“อุ๊ย!!!” สมชายหันไปสบตากับดวงมณีที่ยืนทำหน้าถมึงทึงตรงประตู “ไม่กล้าทิ้งร้านนี้ไปหรอกค่ะ เดี๋ยวไม่มีใครช่วยเจ๊ทำงาน”
พูดจบ สมชายเดินออกจากครัวไปอย่างเร็ว ดวงมณีมองเมริสาตาขวาง เธอรู้สึกขนลุกกับสายตาคู่นี้จริงๆ
“หล่อนช่วยงานแต่ในครัวนะ ห้ามออกไปเสิร์ฟในงานเลี้ยงเด็ดขาด” สั่งเสร็จก็หันหลังกลับไป
“ถ้าฉันทำงานไม่ดี แล้วเรียกฉันกลับมาทำไม”
อัญชลีมองลูกสาวด้วยสายตาเห็นใจ “ตั้งใจทำงานล่ะ”
เมริสาพยักหน้าช้าๆ หัวใจห่อเหี่ยว “ทำไมทุกคนต้องมองเมย์เหมือนเป็นเด็กด้วย เมย์โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว อายุยี่สิบสามแล้วนะ รู้จักการละเทศะดี รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ไม่ทำให้งานใหญ่เสียหรอกน่า”
“แล้วถ้ามีคนจับก้นจะทำไง”
“ตบ!!!”
เมริสาเผลอตอบ ก่อนจะหุบปาก พนักงานในครัวพากันหัวเราะ “เสียท่าจนได้”
เมื่อเตรียมของสดเสร็จเรียบร้อย พนักงานของร้านก็ช่วยกันขนของขึ้นรถหกล้อคันใหญ่อย่างขะมักเขม้น โดยใช้เวลาเพียงไม่นานก็เสร็จ รถขนของเดินทางล่วงหน้าไปก่อน โดยมีดวงมณีและสมชายควบคุมดูแล ส่วนพนักงานขึ้นรถตู้คันใหญ่เพื่อตามไปยังท่าเรือในวันรุ่งขึ้น
คืนนี้ เธอจึงยังได้นอนพักผ่อนที่ห้องอย่างสบายกาย แม้จะมีแผลถลอกเล็กๆ ที่ข้อศอกให้ปวดเล่น มีเพียงใจของเธอเท่านั้นที่ยังรู้สึกไม่สบายและเป็นกังวล
“บอกแม่ดีไหม” เธอควรเล่าเรื่องลูกสาวตัวดีของท่าน ให้ท่านได้รับรู้ถึงพฤติกรรมของเจ้าหล่อนรึเปล่า “แต่ถ้าบอก ก็พาลจะไม่สบายใจเอา...ถ้าไม่บอก มารู้ทีหลัง จะโกรธเรารึเปล่า”
เธอถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ทำไมเธอต้องไปรับรู้เรื่องของยัยไอริสด้วย เธอควรจะอุดหูและไม่ฟังเธอพล่ามในตอนนั้น
เมริสาพยายามสะกดตัวเองให้หลับ เพื่อจะได้เลิกคิดเรื่องวุ่นวายในหัว ด้วยพรุ่งนี้มีงานสำคัญต้องทำ เธอจะได้ขึ้นเรือสำราญที่หรูและใหญ่ที่สุดในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
เช้าวันต่อมา เมริสาเด้งตัวตื่นขึ้นเพราะเสียงเคาะประตู เธอหันมองนาฬิกาก็รู้ว่าตัวเองสายแล้ว เจ้าหล่อนรีบลุกจากที่นอน รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยไม่อาบน้ำ แล้วลงไปข้างล่างทันที
“ขอโทษค่ะ เมย์สายไปนิด” ปรากฏว่าในร้านว่างเปล่า มีเพียงคนงานรถผู้ชายคนเดียวที่ต้องทำหน้าที่เฝ้าร้าน
“เขาไปกันหมดแล้ว”
“โธ่ แล้วเมย์จะไปยังไงล่ะคะ เขาขึ้นเรือที่ท่าเรือไหนรู้ไหมคะ”
คุณลุงคนรถบอกชื่อท่าเรือน้ำลึกแก่เธอ หญิงสาวไม่รอช้า ออกจากร้านไปโบกแท็กซี่ แจ้งพิกัดที่ต้องการไป หลายคันปฏิเสธเธอ เพราะความไกล แต่แล้วก็มีแท็กซี่ใจดีตอบรับไปส่ง
หญิงสาวนั่งรถพลางสวดภาวนาให้เธอไปทัน กำหนดเรือออกจากท่าคือเที่ยงตรง หากไปช้ากว่านั้นก็อด
สองชั่วโมงต่อมา รถแท็กซี่ก็เลี้ยวเข้าไปยังบริเวณท่าเรือขนาดยักษ์ หญิงสาวขอบคุณลุงแท็กซี่ที่พาเธอมาทันเวลาจนได้ เธอจ่ายเงินให้ลุงแท็กซี่แล้วลงจากรถ
“คนเยอะแยะไปหมด” เธอหันมองโดยรอบ เห็นผู้คนมากมายเดินเกลื่อนกระจายเต็มท่าเรือ รวมทั้งรถหรูยี่ห้อแพงๆ ที่ทยอยกันเข้ามาจอดจนเต็มแน่นไปทั้งลานจอด “อย่างกับงานพรมแดงแน่ะ นี่เรามาผิดท่าเรือรึเปล่า”
เมริสาตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศที่แสนคึกคักจนอุทานไม่ได้หยุดปาก ขณะเดินฝ่าฝูงชนที่แต่งกายหรูหราอลังการ ไปยังสะพานเชื่อมลำเรือ และเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองความสูงของเรือเอมี่ที่ลอยลำอย่างตระหง่านอยู่ตรงหน้า
“ว๊าว...สิบชั้นแน่ะ เทียบได้กับโรงแรมหกดาวเลยนะเนี่ย”
“หันไปทางไหนก็เจอแต่คนหล่อ...ล่ำ เร้าใจ” สมชายมายืนข้างๆ หญิงสาวแล้วกระซิบที่หู “ฉันนึกว่าแกจะมาไม่ทันเสียแล้ว”
เมริสาหันมากอดสมชายแน่น “ฉันลุ้นแทบแย่ กลัวตกเรือ แต่ในที่สุด สวรรค์ก็ยังเข้าข้างฉัน”
“เออๆ อย่ามัวแต่ดีใจ คนอื่นเขาขึ้นเรือกันหมดแล้ว รีบไปกันเถอะ”
“แล้วทำไมเจ๊ยังอยู่ล่ะ”
“ฉันมารอดูผู้ชาย” สมชายหัวเราะคิกคัก ระริกระรี้ “ไหนๆ ก็ต้องอยู่แต่ในครัว ก็ต้องตักตวงตอนที่มีโอกาส”
“แหม นึกว่ามารอรับฉันเสียอีก” เธอหันกลับไปมองคนหรูหราพวกนั้น ซึ่งกำลังทยอยกันขึ้นเช่นกัน หากแต่เป็นส่วนหน้าของลำเรือ “ทางโน้นสำหรับแขกของงานใช่ไหม...แต่งตัวเนี๊ยบกันทุกคนเลยนะคะ ดูปราดเดียวก็รู้ว่าบนเรือลำนี้คงเต็มไปด้วยคนดังและเหล่านักธุรกิจที่มีชื่อเสียงและร่ำรวย...เอ๊ะนั่น...”
