“เฮ๊ย!!!”
ชายหนุ่มดับเครื่องรถแล้วรีบลงไปดูคนเจ็บด้วยความร้อนใจ แต่ไม่ทันจะช่วย เจ้าหล่อนลุกขึ้นเสียก่อน เขาตรงเข้าไปจะประคอง
“ไม่ต้องค่ะ ฉันไม่เป็นอะไรมาก”
“เลือดไหลนี่”
หญิงสาวตกใจ “ตรงไหนคะ”
“ข้อศอก”
เธอพลิกข้อศอกขึ้นดูทันที พอเห็นแผลและเลือดก็ร้องเสียงหลง “เลือดจริงๆ ด้วย” ก่อนเงยหน้ามองเจ้าของรถอันตรายแล้วอึ้งไปครู่หนึ่ง...เขาเองเหรอ
“มีบาดเจ็บตรงอื่นอีกไหม” เสียงของเขานุ่มทุ้ม น่าฟังจริงๆ หญิงสาวถึงกับเคลิ้ม จนเขาต้องเรียกสติ “คุณ!!”
“คะ? มีอะไรคะ?”
“สงสัยสมองคุณจะได้รับการกระทบกระเทือน คุณไปโรงพยาบาลเถอะ ผมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอง”
เธอฟังเสียงเขาอย่างหลงใหล มองหน้าเขาอยู่อย่างนั้นแบบไม่รู้เบื่อ ชนิดลืมความเจ็บ ลืมความแสบ ลืมว่าเลือดยังไหลอยู่
เธอกำลังตักตวงความสุขเล็กๆ ที่หัวใจเรียกร้องมานาน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นใบหน้าคมเข้มแบบระยะประชิด ดวงตาคมสวยทำให้หัวใจเธอเต้นรัว กลิ่นกายของเขาทำให้เลือดในกายสูบฉีดพลุ่งพล่านไปหมด
“ฉันไม่ไหวแล้วค่ะ ฉันจะเป็นลม”
ชายหนุ่มส่ายหน้าระอาใจ หันหลังให้เธอ แล้วเดินกลับไปที่รถ หญิงสาวที่กำลังจะเป็นลม ตกใจ รีบเรียกเขาทันที
“อ้าวคุณ! ชนแล้วหนีเหรอ!”
เขายิ้มนิดๆ “ถ้าไม่ได้เป็นลม ก็เดินมาขึ้นรถ จะพาไปโรงพยาบาล”
เธออายจนทำหน้าแทบไม่ถูก เขาจับได้แล้วว่าเธอแกล้งยั่วเขา แทนที่จะตามเขาไปขึ้นรถ เธอกลับเดินไปอีกทาง ชายหนุ่มหันกลับไปมองก็แปลกใจ
“คุณ...จะไปไหน รถผมอยู่นี่”
“แผลแค่นี้ฉันจัดการเองค่ะ ขอบคุณที่กรุณา”
เมริสารีบข้ามถนนไป ชายหนุ่มมองตามหลังจนเจ้าหล่อนถึงอีกฝั่งด้วยความปลอดภัย ไม่โดนรถคันไหนเฉี่ยวไปอีก
เธอหายเข้าไปในซอยหนึ่ง เขาละสายตากลับมา คำเดียวที่ดังอยู่ในหัวตอนนี้ก็คือ...
ใครกันแน่ ชนแล้วหนี!
