เรย์รู้ว่าเพื่อนสาวเลิกร้างกับสามีแล้วกลายเป็นนกปีกหักขึ้นมาเชียงใหม่ ตนเองก็อ้าแขนรับ ตลอดเวลาเกือบสี่ปีก็เคียงข้างเพื่อนสาวแทบจะตลอดเวลา ไม่เคยเห็นเพื่อนสาวเอ่ยถึงอดีตสามีให้ฟังแม้แต่คำเดียว จำได้ว่าตอนที่เพื่อนสาวท้องตนเองพยายามคะยั้นคะยอให้ติดต่อทางบ้านแต่พยาบาลสาวยืนยันคำเดียวว่า “ไม่” เธอไม่ต้องการเป็นภาระให้กับใคร และสภาพจิตใจตอนนั้นเรย์ก็มั่นใจว่าเพื่อนสาวไม่พร้อมจะพบใคร หลายปีที่ผ่านมาเพื่อนสาวไม่เคยเอ่ยถึงอดีตสามี แต่ปฏิบัติตนเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เข้มแข็ง เรย์หันมาป้อนไอติม พร้อมกับหยิบกล่องโดนัทที่แถวที่ทำงานมาหยิบทาน เมื่อมองเห็นหลานชายตัวน้อยที่จ้องมองเขม็ง
“ว่าไง น้องนนท์ อยากชิมงั้นเหรอ” เรย์ถาม พร้อมบิดโดนัทป้อนให้หลานชายตัวน้อย เด็กชายกินอย่างเอร็ดอร่อย “ขอบคุณครับ” เด็กชายนนทวัตรยกมือไหว้ขอบคุณ ก่อนจะหยิบโดนัทมาถือแล้วกัดกินอย่างเอร็ดอร่อยผ่านไปเพียงแค่ห้าถึงหกนาที เด็กชายตัวน้อยก็ดิ้นๆ แล้วไอ แล้วปากเริ่มบวมแล้วก็อาเจียน เรย์ตกใจรีบกดโทรศัพท์หาเพื่อนสาวทันที “น้ำ ลูกแกเป็นอะไรไม่รู้ แกรีบมาเร็วๆ น้องนนท์ ปากบวมแล้วอาเจียนมากเลย” เรย์ละล่ำละลัก น้ำตาไหลด้วยความตกใจและสงสัยเด็กน้อย พนักงานในร้านก็หาน้ำมาให้ “ช่วยเรียกรถฉุกเฉินให้ด้วยนะคะ ช่วยเรียกด้วย” เรย์ ตะโกนบอกพนักงานที่ร้าน ต้นน้ำวิ่งไม่คิดชีวิต เมื่อเห็นอาการลูกก็หยิบ อะดรีนาลินมือสั่น “แก แกเอาอะไรให้น้องนนท์ทาน” “เออ น้องนนท์เห็นฉันกินโดนัท เลยขอกิน” “โถ ฉันลืมบอกแกว่า ลูกฉันแพ้ไข่” ต้นน้ำน้ำตาคลอเบ้าด้วยความสงสารลูกชายตัวน้อย ก่อนจะฉีดยาแล้วอุ้มลูกพาดบ่าทันที “เรย์ แกขับรถให้ฉันด้วย ฉันต้องพานนท์ ไปโรงพยาบาลเร็วที่สุด รอรถฉุกเฉินคงไม่ทันแน่ๆ” ต้นน้ำวางเงิน แล้วอุ้มลูกชายแล้วก้าวเท้าเร็วราวกับวิ่ง เรย์เอื้อมมือมาอุ้มน้องนนท์ แทน “ฉันอุ้มดีกว่า ฉันเป็นผู้ชายแก รีบไปเปิดรถรอเลย” อีกด้านหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ ณ สนามบินนานาชาติจังหวัดเชียงใหม่ นายแพทย์สุชาติ อุรางกูลมารอรับรุ่นน้องสถาบันเดียวกันที่เติบโตทางด้านการงานก้าวหน้ากว่าตัวเองมาก รศ.นายแพทย์อนวินท์ เลิศวสิน ซึ่งมองผ่านไปทางด้านผู้โดยสารขาออกคงกำลังรอกระเป๋า นายแพทย์สุชาติยกมือโบกเป็นการส่งสัญญาณ “ทำไมลงมาเร็วจังครับหมอวินท์ พี่กะว่าจะลงไปก่อน” นายแพทย์สุชาติทักทาย ก่อนยกกระเป๋าไปไว้ท้ายรถ “คืนนี้พักกับผมที่บ้านพักก่อนนะครับ หรือ หมอวินท์ จะไปพักโรงแรมในเมือง” “ถ้าไม่รบกวนพี่ชาติ ผมพักกับพี่ดีกว่า ว่าแต่สนามบินนี้ใกล้ๆ โรงแรมปางสวนแก้วไหมครับ ผมมีธุระจะคุยกับคนๆ หนึ่ง” “ไม่ไกลครับ โรงแรมปางสวนแก้วก็อยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้า สิบนาทีก็ถึงครับถ้ารถไม่ติด” “ผมจะมาตามหาคนสำคัญคนหนึ่ง ผมเลยมาก่อนสักสองวัน” อนวินท์กล่าวแววตามุ่งมั่น นึกขนลุกว่าจังหวัดนี้สินะ ที่อดีตภรรยาอาศัยอยู่ ใกล้เข้ามาแล้วสินะ เมื่อก่อนการตามหาภรรยาถือว่าเป็นการงมเข็มในมหาสมุทรมันมืดมนสิ้นหวัง ตอนนี้มันเหมือนมีจิ๊กซอว์ที่มันจะมาต่อให้ไปเจอ อนวินท์รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก โรงแรมปางสวนแก้ว อนวินท์หายเข้าไปเพียงคนเดียวก่อนจะกลับมาใบหน้าเคร่งขรึม นายแพทย์สุชาติหันมาถามขณะที่ขับรถออกจากลานจอดรถหน้าโรงแรมห้าดาวประจำจังหวัด “ไม่เจอเหรอครับ” “ไม่ครับ เห็นพนักงานประชาสัมพันธ์บอกว่า เขาออกเวรไปตั้งแต่หัวค่ำ พรุ่งนี้ก็วันหยุด คงมาทำงานอีกทีวันอังคาร” อนวินท์ทุบมือที่ขาอย่างต้องการระบายอารมณ์ที่รู้สึกเสียดาย คลาดกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงทำให้ยืดเวลาที่จะเจออดีตภรรยาสาว ออกไปอีก เสียงโทรศัพท์มือถือนายแพทย์สุชาติดัง ชายหนุ่มติดหูฟัง “ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูดว่าไงนะ” “พี่หมอ ช่วยน้ำด้วย น้องนนท์ช็อคค่ะ พี่หมอช่วยเข้ามาที่โรงพยาบาลด่วนได้ไหม ค่ะ ค่ะ น้ำฉีดยาไปแล้วค่ะ” “โอเค เดี๋ยวผมเข้าไป” “ขอโทษนะหมอวินท์ ผมมีคนไข้ด่วน เป็นลูกของพยาบาลที่เป็นลูกน้องผม เอางี้แล้วกัน คุณไปส่งผมที่โรงพยาบาล แล้วขับไปที่บ้านพักก่อนเดี๋ยวผมตั้ง จีพีเอสบ้านผมให้” “ได้ครับ จริงๆ ผมรอพี่หมอที่โรงพยาบาลก็ได้ เป็นการสำรวจที่ทำงานใหม่ไปในตัว” อนวินท์ กล่าว “ผมว่าเอาไว้พรุ่งนี้ดีกว่านะครับ ดึกแล้วพี่ว่าหมอวินท์กลับไปบ้านพักผ่อนให้สบายดีกว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว โรงพยาบาลรอบนอกดึกๆแบบนี้เงียบมากคงไม่น่าสนใจไว้ถ้าคุณหมอวินท์อยากดู พรุ่งนี้ผมจะให้เลขาผมพาชมรอบๆ เลยครับ รับรองที่นี่แม้จะรอบนอกแต่คนไข้เยอะมากทุกวัน “โอเคครับ” อนวินท์รับคำ ก่อนจะเงยขึ้นมองฟ้าปล่อยจิตใจล่องลอย รุ่งเช้า ต้นน้ำเฝ้าลูกชายสุดที่รัก พร้อมกับเพื่อนรัก จนรุ่งสางหญิงสาวไล่ให้เพื่อนชายคนสนิทกลับไปพักผ่อนเนื่องจากอาการน้องนนท์ดีขึ้นมาก หลังจากอาจารย์สุชาติมาก็เข้าตรวจและรักษาที่ห้องฉุกเฉินร่วมชั่วโมงและออกจากห้องเกือบเที่ยงคืน หลังจากนั้นต้นน้ำก็อยู่เฝ้าลูกชายตัวน้อย เรย์เพื่อนชายก็ขออยู่เฝ้าเป็นเพื่อนเนื่องจากรู้สึกผิดที่ทำให้น้องนนท์เกิดอาการแพ้จนเข้าห้องฉุกเฉิน ต้นน้ำให้สมศรีแม่บ้านที่ช่วยทำงานบ้านและเลี้ยงน้องนนท์ตั้งแต่เด็กเอาเสื้อผ้ามาให้ที่โรงพยาบาล หญิงสาวให้สมศรีเฝ้าน้องนนท์ ส่วนตนเองก็ต้องไปทำงานที่ แผนกผู้ป่วยนอก “คอยดูน้องดีๆนะจ๊ะสมศรีมีอะไรให้โทรหาพี่นะจ๊ะ เดี๋ยวคุณหมอจะมาตรวจถ้ามีอะไรเรียกพยาบาลเวรได้ อาการน้องเริ่มดีแล้วล่ะเดี๋ยวอีกสักครู่พอน้องตื่น สมศรีโทรหาพี่หน่อยนะจ๊ะ พี่ต้องรีบไปทำงานเพราะตอนนี้คนไข้เยอะ พี่ต้องไปช่วยที่แผนกผู้ป่วยนอกวันนี้วันเสาร์ซะด้วย คนไข้มาจากที่อื่นเยอะเหมือนกัน” “เจ้า ข้าเจ้าจะดูน้องนนท์หื้อดีเจ้า” “ขอบใจจ๊ะสมศรี” “เดี๋ยวตอนเที่ยง