Share

บทที่ 05 มืดมน

Author: ชารี
last update Last Updated: 2025-09-15 17:32:32

บทที่ 05

มืดมน

         เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอิฐกับตรีอัปสรลุกลามใหญ่โต พวกเขาทะเลาะกันอย่างหนักเป็นครั้งแรก จนในที่สุดอิฐเอ่ยปากขอหย่ากับเธอ ทำให้ตรีอัปสรกรีดร้องลั่นราวกับคนเสียสติ

         ชลธิชาตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่เคยเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันมาก่อน เธอร้องไห้ด้วยความกลัวและเสียใจ โดยมีชวลิตคอยปลอบโยน

         “พี่ต้น ฮือ ๆๆ เต้ยเกลียดพวกมันสองคน ฮือ ๆๆ”

         ในใจของชวลิตก็เจ็บปวดและเสียใจไปไม่น้อยกว่าชลธิชาเลย แต่เขาก็ต้องเข้มแข็งแล้วกอดน้องสาวเอาไว้

         “คุณเป็นคนผิดนะอิฐ! ทำไมถึงพูดแบบนี้” เสียงของตรีอัปสรดังลั่นไปทั่วบ้าน

         อิฐก้มหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย “ผมผิดจริง ๆ ตรี...”

         “ฉันจะคุยกับคุณแม่เรื่องนี้” ตรีอัปสรยกมือขึ้นปาดน้ำตา “คุณแม่ไม่เอาพวกมันไว้แน่”

         ตรีอัปสรหันหลังออกจากบ้าน วิ่งไปที่เรือนใหญ่ เธอจะไปคุยกับอนงค์ เพื่อจัดการเรื่องนี้ให้จบสิ้นเสียที

         “คุณแม่ต้องจัดการเรื่องนี้ให้ตรีนะคะ” ตรีอัปสรเอ่ยทั้งน้ำตา

         อนงค์นั่งนิ่งอยู่ภายในห้องนอนของเธอ หลังจากรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเธอก็เป็นลมล้มไปทันที ไม่คิดว่าลูกชายที่เธอรักดั่งแก้วตาดวงใจจะทำเรื่องน่าผิดหวังเช่นนี้ได้ อีกทั้งรู้สึกโกรธตัวเองที่เมตตาขวัญเรือน สุดท้ายอีกฝ่ายก็เลี้ยงไม่เชื่อง

         “ถ้าที่บ้านตรีรู้เรื่องนี้ คุณแม่เชื่อเถอะค่ะ ว่าคุณพ่อคุณแม่ตรีไม่ยอมแน่นอน พวกเค้าจะต้องฟ้องร้องเรื่องนี้ และหุ้นบริษัทก็จะถอนออกทั้งหมด”

         อนงค์สูดหายใจลึก แม้สีหน้ายังคงเรียบนิ่ง แต่ภายในใจของเธอนั้นกำลังคุกรุ่น

         “อืม...แม่จะจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสมแน่นอน” อนงค์เอ่ยเสียงเรียบ แววตาเย็นชา ไม่หลงเหลือความเมตตาใด ๆ แล้ว

         ขวัญเรือนเดินเข้ามาที่เรือนใหญ่ ตั้งใจจะมากราบขอโทษอนงค์กับตรีอัปสรก่อนจะไป ซึ่งเธอไม่ได้คาดหวังว่าจะให้พวกเขายกโทษให้ ขณะที่เดินเข้ามาด้านใน กำลังจะก้าวขึ้นบันได เสียงฝีเท้าเบา ๆ ก็ดังขึ้นจากข้างบน เธอเห็นตรีอัปสรยืนอยู่ตรงบนบันไดชั้นบนสุด

         ดวงตาที่แดงก่ำของตรีอัปสรผ่านการร้องไห้มา มองขวัญเรือนด้วยความเกลียดชัง คนที่ถือเกียรติถือศักดิ์ศรีอย่างเธอมากที่สุด รู้สึกเสียหน้าที่ถูกคนรับใช้ต่ำต้อยลักลอบมีความสัมพันธ์กับสามีของตัวเอง

         ขวัญเรือนค่อย ๆ ก้าวขึ้นมาบนบันไดขั้นบน เมื่ออยู่ตรงหน้าตรีอัปสรแล้ว เธอก็คุกเข่าลงกับพื้นยกมือพนมไหว้อีกฝ่าย

         เพียะ!

