“ท่านแม่ ท่านแม่เจ้าคะ”
เสียงน้อยๆ ของอาชิงกำลังร้องเรียกหานางอยู่ หยวนจือหลินหันซ้ายหันขวากำลังจะหาที่หลบแต่เมื่อสังเกตดูกลับพบว่าอาชิงมองไม่เห็นว่านางยืนอยู่ข้างในนี้
“เป็นไปได้อย่างไรกัน”
“อาชิง อาชิงได้ยินข้าหรือไม่”
หยวนจือหลินชั่งใจลองตะโกนเรียกนางแต่ดูเหมือนเด็กน้อยจะไม่ได้ยินที่นางร้องเรียกสักเพียงนิด เมื่อเด็กหญิงตัวน้อยมองไม่เห็นผู้เป็นมารดาจึงหันหลังวิ่งออกไปจากห้องครัวทันที
“เฮ้อ โล่งอกไปทีนึกว่าจะมีคนเห็นข้าเสียแล้วไหนดูสิที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่”
สถานที่ที่นางหลุดเข้ามาเหมือนเป็นห้องเก็บวัตถุดิบทั้งของสดของแห้ง ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนักที่พบว่าของพวกนี้ยังคงใช้งานได้และมีทุกสิ่งที่นางต้องการ
นางหยิบเอาถุงเครื่องปรุงรสต่างๆ และเมล็ดพันธุ์ผักอีกหลายชนิดติดมือออกมาด้วย
‘ดีล่ะใช้เครื่องปรุงพวกนี้ทำอาหารไปก่อนแล้วกัน’
หยวนจือหลินเดินออกมาจากมิติวิเศษนั้นแล้วนำของที่หยิบติดมือมาด้วยวางไว้ในตะกร้าเก็บของ ก่อนจะหยิบผงปรุงรสมาโรยใส่ในหม้อข้าวต้ม
“ท่านแม่!”
“ว๊ายตาเถร!”
“เอ๋? เมื่อครู่ท่านแม่พูดว่าอะไรนะเจ้าคะ”
“ไม่มีอะไรหรอกอย่าสนใจไปเลย ว่าแต่เจ้าเข้ามาทำไมไม่ให้ซุ่มให้เสียงกันข้าตกใจหมดเลย”
“ก็ข้าเรียกท่านแม่ตั้งนานแล้ว เมื่อครู่ก็เพิ่งจะเข้ามาข้างในแต่กลับไม่เห็นท่านเลยเจ้าค่ะ”
“คือว่า…ข้าออกไปหาของมาทำอาหารให้พวกเจ้าน่ะ หิวมากงั้นหรือ?”
“เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็รออีกครู่เดียวเดี๋ยวก็เสร็จแล้วล่ะ”
“ได้เจ้าค่ะ อาชิงจะไปรอท่านแม่ข้างนอกนะเจ้าคะ”
“อืม ไปเถอะ”
หยวนจือหลินหันหลังกลับไปปรุงอาหารต่อไม่นานก็ยกหม้อข้าวต้มที่ทำเสร็จแล้วลงจากเตาไฟแล้วตักใส่ชามให้เด็กๆ คนละชาม ไม่ลืมที่จะตักเผื่อไว้ให้สามีของเจ้าของร่างนี้อีกด้วย
นางหยิบเอาชามข้าวต้มวางไว้ในถาดไม้แล้วปิดฝาไว้ก่อนจะยกออกไปยังห้องโถงของบ้าน เด็กๆ ทั้งสองคนนั่งหันหลังบนเก้าอี้จึงไม่เห็นว่านางเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่
“อาเฟย”
“ทะ ท่านแม่!”