เพื่อนร่วมงานที่สนิทจนเข้าใกล้คำว่าคู่หู ยื่นการ์ดใบหนึ่งให้ร็อกกี้ เขารับมาอ่านทันที
“เมื่อไหร่”
“คืนนี้”
“ฉันหมายถึง นายสนใจผู้หญิงมากกว่างานตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ไอ้บ้า” ร็อกกี้อยากจะถีบหน้าเพื่อนเสียเดี๋ยวนั้น “นายก็รู้ว่าแฟนฉันเป็นนางแบบ เธอทั้งสวยและสง่า ใครได้เป็นภรรยา มีแต่เจริญขึ้นๆ”
“รักมากสิ”
คนต้องตอบหยุดคิดไปสามวินาที ก่อนจะตอบอย่างมั่นใจ “แน่นอน ฉันตั้งใจจะขอเธอแต่งงานในเร็วๆ นี้ นายเตรียมตัวเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวได้เลย”
“งั้นนายก็ใกล้จะได้ครอบครองนางฟ้าแล้วสิ”
ชายหนุ่มยิ้มนิดๆ “นางฟ้า” แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่านางฟ้าอยู่ที่ไหนน่ะสิ “แต่ก่อนจะแต่งงาน ขอทำงานก่อนละกัน สร้างผลงานดีเยี่ยม เผื่อได้เลื่อนตำแหน่งเป็นซีอีโอ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ” เพื่อนร่วมงานของเขาหัวเราะร่วนกับมุกตลกของเขา “แต่ก่อนจะขึ้นเป็นซีอีโอ นายจำเป็นต้องสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ซะก่อน”
“ยังไงวะ”
“ดูกำหนดการในการ์ดสิ” เคนทำหน้าเซ็ง “งานเลี้ยงขอบคุณลูกค้าประจำปีของบริษัทที่จะจัดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า นายได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้เป็นคนจัดการงานทั้งหมด”
“มันไม่ใช่หน้าที่ของฉัน หน้าที่คุณเอมี่ ลูกสาวสุดที่รักของท่านประธานบริษัทไม่ใช่เหรอ”
“ยัยนั่นทำเละ” เขากระซิบกระซาบเมื่อเริ่มนินทาบุตรสาวผู้ฉาวโฉ่ของเจ้านาย “ทิ้งงานที่ตัวเองรับปากจะทำ แล้วไปลั้นลาที่ปารีส จนถึงตอนนี้ แขกสำคัญหลายคนยังไม่ได้รับการ์ดเชิญเลย โชคดีหน่อยเรื่องสถานที่จัดงาน เจ้านายตัดสินใจใช้เรือสำราญของบริษัท”
ร็อกกี้ฟังโปรเจคผลาญเงินของบริษัทแล้วอดเสียดายไม่ได้
“ได้...ฉันจะทำงานนี้ให้ออกมาดีที่สุด จนทุกคนตะลึงเลยล่ะ”
เมริสาอาศัยประตูหลังร้านหลบเลี่ยงขึ้นห้องพักที่ชั้นบนโดยไม่ให้ใครเห็น เธอไม่อยากให้มารดาเห็นแผลที่ข้อศอก เพราะไม่อยากตอบคำถามอะไรทั้งนั้น
“ช่วงนี้ดวงไม่ค่อยดีเลย ทำไมมีแต่เรื่องนะ”
หญิงสาวหยิบกระปุกใส่อุปกรณ์ทำแผลที่วางไว้หลังตู้หนังสือออกมา
“ไม่เป็นไร ช่วงนี้อากาศหนาว ยังไงก็ต้องใส่เสื้อแขนยาวทุกวันอยู่แล้ว” เธอหวังว่ามันจะปกปิดร่องรอยจากอุบัติเหตุได้