พี่จะซื้ออาหารมาทานด้วย” แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพิงค์วราคม ตลอดช่วงเช้าคนไข้เยอะมาก พยาบาลสี่ห้าคน คนไข้เกือบร้อยคนนั่งรอคิวเข้ารักษาในแผนกต่างๆบางคนมาแต่เช้ามืด อาจเป็นเพราะโรงพยาบาลพิงค์วราคมเป็นโรงพยาบาลที่ทันสมัยกว่าโรงพยาบาลต่างอำเภออีกหลายแห่ง แถมอยู่ใกล้ในเมืองแค่สิบห้านาทีทำให้สะดวกสบายมากๆ ต้นน้ำคอยมองที่โทรศัพท์เป็นครั้งคราว ตอนสายๆ ได้คุยกับลูกชายสองสามคำ ทำให้หญิงสาวรู้สึกสบายใจว่าลูกชายอาการดีขึ้นบ้างแล้ว “เชอรี่ พี่ได้ยินว่าหมอใหม่ที่จะมาแทนหมอสุชาติมาแล้วเหรอ เห็นพวกพยาบาลข้างหน้ากรี๊ดกร๊าดเสียงดังตั้งแต่เช้า เมื่อคืนพี่ไปเฝ้าน้องนนท์เลยตกข่าว” พยาบาลต้นน้ำในวัยสามสิบถามพยาบาลรุ่นน้อง ใบหน้ายังดูอ่อนเพลีย “มาแล้วพี่ ชื่อหมออะไรนะ ...อ๋อ หมอวินท์พี่ หล่อมากขาวตี๋ ใส่แว่นใสๆพระเอกเกาหลีชัดๆเลย” เชอรี่ทำใบหน้าเพ้อฝัน “ชื่ออะไรนะ...แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน” “คงไปตรวจวอร์ดเด็กล่ะมั้ง ตอนนี้อาจจะตรวจห้องน้องนนท์อยู่ก็ได้” “เชอรี่...จำได้ไหมว่าเขาชื่อเต็มๆว่าอะไร” ต้นน้ำใจเต้นแรง สามปีแล้วสินะที่เธอหนีมารักษาแผลใจไกลถึงเชียงใหม่ ตอนนี้พยาบาลสาวรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก “รองศาตราจารย์หมออนวินท์ เลิศวสิน หนูจำได้ดีเลย” เชอรี่กล่าวอย่างภูมิใจแผ่น ชาร์ตคนไข้ตกจากมือหัวหน้าพยาบาลสาว ก่อนที่ต้นน้ำจะวิ่งไปในทิศทางที่ลูกชายเพียงคนเดียว ลูกชายที่เกิดจากความรักลูกชายที่เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจ หญิงสาวภาวนาอย่าให้เหตุการณ์เป็นไปอย่างที่เธอคิด เสียงเคาะประตูสมศรีลุกขึ้นยืน เมื่อนายแพทย์หนุ่มรูปหล่อเดินเข้ามาพร้อมกับพยาบาลหน้าตาคุ้นเคยว่าเป็นเพื่อนของเจ้านายคนสวย ที่เคยไปทานอาหารที่บ้านสองสามครั้ง “สวัสดีค่ะ พี่สมศรี” “สวัสดีเจ้าน้องอิ๋ว” “ว่าไงจ๊ะ น้องนนท์เป็นไงบ้างครับ วันนี้พี่อิ๋วพาคุณหมอมารักษาคนเก่งครับผม” “สวัสดีครับ” เด็กชายนนทวัตรยกมือไหว้ตามที่พยาบาลสาว เพื่อนสาวของแม่แนะนำ อนวินท์มองหน้าเด็กชายชัดๆ แล้วรู้สึกขนลุกแล้วเกิดรู้สึกคุ้นตากับเด็กชายคนนี้อย่างประหลาดนายแพทย์หนุ่มรู้สึกคุ้นตากับลักยิ้มด้านขวา ใบหน้าไร้เดียงสาช่างน่ารัก จนชายหนุ่มรู้สึกรักเด็กชายตัวน้อยตั้งแต่แรกเห็น “พี่อิ๋วเจ้า ฝากน้องนนท์ห้านาทีนะเจ้า ข้าเจ้าปวดเข้าห้องน้ำเจ้า” สมศรีกระซิบบอกพยาบาลสาว พยาบาลสาวพยักหน้าสมศรีวิ่งหายไป อนวินท์ตรวจเด็กชายน้อยด้วยความอ่อนโยน ก่อนจะชวนเด็กชายน้อยคุย เด็กชายนนทวัตรหัวเราะเสียงดัง ก่อนที่ฤทธิ์ยาทำให้น้องนนท์ค่อยๆหลับตา “คุณอิ๋วออกไปทำงานของคุณเถอะ ผมขอนั่งอยู่กับเด็กคนนี้สักครู่ ไม่รู้เป็นไงผมรู้สึกเอ็นดูเด็กคนนี้ อีกอย่างพักกลางวันพอดี เดี๋ยวผมว่าจะลองไปเดินหาอาหารที่โรงอาหารทาน” “คุณหมอจะให้อิ๋วจัดมาให้ที่ห้องพักก็ได้นะคะ เดี๋ยวอิ๋วจัดการให้” พยาบาลสาวอิ๋วขันอาสา “ไม่เป็นไร ผมเพิ่งมาวันแรกอยากเดินดูทั่วๆ” อนวินท์ยิ้มให้พยาบาลสาวอย่างเป็นมิตร “งั้นตอนบ่ายค่อยร่วมงานกันใหม่นะคะ คุณหมอ” “ครับ” อนวินท์นั่งที่เก้าอี้ มองหน้าเด็กชายน้อยที่นอนหลับตาพริ้ม มือจับที่ตุ๊กตาหุ่นยนต์แน่น อนวินท์หยิบหุ่นยนต์แล้วขมวดคิ้ว สมัยเด็กตนเองก็ชอบเล่นหุ่นยนต์ จำพวกนี้เพียงแต่ตอนนี้ดูจะทันสมัยกว่ามากกำลังคิดอะไรเพลินๆอนวินท์ต้องสะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงคนเปิดประตู ต้นน้ำมองเห็นชายหนุ่มเสื้อกาวน์ทางด้านหลังก็พอจะจำได้ ทำไมจะจำอดีตสามี ผู้ชายคนเดียวที่แอบรักตั้งแต่เด็กจนโต หญิงสาวหัวใจเต้นแรงแต่ความห่วงลูกชายมีมากกว่า อนวินท์หันหลังไปมองขมวดคิ้วนึกหงุดหงิดคนที่เปิดประตูพรวดพราดเข้ามาโดยไม่เคาะประตู แต่ต้องตกตะลึงเพราะคนที่เปิดประตูเข้ามาคือคนที่ ชายหนุ่มเฝ้าคิดถึงเฝ้าตามหา เฝ้าตั้งคำถามกับตัวเองร้อยแปดว่าทำอะไรผิดทำไมภรรยาสาวถึงทิ้งไปโดยไม่มีวี่แวว สี่ปีที่เจ็บปวด อนวินท์มองหญิงสาวที่เคยเป็นภรรยา ลูกน้อง ด้วยดวงตาที่ทั้งตกใจ ดีใจ ตื่นเต้น และเจ็บปวดพร้อมๆกัน “น้ำ...” อนวินท์รำพึงออกมา แววตาปวดร้าวที่เห็นภรรยาที่รักที่หนีหายออกไปจากชีวิตเกือบสี่ปีเต็มขาดไม่กี่วัน “พี่หมอ...เออ คุณหมออนวินท์” ต้นน้ำรำพึง ก่อนจะหันไปสนใจลูกชายสุดที่รัก “นนท์ น้องนนท์” ต้นน้ำจับมือลูกชายแน่นพร้อมกับมองไปที่อดีตสามี แววตาสับสน “ตรวจเสร็จแล้ว คุณหมอก็เชิญออกไปได้ค่ะ” ต้นน้ำพูดน้ำเสียงเย็นชา เมื่อพยายามตั้งสติ “น้องนนท์ นี่คือ” อนวินท์ใบหน้าเริ่มซีด เมื่อปะติดปะต่อ มองหน้าเด็กชายตัวน้อยชายหนุ่มตัวเริ่มชา มือเริ่มชา หัวใจเต้นแรง ใบหน้าเริ่มแข็งกร้าว แววตาดุดัน “ลูกชายของฉัน” ต้นน้ำตอบเสียงสั่นริมฝีปากเม้มแน่น อนวินท์ก้าวเข้ามาใกล้เตียง พร้อมเอื้อมมือจะมาจับที่มือเด็กน้อย แต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงตวาดดัง “อย่ามายุ่งลูกของน้ำ” ต้นน้ำปัดมือชายหนุ่ม พร้อมกับรวบร่างเด็กชายมาไว้ในอ้อมกอด ทั้งๆ ที่สายน้ำเกลือยังระโยงระยาง “ตกลงน้องนนท์เป็นลูกของคุณงั้นเหรอ” น้ำเสียงนายแพทย์อนวินท์ ที่ตอนนี้เป็นรองศาสตราจารย์นายแพทย์อนวินท์ถามน้ำเสียงตกใจ ใบหน้าเด็กชายวัยสามขวบที่ตนเองมองยังไงก็คุ้นตาและรู้สึกคุ้นเคย ก็เพราะใบหน้าเด็กน้อยช่างเหมือนกับตนเองตอนเด็กๆนั่นเอง อนวินท์ตัวชาเมื่อคำนวณเวลาที่หญิงสาวหนีออกไปจากชีวิตทิ้งไว้เพียงจดหมายเพียงฉบับเดียว จำความรู้สึกได้ว่าตอนนั้นเหมือนโลกถล่มตรงหน้า ตลอดสามสี่ปีที่เฝ้าตามหาหญิงสาวคนนี้ ซึ่งตอนนี้มายืนอยู่ตรงหน้าพร้อมเด็กชายตัวน้อยที่เจ้าตัวกางแขนปิดป้องราวกับแม่นกที่หวงลูกนกตัวน้อย อนวินท์กระชากแขนพยาบาลสาวอย่างแรงเมื่อปะติดปะต่ออะไรบางอย่างได้ “น้องนนท์เป็นลูกพี่ใช่ไหม” ต้นน้ำนิ่งใบหน้าเชิดเล็กน้อยหญิงสาวพยายามบิดมือหนี แต่ยิ่งขัดขืนนายแพทย์หนุ่มก็ยิ่งบีบแรงจนหญิงสาวนิ่วหน้า “ลูกของน้ำ ของน้ำคนเดียว” “งั้นพี่คงต้องขอตรวจดีเอ็นเอ” “มีสิทธิ์อะไร” “ก็พี่สงสัยว่าเด็กคนนี้เป็นลูกพี่ อย่าลืมนะว่าเรายังไม่ได้หย่ากัน อ๋อไม่ใช่สิ ถึงน้ำจะเซ็นต์ใบหย่าแต่เสียใจนะ พี่ยังไม่ได้เซ็นต์เรายังเป็นผัวเมียกันตามกฎหมาย เด็กคนนี้อายุสามขวบ น้ำหนีออกจากบ้านมาสี่ปี แสดงว่าเด็กคนนี้เป็นลูกพี่” “ลูกน้ำของน้ำคนเดียว พี่หมออย่ามาขี้ตู่แล้วห้ามหมอตรวจดีเอ็นเอด้วย เพราะน้ำไม่ยอม” ต้นน้ำเถียงปากสั่นใจหาย น้ำตาคลอเบ้า “น้องนนท์เป็นลูกพี่ ไม่ตรวจดีเอ็นเอก็ได้...เพราะพี่มั่นใจ” อนวินท์ปลดเด็กชายน้อยให้นอนแล้วจัดสายน้ำเกลือ ในขณะที่ต้นน้ำพยายามขัดขืนแต่ไม่อาจต้านทานแรงชายหนุ่มได้ น้ำตาหญิงสาวไหลด้วยความคับแค้นในใจ “ไม่ต้องมาแตะตัวน้ำ” หญิงสาวขัดขืน พร้อมผลัก หยิก ตี ชายหนุ่มอย่างคับแค้นในใจ เมื่อภาพชายหนุ่มออกมาจากบ้านแพทย์หญิงนิภายามวิกาล ยังตามมาหลอกหลอน ชายหนุ่มคว้าที่เอวหญิงสาว ทั้งกระชากให้เดินออกไปด้วยกัน “ไปคุยกันข้างนอก” อนวินท์ตวาดเสียงดังจนเห็นเด็กชายน้อยผวาขึ้นมา จนต้นน้ำเอื้อมมือไปลูบที่ตัวของลูกชายโดยอนวินท์มองด้วยสายตาอ่อนโยนลง “คนบ้า ตวาดเสียงดังดูสิ ลูกตกใจหมดเลย” ต้นน้ำตวาดอย่างเผลอตัว “อ้าว ตกลงยอมรับแล้วใช่ไหมว่าน้องนนท์เป็นลูกพี่” อนวินท์พูด ตายิ้มด้วยความดีใจ “น้ำ หมายถึงลูกน้ำไม่ใช่ลูกคุณ” ต้นน้ำกัดริมฝีปาก ก่อนจะเถียงทันควัน “ไปคุยกันข้างนอกเถอะ ควรให้น้องนนท์พักมากๆ เสียน้ำไปเยอะต้องให้น้ำเกลืออย่างน้อยอีกสองถุง”อนวินท์กล่าวก่อนหันไปมองเด็กชายตัวน้อยที่ตนเองคิดว่าเป็นลูกแววตาอ่อนโยน “น้ำมีเวลาไม่มากค่ะ คุณจะคุยไรก็คุยมาเลยตรงนี้ก็ได้” “ออกไปคุยกันข้างนอก หรือจะให้พี่โทรไปหาป้ารินทร์ว่าพี่มาเจอน้ำกับน้องนนท์ที่นี่” อนวินท์ขู่เพราะรู้ดีว่า ทางบ้านของหญิงสาวต้องไม่รู้เรื่องมิฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่แม่ของเธอและแม่ของเขาจะอยู่นิ่ง ต้นน้ำหน้างอ เม้มปาก ก่อนจะเดินออกจากห้องหน้าเชิดขึ้น อนวินท์ส่ายหน้าแล้วเดินตามหญิงสาวออกไป “พี่หิวข้าว พาไปร้านอร่อยๆ ที่ไม่ไกลจากที่นี่ได้ไหม” อนวินท์ ก้าวมาเดินเคียงข้าง หันไปชวนคุย ต้นน้ำเดินหน้าตรงออกจากตึก แล้วพาลัดเลาะซอยข้างๆ โรงพยาบาล จนมาถึงร้านอาหารข้างทางที่ดูจากข้างนอก เป็นเพียงร้านเล็กๆ มีโต๊ะไม่ถึงสิบโต๊ะ แต่จัดดูแบบบ้านนอกๆ ง่ายๆ แต่ก็ดูแล้วสะอาดตา “นั่งสิ” อนวินท์เอ่ยชวน เมื่อเห็นหญิงสาวยังยืนกอดอก ใบหน้ายังงอง้ำ “ถ้าไม่นั่ง คนที่โต๊ะโน้นจะสงสัยว่า น้ำเป็นริดสีดวงหรือเปล่า พี่นั่งตั้งนานแล้ว เธอยังไม่นั่งอีก” อนวินท์ พูดแล้วหัวเราะก่อนจะหันไปสั่งอาหารอย่างเป็นกันเอง แถมยังสั่งมาให้เธออีกด้วย ต้นน้ำกระแทกตัวลงนั่งเก้าอี้ ทำเพื่อประชดชายหนุ่ม แต่รู้สึกว่าจะแอคติ้งแรงไปหน่อย รู้สึกปวดระบมที่บั้นท้ายตัวเอง “คุณมีอะไรก็ว่ามา ฉันมีเวลาน้อย ยังมีคนไข้อีกตั้งเยอะภาคบ่าย” ต้นน้ำพูดเสียงเย็น “เวลาหิวแล้วไม่มีอารมณ์จะพูด” อนวินท์กล่าวขณะตักอาหารเข้าปาก อย่างบอกได้เลยว่าหิวจริงๆ ต้นน้ำตักอาหารใส่ปาก ตอนแรกทำอย่างเสียมิได้แต่ด้วยความหิว แล้วความอร่อยบวกกับความหิวก็ทำให้ ทั้งเขาและเธอทานข้าวหมดในเวลาไล่เลี่ยกัน “คุยได้หรือยัง ฉันมีเวลาแค่อีกสิบนาทีต้องรีบไปเปลี่ยนเวรเพื่อน” ต้นน้ำพูดน้ำเสียงร้อนรน “น้องนนท์เป็นลูกชายพี่ ทำไมน้ำไม่บอกพี่ แล้วพี่อยากรู้ว่าพี่ทำผิดอะไรทำให้น้ำต้องหนีออกจากบ้านเหลือเพียงจดหมายงี่เง่าแค่ฉบับเดียว” อนวินท์พูดน้ำเสียงเข้มด้วยอารมณ์โกรธที่เก็บอัดไว้ในใจ “บอกแล้วไงว่าน้องนนท์เป็นลูกของน้ำคนเดียวเท่านั้น” ต้นน้ำหันไปสู่สายตาชายหนุ่ม ที่ทั้งแข็งกร้าวแต่ก็มีวี่แววตัดพ้อ “พี่อยากรู้เหตุผล ว่าเพราะอะไรพี่นึกว่าเรารักกันมากเสียอีก” “ถ้าคิดไม่ได้ว่าเพราะอะไรก็ป่วยการจะพูด เรื่องมันเลย จุดๆ นั้นมาแล้ว น้ำอยากขอเราต่างคนต่างอยู่ได้ไหมไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกัน ทำมาได้ตั้งสี่ปีก็ควรจะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ดีแล้วทั้งสองฝ่าย” “ไม่มีทาง ยิ่งมารู้เรื่องน้องนนท์ ก็ยิ่งต้องกลับมาอยู่ด้วยกัน” น้ำเสียงอนวินท์เคร่งขรึมแต่จริงจัง “ไม่มีวัน” ต้นน้ำสวนทันควัน “ทำไมจะไม่ได้” อนวินท์พูดสวนกลับเสียงดัง “เพราะ เพราะ น้ำมีคนที่น้ำรักและเราก็อยู่ด้วยกันแล้ว” ต้นน้ำพูดน้ำเสียงสั่น ด้วยความคิดเร็วแล่นเข้ามาในสมองในขณะที่จอยผลักให้ต้นน้ำเดิน เพราะหญิงสาวกำลังตกตะลึง.. ต้นน้ำวิ่งย้อนขึ้นกลับไปบนบันไดเลื่อน ในขณะที่อนวินท์วิ่งลงมา ภาพประทับใจแบบนี้ ทำให้จอยถึงกลับต้องตบมือด้วยความซาบซึ้ง ต้นน้ำวิ่งเข้าสวมกอดอนวินท์ทันที “น้ำขอโทษ น้ำเสียใจที่เอาแต่ใจ น้ำน่าจะเชื่อใจพี่หมอมากกว่านี้ น้ำมันงี่เง่าเอง” ต้นน้ำร่ายยาว อนวินทร์สวมกอดภรรยาสาวแน่น มองหน้าภรรยาสาว ตาบวมแดง จมูกแดง ปากสั่นๆขณะพูด ชายหนุ่มอมยิ้ม ก่อนก้มลงจูบภรรยาสาวในขณะที่หญิงสาวละล่ำละลักพูด ต้นน้ำตกใจหัวใจเต้นแรง จูบตอบชายหนุ่มด้วยความโหยหา แม้ว่ารสจูบจะหนักหน่วง แต่ต้นน้ำไม่ขัดขืนเพราะเธอก็คิดถึงอ้อมกอดนี้ ริมฝีปากนี้ แล้วยิ่งรู้ว่าจะต้องจากชายหนุ่มนาน หญิงสาวใช้มือโอบรอบต้นคอ จอยอ้าปากค้างกับภาพที่เห็นเป็นสิบวินาที “โห จะเลิฟซีนก็สะกิดก่อนสิ จะได้หลบไปไกลๆ เอามาให้คนโสด อิจฉา” จอยบ่นก่อนเดินหันหลังลงบันไดเลื่อนด้วยความเซ็ง แต่ก็เพียงแป๊ปเดียวก็หันมาถ่ายรูปที่คุณหมอหนุ่มชื่อดัง และภรรยาสาว กำลังแลกจูบกันไปมาด้วยความคิดถึง “แหม ลีมินโฮ ก็ลีมินโฮ เถอะ เจอคุณหมอวินท์ชิดซ้าย เล่นมาจูบกลางสนามบินสุวรรณภูมิงี้” จอยหันไปมองผู้คนรอบข้างที่
