“หลินเอ๋อร์”
“จริงสิข้าก็ลืมถามไปเลยท่านเพิ่งกลับมาจากล่าสัตว์เหนื่อยมากหรือไม่เจ้าคะ”
“อะไรนะ”
หลี่หงอี้ได้ยินที่นางถามถึงกับงุนงงไปทันที เขาเองก็ยังนึกสงสัยอยู่ว่าสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขาผู้นี้คือหยวนจือหลินภรรยาตัวจริงของเขาหรือไม่ เหตุใดถึงได้ดูเปลี่ยนไปจากเดิมได้ถึงเพียงนี้
“ท่านพี่ ท่านพี่!”
“หืม? อะไรหรือ”
“เป็นอะไรไปเจ้าคะเมื่อครู่ข้าถามท่านว่าเหนื่อยมากหรือไม่”
“มะ ไม่เป็นอะไรข้าไม่เหนื่อยหรอกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไป จะว่าไปข้าได้หมูป่ามาตัวหนึ่งด้วยนะแต่ว่าตอนที่เดินมาถึงประตูรั้วได้ยินเสียงเจ้าร้องขึ้นมาพอดีจึงโยนมันทิ้งเอาไว้ตรงนั้น ข้าจะรีบไปเอามาเดี๋ยวนี้”
“อะไรนะ! นี่ท่านกล้าทิ้งหมูป่าเอาไว้หน้าประตูได้อย่างไรกัน”
“ข้าขอโทษ ก็ข้าตกใจนึกว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้านี่นา”
“ท่านรีบไปเอาเข้ามาในบ้านเลยนะรู้หรือไม่ว่าหมูป่าไม่ใช่ของที่ใครจะล่ามาได้ง่ายๆ เกิดมีคนขโมยไปไม่เสียดายแย่หรือ”
“รู้แล้วๆ ไปเดี๋ยวล่ะ”
เขาพูดจบก็รีบเดินไปที่หน้าประตูรั้วด้วยความรวดเร็ว หยวนจือหลินเองก็รีบเดินตามหลังเขาไปติดๆ โดยมีเด็กๆ ทั้งสองเดินตามนางมาด้วย
หมูป่าที่หลี่หงอี้ล่ามาได้นั้นตัวใหญ่มากจริงๆ ช่างน่าทึ่งอะไรเช่นนี้ที่เขาสามารถล่าสัตว์ตัวใหญ่ๆ ได้ถึงเพียงนี้ เป็นแบบนี้บ้านของเราก็มีวัตถุดิบชั้นเยี่ยมติดครัวแบบไม่ต้องเสียเงินซื้อกันแล้ว
“ท่านล่าหมูป่าด้วยตัวเองเลยหรือเจ้าคะ”
“เมื่อวานข้าวางกับดักเอาไว้น่ะ พอเช้ามาได้ยินเสียงร้องเลยรีบไปดูก็เจอมันนอนนิ่งไปแล้ว"
"อย่างนั้นหรือเจ้าคะ"
"ใช่แล้วล่ะ ข้าเก็บผลส้มกับข้าวโพดมาให้เจ้าด้วยนะอยู่ในตะกร้านั่นอย่างไรล่ะ”
หลี่หงอี้กำลังจะลุกขึ้นไปหยิบตะกร้ามาให้นางแต่ก็ถูกหยวนจือหลินจับที่ไหล่ของเขาเอาไว้ก่อน
“ท่านนั่งตรงนี้แหล่ะข้าไปเอง”
“แต่ว่า”
หยวนจือหลินไม่ฟังที่เขาพูดนางรีบเดินไปหยิบเอาตะกร้าที่อยู่ห่างกันออกไปเพียงห้าหกก้าวเท่านั้น เมื่อหยิบขึ้นมาก็พบว่ามีผลส้มและผลท้ออยู่เกือบเต็มตะกร้า ข้าวโพดอีกราวๆ สิบฝักเห็นจะได้
“นี่ท่านไปเก็บข้าวโพดมาจากที่ไหนกันหรือเจ้าคะ”
“แถวๆ ชายป่าหลังหุบเขาน่ะที่ตรงนั้นมีเยอะเลยแต่ข้าเอามาไม่หมด”
“เช่นนั้นวันหลังท่านพาข้าไปด้วยได้หรือไม่ ข้าอยากนำมาทำอาหารให้เด็กๆ กินน่ะเจ้าค่ะ”
“ได้สิ แล้วหมูตัวนี้ล่ะเจ้าจะนำไปให้….”