เธอทำแผลที่ข้อศอกเสร็จแล้ว ก็เปิดดูตรงต้นขา เห็นรอยเขียวคล้ำช้ำเป็นปื้นใหญ่
“ฉันนี่มันโง่จริงๆ ทำไมไม่ไปโรงพยาบาลกับเขานะ ได้นั่งรถเขา แถมยังได้ค่ารักษาพยาบาลด้วย น่าเสียดายจริงๆ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เมริสารีบเก็บของเข้าที่เดิม แล้วไปเปิดประตู ทำหน้าตาสดชื่นแจ่มใส เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อยู่จริงๆ ด้วย” สมชายเท้าสะเอว มองหญิงสาวตรงหน้าตาข้น “เด็กในร้านบอกว่าเห็นหล่อนกลับเข้ามาแล้ว แต่ไม่ยอมเฉียดเข้าไปในครัว ฉันจิ้มโทรศัพท์หาหล่อนเท่าไหร่ก็ไม่ติด”
“ตายจริง” เธอลืมเรื่องโทรศัพท์ไปเลย จึงไม่รอช้า รีบค้าหามันในกระเป๋าสะพายและในเสื้อผ้าที่ยังสวมอยู่ ทว่า เจอแต่ความว่างเปล่า “ไม่มี...ไม่มี...โอ้...แย่แล้ว โทศัพท์ฉันหาย”
“จริงเหรอ หาดีๆ สิ อย่ารน ตั้งสติ คิดสิคิด ไปลืมทิ้งไว้ที่ไหนรึเปล่า”
“ไม่ลืม ครั้งสุดท้ายที่โทรก็ตอนที่...” เมริสากุมขมับ แทบไม่ต้องเดาเลยว่ามันหายตอนที่เธอกำลังจะข้ามถนนนั่นแหละ เธอล้วงมันออกมาเพื่อจะโทรหาไอริส ป่านนี้ถ้าไม่เละคาถนน ก็คงมีใครเก็บไปแล้ว “แล้วเจ๊ขึ้นมาหาฉันทำไม ฉันถูกสั่งพักงานอยู่นะ”
“มาตามหล่อนให้ไปทำงาน”
“พูดเป็นเล่น ไปขัดคำสั่งเจ๊ดวง เดี๋ยวพายุทอนาโดลงหรอก”
“คำสั่งถูกยกเลิกแล้วย่ะ” สมชายพูดชัดถ้อยชัดคำ ก่อนจะหัวเราะขำ “ยัยสาวผู้ช่วยเชฟมันท้องเสียกะทันหัน เลยขาดคน เจ๊แกก็เลย...”
หญิงสาวส่ายหน้าทำหยิ่ง “ถึงอย่างนั้น คนทำงานก็น่าจะพอ ทำไมยังมาเรียกฉันอีกล่ะ”
“คืองี้” สมชายเดินไปนั่งที่โซฟามุมห้อง “เจ๊แกขอให้หล่อนมาช่วยงานแค่คืนเดียว คือแกยกเลิกคำสั่งแค่คืนเดียว หลังจากงานนี้เสร็จแล้ว หล่อนก็พักงานเหมือนเดิม”
“เหรอ...น่าไปช่วยงานมาก”
“แม่หล่อนรับปากแทนหล่อนแล้วด้วย”
“โธ่แม่...” เมริสาโอดครวญ “แล้วแบบนี้เมื่อไหร่เจ๊แกจะรู้ล่ะว่าร้านนี้ขาดฉันไม่ได้”
“เหรอ” สมชายน้ำเสียงประชด
เมริสาถอนหายใจเสียงดัง “ฉันเป็นผู้หญิงที่ใครๆ ก็ต้องการ”
“จ้ะ...ถ้าอย่างนั้น ลงไปช่วยงานในครัวได้แล้ว งานรอให้หล่อนไปจัดการเพียบ”
“รับด้วยเกล้าเจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบแบบประชด สมชายสะบัดหน้าใส่ แล้วเดินอย่างกับนางแบบออกจากห้องไป