         ตรีอัปสรตบขวัญเรือนจนอีกฝ่ายหน้าหัน แต่ถึงอย่างนั้นขวัญเรือนก็พนมมือก้มกราบอีกฝ่ายแทบเท้า ตรีอัปสรชักเท้าหนีด้วยความเกลียด เธอไม่มีทางให้อภัยผู้หญิงสารเลวคนนี้

         “คุณตรีคะ ดิฉันขอโทษค่ะ” ขวัญเรือนจับข้อเท้าของอีกฝ่ายไว้

         “เอามือสกปรกของแกออกไป!”

         ตรีอัปสรสะบัดข้อเท้าของตัวเองออกจากขวัญเรือนอย่างแรง ทำให้อีกฝ่ายเสียหลักลื่นไถลลงไป ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจ ยืนอึ้งขณะร่างของขวัญเรือนกลิ้งตกลงบันไดก่อนจะนอนแน่นิ่งกับพื้นด้านล่าง ดวงตาปิดสนิท เลือดสีแดงฉานค่อย ๆ ไหลออกมาจากศีรษะเป็นวงกว้าง

         “แม่!”

         มาลารินหวีดร้องสุดเสียง เธอวิ่งเข้ามาขณะที่คนอื่น ๆ ต่างก็กรูเข้ามาเช่นเดียวกัน

         “แม่! อย่าเป็นอะไรนะแม่!”

         มาลารินประคองแม่เอาไว้ ใบหน้าขวัญเรือนซีดเซียว กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง เรื่องราวเหล่านั้นติดอยู่ในใจของเธอมาโดยตลอด...

         “ฮือ ๆๆ แม่ตื่นสิ...”

         มาลารินสะดุ้งเฮือกขึ้นมาในความมืดสลัว เธอหอบหายใจถี่ เหงื่อซึมทั่วแผ่นหลัง มือข้างหนึ่งกำผ้าห่มแน่น นัยน์ตาสะท้อนความหวาดกลัวออกมา

         “ลาริน...ฝันร้ายเหรอ?”

         เด็กชายวัยสิบขวบตื่นขึ้นมาด้วย มือเล็ก ๆ แตะตัวพี่สาวเบา ๆ มาธารินนั้นรู้สึกได้ถึงอาการสั่นเทา

         “ไม่เป็นไร ธารินนอนต่อเถอะ ยังไม่เช้าเลย”

         มาลารินล้มตัวลงนอนเคียงข้างน้องชาย กระชับผ้าห่มคลุมกาย พยายามข่มตานอนให้หลับ แต่ฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนมาเกือบสิบปี จึงเป็นเรื่องยากที่จะข่มตานอนลงได้ง่าย ๆ

         เมื่อสิบสามปีก่อน ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในบ้านสุรีย์ฉาย จากเด็กหญิงวัยสิบขวบ ตอนนี้มาลารินกลายเป็นหญิงสาวเต็มตัวในวัยยี่สิบสองย่างยี่สิบสาม เธอยังคงใช้ชีวิตอยู่ในบ้านพักหลังเล็กหลังเดิม ภายในรั้วบ้านสุรีย์ฉาย ทว่าตอนนี้มีเพียงแค่เธอกับน้องชายเท่านั้น ไม่มีแม่อยู่อีกแล้ว

         จากเรื่องราวในวันนั้น แม่ของเธอตัดสินใจจบชีวิตของตัวเอง ราวกับต้องการชดใช้ความผิดกับการกระทำของตัวเอง ทิ้งเธอกับน้องชายเอาไว้

         การไม่มีแม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว มาลารินรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเธอ...