“ให้ใครเจ้าคะ”
“จะให้ข้านำไปให้ใต้เท้าเจิ้งหรือไม่ เห็นวันก่อนเจ้าบอกว่าใต้เท้าเจิ้งอยากได้เนื้อหมู”
“เขาสั่งเอาไว้งั้นหรือ”
หลี่หงอี้ไม่ตอบเขามองหน้านางก่อนจะนิ่งเงียบไปจนหยวนจือหลินเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าที่เขาถามเช่นนั้นมันหมายความว่าอย่างไร เพราะความทรงจำที่นางนึกได้ก็มีเพียงแค่นิสัยเสียๆ ของหยวนจือหลินคนก่อนที่กระทำกับสามีและลูกน้อยเท่านั้นส่วนเรื่องอื่นนางยังคงนึกไม่ออกสักเรื่อง
‘ไม่สิใต้เท้าเจิ้งงั้นหรือ? ใต้เท้าเจิ้งผู้ดูแลหอโคมแดงผู้นั้นหรือไม่นะ หากว่าเป็นเขาจริงๆ แล้วล่ะก็ คนผู้นั้นก็คือคนที่ชักชวนให้นางทิ้งสามีไม่เอาไหนกับลูกๆ ของนางมาใช้ชีวิตเป็นฮูหยินรองกับเขาไม่ใช่หรือ’
“บ้าจริง!”
“อะไรหรือ”
“ไม่มีอะไรเจ้าคะท่านรีบจัดการกับเนื้อหมูตัวนี้แล้วนำไปขายแลกข้าวสารดีกว่านะเจ้าคะ ข้าวสารของบ้านเราจะหมดแล้ว”
“เอาอย่างงั้นหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิเจ้าคะ” หยวนจือหลินตอบเขาเสียงแข็งทั้งยังจ้องมองผู้เป็นสามีจนหลี่หงอี้นิ่งอึ้งไปทันที
“เช่นนั้นก็ได้ข้าจะนำไปขายที่ตลาดเอง”
หลี่หงอี้พูดจบก็ยิ้มอย่างสดใสให้นาง เดิมเขาคิดว่าหยวนจือหลินจะให้นำหมูตัวนี้ไปให้ใต้เท้าผู้นั้นเสียอีก ที่ผ่านมาไม่ว่านางจะสั่งให้เขาทำสิ่งใดเขาก็ทำตามที่นางต้องการทุกอย่างไม่ว่านางจะนอกใจเขาไปเกี้ยวกับบุรุษคนอื่นอีกสักกี่ครั้งเขาก็ให้อภัยนางเสมอไม่รู้เพราะอะไรถึงไม่ยอมจดจำเสียที เพราะรักนางมากเช่นนั้นหรือ?
เมื่อหลี่หงอี้แล่เนื้อหมูเรียบร้อยก็แบ่งส่วนหนึ่งเอาไว้ให้นางทำอาหารส่วนที่เหลือเขาห่อด้วยใบตองแล้วนำใส่ตระกร้าแบกขึ้นสะพายหลังแล้วรีบเดินออกจากบ้านไปอย่างอารมณ์ดีเพื่อไปขายที่ตลาดในหมู่บ้าน
หยวนจือหลินมองตามแผ่นหลังแกร่งนั้นไปจนลับสายตา นางยังคงคิดหาสาเหตุที่หยวนจือหลินคนก่อนคิดที่จะทอดทิ้งสามีที่ดีและลูกๆ ที่น่ารักได้ถึงเพียงนี้ไม่ออกเช่นกัน
“ท่านแม่ ท่านจะทำอะไรให้พวกข้ากินหรือเจ้าคะ”
“หลายอย่างเลยล่ะ พวกเจ้าเข้าไปนั่งรอข้างในก่อนเถอะนะ”
“เจ้าค่ะ / ขอรับ”
วันนี้นางทำผัดหมูใส่ไข่ไก่ที่เก็บมาจากมิติวิเศษและข้าวต้มหมู นางแล่เนื้อหมูบางส่วนมาย่างเพื่อเป็นอาหารว่างของเด็กๆ ส่วนที่เหลือก็ทำเป็นเนื้อแดดเดียวเพื่อเก็บไว้กินในวันต่อไป
เวลาล่วงเลยไปราวๆ หนึ่งชั่วยาม[1] หลี่หงอี้ก็กลับมาจากขายตลาด เขาแบกข้าวสารกลับมาด้วยหนึ่งกระสอบเมื่อได้กลิ่นอาหารที่หอมลอยออกมาจากห้องครัวก็ทำให้ท้องของเขาร้องจ๊อกๆ ออกมาทันที
“ท่านพี่กลับมาแล้วหรือ ไปอาบน้ำก่อนสิเจ้าคะจะได้มากินข้าวกัน”
“เจ้าทำอาหารพวกนี้เองเลยงั้นหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิรีบไปเร็วเข้าดูท่าทางเด็กๆ จะหิวกันแล้ว”
“ไปเร็วเจ้าค่ะท่านพ่อ”
“รู้แล้วๆ”
หลี่หงอี้วางกระสอบข้าวเอาไว้ตรงด้านในห้องครัวแล้วรีบปลีกตัวเดินเข้าไปยังห้องนอนเพื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมไปอาบน้ำ
หยวนจือหลินวันนี้ทั้งวันนางทำความสะอาดบ้านแล้วก็มาทำอาหารเมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ทันได้เตรียมเสื้อผ้าให้เขาก็รีบเดินแกมวิ่งตรงไปยังห้องนอนด้วยความรวดเร็ว ขณะที่เปิดประตูเข้าไปพลันสายตาของนางก็พบเข้ากับแผ่นหลังที่เปลือยเปล่าของเขา
“ว๊าย!”
