กลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้รู้สึกสดชื่นได้โชยออกมาจากร่างบางที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา เขาไม่เคยร่วมหอกับนาง ไม่เคยจะแตะต้องสักนิด เขาปฏิบัติเหมือนดั่งสหายด้วยอายุไม่ต่างกันนัก จึงทำให้ดูห่างเหิน แต่ตอนนี้นางได้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ได้พยายามเอาอกเอาใจเช่นแต่ก่อน ไม่มีสายตารักใคร่ กลับเย็นชาเสียจนรู้สึกเหน็บหนาว เขาไม่ได้กลับมาแค่ครึ่งปีทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้เชียวรึ
      “ข้าเพียงคิดว่าที่ท่านถามจะเป็นเรื่องหย่าร้างเสียอีก”
 ร่างบางเอ่ยขึ้นด้วยความเบื่อหน่ายแต่ใบหน้ายังคงราบเรียบเช่นเดิม
      “เจ้าอยากหย่ากับข้าถึงเพียงนี้เลยรึ” “
      "อยากหย่าหรือไม่ ไม่สำคัญข้าเพียงคิดว่าท่านก็ไม่ได้รักข้ากลับเห็นเป็นสหายเสียมากกว่า ถ้าเช่นนั้นก็เป็นสหายเสียเลยจะดีกว่า จะได้ไม่มีคำว่าสามีภรรยามาทำให้ผูกมัดกัน”
     เฉินโม่เหยียนในตอนนี้กลับไม่คิดอยากจะหย่าขาดจากนาง ความรู้สึกรบกวนจิตใจในตอนนี้บอกเพียงว่า เขาไม่หย่าขาดจากนางแน่นอน
      ความรู้สึกเหมือนได้ทำสิ่งที่สำคัญหล่นหายไป ใบหน้าหล่อเหลาเรียบตึงด้วยความไม่พอใจจึงได้บอกปัดออกไป
      “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเอาไว้พูดคุยกันทีหลัง”
      เอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดไม่พอใจ ที่นางทำเหมือนมาเร่งรัดอิสระเสียรวดเร็วเช่นนี้ โจวฟางหลินรับรู้แล้วว่าคงคุยกันวันนี้ไม่ได้แล้ว จึงได้เอ่ยตัดบท
      “ถ้าเช่นนั้นวันใดที่ท่านพบสตรีที่พึงใจก็มาบอกกับข้าได้”
      ร่างบางเอ่ยขึ้นด้วยรู้ว่าสามีในนามผู้นี้ได้มีสตรีในดวงใจแล้ว ตอนนี้นางยังอยู่เมืองหลวง และอีกไม่นานนางจะเดินทางมาที่นี่ เมื่อไม่มีเรื่องใดจะพูดคุยต่อ ร่างบางจึงขอตัวกลับเรือน ด้วยนางเองก็ต้องการพักผ่อนเช่นกันร่างสูงกำยำจับจ้องแผ่นหลังที่ตั้งตรงของนางด้วยใจที่สั่นไหว อยากจะเรียกรั้งไว้ แต่ก็ไม่รู้จะหาเหตุผลอันใด จึงได้แต่ปล่อยนางเดินออกไปอย่างเงียบๆ
      โจวฟางหลินกลับมาถึงเรือน หนานกงได้ส่งจดหมายมาแจ้งว่ามีขโมยที่แต่งกายคล้ายชนเผ่านอกด่านได้มาขโมยอาวุธที่พึ่งถูกส่งมาในวันนี้ และได้จับไว้แล้วจะให้ทำอย่างไรต่อไป
      ร่างบางถอนหายใจ นึกแปลกใจอาวุธพึ่งถูกส่งเข้ามาในวันนี้แค่ไม่กี่ชั่วยาม ทำไมชนเผ่านอกด่านถึงได้รู้ไวเช่นนี้ และพวกชยงหนูก็ไม่น่าจะเข้ามาขโมยในที่ค่อนข้างไกลจากชายแดน ต้องมีคนเป็นสายแน่นอน จึงได้แอบออกไปที่โกดังอีกครั้งเพื่อจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้