“เรียกแค่นี้เจ้าต้องตกใจด้วยงั้นหรือ”
“คือว่าข้า…”
“มากินข้าวได้แล้ว”
“ขอรับ”
“ท่านพ่อของพวกเจ้าจะกลับมาตอนไหนหรือ”
“ยามอู่[1] ก็กลับแล้วขอรับท่านแม่”
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็กินกันไปก่อนเลยหากว่ากินเสร็จแล้วก็เอาชามข้าวไปวางไว้ในถังน้ำ ข้าจะล้างเองเข้าใจหรือไม่”
“ขอรับ / เจ้าค่ะ”
หยวนจือหลินลุกขึ้นและหยิบเอาชามข้าวที่ตักเผื่อหลี่หงอี้ติดมือมาด้วย นางยกซดทีละนิดก่อนจะเดินสำรวจบ้านหลังนี้ไปจนทั่วอีกครั้ง
นางเดินมาจนถึงห้องที่คาดว่าเอาไว้เก็บของเมื่อเข้าไปดูก็เห็นว่าภายในห้องนั้นมีหีบไม้เก่าๆ หลายใบวางซ้อนกันเอาไว้บางใบมีการตกแต่งด้วยลวดลายทองและมังกร เมื่อเปิดดูภายในกลับพบว่ามีเครื่องลายครามเก่าๆ ถูกวางอยู่ในหีบอย่างเป็นระเบียบ‘ของพวกนี้มันควรที่จะเป็นของคนที่มีฐานะที่ดีกว่านี้ไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดพวกเขาถึงมีมันอยู่กับตัวกันเล่าดูเหมือนจะไม่ได้ถูกเปิดใช้งานมานานแล้ว เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ’
เพราะความทรงจำบางส่วนที่ขาดหายไปทำให้หยวนจือหลินยืนงงงวยกับภาพตรงหน้าที่เห็นเพราะของใช้บางอย่างก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรเก็บ
‘พวกเขาจะเก็บเอาไว้ทำไมกันนะปลวกได้แทะบ้านพังพอดี ในเมื่อตอนนี้ข้าคือเจ้าของร่างๆ นี้แล้ว เช่นนั้นก็ขอจัดระเบียบหน่อยก็แล้วกันนะ รกหูรกตาเสียจริง’
หากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมไม่ผิดเพี้ยนไปบ้านหลังนี้น่าจะเป็นเรือนหอที่หลี่หงอี้ใช้เงินก้อนสุดท้ายของเขาซื้อไว้เพื่อพานางมาอยู่ด้วย สมบัติชิ้นนี้จึงเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในครอบครัวของพวกเขาแล้ว
แม้ว่าบ้านหลังนี้จะไม่ได้ใหญ่โตมากนักแต่ก็ไม่ได้เก่าซอมซ่อจนถึงกับจะอยู่กันไม่ได้แต่ไม่รู้เพราะอะไรถึงได้สกปรกเช่นนี้ ข้าวของที่หักพังเสียหายไปแล้วกลับไม่มีผู้ใดเก็บทิ้งไปเสียอย่างนั้น
หยวนจือหลินคนเก่าผู้นั้นคงจะเกียจคร้านน่าดูถึงได้ปล่อยให้บ้านรกรุงรังถึงเพียงนี้ทั้งยังไม่ดูแลสามีและลูกๆ ที่น่ารักให้ดีอีก
ในทุกยุคทุกสมัยจะไปหาบุรษที่ซื่อสัตย์และรักจริงเช่นนี้ได้จากที่ไหนกัน หยวนจือหลินนะหยวนจือหลินเจ้าช่างโง่เขลาเสียจริง
นางบ่นๆ ในใจเพียงลำพังก่อนจะวางชามข้าวไว้ในถังใส่น้ำเพื่อเตรียมล้างพร้อมกันกับชามของเด็กๆ นางเดินไปตักน้ำใส่ไว้ในถังอีกใบเพื่อเตรียมทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่
‘ในเมื่อข้าเข้ามาอยู่ในร่างของเจ้าแล้ว ก็ขอทำอะไรตามใจตัวเองบ้างแล้วกันนะ’
หยวนจือหลินเริ่มยกสิ่งของที่คาดว่าจะไม่สามารถนำมาใช้งานได้อีกแล้วขนออกมาวางไว้ตรงลานว่างหน้าบ้านทีละชิ้น เมื่อเด็กๆ ทั้งสองได้ยินเสียงของแตกหักพังและเสียงดังโครมๆ อยู่หน้าบ้านจึงรีบวิ่งมาดูก็เห็นว่าผู้เป็นมารดากำลังขนของออกมาจากบ้านเยอะแยะมากมาย เด็กๆ ทั้งสองได้แต่ยืนอ้าปากค้างมองนางด้วยความสงสัย
“ท่านแม่จะทำอะไรหรือเจ้าคะ”
อาชิงรีบวิ่งเข้ามาหาหยวนจือหลินทันทีที่เห็นนางเริ่มยกของออกมาจากบ้านอีกแล้ว
“ท่านแม่จะทิ้งพวกข้าไปอีกแล้วหรือเจ้าคะ”
“ทิ้งอะไรของเจ้า อะ..โอ๊ย! หลังข้า”
“ท่านแม่! / ท่านแม่!”