อนวินท์เมื่อวางสายจากลูกชาย ก็มองไปที่แบตเตอรี่ที่บอกสัญญาณว่าจะใกล้หมด เหลือเพียงสี่เปอร์เซนต์ เมื่อค้นหาพาวเวอร์แบงก์ก็ต้องหงุดหงิดว่าลืมเอาใส่กระเป๋าโหลดลงเครื่องไป ชายหนุ่มตัดสินใจปิดเครื่องทันที โดยไม่ได้เปิดไปมองโปรแกรมยอดฮิต ที่มีข้อความเข้ามานับสิบข้อความ ต้นน้ำพยายามที่จะโทรศัพท์อีก แต่คราวนี้ เหมือนกับว่าเจ้าของเครื่องได้ทำการปิดเครื่องแล้ว “พี่หมอปิดเครื่องแล้ว เมื่อกี้สายไม่ว่าง แต่คราวนี้ปิดเครื่องไปเลย เอาไงดีจอย” ต้นน้ำพูดน้ำเสียงร้อนรนจอยนิ่งคิด เมื่อได้ยินเสียงผู้ประกาศสาวที่กำลังประกาศ น้ำเสียงอ่อนหวาน ก็ดีดนิ้ว เมื่อนึกอะไรออก“ไปกับฉันแก เราต้องพึ่งฝ่ายประชาสัมพันธ์ มันเป็นโอกาสสุดท้ายล่ะ ถ้าไม่ได้ทางนี้ แกคงต้องรอคุณหมอที่บ้านแหละ”“ไปเถอะ โอกาสสุดท้ายฉันก็ยอม ฉันรอพี่หมอได้ แต่ฉันอยากจะใช้โอกาสสุดท้ายของฉัน แค่ได้บอกเค้าก็ยังดี”“งั้นไปกัน”ประกาศ ผู้โดยสารที่ชื่อว่า คุณอนวินท์ เลิศวสิน กรุณาเปิดเครื่องสื่อสารของท่าน ทางบ้านมีเรื่องด่วนแต่ติดต่อไม่ได้ค่ะประกาศอีกครั้ง ประชาสัมพันธ์สาวพูดย้ำอีกรอบ อนวินท์ยืนนิ่งเมื่อได้ยินเหมือนเสียงเรียกชื่อตนเอง ชายหนุ่มขมวด
จอย หันไปมองเพื่อนสาว ที่บางทีก็หัวเราะ บางทีก็ร้องไห้ ระหว่างที่ตนขับรถ คิ้วขมวด ก่อนเอ่ยถามด้วยความอยากรู้“แกเป็นอะไรน้ำ เสียใจจนเป็นบ้าไปเลยเหรอ คุณหมอยังไม่ได้ทิ้งแกหรอกนะ”“ไม่...ฉันอ่านข้อความที่พี่หมอเขียน ดูสิ สติ๊กเกอร์ พี่หมอเอาเวลาไหนไปโหลดมา ปกติใช้แต่ของฟรี” ต้นน้ำหัวเราะเบาๆ พร้อมปาดน้ำตา “สรุปแล้วฉันเข้าใจผิดพี่หมอหมดเลย..ทำยังไงดีล่ะแก ฉันจะเอาหน้าไหนไปสู้กับพี่หมอได้ล่ะ ต่อว่าเค้ามากมาย ทั้งเรื่องแม่ของหมอนิ ทั้งเรื่องที่โรงแรมที่เชียงใหม่ ว่าแต่แกรู้เรื่องพี่หมอสุชาติด้วยเหรอ ทำไมแกไม่เล่าให้ฉันฟัง” ต้นน้ำเขย่าแขนเพื่อนสาว หลังจากอ่านข้อความไปเกินสิบหน้า “ก็ตอนนั้นแกไม่มาทำงาน แล้วงานโรงพยาบาลเวลาไม่มีแก ก็ยุ่งๆ” จอยหันมาตอบเสียงอ่อย“มันคงเป็นเวรกรรมของฉันมั้ง ไปว่าพี่หมอให้มากมาย ถ้าฉันไปไม่ทันจริงๆ แล้วพี่หมอไปนาน ๆฉันต้องคลอดลูกคนเดียวอีกเหรอเนี่ย” ต้นน้ำทำเสียงเศร้า หญิงสาวเลื่อนหน้าจอมาเจอคลิปวีดีโอ แล้วเปิดฟังทรมานไปทั้งหัวใจทุกครั้งที่เราได้ชิดใกล้ แต่พูดความจริงไม่ได้...ได้แต่เก็บอยู่ข้างใน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เธอจะรู้หัวใจได้โปรดมองในตาฉัน มองที่ตรงนั
โรงพยาบาลเลิศวสินต้นน้ำลงจากรถวิ่งเข้าไปในโรงพยาบาล ราวร่างไร้หัวใจ กว่าชั่วโมงที่ตามหาชายหนุ่มแต่ไม่พบทำให้ต้นน้ำรู้สึกถึงความผิดปรกติ หญิงสาวแทบวิ่งถลาไปที่ห้องทำงาน เห็นเพื่อนสาวคนสนิทกำลังทำงานอย่างวุ่นวาย “จอย” ต้นน้ำตะโกนเรียกไปก่อนพยาบาลจอย สะดุ้งก่อนมองไปที่ต้นเสียง แว๊บแรก แสดงความตื่นเต้น แต่เมื่อนึกถึงว่า ตลอดหลายวันมานี่ ไม่ว่าเธอพยายามติดต่อหญิงสาวอย่างไรก็ติดต่อไม่ได้ ทำให้จอยรู้สึกน้อยใจเพื่อนสาว ทั้งน้อยใจของตัวเองและยังโกรธเพื่อน เพราะสงสารเจ้านายหนุ่ม ที่ตลอดหลายวันตั้งแต่หญิงสาวหายไป นายแพทย์หนุ่มทั้งเครียด และไม่ได้ดูแลตัวเองเลย จอยแกล้งทำงานต่อไปราวกับไม่ได้ยินเสียงเพื่อนรัก“จอย