เธอชะงักเมื่อเห็นใครบางคน แม้จะไกล แต่เธอก็จำร็อกกี้ได้แม่น เขากำลังเดินขึ้นเรือพร้อมกับชายหนุ่มอีกสองสามคนที่แต่งกายเรียบหรูดูดี
“อะไรยะหล่อน หรือว่าเจอหนุ่มในสเป๊ก” สมชายพยายามมองตามอย่างใคร่รู้ “คนไหนยะคนไหน เผื่อใจเราตรงกัน เจ๊จะได้หลีกทางให้ เพราะถึงยังไง เจ๊ก็สวยกว่า เจ๊หาใหม่ได้ง่ายๆ”
“เปล่าหรอกเจ๊ เรารีบขึ้นเรือกันเถอะ เดี๋ยวเรือออกเสียก่อนจะอดล่องเมดิเตอร์เรเนียน”
หญิงสาวพูดจบก็เดินนำไปก่อน สมชายที่ยังชะเง้อคอมองผู้ชาย ปาดน้ำลายแล้วรีบเดินตามหญิงสาวไป
“ทางนี้ย่ะ”
ในที่สุด เธอและผู้จัดการก็ไปเดินต่อแถวพนักงานของร้านอาหารไทยที่กำลังรอลิฟต์เพื่อลงไปยังชั้นสามซึ่งเป็นส่วนของห้องครัว
เธอเห็นมารดายืนอยู่ตรงหัวแถว กำลังสนทนากับเจ้าของร้านหน้าเครียด เธอคิดว่าคงไม่พ้นเรื่องงานเป็นแน่ เธอละสายตาจากหัวแถว หันมองความอลังการและยิ่งใหญ่ภายในลำเรือ
“โซนของคนงานยังขนาดนี้ ถ้าเป็นส่วนของแขกจะขนาดไหน” คิดแล้วตื่นเต้น อยากไปเห็นให้มันรู้เสียเดี๋ยวนี้ หากไม่มีกฎของทางร้านบังคับเอาไว้ล่ะก็ จ้างให้ก็ไม่มายืนต่อแถวหรอก
ครั้นเมื่อถึงที่ทำงาน...
“ว๊าว..ครัวใหญ่มาก อย่างกับครัวในโรงแรมหกดาวแน่ะ”
เมริสารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กจริงๆ เธอวิ่งพล่านไปทั่วเพื่อชมสถานที่อันทันสมัยและสะดวกสบาย เธอเดินนำขบวนไปก่อน จนเจอป้ายชั่วคราวที่แขวนไว้หน้าทางเข้าโซนที่สี่
“ครัวของเมริสาอยู่ทางนี้ค่ะ”
ดวงมณีสะบัดหน้าใส่เจ้าหล่อนทันที “ถ้าไม่ติดกับว่ามันดังจนกลายเป็นโลโก้อาหารไทยในแถบนั้น ฉันเปลี่ยนชื่อร้านไปตั้งนานแล้วย่ะ”
สมชายนำพนักงานเข้าไปด้านใน “ใช่จะมีแค่ครัวไทยนะ...ยังมีครัวญี่ปุ่น ครัวจีน ครัวอิตาลี” สมชายอธิบายพลางทอดสายตาไปยังห้องครัวอื่นๆ ซึ่งเป็นครัวเปิดสามารถมองเห็นกันได้ทุกซอกทุกมุม “เชฟอิตาลีก็น่ากินไม่น้อยนะ อุ้ย!! ไม่ใช่ ฉันหมายถึงอาหารอิตาลีก็น่าลอง ฉันจองคนนั้น”
สาวครัวไทยพากันหัวเราะขบขัน
“ตอกบัตร เข้าทำงานได้แล้ว” ไม่ใช่คำสั่งของดวงมณี แต่เป็นคำสั่งจากเชฟใหญ่
“เมนูพิเศษที่สั่งเพิ่มเข้ามา ขอสุดฝีมือเลยนะอัญ” ดวงมณีย้ำให้เชฟใหญ่รู้อีกรอบ “เค้กวันเกิดของประธานบริษัทอาร์แอนด์ดีจากครัวไทยต้องดีที่สุด เพราะทุกครัวได้รับโจทย์มาเหมือนกัน หากคุณมัสซิโม เจ้าของบริษัทจะเลือกเพียงชิ้นเดียวนำขึ้นเวที” เจ๊ดวงไม่ได้บอกแค่เชฟใหญ่คนเดียว แต่บอกกับทุกคนด้วย “หากเค้กของเราได้รับเลือก นอกจากจะได้เงินรางวัลแล้ว เราทุกคนจะได้ล่องเรือเอมี่ฟรีหนึ่งทริป”
ทุกคนร้องเย้พร้อมกัน
“ยังไม่ได้รางวัลเลยนะ อย่าเพิ่งดีใจ”