      ในขณะที่โจวฟางหลินได้แอบออกไปด้วยไม่ได้ต้องการจะต้องไปแจ้งกับใครที่ต้องออกไปจากจวนอีกครั้ง
      เฉินโม่เหยียนที่เดินเล่นด้วยความว้าวุ่นใจที่ภรรยาในนามไม่ได้สนใจเขาเช่นเดิม ได้เห็นร่างบางได้แอบออกไปจากจวนเงียบๆ จึงได้ติดตามไปด้วยอยากรู้ว่า เย็นย่ำแล้วนางจะไปที่ใดอีก
      ร่างบางเดินทางด้วยรถม้าที่หนานกงจอดรอรับที่ด้านนอกจวน และเฉินโม่เหยียนได้กระโดดด้วยความคล่องแคล่วไปบนหลังคาของรถม้าขณะรถม้าออกตัวไปด้วยความรวดเร็ว
     ระยะทางที่รถม้าวิ่งไปค่อนข้างไกลพอสมควร ร่างสูงกำยำที่ยังอยู่บนหลังคารถม้ารู้สึกแปลกใจ สตรีผู้นี้จะสวมหมวกเขียวให้เขาจริงหรือแต่เขากลับไม่คิดว่ามันเป็นไปได้ แต่ก็ยังคิดไม่ตกว่านางออกมาเพื่อสิ่งใดจึงดูลึกลับเช่นนี้
      เมื่อมาถึงอาคารที่สร้างไว้ใหญ่โต ร่างสูงได้กระโดดลงมาตั้งแต่ก่อนจะเข้ามาในตัวอาคาร จึงได้เห็นร่างบางลงมาจากรถม้า ได้มีบุรุษมากมายหลายคนออกมาต้อนรับลักษณะเช่นคนงานทั่วไปยิ่งทำให้รู้สึกสงสัยมากขึ้นไปอีก
      “นายหญิงข้าได้จับหัวขโมยไว้ด้านในแล้วขอรับ”
      หนานกงได้รายงานหลังจากไปรับนายหญิงกลับมาที่นี่
      ร่างบางในชุดสีแดงจนเกือบดำสนิทมีผ้าคลุมปักลวดลายงดงาม เดินเข้าไปเป็นจังหว่ะฝีเท้าหนักแน่นมั่นคงช่างทำให้น่าเกรงขาม เมื่อเข้ามาด้านในจึงได้เห็นชายร่างสูงผิวคล้ำแดดแต่งกายด้วยชุดชนเผ่าอกด่าน ถูกจับมัดไว้บนเก้าอี้ใบหน้าเขียวช้ำกับการโดนทำร้ายมาอย่างหนัก
      “ใครส่งเจ้ามา” ร่างบางนั่งลงหลังตรงเอ่ยด้วยใบหน้าราบเรียบไม่สื่อถึงอารมณ์ใดๆ
      ชายหัวขโมยยกยิ้มคิดว่า ก็เป็นแค่เพียงสตรีจะทำอันใดได้ ถ้าไม่พูดเสียอย่าง อย่างเก่งก็แค่ตายแค่นั้น ไม่เอ่ยตอบและถ่มน้ำลายลงบนพื้นด้วยความหยาบคาย
      “หนานกง ถอดเล็บมันทีละเล็บตัดนิ้วทีละข้อ จนกว่ามันจะยอมรับว่าใครส่งมันมา ข้ามีวิธีเยอะแยะที่จะให้เจ้าถึงอยากตายก็ตายไม่ได้” โจวฟางหลิน เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา สายตาคมได้จับจ้องไปที่หัวขโมยที่ยังนั่งนิ่งแต่ใบหน้าเริ่มมีความกังวล ชายที่เข้ามาสืบตามคำสั่งได้แต่หวั่นใจว่าเรื่องคงไม่ง่ายอย่างทีคิดเสียแล้ว
      “ขอรับรายหญิง” หนานกงและคนงานที่ฝึกมาให้มาทำงานพร้อมกันได้จับชายร่างสูงที่เป็นหัวขโมยลงกับพื้น พร้อมกับนำคีมเหล็กดึงเล็บออกมาทีละนิ้ว เสียงร้องโหยหวนดังก้องจนคนงานที่ได้ยินหวาดผวา คิดไม่ถึงว่านายหญิงจะโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้