พี่หมออยู่ไหน” ต้นน้ำถาม เมื่อเดินมายืนตรงหน้า “แกสนใจด้วยเหรอ หายไปไหนมา ทั้งฉันทั้งพี่หมอติดต่อแกไม่ได้ ตอนนี้จะมาถามหา ช้าไปหน่อยไหม” จอยพูดประชดแล้วทำงานต่อ“แกอย่าเพิ่งโกรธฉันนะ ฉันไม่สบายนอนโรงพยาบาล แล้วลืมเอาที่ชาร์ตโทรศัพท์ไปด้วย แบตหมดตั้งแต่วันแรกแล้วมั้ง ฉันรู้ข่าวหมอนิ ตกลงเป็นยังไง”จอยได้ฟัง แล้วเงยหน้ามองเพื่อนที่ท่าทางดูอิดโรยก็รู้สึกตัว รีบลุกขึ้นมาโอบกอดเพื่อนสาวแน่
พิพัฒนพงษ์ตรีรินทร์ได้ยินเสียงโทรศัพท์ ก็เหลียวไปมอง ก่อนจะเดินไปรับสายโทรศัพท์ “พิพัฒนพงษ์ค่ะ”“คุณแม่ครับ คุณแม่ติดต่อน้ำได้หรือเปล่า”“ยังเลยตาหมอ”อนวินท์มีใบหน้าสลดลง ถอนหายใจ “คุณแม่ครับ ผมต้องเดินทางไปประชุมงานที่ญี่ปุ่นสักพักฝากคุณแม่ดูแลน้องนนท์ ผมโทรหาเมื่อกี้เห็นบอกว่าไปแคมป์กับน้องกายที่เขาใหญ่”“ใช่จ๊ะ ตาหมอไม่ต้องเป็นห่วง แม่จะดูแลตานนท์ให้จ๊ะ”อนวินท์วางโทรศัพท์ กลับไปที่บ้านชายหนุ่มเดินไปทั่วบ้านด้วยความรู้สึกเหงา บ้านที่ปราศจากหญิงสาวและลูกชายตัวน้อย ดูเงียบสนิท ภาพความทรงจำเก่าๆ จะเห็นหญิงสาวในห้องครัวทำอาหารมีลูกชายตัวน้อยนั่งอยู่ใกล้ๆ บนเก้าอี้ในห้องครัว อนวินท์กอดอกนึกย้อนภาพเก่าๆ อย่างมีความสุข เสียงรถมาจอดหน้าบ้าน อนวินท์ออกไปต้อนรับ“ขอบคุณมากจอย” “ไม่เป็นไรค่ะหมอ” จอยตอบ ขณะที่มีพนักงานบริษัทอีเว้นต์แพลนเนอร์ชื่อดัง อีกสามคนเดินตามมาอนวินท์เดินนำเข้าไปในบ้าน อีกหลายชั่วโมงต่อมาทั้งบ้านเต็มไปด้วยดอกไม้ ลูกโป่ง จัดแต่งอย่างสวยงาม โรแมนติค จอยมองรอบๆ บ้านหลังน้อยที่ถูกตกแต่งในแต่ละห้องอย่างสวยงาม ทั้งดอกไม้ ลูกโป่ง ข้อความ หญิงสาวมองด้วยความซาบซึ้ง“โห โรแ
โรงพยาบาลเลิศวสินจอยเอาอาหารและน้ำมาเสิร์ฟ ให้นายแพทย์อนวินท์ ที่นั่งสะสางงานจนดึกด้วยความเป็นห่วง ตั้งแต่กลับจากสถานีตำรวจ นายแพทย์หนุ่มขังตัวเองอยู่ในห้อง เกือบครึ่งวัน“หมอคะ ทานอะไรสักหน่อย ตั้งแต่เช้าจอยยังไม่เห็นหมอทานอะไรเลย” พยาบาลสาวมองนายแพทย์ที่เป็นทั้งสามีเพื่อนและเจ้านายด้วยความเป็นห่วง “วางไว้ตรงนั้นแหละจอยขอบใจมาก อืมคุณติดต่อน้ำได้ไหม ผมติดต่อไม่ได้เลย” อนวินท์มีสีหน้าเป็นกังวล“ไม่ได้เหมือนกันค่ะ กลับมาจอยจัดการให้พี่หมอเลย งอนเป็นนางเอกละครไทยไปได้” จอยพูดน้ำเสียงหงุดหงิด“น้ำคงมีเหตุผล นั่งสิจอยผมมีเรื่องอยากถาม”“น้ำเขาเคยพูดเรื่อง วันครบรอบแต่งงานสี่ปีก่อน ก่อนที่เขาจะหนีผมไป คุณอยู่ในเหตุการณ์ ไหนเล่าให้ฟังสิ คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมอยากรู้อะไรทำให้เขาน้อยใจ เพราะปรกติแค่เรื่องผมไม่กลับบ้านติดคนไข้ ไม่น่าจะทำให้เขาโกรธขนาดนี้”อีกสามสิบนาทีต่อมา อนวินท์ก็พอปะติปะต่อ เรื่องต่างๆ ได้ ชายหนุ่มถอนหายใจยาว“ผมเป็นต้นเหตุกับเรื่องต่างๆ นี้เอง”“ยัยน้ำเป็นคนอ่อนไหว เพราะเป็นลูกสาวคนกลาง คิดว่าพ่อแม่ไม่ค่อยรัก เกี่ยวกับคุณหมอ น้ำมันฝังใจมาตลอดว่าเพราะคุณหมออกหัก