลินมาพบ เงยหน้าจากกองหนังสือตรงหน้าสอดส่ายสายตาขึ้นมองก็ไม่เห็นสตรีน่าตายผู้นั้น “ฮูหยินน้อยรออยู่ด้านนอกขอรับ”ตงซานรีบรายงานเมื่อเห็นว่านายท่านมองหานายหญิง
  “คราวนี้มามีมารยาทอันใด เมื่อก่อนเห็นเดินเข้ามาไม่ขออนุญาติสักนิด”ร่างสูงกำยำขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด ทีเมื่อก่อนแทบจะโผเข้าหามาวันนี้ช่างห่างเหินเสียจริง
  ตงซานรีบเร่งเดินออกไปเพื่อจะไปเรียนนายหญิงให้เข้ามาที่ห้องหนังสือ ประเดี๋ยวนายท่านจะอารมณ์เสียไปยิ่งกว่านี้
  “ท่านมีธุระอันใดกับข้ารึไม่ ซุนหงแจ้งว่าท่านไปถามหาข้า” ร่างบางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
  ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมาสบตากับภรรยาที่บัดนี้ได้ดูเปลี่ยนไปจนเหมือนคนละคน ท่าทางสง่าสีหน้าเรียบนิ่งมองไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ จึงยิ่งหงุดหงิดกับท่าทีห่างเหินเช่นนี้ จะให้พูดว่าทำไมนางไม่มาหาเขาเช่นเมื่อก่อนมันก็ใช่ที่ จึงต้องเอ่ยเรื่องที่ออกจากจวนทำไมไม่แจ้งเขาเสียก่อน
  “ข้าได้ข่าวว่าเจ้าออกจากจวนแทบทุกวัน ทำไมไม่แจ้งคนในจวนไว้ว่าจะไปไหน แล้วทำไมต้องออกไปทุกวัน” ร่างสูงเอ่ยจบก็สูดลมหายใจอย่างโล่งอกที่ได้พูดออกไปแก้เรื่องที่ตั้งใจไปถามหานางที่เรือน
  “ข้อแรก ท่านย่าได้บอกไว้ไม่ต้องแจ้งถ้าจะออกไปไหน ขอเพียงไม่ทำให้เสียชื่อเสียงมาถึงตระกูลเฉินก็พอ ข้อสองข้าไม่จำเป็นต้องแจ้งธุระของข้าให้ผู้ใดรู้” โจวฟางหลินเอ่ยอธิบายทีละข้อด้วยนำเสียงช้าๆและชัดเจนทุกคำพูด
  “ในเมื่อข้ากลับมาแล้วและเป็นสามีเจ้าไม่สมควรจะแจ้งข้าหน่อยรึ” เฉินโม่หยียนเริ่มหงุดหงิดอีกครั้งเมื่อภรรยาไม่ให้ความสำคัญกับเขาเช่นเมื่อก่อน
  โจวฟางหลินถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย นางไม่คิดว่าจะมาถกเถียงในเรื่องไร้สาระเช่นนี้ เมื่อก่อนก็ไม่เห็นสนใจว่าจะไปไหนทำอะไร มาบัดนี้กลับจะให้รายงานทุกฝีก้าว
  ร่างสูงกำยำลุกขึ้นสืบเท้ามาที่ภรรยา เมื่อได้มายืนใกล้ๆจึงได้รู้ว่านางช่างตัวเล็กนัก แต่เรื่องความฉลาดเฉียวเขาก็ได้ยินมาไม่น้อยจากกองทัพที่มักจะเอ่ยชมให้ได้ยินมาตลอด แต่ถึงจะเก่งกาจเพียงใดถ้าไม่รักก็คือไม่รัก แต่เขาให้เกียรตินางเสมอในฐานะภรรยา แต่มาวันนี้นางช่างห่างเหินเสียเขารู้สึกถึงความเย็นวาบในอกอย่างบอกไม่ถูก รู้แต่ว่าเปลี่ยนไปแต่เปลี่ยนยังไงก็บอกไม่ถูกเช่นกัน
  ชาติก่อนเย็นชากับน้องนัก ชาตินี้ก็เหนื่อยหน่อยนะ
  ฝากกดติดตามกันด้วยนะคะ จะได้ไม่พลาดตอนใหม่
  ขอบคุณที่