      เฉินโม่เหยียนถึงกับตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า เขาเป็นแม่ทัพที่ผ่านการเข่นฆ่ามามากมาย ที่เขาตกตะลึงด้วยสตรีตรงหน้าคือภรรยาของเขา ท่าทางน่าเกรงขาม คำสั่งที่เด็ดขาด มองดูการทรมานด้วยใบหน้าที่เฉยเมย นางยังใช่ภรรยาคนเดิมของเขาอยู่ไหม ไหนจะอาวุธเอามาจากไหนเยอะถึงเพียงนี้
      ชายร่างสูงหัวขโมยหมดสติไปด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ถูกสาดน้ำให้ฟื้นคืนสติมาอีกครั้ง จับจ้องสตรีตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว สตรีผู้นี้เหมือนปีศาจ โหดเหี้ยมยิ่งนักความรู้สึกที่ดูถูกแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวสุดชีวิต
      “ถ้าเจ้ายอมตายเพียงแค่ยากจะบอกว่าใครบงการก็ย่อมได้ หนานกงแล่เนื้อมันออกมาอย่าให้ตายราดน้ำเกลือไปด้วยดูซิว่าจะยังยอมตายอยู่รึไม่”
      โจวฟางหลินเอ่ยพร้อมตวัดสายตาไปที่หนานกง ว่าให้ทำตามที่นางสั่งเดี๋ยวนี้ หนานกงเคยเป็นนักฆ่ามาก่อนย่อมรู้วิธีการทรมานคนที่มีหลากหลายรูปแบบเพียงแต่ยังไม่เคยลงมือด้วยตนเองสักครั้งแต่ก็ใช่จะทำไม่ได้
      หัวขโมยที่ถูกส่งมาถึงกับหน้าถอดสีด้วยไม่คิดว่าสตรีตรงหน้าจะโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้ พลันร่างกายก็สั่นเทิ่มด้วยความหวาดกลัวอย่างหนัก
      “ข้ายอมแล้วข้าจะบอก”
     ชายร่างสูงที่โดนทรมานอย่างหนักเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอนด้วยความหวาดกลัว สตรีตรงหน้าโหดเหี้ยมเกินไป เขาต้องทนไม่ไหวแน่ๆ
      “เจ้าบอกมาว่าใคร”
     ร่างบางเอ่ยอย่างเกรียจคร้าน นางต้องการกลับไปพักผ่อนเต็มที วันนี้ช่างมีเรื่องราวมากเหลือเกิน
      “นายท่าน นายท่านเหลียวบอกให้มาดูลาดเลาว่าอาวุธอยู่ตรงไหน และมีคนเฝ้าตรงที่ใดบ้างและให้กลับไปแจ้ง จะได้วางแผนมาปล้นเอากลับคืน ข้าบอกไปแล้วท่านจะปล่อยข้าไปใช่รึไม่”
      หัวขโมยพูดด้วยนำเสียงหวาดกลัวจนตัวสั่นอย่างไม่สามารถบังคับร่างกายตนเองได้
 ร่างบางเพียงยกยิ้ม ใครเล่าจะปล่อยสุนัขที่พร้อมแว้งกัดไป นางไม่ชอบความยุ่งยาก สังหารทิ้งก็หมดปัญหาแล้ว
 เมื่อหนานกงสบสายตาของนายหญิงก็เข้าใจความหมาย คนผู้นี้ไม่อาจปล่อยไปได้จึงลากชายร่างสูงที่เป็นหัวขโมยไปด้านหลัง จากนั้นเสียงร้องก็ได้หยุดลง แต่ยังคงไม่เสียชีวิตในตอนนี้ ด้วยยังต้องเอาไว้ใช้ยามที่คนทรยศนางมาที่นี่เสียก่อน
 ถอนหายใจด้วยความเกียจคร้าน ก่อนจะกลับจวนได้เอ่ยกับมือขวาเช่นหนานกง