เมริสายิ้มดีใจ การที่เจ๊ดวงยกเลิกคำสั่งนั้น ก็ย่อมแสดงว่าเจ๊แกรู้ว่าเธอไม่ผิด เจ้าลูกค้าลามกต่างหากที่สมควรจะถูกลงทัณฑ์และถูกประณาม
เมริสารีบลงไปที่ครัว ไม่ทันได้จับมีดหั่นผักเลยด้วยซ้ำ ดวงมณีเดินกอดอกเข้ามา กวาดสายตามองไปรอบครัว จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่สาวเจ้าปัญหาประจำร้าน
“ไม่ต้องยิ้ม” เมริสาหุบยิ้มฉับ แล้วก้มหน้านิดๆ “ฉันแค่เรียกเธอกลับมาทำงานพิเศษ แค่คืนเดียวเท่านั้น ทำงานดีๆ ล่ะ อย่าทำให้ฉันเดือดร้อนอีก เข้าใจรึเปล่า”
เมริสาพยักหน้า “อย่าลืมค่าจ้างก็ต้องพิเศษด้วยนะคะ”
“ย่ะ” เจ๊ดวงทำหน้ายักษ์ ก่อนจะเดินออกไป ผู้จัดการสมชายสวมมาดขรึม วางอำนาจ เดินมาใกล้เมริสาแล้วกระซิบกระซาบ
“ค่าจ้าง 3 เท่า แถมยังได้ล่องเรือในทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยนอีกด้วย”
“ว๊าว!!! จริงหรือคะ” หญิงสาวอุทานลั่น จนทุกคนหันมองแล้วหัวเราะ “คืนนี้ครัวเราจะได้ขึ้นเรือหรือคะ”
“ปาร์ตี้ของคนรวยน่ะ”
“กฎ 3 ข้อของพนักงานร้านเราเมื่อขึ้นเรือไปแล้ว” อัญชลีพูดแทรกความดีใจของทุกคน ระหว่างปรุงอาหารไปด้วย “ห้ามเดินเพ่นพ่านในเรือ ห้ามออกจากครัว และห้ามพูดคุยหรือทักทายกับแขก ถ้าเผอิญรู้จักกันก็ทำได้เพียงแค่...ยิ้ม”
“ยิ้ม!!!” ทุกคนอุทานพร้อมกัน
เมริสาทำหน้างอ “จะให้อยู่แต่ในครัวเนี่ยนะ”
“แล้วแบบนี้เจ้าชายที่ไหนจะมาเห็นคนสวยๆ อย่างเราล่ะ” สมชายตีหน้าเศร้า เพ้อด้วยน้ำเสียงฝันๆ “ความรักของเราต้องถูกกีดกันอีกนานแค่ไหน”
“ลาออกไหม”
ชายหนุ่มไม่พูดอะไรอีก เขาเดินจากมา และตั้งใจจะไม่พบหน้าตาแก่อีก ปล่อยอดีตให้เป็นเรื่องของอดีต เพราะยังไงซะ ก็ไม่อาจกลับไปแก้ไขอะไรเขาต้องอยู่กับปัจจุบัน...และปัจจุบันของเขา มีผู้หญิงที่เขารักสุดหัวใจเดินเคียงข้าง เพราะอย่างนี้ เขาถึงรู้สึกอบอุ่นหัวใจ และไม่เกรงกลัวว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร“คุณหนูกลับมาแล้ว” มาการ์เร็ตเดินนำรอล่าและเหล่าสาวใช้ออกมาต้อนรับเจ้านายที่หน้าโถงประตูคฤหาสน์ หลังจากเครื่องบินส่วนตัวของชายหนุ่มถลาร่อนลงจอดยังรันเวย์ของไร่ไวน์โรส“ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะคุณหนู”เหล่าสาวใช้ยิ้มแย้มยินดี จนกระทั่งเห็นหญิงสาวที่เพิ่งลงจากรถแล้วเดินมาควงแขนชายหนุ่มอย่างสนิทสนมแนบชิดรอล่ายิ้มค้างปากกระตุก “ยัยเมย์!”