ชายหนุ่มไม่พูดอะไรอีก เขาเดินจากมา และตั้งใจจะไม่พบหน้าตาแก่อีก ปล่อยอดีตให้เป็นเรื่องของอดีต เพราะยังไงซะ ก็ไม่อาจกลับไปแก้ไขอะไรเขาต้องอยู่กับปัจจุบัน...และปัจจุบันของเขา มีผู้หญิงที่เขารักสุดหัวใจเดินเคียงข้าง เพราะอย่างนี้ เขาถึงรู้สึกอบอุ่นหัวใจ และไม่เกรงกลัวว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร“คุณหนูกลับมาแล้ว” มาการ์เร็ตเดินนำรอล่าและเหล่าสาวใช้ออกมาต้อนรับเจ้านายที่หน้าโถงประตูคฤหาสน์ หลังจากเครื่องบินส่วนตัวของชายหนุ่มถลาร่อนลงจอดยังรันเวย์ของไร่ไวน์โรส“ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะคุณหนู”เหล่าสาวใช้ยิ้มแย้มยินดี จนกระทั่งเห็นหญิงสาวที่เพิ่งลงจากรถแล้วเดินมาควงแขนชายหนุ่มอย่างสนิทสนมแนบชิดรอล่ายิ้มค้างปากกระตุก “ยัยเมย์!”“เมริสา!” มาการ์เร็ตจ้องมองหญิงสาวด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะขยับดวงตาเลื่อนมองชายหนุ่มที่มีสีหน้าอิ่มสุขกว่าทุกครั้งที่กลับมาบ้านหลังนี้ “คุณหนูคะ”“สวัสดีค่ะคุณมาการ์เร็ต คุณรอล่า เพนนีด้วย ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ สบายดีกันทุกคนใช่มั้ยคะ”“ฉันเดินได้แล้ว เพราะเธอ”“ดีมากเพนนี”“แล้วนี่หล่อนกับ...” มาการ์เร็ตจ้องเมริสาที จ้องคุณหนูของพวกเธอที จนชักจะเวียนหัว “เกิดอะไรขึ้น ทำไ
“ไคล์ ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ อายเขา!”คนมองกันทั้งร้าน หนึ่งในนั้นคือฟรานเชสโก้ เขาแทบไม่ต้องเดาเลยว่าไคล์ ลิมเบอร์สกี้คือผู้ชายที่อยู่ในใจของเมริสามาตลอด เป็นเขาน่ะเอง เจ้าของหัวใจเธอ“ผมไม่ลุก จนกว่าคุณจะตกลง”“งั้นก็ตามใจ ฉันไปล่ะ” หญิงสาวลุกขึ้นจะเดินหนี แต่ชายหนุ่มกลับรวบสองขาของเธอเอาไว้แล้วกอดแน่น“เมย์จ๋า...ผมรักคุณ ผมรักคุณได้ยินมั้ย ผมรักคุณ”“ฉันรู้แล้ว ฉันได้ยินแล้ว แต่คุณปล่อยฉันก่อนสิ”“ผมจะไม่ปล่อย ผมจะไม่ปล่อยคุณอีกแล้ว ถ้าคุณไม่รับปากว่าจะไปกับผม ผมจะกอดคุณไว้อย่างนี้แหละ”เขากอดแน่น แน่นจนเธอกระดิกตัวแทบไม่ได้ วินาทีนี้ เธออยากจะฆ่าพ่อจอมกะล่อนให้ตายด้วยมือของเธอเลยจริงๆลูกตื๊อของไคล์ได้ผล เพราะเธอไม่อยากให้ร้านกาแฟของ ฟรานเชสโก้เกิดเรื่องวุ่นวายไปมากกว่านี้ เธอเลยยอมถอดแบบฟอร์มคืนร้านและตามเขากลับมาบ้าน“ผมช่วยเก็บเสื้อผ้านะ”“อืม เก็บเลย เก็บให้หมดนะ อย่าให้เหลือ”“ได้ ผมจัดการให้เอง” เขากระดกคิ้วกวน ๆ ใส่เธอก่อนจะร้องเรียกด้วยเสียงดังลั่นไปทั้งบ้าน “เดฟ! โรเบอร์โต้!”สองหนุ่มวิ่งรี่เข้ามาอย่างเร็ว เพื่อรอรับคำสั่งเจ้านาย“พวกนายช่วยมาดามเก็บของหน่อยสิวะ”“ชุดชั้นในกับก