 “พรุ่งนี้ยังไม่ต้องไปส่งเกลือ ไปนำนายท่านเหลียวมาพบข้า มีเรื่องจะพูดคุยเสียหน่อย”
 “ขอรับนายหญิง” หนานกงเอ่ยออย่างนอบน้อม เขาเองก็ไม่คิดว่านายหญิงจะเด็ดขาดโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ แต่เขาคิดถูกแล้วที่ติดตามนายหญิง ถ้าไม่ได้ทำผิดชีวิตก็สุขสบายไม่ต้องเร่ร่อนถูกตามล่าเช่นวันวาน
 ใช่เขาคือนักฆ่าที่ทำงานผิดพลาดและโดนตามล่าเพื่อฆ่าปิดปาก แต่ที่ยอมขายตัวมาเป็นทาสเพียงเพราะภรรยาเสียชีวิตแต่เขาไม่มีแม้เงินทำศพ จึงต้องขายตัวมาในราคาสิบตำลึงเพื่อทำศพภรรยา ไม่สามารถหางานทำได้ตลอดเวลาต้องหลบหนีเอาชีวิตรอดกับภรรยา สุดท้ายภรรยาก็เจ็บป่วยจนเสียชีวิต
 ช่วงเวลานั้นเขาหมดอาลัยตายอยากในขีวิตถึงจะไม่ได้รักใคร่นางมากมายแต่ก็เป็นเพียงคนเดียวที่มาอยู่ในชีวิตทึ่แสนมืดมนของเขา จึงขายตัวมาเป็นทาสถ้าจะถูกจับได้ก็ไม่ได้สนใจอะไรแล้ว จนมาเจอกับนายหญิง ทีแรกก็คิดว่าจะเป็นใครก็ช่างที่ซื้อเขาไปแต่มาวันนี้เขากลับคิดว่าโชคดีที่นายหญิงถูกชะตากลับเขา
 เฉินโม่เหยียนหลังจากหายตกตะลึงกับสิ่งที่ภรรยาได้ทำลงไปจึงรีบกลับจวนไปก่อนล่วงหน้าด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง ภรรยาที่เขารู้จักนางอ่อนโยนยิ้มแย้มแจ่มใส แต่เวลานี้กลับสง่างามน่าเกรงขาม โหดเหี้ยมเด็ดขาดราวกับว่าไม่เคยรู้จักนางมาก่อน หรือแท้จริงนี่คือตัวตนจริงๆ
 เขาชอบสตรีอ่อนหวานเช่น หูไฉ่หยู แต่เมื่อมองนานๆก็รู้สึกเบื่อ นางคือสตรีเพียงคนเดียวที่เขานึกชอบพอ
 แต่สตรีที่เป็นภรรยาในตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ชอบ เวลาที่เห็นท่าทางเย็นชาเด็ดขาดแบบนั้นถึงกับสะกดสายตาให้ละจากนางไม่ได้กลับมีสเน่ห์อย่างบอกไม่ถูก ถ้าเปรียบใบหน้าที่งดงามกับหูไฉ่หยูู โจวฟางหลินอาจจะด้อยกว่าเล็กน้อย แต่นางในตอนนี้กลับทำให้รู้สึกใจเต้นทุกครั้งยามสบตาที่เย็นชาคู่นั้น
 ยามแสงตะวันสาดส่องลงมาของเช้าวันใหม่ ได้มีม้าเร็วจากกองทัพมาแจ้งว่า แคว้นเยี่ยนได้จัดทัพมาโจมตีตรงชายแดนติดกับเมืองอูเจิ้นให้แม่ทัพกลับไปที่กองทัพด่วนด้วยสถานการณ์ค่อนตึงเครียดเป็นอย่างมาก
 เฉินโม่เหยียนจึงต้องเตรียมตัวกลับกองทัพทั้งที่พึ่งกลับมาเพียงสามวัน จึงต้องไปบอกกับทุกคนเสียก่อน
 “ท่านย่า ท่านแม่ข้าคงต้องกลับกองทัพตอนนี้แคว้นเยี่ยนได้จัดทัพมารุกรานที่หัวเมืองอูเจิ้นแลัว”
 ร่างสูงกำยำได้เอ่ยออกมาอย่างกังวลในสถานการณ์ที่ตึงเครียด
 “ตายจริงแล้วแบบนี้ เราจะทำอย่างไรดี”