         ตอนนั้นมาลารินอายุเพียงแค่สิบสามปี รู้สึกมืดมนไร้หนทาง เด็กหญิงไม่รู้เลยว่าชีวิตต่อจากนี้จะเอาอย่างไรดี แม่ไม่อยู่แล้ว เธอไร้ญาติขาดมิตร แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง เมื่ออนงค์ยังคงเมตตาให้เธอกับน้องชายอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไป และยังมีสมจิตร ที่เป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ ที่คอยช่วยดูแลน้องชายเธอมานับตั้งแต่วันที่แม่ไม่อยู่

         ดังนั้นบุคคลสองคนที่มีพระคุณกับเธอและน้องชาย มาลารินจะจดจำพวกเขาไปตลอดชีวิต

         ตลอดเวลาเกือบสิบปีที่ผ่านมา ภายในรั้วบ้านสุรีย์ฉาย มาลารินต้องทนกับคำพูดเหยียดหยาม สายตาดูถูกของผู้คน พวกเขามองเธอเปลี่ยนไป แต่มาลารินบอกกับตัวเองว่าต้องอดทน เมื่อถึงวันที่เธอพึ่งพิงตัวเองได้ เธอจะพาน้องชายออกไปจากที่นี่ทันที

         “เสร็จแล้วลาริน”

         มาธารินหันมามองกับพี่สาว พร้อมกับหยิบกระเป๋านักเรียนเตรียมพร้อมไปโรงเรียน

         มาลารินจูงมือน้องชายออกไปทางประตูเหล็กที่อยู่ด้านหลัง เป็นที่ที่พวกเธอใช้เข้าออกมาตลอด เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ประตูหน้า ไม่เคยมีใครเห็นหน้าน้องชายของเธอ ยกเว้นอนงค์กับสมจิตร และช่วงหลังอนงค์ย้ายจากเรือนใหญ่มาอยู่เรือนหลังเล็ก มาลารินก็คอยรับใช้อยู่ที่นั่นประจำ จะเข้าไปทำความสะอาดที่เรือนใหญ่นาน ๆ ครั้ง

         ผ่านมาหลายปีแล้ว เรือนใหญ่เงียบเหงา บ้านสุรีย์ฉายไร้ชีวิตชีวาไม่เหมือนเมื่อก่อน ทว่าวันนี้จะมีงานเลี้ยงต้อนรับชวลิตกลับมาจากต่างประเทศ คนงานวุ่นวายจนแทบไม่มีใครดูแลแขกทั่วถึง สมจิตรจึงขออนงค์ ให้อนุญาตมาลารินเข้าไปช่วยงาน

         “เข้าไปช่วยงานในครัวก็พอ อย่าเดินเข้าไปเพ่นพ่านในงานล่ะ”

         อนงค์กำชับกับสมจิตรให้นำความมาบอกกับมาลาริน เธอนั้นพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร ทว่าภายใต้สีหน้าที่เรียบเฉยของมาลาริน เธอกลับเก็บซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ โดยไม่มีใครสังเกตเห็น

         เมื่อหลายปีก่อน...

         มาลารินยืนลังเลอยู่หลังพุ่มไม้ สายตามองไปยังร่างของชวลิตที่นั่งอยู่บนม้านั่งในสวน มือของเธอกำผ้าพันคอที่ถักด้วยมือแน่น เพราะรู้ว่าเขากำลังจะไปเรียนต่างประเทศ เธอจึงตั้งใจนำมันมาให้เขา

         “คุณต้นคะ หนูถักให้คุณต้นค่ะ” มาลารินรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหาเขาอย่างช้า ๆ

         ผ้าพันคอสีเทาอ่อนถูกยื่นไปตรงหน้า มือของมาลารินสั่นน้อย ๆ การมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาได้ในตอนนี้ เธอต้องใช้ความกล้าอย่างมากเลยทีเดียว