เดฟกับโรเบอร์โต้ไม่ออกความคิดเห็น เพียงแต่แอบไปนินทาเจ้านายด้วยกัน ระหว่างที่เดินเวรยามรอบบ้านของหญิงสาว“ทีตัวเอง..ใจโฉดกว่านี้อีก”“เฮ๊ย! อย่าพูดอย่างนั้น ใจโฉดยังน้อยไป อย่างไคล์ เรียกว่าสารเลวเลยดีกว่า”แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน จนทำให้ไคล์ที่นอนตบยุงอยู่บนเก้าอี้หน้าบ้านต้องหันมองอย่างแปลกใจ เขาอดคิดไม่ได้ว่าลูกน้องตัวแสบทั้งสองกำลังสมน้ำหน้าเขาอยู่“ฮึ่ม! เมย์นะเมย์ ทำไมทำกับผมแบบนี้!!!”“เมย์...เมย์จ๋า...ที่รัก”ชายหนุ่มนอนละเมอเพ้อหาหญิงสาวด้วยน้ำเสียงหื่นกระหาย แน่นอนว่าในฝันของเขาคงมีแค่เรื่องลามกเท่านั้น“อ่า...ผม...ผม...ผมรักคุณ...ผมต้องการคุณ ผม..” เขาครวญครางไม่ขาดสาย เพื่อระบายความรู้สึกและอารมณ์ใต้จิตสำนึกอย่างไม่รู้อิ่ม กระทั่งได้ยินเสียงเรียกมาจากที่ไกลๆ นั่นล่ะ“เจ้านาย! เจ้านายครับ”เสียงนั้นกระทุ้งให้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข แปรเปลี่ยนเป็นหน้ายุ่งไร้อารมณ์และหงุดหงิดรำคาญ“เจ้านาย!”“โอ๊ย! เรียกทำไมวะ คนกำลัง...” เข้าได้เข้าเข็ม...แต่เขาพูดไม่ทันจบ ก็พบว่าตัวเองแค่ฝันไปเท่านั้น เมื่อดวงตาคู่สวยของเขาลืมตื่นขึ้นท่ามกลางแสงแดดรำไร“อ้าว...จริงสิ” แล้วเข
“ไปกินข้าวกันเถอะ ฉันหิวแล้ว”หญิงสาวเดินนำไปที่โต๊ะเล็ก ๆ สี่ที่นั่ง ซึ่งตั้งติดกับบานหน้าต่างขนาดใหญ่ เปิดรับลมทะเลและทัศนาทิวทัศน์ท้องทะเลสีฟ้าครามได้เต็มตา“บ้านของคุณน่ารักดี แต่ผมอยากให้คุณย้ายไปอยู่กับผม”“ฉันจะอยู่ที่นี่ไปก่อน อย่างน้อยก็จนกว่าจะ...”เขานั่งลงตรงข้ามเธอ ตั้งใจฟังเธอแบบลุ้นระทึก“จนกว่า...อะไร”“แน่ใจว่าใครบางคน กลับตัวกลับใจได้ และเป็นคนดีได้จริงๆ ไม่ใช่แค่สร้างภาพเพื่อเอาใจผู้หญิง”“อ่า...ผมรู้ว่าผมสารเลว แต่สามเดือนที่ผ่านมา ผมก็ถูกลงโทษมาพอสมควรแล้วนะ ผมอยู่เหมือนตกนรกทั้งเป็น ผม...”“ฉันตกนรกยิ่งกว่าคุณอีก”เขาอึ้งไป ก่อนพูดเสียงค่อยออกมา “ผมขอโทษ”“ฉันร้องไห้ทุกคืน”“ผมขอโทษ ผมรู้ว่ามันเจ็บปวด”“คนอย่างคุณจะรู้ได้ยังไง”“ผมก็...” เขาหยุดไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะยอมพูดออกมา แม้จะอายแค่ไหนที่ต้องพูด “ผมก็ร้องไห้เหมือนคุณน่ะแหละ ผมเกลียดตัวเองที่ร้องไห้เพราะคุณ ผมไม่เคยเสียน้ำตาให้ใคร”“ว่าไงนะ” แล้วเธอก็หัวเราะ ยิ่งทำให้เขาอายไปกันใหญ่ “คุณเนี่ยนะร้องไห้ ฉันไม่เชื่อหรอก”“ไม่เชื่อก็ตามใจ แต่มันไม่ตลกนะ ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยร้องไห้ให้ใคร เข้าใจไว้ด้วย”เขาทำท่าโมโ