“เมริสา!” มาการ์เร็ตจ้องมองหญิงสาวด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะขยับดวงตาเลื่อนมองชายหนุ่มที่มีสีหน้าอิ่มสุขกว่าทุกครั้งที่กลับมาบ้านหลังนี้ “คุณหนูคะ”“สวัสดีค่ะคุณมาการ์เร็ต คุณรอล่า เพนนีด้วย ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ สบายดีกันทุกคนใช่มั้ยคะ”“ฉันเดินได้แล้ว เพราะเธอ”“ดีมากเพนนี”“แล้วนี่หล่อนกับ...” มาการ์เร็ตจ้องเมริสาที จ้องคุณหนูของพวกเธอที จนชักจะเวียนหัว “เกิดอะไรขึ้น ทำไ
“ไคล์ ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ อายเขา!”คนมองกันทั้งร้าน หนึ่งในนั้นคือฟรานเชสโก้ เขาแทบไม่ต้องเดาเลยว่าไคล์ ลิมเบอร์สกี้คือผู้ชายที่อยู่ในใจของเมริสามาตลอด เป็นเขาน่ะเอง เจ้าของหัวใจเธอ“ผมไม่ลุก จนกว่าคุณจะตกลง”“งั้นก็ตามใจ ฉันไปล่ะ” หญิงสาวลุกขึ้นจะเดินหนี แต่ชายหนุ่มกลับรวบสองขาของเธอเอาไว้แล้วกอดแน่น“เมย์จ๋า...ผมรักคุณ ผมรักคุณได้ยินมั้ย ผมรักคุณ”“ฉันรู้แล้ว ฉันได้ยินแล้ว แต่คุณปล่อยฉันก่อนสิ”“ผมจะไม่ปล่อย ผมจะไม่ปล่อยคุณอีกแล้ว ถ้าคุณไม่รับปากว่าจะไปกับผม ผมจะกอดคุณไว้อย่างนี้แหละ”เขากอดแน่น แน่นจนเธอกระดิกตัวแทบไม่ได้ วินาทีนี้ เธออยากจะฆ่าพ่อจอมกะล่อนให้ตายด้วยมือของเธอเลยจริงๆลูกตื๊อของไคล์ได้ผล เพราะเธอไม่อยากให้ร้านกาแฟของ ฟรานเชสโก้เกิดเรื่องวุ่นวายไปมากกว่านี้ เธอเลยยอมถอดแบบฟอร์มคืนร้านและตามเขากลับมาบ้าน“ผมช่วยเก็บเสื้อผ้านะ”“อืม เก็บเลย เก็บให้หมดนะ อย่าให้เหลือ”“ได้ ผมจัดการให้เอง” เขากระดกคิ้วกวน ๆ ใส่เธอก่อนจะร้องเรียกด้วยเสียงดังลั่นไปทั้งบ้าน “เดฟ! โรเบอร์โต้!”สองหนุ่มวิ่งรี่เข้ามาอย่างเร็ว เพื่อรอรับคำสั่งเจ้านาย“พวกนายช่วยมาดามเก็บของหน่อยสิวะ”“ชุดชั้นในกับก
เดฟกับโรเบอร์โต้ไม่ออกความคิดเห็น เพียงแต่แอบไปนินทาเจ้านายด้วยกัน ระหว่างที่เดินเวรยามรอบบ้านของหญิงสาว“ทีตัวเอง..ใจโฉดกว่านี้อีก”“เฮ๊ย! อย่าพูดอย่างนั้น ใจโฉดยังน้อยไป อย่างไคล์ เรียกว่าสารเลวเลยดีกว่า”แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน จนทำให้ไคล์ที่นอนตบยุงอยู่บนเก้าอี้หน้าบ้านต้องหันมองอย่างแปลกใจ เขาอดคิดไม่ได้ว่าลูกน้องตัวแสบทั้งสองกำลังสมน้ำหน้าเขาอยู่“ฮึ่ม! เมย์นะเมย์ ทำไมทำกับผมแบบนี้!!!”“เมย์...