- - - - - - - - - -
[1] หนึ่งชั่วยาม = 2 ชั่วโมง
หมวกควันสีแดงลอยปกคลุมไปทั่วพื้นที่ดูเหมือนเลือดที่ค่อยๆ กลืนกินทุกสิ่ง วิญญาณของผู้เสียชีวิตจากฝีมือของนางค่อยๆ ปรากฎตัวขึ้นในหมอกนั้น“ปล่อยข้าออกไปนะ ปล่อยข้าออกไป”‘ฮึๆๆ ฮ่าๆๆๆ’“น่ะ…นั่นใคร เสียงใครกันออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”‘น้องหญิงเจ้าลืมพี่สาวเช่นข้าไปแล้วหรือ’“จะ เจ้า หยวนจือหลิน!”‘ใช่แล้ว ข้าเอง’“เจ้ามาทำไม เจ้าจะทำอะไรข้า”‘ข้าก็มาเอาชีวิตของเจ้าอย่างไรเล่า’“กรี๊ดดดด! ออกไปนะออกไป!”‘เจ้าทำให้ข้าเป็นเช่นนี้ข้าก็จะลากเจ้าไปลงนรกพร้อมกันกับข้า!’“กรี๊ดดดดด! ม่ายยย!”‘ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า’หน้าผาที่ถูกเชื่อว่าเป็นที่สาปแช่งของหญิงสาวที่ฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังจากความรักนั้น เมื่อมีใครมายืนอยู่ที่หน้าผาเงาดำของหญิงสาวจะปรากฎและดึงพวกเขาให้ตกลงไปตายเหมือนพวกนางนางก็เช่นกัน
“พ่อบ้านซือท่านออกมาข้างนอกเร็วเข้า!”“อะไรของพวกเจ้าเนี่ยเรียกอยู่ได้ ข้ายุ่งอยู่ไม่เห็นหรืออย่างไร”“ฮูหยินมาแล้ว ท่านแม่ทัพพาฮูหยินกลับมาแล้ว”“อะ อะไรนะ! แล้วพวกเจ้าจะยืนรออะไรอยู่เล่ารีบออกไปรับพวกท่านเร็วเข้าสิ”พ่อบ้านซือตะโกนดังลั่นไปทั่วทั้งจวนก่อนจะรนรานรีบวิ่งออกไปหน้าประตูจวนด้วยความรวดเร็วจนเกือบจะสะดุดขาตนเองไปเสียแล้ว ภายใต้สายตางุนงงของแม่นมจางและลี่เหมยหัวหน้าบ่าวรับใช้ผู้ดูแลจวนแม่ทัพหลี่“อ้าวเป็นงั้นไปเมื่อครู่ยังดุพวกเราอยู่เลยนะเจ้าคะแม่นม”“ช่างเถอะน่าไปรับนายท่านกันลี่เหมย”“เจ้าค่ะแม่นมจาง”บรรดาบ่าวรับใช้ในจวนต่างก็ออกมายืนรอรับแม่ทัพหลี่และฮูหยินกันจนเต็มหน้าประตูจวน เด็กๆ เองเมื่อเห็นจวนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าก็ดูตื่นเต้นกันยกใหญ่“โอ้โหท่านพ่อนี่พวกข้าจะได้อยู่ที่นี่กันจริงๆ หรือขอรับ”“ใช่แล้วล่ะต่อจากนี้ไปที่นี่คือบ้านของพวกเรานะ”“ว้าวใหญ่โตมากเลยเจ้าค่ะท่านพ่อ
การเดินทางจากเมืองลั่วอันที่อยู่ฝั่งตะวันออกของแคว้นต้าฮั่นมายังเมืองหลวงนั้นใช้เวลาประมาณเจ็ดวัน เดิมทีหลี่หงอี้คิดว่าเด็กๆ จะเหนื่อยล้ากับการเดินทางไกลกันแต่กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงพวกเขาดูสนุกสนานและตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นสีสันของเมืองหลวงยิ่งนักหยวนจือหลินนั่งมองทิวทัศน์ในรถม้าเพียงลำพังปล่อยให้อาเฟยออกมานั่งม้ากับหย่งฉีส่วนอาชิงก็ออกมานั่งม้าตัวเดียวกันกับบิดาของนาง