 ฮูหยินใหญ่ตื่นตระหนกเมื่อได้ยินว่าศัตรูได้มาประชิดถึงชายแดนแล้ว
 “เจ้าจะตื่นตูมไปใยถ้าไม่รู้จะพูดอะไรก็นิ่งเงียบเสียบ้าง”ฮูหยินผู้เฒ่าตวัดสายตามองลูกสะใภ้ที่ตื่นตูมจนไม่รักษากิริยา จนฮูหยินเฉาเสวี่ยนหลงมีใบหน้าสลดลง
 “เจ้ารีบไปเถอะ และเจ้าได้บอกกับฟางหลินรึยัง”
 ฮูหยินผู้เฒ่าได้เอ่อถามถึงหลานสะใภ้ที่ไม่ค่อยได้เจอะเจอกันบ่อยนักทั้งที่พักอยู่ในจวนเดียวกัน
 “เฮอะ วันๆออกไปแต่นอกจวนไม่สนใจจะปรนนิบัติสามีสักนิด”
 ฮูหยินเฉาเอ่ยขึ้นอย่างขัดใจกับสะใภ้ผู้นี้ นับวันยิ่งกระด้างกระเดื่องจนรู้สึกขัดตาไปเสียหมด
 “คำนับท่านย่า ท่านแม่ ท่านแม่ทัพ และอี้เหนียง”
 โจวฟางหลินมาที่นี่เพราะมีบ่าวไปแจ้งว่าฮูหยินผู้เฒ่าเรียกพบ มาได้ยินพอดีที่แม่สามีกำลังเหน็บแนมนางอยู่ แต่ก็ไม่ได้สนใจนักในเมื่อตกลงคิดจะเป็นเพียงสหายของสามี นางจะไม่คิดจะทำร้ายครอบครัวสหายอย่างแน่นอน
 เฉินโม่เหยียนรู้สึกขัดหูกับคำเรียกท่านแม่ทัพเสียจริง นางต้องเรียกเขาว่าท่านพี่ถึงจะถูก ทั้งๆที่เมื่อก่อนเขาหาสนใจไม่ว่าจะเรียกเขาว่าอย่างไรแต่วันนี้กลับไม่ชอบใจที่เรียกเขาเสียห่างเหินถึงเพียงนี้
 “มาแล้วรึ โม่เหยียนจะต้องกลับกองทัพตอนนี้จึงเรียกเจ้ามาจะได้บอกพร้อมกันทีเดียว”
 ฮูหยินผู้เฒ่าด้วยรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาคู่นี้ไม่ดีนัก จึงคิดว่าเรียกนางมารับฟังเสียเลยจะดีกว่า
 “เจ้าค่ะ”
 ร่างบางรับคำสั้นๆ ใบหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใดๆ
 “ไม่ห่วงสามีเลยรึ ข้าศึกมาประชิดใกล้ถึงเพียงนี้”
 ฮูหยินเฉายังเหน็บแนมลูกสะใภ้ที่ไม่ค่อยชอบหน้า
 “ข้าคงต้องไปแล้ว รักษาตัวด้วย”
 ร่างสูงกำยำรีบตัดบท เขาซึ่งรู้แล้วว่าภรรยาผู้นี้มิใช่ลูกพลับนิ่ม หากคนที่พูดจาเหน็บแนมไม่ใช่มารดาเขา ป่านนี้คงได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแน่นอน
 สายตาคมได้เหลือบมองร่างบางด้วยความรู้สึกใจหาย เขาไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน หรือเขาเริ่มมีความรู้สึกกับนางแล้วเช่นนั้นรึ คราวหน้าเมื่อได้กลับมาอีกครั้งจะได้พูดคุยให้กระจ่างเสียที
 เฉินโม่เหยียนได้เดินออกไปอย่างเร่งรีบ ทุกคนก็แยกย้ายกลับ ส่วนโจวฟางหลินถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายกับแม่สามีผู้นีัยิ่งนัก เมื่อไหร่จะได้ออกไปจากที่นี่เสียทีการถูกเฝ้าจับตาย่อมทำให้รู้สึกอึดอันเป็นอันมาก
 ฝากนิยายเรื่องใหม่ด้วยนะคะ รี๊ดที่น่ารักทุกคน
 หายสาบสูญแล้วนะ ยังไม่รู้ตัวอี๊ก ถ้าไม่ใช่แม่สามีป่านนี้ หายสาบสูญแล้วนะจ๊ะ😅😅😅😅