เมย์จ๋า...ที่รัก”ชายหนุ่มนอนละเมอเพ้อหาหญิงสาวด้วยน้ำเสียงหื่นกระหาย แน่นอนว่าในฝันของเขาคงมีแค่เรื่องลามกเท่านั้น“อ่า...ผม...ผม...ผมรักคุณ...ผมต้องการคุณ ผม..” เขาครวญครางไม่ขาดสาย เพื่อระบายความรู้สึกและอารมณ์ใต้จิตสำนึกอย่างไม่รู้อิ่ม กระทั่งได้ยินเสียงเรียกมาจากที่ไกลๆ นั่นล่ะ“เจ้านาย! เจ้านายครับ”เสียงนั้นกระทุ้งให้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข แปรเปลี่ยนเป็นหน้ายุ่งไร้อารมณ์และหงุดหงิดรำคาญ“เจ้านาย!”“โอ๊ย! เรียกทำไมวะ คนกำลัง...” เข้าได้เข้าเข็ม...แต่เขาพูดไม่ทันจบ ก็พบว่าตัวเองแค่ฝันไปเท่านั้น เมื่อดวงตาคู่สวยของเขาลืมตื่นขึ้นท่ามกลางแสงแดดรำไร“อ้าว...จริงสิ” แล้วเข
“ไปกินข้าวกันเถอะ ฉันหิวแล้ว”หญิงสาวเดินนำไปที่โต๊ะเล็ก ๆ สี่ที่นั่ง ซึ่งตั้งติดกับบานหน้าต่างขนาดใหญ่ เปิดรับลมทะเลและทัศนาทิวทัศน์ท้องทะเลสีฟ้าครามได้เต็มตา“บ้านของคุณน่ารักดี แต่ผมอยากให้คุณย้ายไปอยู่กับผม”“ฉันจะอยู่ที่นี่ไปก่อน อย่างน้อยก็จนกว่าจะ...”เขานั่งลงตรงข้ามเธอ ตั้งใจฟังเธอแบบลุ้นระทึก“จนกว่า...อะไร”“แน่ใจว่าใครบางคน กลับตัวกลับใจได้ และเป็นคนดีได้จริงๆ ไม่ใช่แค่สร้างภาพเพื่อเอาใจผู้หญิง”“อ่า...ผมรู้ว่าผมสารเลว แต่สามเดือนที่ผ่านมา ผมก็ถูกลงโทษมาพอสมควรแล้วนะ ผมอยู่เหมือนตกนรกทั้งเป็น ผม...”“ฉันตกนรกยิ่งกว่าคุณอีก”เขาอึ้งไป ก่อนพูดเสียงค่อยออกมา “ผมขอโทษ”“ฉันร้องไห้ทุกคืน”“ผมขอโทษ ผมรู้ว่ามันเจ็บปวด”“คนอย่างคุณจะรู้ได้ยังไง”“ผมก็...” เขาหยุดไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะยอมพูดออกมา แม้จะอายแค่ไหนที่ต้องพูด “ผมก็ร้องไห้เหมือนคุณน่ะแหละ ผมเกลียดตัวเองที่ร้องไห้เพราะคุณ ผมไม่เคยเสียน้ำตาให้ใคร”“ว่าไงนะ” แล้วเธอก็หัวเราะ ยิ่งทำให้เขาอายไปกันใหญ่ “คุณเนี่ยนะร้องไห้ ฉันไม่เชื่อหรอก”“ไม่เชื่อก็ตามใจ แต่มันไม่ตลกนะ ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยร้องไห้ให้ใคร เข้าใจไว้ด้วย”เขาทำท่าโมโ