         ชวลิตเงยหน้าขึ้น สายตาเย็นชามองเธอ ก่อนจะแค่นเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ นับถือในความใจกล้าของเธอนัก เขาคว้าผ้าพันคอนั้นมาแล้วโยนมันลงพื้นต่อหน้าเธอ

         “คิดว่าฉันจะรับของจากคนอย่างเธอเหรอ?” เสียงของเขาแข็งกระด้าง สายตาที่มองมามีแต่ความเกลียดชัง ไม่หลงเหลือคนที่เคยใจดีอีกแล้ว

         มาลารินหน้าซีด มือสั่นเล็กน้อย และยังไม่ทันที่จะก้มเก็บของ ผ้าผืนนั้นก็ถูกเหยียบย่ำซ้ำลงไปด้วยรองเท้าสีดำของเขา

         “ฉันเกลียดเธอ จำไว้ให้ขึ้นใจล่ะ”

         มาลารินรู้สึกเหมือนมีบางอย่างหนัก ๆ กระแทกเข้ามากลางใจเธออย่างรุนแรง ดวงตาที่หยาดรื้นไปด้วยน้ำใส ๆ มองเขาเดินจากไปจนลับตา เธอก้มลงเก็บผ้าพันคอขึ้นมา ปัดเศษติดที่เปื้อนออก พร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินออกมาอย่างเงียบ ๆ ไม่ว่าจะมองไปทางไหน เธอก็รู้สึกเคว้งขว้าง เดียวดายไปเสียหมด

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เกลียดเธอที่สุด   บทส่งท้าย NC

    บทส่งท้าย แสงยามเช้าอาบไล้เข้ามาในห้องนอนเล็ก ๆ ผ่านผ้าม่านสีขาวที่พลิ้วไหวตามแรงลม เสียงนกร้องเบา ๆ อยู่นอกหน้าต่าง ราวกับว่าพวกมันกำลังปลุกคนทั้งคู่ที่อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันทั้งคืนให้ตื่นจากความฝัน มาลารินค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา เธอเห็นใบหน้าของชวลิตอยู่ใกล้แค่คืบ เขายังคงกอดเธอเอาไว้นแน่นหลังจากที่เมื่อคืนนอนคุยกันถึงเรื่องราวมากมายจนหลับไปในอ้อมแขนของเขา เขาเล่าให้เธอฟังว่าของเขาป่วยด้วยโรคร้ายอยู่หลายปี ก่อนจะจากไปเมื่อสองเดือนก่อน ตอนมาลารินได้ยินเรื่องนั้น เธอรู้สึกใจหายไม่น้อย แม้เวลาจะผ่านมานานแล้วก็ตาม แต่เธอยังคงจำใบหน้าและดวงตาของตรีอัปสรได้เป็นอย่างดี เธอหวังอยู่ในใจลึก ๆ ว่าในช่วงสุดท้ายของชีวิตตรีอัปสรนั้นจะจากไปด้วยใจที่ไม่ยึดถือสิ่งใดแล้ว “เสียใจด้วยนะคะ” ชวลิตยิ้มบาง ๆ นัยน์ตาแม้ยังหลงเหลือรอยเศร้าอยู่บ้าง ทว่าที่ผ่านมาเขาคิดว่าตัวเองทำได้ดีที่สุดแล้วเพื่อให้แม่ของเขามีความสุข หลังจากทุกอย่างจบลง ชวลิตเลือกที่จะหันหลังให้กับทุกอย่าง เขาออกจากบ้านสุรีย์ฉายเพื่อมาหามาลารินที่นี่ เมื่อเทียบกับการที่จะได้อยู่กับเธอแล้ว ไ

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ 44 หวนคืน (จบ)