พวกเด็กๆ ดูจะชื่นชอบที่ได้ขี่ม้ากันเป็นอย่างมาก“หย่งฉีข้าอยากขี่ม้าเองบ้าง”“นายน้อยรอท่านโตอีกหน่อยข้าจะสอนท่านเองนะขอรับ แต่ตอนนี้ท่านยังเด็กนักเกรงว่าจะยังควบคุมม้าเองไม่ได้”“ข้าไม่เด็กแล้วนะ”อาเฟยพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนถูกขัดใจทั้งยังกอดอกแสดงให้เห็นว่ากำลังไม่พอใจคนสนิทของผู้เป็นบิดาอย่างมาก“อะ เอ่อ”หย่งฉีหันไปขอความช่วยเหลือจากแม่ทัพหลี่หงอี้เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายพยักหน้าให้ เขาจึงยอมให้อาเฟยมาควบม้าต่อจากตนเองทันทีหย่งฉีปล่อยมือจากบังเหียนแล้วให้นายน้อยของเขาบังคับม้าต่อแรกเริ่มเขาก็กลัวว่
“ใครบอกว่าข้าจะไม่กลับเล่าเจ้าคะ”“เจ้าว่าอะไรนะ”
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบครึ่งเดือนแล้ว ใต้เท้าหยวนบิดาของหยวนจือหลินก็ยังคงปักหลักที่เมืองลั่วอันแห่งนี้ไม่ยอมกลับเมืองหลวงไปเสียทีจนนางคร้านที่จะสนใจเขาแล้ว ขอเพียงแค่ครอบครัวของนางในเวลานี้นั้นมีความสุขก็เพียงพอแล้ว“อร่อยมากเลยขอรับฮูหยิน” หย่งฉีบอกนางทั้งๆ ที่ข้าวยังเต็มปากทั้งอย่างนั้น”
“อาเฟย อาชิงมานี่สิ”“เจ้าค่า/ขอรับ”“มาไหว้ท่านตาสิลูก”เด็กน้อยทั้งสองที่ได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นมารดาบอกแม้จะงุนงงเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินเข้ามาหานางอย่างไม่อิดออดแต่อย่างใด“พวกข้ามีท่านตาด้วยหรือขอรับท่านแม่”“มีสิ แล้วก็นั่งอยู่ตรงนี้แล้วมาให้ตากอดหน่อยสิหลานรัก”เด็กน้อยทั้งสองหันไปมองหยวนจือหลินเมื่อเห็นว่านางพยักหน้าให้ก็ส่งยิ้มกว้างก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหาชายชราผู้นั้นท่ามกลางเสียงหัวเราะยินดีของเขา“นี่ตามีของเล่นมาให้พวกเจ้าด้วยนะ อาเฉินเอาของเล่นมาให้หลานของข้าเร็วเข้า”“ขอรับใต้เท้า”‘มาที่นี่เพื่อมาหาหลานจริงๆ ด้วย’หยวนจือหลินยืนกอดอกมองดูสามตาหลานที่กำลังพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานโดยมีหลี่หงอี้ยืนอยู่ข้างๆ นาง สองแขนของเขาโอบกอดนางเบาๆ“เป็นอะไรไปเหตุใดถึงหน้างอเช่นนั้นกัน”“ไหนท่านบอกว่าเขามาที่นี่เพื่อปรับความเข้าใจกับข้าอย่างไรล่ะ”“ก็ถูกแล้วนี่นา&r