“แต่ขอเรื่องเดียว คุณห้ามให้คนอื่นจีบ นอกจากผม”“ไม่ให้ ถ้าไม่พอใจก็ไม่ต้องจีบสิคะ ฉันมีตัวเลือกเยอะแยะ ดีกว่าคุณก็มี” หญิงสาวยิ้มร่า เย้ยหยัน การคุมเกมนี่มันดีอย่างนี้เอง เธอหันหลังให้เขา เดินนำหน้าเขาไปหลายก้าว“เมย์....เมริสา! ผมบอกให้...”“หยุด!” เธอหันกลับมาชี้หน้าเขาตรง ๆ สายตาของหญิงสาวกดข่มให้เขารู้สึกตัวเล็กลงอย่างไม่รู้ตัว “ห้ามออกคำสั่งกับฉัน ฉันไม่ใช่ทาสคุณ”“ครับ...ครับ ผมขอโทษ”“ฉันจะพักผ่อนละ คุณกลับไปได้แล้ว”“ได้ไง ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณอีกเยอะแยะเลย”“ไม่ใช่ตอนนี้ นี่เป็นเวลาส่วนตัวของฉัน ฉันเหนื่อยเข้าใจมั้ยไคล์ คุณไม่คิดบ้างเหรอว่าฉันเพิ่งผ่านเหตุการณ์อะไรมา คิดสิคิด”“เอ่อ...ครับ ผมจะคิดให้เยอะกว่านี้”“ไม่ใช่คิดให้เยอะ แต่คิดให้ถูก คิดให้เป็น หัดเอาใจคนอื่นมาใส่ใจเราบ้าง อย่าคิดแต่เรื่องของตัวเอง”โอ้ว...เขากลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ...นี่คือจุดเริ่มต้นของช่วงชีวิตที่ตกต่ำที่สุดในชีวิตของเขาใช่มั้ย???“ครับเมย์...ผมเข้าใจแล้ว งั้นระหว่างที่คุณพักผ่อน ผมจะให้ลูกน้องเดินสำรวจตรวจดูรอบ ๆ บริเวณบ้านคุณนะ แล้วก็คุณอยากทานอะไรเป็นพิเศษมั้ย ผมจะได้ให้เดฟไปซื้อ...”“ทำไมต้องใช้
“ผมเข้าใจแล้ว...” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แล้วหลับตานิ่ง ไว้อาลัยให้กับคำตอบที่เขากระสันอยากรู้เสียเหลือเกิน “ผมเข้าใจแล้วครับคุณแม่...”เมริสาเดินกลับมาหาเขา เธอจับมือที่เย็นเยือบของเขาไว้ สายตาห่วงใยอย่างที่สุด เขาถอนหายใจซ้ำๆ ก่อนจะยิ้มให้เธอ ดวงตาสีมรกตแดงก่ำ วินาทีนั้น เหมือนเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาเลือกไม่พูด“อ่า...” เขาดึงร่างเธอไปกอดแน่น เธอกอดตอบร่างใหญ่หนาที่สะอื้นนั้นไว้ ฝ่ามือนุ่มลูบแผ่นหลังเขาช้าๆ เพื่อปลอบโยน“มันจบแล้วไคล์”“คุณไม่อยากรู้เหรอ ว่าในล็อกเก็ตมีอะไร”เขาผละใบหน้าที่เปื้อนความเศร้านั้นออกมาเผชิญหน้ากับหญิงสาวผู้เป็นที่รัก เธอส่ายหน้า“ฉันไม่สนใจอดีต เราเปลี่ยนอดีตไม่ได้นะไคล์ วันนี้กับวันพรุ่งนี้ต่างหากที่สำคัญ”“แต่เรามีวันนี้ได้เพราะอดีต” เขาพูดเสียงจริงจัง“คุณไม่คิดจะลืมมันจริงๆ เหรอ” เธอผิดหวังเล็กๆ“ผมจะลืมความจริงได้ยังไง เรื่องที่ผมเป็นลูกชายแท้ ๆ ของ...เซบาสเตียน!”เมริสาช็อคไปสามวินาที เธอไม่รู้จริง ๆ ว่าจะต้องปลอบใจเขาด้วยคำพูดใดถึงจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาได้“ผมเป็นลูกชายของมัสซิโม!” ชายหนุ่มยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้เธออ่าน...หญิงสาวอ่า