“ท่านแม่เป็นอะไรไปขอรับ ข้านวดให้นะขอรับ”
“ไม่เป็นอะไรก็แค่ยกของหนักไปหน่อยน่ะ”
หยวนจือหลินค่อยๆ นั่งลงตรงบันไดหน้าบ้านโดยมีเด็กๆ ทั้งสองใช้มือเล็กๆ ทุบที่หลังให้
“หลินเอ๋อร์!!”
เสียงทุ้มที่ดูจะตื่นตกใจของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นที่หน้าประตูรั้วบ้าน หยวนจือหลินหันไปมองช้าๆ นอกจากเอวจะเคล็ดแล้วคอของนางก็น่าจะเคล็ดไปด้วยแล้วกระมัง ‘ปวดฉิบหายเลย’
‘โฮกกก!...นั่นใช่สามีของหยวนจือหลินจริงๆ น่ะหรือ หล่อเหลาไม่ใช่เล่นเลยแฮะ’
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ตรงหน้านางนี้ช่างสง่างามเสียจริง ใบหน้าของเขาคมเข้มแต่กลับมีผิวที่เนียนละเอียด ดวงตาคมคายมีนัยน์ตาสีดำลึกซึ้งราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืนดูแล้วมีเสน่ห์ยิ่งนัก
‘จะหลงรักสามีของคนอื่นไม่ได้นะ ถ้าเจ้าของร่างกลับมานางไม่แย่หรือ’
“ทะ ท่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันหรือเจ้าคะ”
“หลินเอ๋อร์เจ้าทำอะไรหรือ เจ้าจะทิ้งข้ากับลูกไปอีกแล้วหรือ”
“ทิ้งอะไรของท่านกันหากข้าจะไปไหนมาไหนก็ต้องแบกของพวกนี้ไปด้วยเช่นนั้นหรือ อะ..โอ้ย! หลังข้า”
“หลินเอ๋อร์เจ้าเป็นอะไรไปหรือ”
“ข้าแบกของพวกนี้จนปวดหลังไปหมดแล้วดูสิเอวของข้าก็น่าจะเคล็ดไปแล้วด้วย ท่านมาก็ดีแล้วของที่ข้ากองทิ้งไว้ตรงหน้าประตูนั่นท่านช่วยขนไปวางไว้ตรงลานหน้าบ้านให้หมดเลยนะเจ้าคะ”
“เจ้าจะทำอะไรหรือ”
“เผาทิ้งน่ะสิถามมาได้”
“อะไรนะ!” เสียงอุทานด้วยความตกใจของทั้งสามคนดังขึ้นข้างๆ หูของนางจนหยวนจือหลินต้องรีบปิดหูเอาไว้
“ตกใจอะไรกันก็ของพวกนี้เก่ามากแล้วใช้ประโยชน์ก็ไม่ได้จะเก็บไว้ทำไมกันเล่า”
“แต่นี่เป็นของที่เจ้ารักมากเลยนะ”
“รักมากแต่ใช้ไม่ได้ข้าก็ไม่ต้องการ อ้าว! ช้าอยู่ทำไมไปขนมาสิเจ้าคะ”
“รู้แล้วๆ”
หลี่หงอี้รีบวิ่งเข้าไปในบ้านก่อนจะขนของที่หยวนจือหลินคัดออกมาทิ้งไว้กลางลานหน้าบ้านจนหมด
“ท่านจุดไฟเผามันทีข้าจุดไม่เป็น”
“เผาเลยหรือ”
“หรือท่านจะเก็บเอาไว้เผาพร้อมท่านกันเล่า”
“แฮะๆ ไม่ดีกว่า”
หลี่หงอี้ลงมือจุดไฟเผาของใช้เก่าๆ เพียงครู่เดียวไฟก็ลุกท่วมจนเผาของทั้งหมดมอดไหม้ในเวลาไม่นาน
‘ตอนข้าจุดไฟเองเล่นเอาเหงื่อท่วมตัวไปเลย แต่เหตุใดเขาจุดเพียงครั้งเดียวก็ติดแล้วล่ะ’
‘เอาล่ะในเมื่อจัดการเก็บกวาดบ้านเรียบร้อยแล้วต่อไปก็คงต้องคิดวิธีหาเงินเข้าบ้านเสียแล้ว’
หยวนจือหลินค่อยๆ ลุกขึ้นก่อนจะบิดแขนไปมาแล้วเดินหันหลังกลับเข้าไปในบ้านทันทีท่ามกลางสายตาที่งุนงงของสามพ่อลูก
“ท่านแม่ของพวกเจ้าดูแปลกๆ ไปนะ”
“ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือขอรับท่านพ่อ”
จากนั้นอาเฟยก็เล่าให้บิดาของเขาฟังเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้กับผู้เป็นมารดาของพวกเขา หลี่หงอี้เองที่ยังคงสงสัยในตัวของภรรยาอยู่ก็คิดตามที่ลูกชายบอก
‘จริงสินะหยวนจือหลินที่เป็นแบบนี้ก็ยังดีกว่าหยวนจือหลินคนก่อนเยอะเลยทีเดียว’
จากนั้นสามพ่อลูกก็ก้าวเท้าเดินตามนางเข้าไปในบ้านพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูมีความสุขยิ่งนัก
- - - - - - - - - - - -
[1] ยามอู่ = 11.00-13.00 น.