“แต่ขอเรื่องเดียว คุณห้ามให้คนอื่นจีบ นอกจากผม”“ไม่ให้ ถ้าไม่พอใจก็ไม่ต้องจีบสิคะ ฉันมีตัวเลือกเยอะแยะ ดีกว่าคุณก็มี” หญิงสาวยิ้มร่า เย้ยหยัน การคุมเกมนี่มันดีอย่างนี้เอง เธอหันหลังให้เขา เดินนำหน้าเขาไปหลายก้าว“เมย์....เมริสา! ผมบอกให้...”“หยุด!” เธอหันกลับมาชี้หน้าเขาตรง ๆ สายตาของหญิงสาวกดข่มให้เขารู้สึกตัวเล็กลงอย่างไม่รู้ตัว “ห้ามออกคำสั่งกับฉัน ฉันไม่ใช่ทาสคุณ”“ครับ...ครับ ผมขอโทษ”“ฉันจะพักผ่อนละ คุณกลับไปได้แล้ว”“ได้ไง ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณอีกเยอะแยะเลย”“ไม่ใช่ตอนนี้ นี่เป็นเวลาส่วนตัวของฉัน ฉันเหนื่อยเข้าใจมั้ยไคล์ คุณไม่คิดบ้างเหรอว่าฉันเพิ่งผ่านเหตุการณ์อะไรมา คิดสิคิด”“เอ่อ...ครับ ผมจะคิดให้เยอะกว่านี้”“ไม่ใช่คิดให้เยอะ แต่คิดให้ถูก คิดให้เป็น หัดเอาใจคนอื่นมาใส่ใจเราบ้าง อย่าคิดแต่เรื่องของตัวเอง”โอ้ว...เขากลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ...นี่คือจุดเริ่มต้นของช่วงชีวิตที่ตกต่ำที่สุดในชีวิตของเขาใช่มั้ย???“ครับเมย์...ผมเข้าใจแล้ว งั้นระหว่างที่คุณพักผ่อน ผมจะให้ลูกน้องเดินสำรวจตรวจดูรอบ ๆ บริเวณบ้านคุณนะ แล้วก็คุณอยากทานอะไรเป็นพิเศษมั้ย ผมจะได้ให้เดฟไปซื้อ...”“ทำไมต้องใช้
“ผมเข้าใจแล้ว...” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แล้วหลับตานิ่ง ไว้อาลัยให้กับคำตอบที่เขากระสันอยากรู้เสียเหลือเกิน “ผมเข้าใจแล้วครับคุณแม่...”เมริสาเดินกลับมาหาเขา เธอจับมือที่เย็นเยือบของเขาไว้ สายตาห่วงใยอย่างที่สุด เขาถอนหายใจซ้ำๆ ก่อนจะยิ้มให้เธอ ดวงตาสีมรกตแดงก่ำ วินาทีนั้น เหมือนเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาเลือกไม่พูด“อ่า...” เขาดึงร่างเธอไปกอดแน่น เธอกอดตอบร่างใหญ่หนาที่สะอื้นนั้นไว้ ฝ่ามือนุ่มลูบแผ่นหลังเขาช้าๆ เพื่อปลอบโยน“มันจบแล้วไคล์”“คุณไม่อยากรู้เหรอ ว่าในล็อกเก็ตมีอะไร”เขาผละใบหน้าที่เปื้อนความเศร้านั้นออกมาเผชิญหน้ากับหญิงสาวผู้เป็นที่รัก เธอส่ายหน้า“ฉันไม่สนใจอดีต เราเปลี่ยนอดีตไม่ได้นะไคล์ วันนี้กับวันพรุ่งนี้ต่างหากที่สำคัญ”“แต่เรามีวันนี้ได้เพราะอดีต” เขาพูดเสียงจริงจัง“คุณไม่คิดจะลืมมันจริงๆ เหรอ” เธอผิดหวังเล็กๆ“ผมจะลืมความจริงได้ยังไง เรื่องที่ผมเป็นลูกชายแท้ ๆ ของ...เซบาสเตียน!”เมริสาช็อคไปสามวินาที เธอไม่รู้จริง ๆ ว่าจะต้องปลอบใจเขาด้วยคำพูดใดถึงจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาได้“ผมเป็นลูกชายของมัสซิโม!” ชายหนุ่มยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้เธออ่าน...หญิงสาวอ่า