หมวกควันสีแดงลอยปกคลุมไปทั่วพื้นที่ดูเหมือนเลือดที่ค่อยๆ กลืนกินทุกสิ่ง วิญญาณของผู้เสียชีวิตจากฝีมือของนางค่อยๆ ปรากฎตัวขึ้นในหมอกนั้น“ปล่อยข้าออกไปนะ ปล่อยข้าออกไป”‘ฮึๆๆ ฮ่าๆๆๆ’“น่ะ…นั่นใคร เสียงใครกันออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”‘น้องหญิงเจ้าลืมพี่สาวเช่นข้าไปแล้วหรือ’“จะ เจ้า หยวนจือหลิน!”‘ใช่แล้ว ข้าเอง’“เจ้ามาทำไม เจ้าจะทำอะไรข้า”‘ข้าก็มาเอาชีวิตของเจ้าอย่างไรเล่า’“กรี๊ดดดด! ออกไปนะออกไป!”‘เจ้าทำให้ข้าเป็นเช่นนี้ข้าก็จะลากเจ้าไปลงนรกพร้อมกันกับข้า!’“กรี๊ดดดดด! ม่ายยย!”‘ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า’หน้าผาที่ถูกเชื่อว่าเป็นที่สาปแช่งของหญิงสาวที่ฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังจากความรักนั้น เมื่อมีใครมายืนอยู่ที่หน้าผาเงาดำของหญิงสาวจะปรากฎและดึงพวกเขาให้ตกลงไปตายเหมือนพวกนางนางก็เช่นกัน
“พ่อบ้านซือท่านออกมาข้างนอกเร็วเข้า!”“อะไรของพวกเจ้าเนี่ยเรียกอยู่ได้ ข้ายุ่งอยู่ไม่เห็นหรืออย่างไร”“ฮูหยินมาแล้ว ท่านแม่ทัพพาฮูหยินกลับมาแล้ว”“อะ อะไรนะ! แล้วพวกเจ้าจะยืนรออะไรอยู่เล่ารีบออกไปรับพวกท่านเร็วเข้าสิ”พ่อบ้านซือตะโกนดังลั่นไปทั่วทั้งจวนก่อนจะรนรานรีบวิ่งออกไปหน้าประตูจวนด้วยความรวดเร็วจนเกือบจะสะดุดขาตนเองไปเสียแล้ว ภายใต้สายตางุนงงของแม่นมจางและลี่เหมยหัวหน้าบ่าวรับใช้ผู้ดูแลจวนแม่ทัพหลี่“อ้าวเป็นงั้นไปเมื่อครู่ยังดุพวกเราอยู่เลยนะเจ้าคะแม่นม”“ช่างเถอะน่าไปรับนายท่านกันลี่เหมย”“เจ้าค่ะแม่นมจาง”บรรดาบ่าวรับใช้ในจวนต่างก็ออกมายืนรอรับแม่ทัพหลี่และฮูหยินกันจนเต็มหน้าประตูจวน เด็กๆ เองเมื่อเห็นจวนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าก็ดูตื่นเต้นกันยกใหญ่“โอ้โหท่านพ่อนี่พวกข้าจะได้อยู่ที่นี่กันจริงๆ หรือขอรับ”“ใช่แล้วล่ะต่อจากนี้ไปที่นี่คือบ้านของพวกเรานะ”“ว้าวใหญ่โตมากเลยเจ้าค่ะท่านพ่อ
การเดินทางจากเมืองลั่วอันที่อยู่ฝั่งตะวันออกของแคว้นต้าฮั่นมายังเมืองหลวงนั้นใช้เวลาประมาณเจ็ดวัน เดิมทีหลี่หงอี้คิดว่าเด็กๆ จะเหนื่อยล้ากับการเดินทางไกลกันแต่กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงพวกเขาดูสนุกสนานและตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นสีสันของเมืองหลวงยิ่งนักหยวนจือหลินนั่งมองทิวทัศน์ในรถม้าเพียงลำพังปล่อยให้อาเฟยออกมานั่งม้ากับหย่งฉีส่วนอาชิงก็ออกมานั่งม้าตัวเดียวกันกับบิดาของนาง พวกเด็กๆ ดูจะชื่นชอบที่ได้ขี่ม้ากันเป็นอย่างมาก“หย่งฉีข้าอยากขี่ม้าเองบ้าง”“นายน้อยรอท่านโตอีกหน่อยข้าจะสอนท่านเองนะขอรับ แต่ตอนนี้ท่านยังเด็กนักเกรงว่าจะยังควบคุมม้าเองไม่ได้”“ข้าไม่เด็กแล้วนะ”อาเฟยพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนถูกขัดใจทั้งยังกอดอกแสดงให้เห็นว่ากำลังไม่พอใจคนสนิทของผู้เป็นบิดาอย่างมาก“อะ เอ่อ”หย่งฉีหันไปขอความช่วยเหลือจากแม่ทัพหลี่หงอี้เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายพยักหน้าให้ เขาจึงยอมให้อาเฟยมาควบม้าต่อจากตนเองทันทีหย่งฉีปล่อยมือจากบังเหียนแล้วให้นายน้อยของเขาบังคับม้าต่อแรกเริ่มเขาก็กลัวว่
“ใครบอกว่าข้าจะไม่กลับเล่าเจ้าคะ”“เจ้าว่าอะไรนะ”
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบครึ่งเดือนแล้ว ใต้เท้าหยวนบิดาของหยวนจือหลินก็ยังคงปักหลักที่เมืองลั่วอันแห่งนี้ไม่ยอมกลับเมืองหลวงไปเสียทีจนนางคร้านที่จะสนใจเขาแล้ว ขอเพียงแค่ครอบครัวของนางในเวลานี้นั้นมีความสุขก็เพียงพอแล้ว“อร่อยมากเลยขอรับฮูหยิน” หย่งฉีบอกนางทั้งๆ ที่ข้าวยังเต็มปากทั้งอย่างนั้น”
“อาเฟย อาชิงมานี่สิ”“เจ้าค่า/ขอรับ”“มาไหว้ท่านตาสิลูก”เด็กน้อยทั้งสองที่ได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นมารดาบอกแม้จะงุนงงเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินเข้ามาหานางอย่างไม่อิดออดแต่อย่างใด“พวกข้ามีท่านตาด้วยหรือขอรับท่านแม่”“มีสิ แล้วก็นั่งอยู่ตรงนี้แล้วมาให้ตากอดหน่อยสิหลานรัก”เด็กน้อยทั้งสองหันไปมองหยวนจือหลินเมื่อเห็นว่านางพยักหน้าให้ก็ส่งยิ้มกว้างก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหาชายชราผู้นั้นท่ามกลางเสียงหัวเราะยินดีของเขา“นี่ตามีของเล่นมาให้พวกเจ้าด้วยนะ อาเฉินเอาของเล่นมาให้หลานของข้าเร็วเข้า”“ขอรับใต้เท้า”‘มาที่นี่เพื่อมาหาหลานจริงๆ ด้วย’หยวนจือหลินยืนกอดอกมองดูสามตาหลานที่กำลังพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานโดยมีหลี่หงอี้ยืนอยู่ข้างๆ นาง สองแขนของเขาโอบกอดนางเบาๆ“เป็นอะไรไปเหตุใดถึงหน้างอเช่นนั้นกัน”“ไหนท่านบอกว่าเขามาที่นี่เพื่อปรับความเข้าใจกับข้าอย่างไรล่ะ”“ก็ถูกแล้วนี่นา&r