    บทที่ 44หวนคืน 10 ปีผ่านไป...ยามบ่ายแก่ ๆ ณ วัดหลวงแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ที่ลานด้านหน้าเมรุคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่แต่งกายด้วยชุดสีดำ ฟ้าที่เคยโปร่งใสบัดนี้มีเมฆสีเทาเคลื่อนตัวมาบดบังแสงแดดจ้าให้หม่นลงปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า คล้ายว่ากำลังร่วมไว้อาลัยให้แก่ผู้วายชนม์อย่างตรีอัปสรเมื่อหลายปีก่อนนั้น เธอป่วยด้วยโรคร้ายรักษาไม่หาย แต่ยังคงมีชีวิตอยู่ได้หลายปีด้วยกำลังใจของคนในครอบครัว ทว่าเวลาผ่านไปร่างกายของเธอก็ทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เธอต้องลาจากโลกนี้ไปท่ามกลางความเสียใจของทุกคนท่ามกลางผู้คนมากมายนั้น ชวลิตยืนเงียบ ๆ ข้างชลธิชาและญาติสนิทที่ยืนเรียงกัน เวลาล่วงเลยผ่านมานานนับสิบปี ตอนนี้อายุของเขาก้าวล่วงมาถึงวัยสามสิบแปดแล้ว เขายังคงดูโด่น แม้เส้นผมที่เคยดำขลับจะมีสีขาวขึ้นแซมที่ขมับทั้งสองข้าง ร่องลึกบนใบหน้าเผยให้เห็นถึงกาลเวลาที่ล่วงไป แต่นัยน์ตาคู่คมนั้นยังคงเหมือนคนที่แบกบางสิ่งไว้ตลอดเวลาเสียงประกาศให้ผู้คนทอยขึ้นเมรุเพื่อวางดอกไม้จันทน์ ขบวนของผู้คนค่อย ๆ เคลื่อนย้ายไปช้ายังด้านบนของเมรุ กลีบดอกไม้สีเหลืองนวลในมือของแต่ละคนค่อย ๆ วางลงหน้าโลงที่ประดับด้วยด

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ 43 คำขอสุดท้าย

    บทที่ 43คำขอสุดท้ายบนท้องถนนที่คลาคล่ำไปด้วยรถยนต์ รถคันหรูของชวลิตเคลื่อนตัวด้วยความเร็วคงที่ผ่านแสงไฟริมถนนที่ทอดยาวเป็นเส้นสีเหลืองสลับกับเงามืดของต้นไม้ข้างทาง ระหว่างทางนั้น มาลารินได้รับสายจากกรฏที่โทรมา เมื่อกดรับสายได้ กรกฏก็คลายความกังวลและความเป็นห่วงลงมาเล็กน้อย ชวลิตหันมายิ้มให้กับมาลาริน เขาดีใจที่หญิงสาวมีเพื่อนที่ดีคนหนึ่งคอยอยู่เคียงข้าง ความคิดของเขาที่เคยมีต่อกรกฏในเมื่อก่อน ต่างจากตอนนี้โดยสิ้นเชิง ตลอดระยะเวลาที่รถเคลื่อนตัวไปนั้น ชวลิตรู้สึกว่ามาลารินมองเขาอยู่เป็นระยะ แม้เธอหลบสายตาทุกครั้งที่เขาหันไป แต่เขากลับรู้สึกว่าเธอได้ทิ้งร่องรอยบางอย่างเอาไว้ในใจของเขา “มีอะไรหรือเปล่า?” เสียงทุ้มเอ่ยถามบางเบา เขายกมือข้างหนึ่งลูบศีรษะของเธออย่างเอ็นดู นัยน์ตาของมาลารินที่เหลือบมองเขา มีแววครุ่นคิดบางอย่างที่คล้ายกับว่าเธอยังวางมันไม่ลง ดูเหมือนจะรบกวนจิตใจของเธอมาโดยตลอด “ฉันมีเรื่องอยากคุยกับคุณน่ะค่ะ” แววตาของชวลิตเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารู้สึกได้ถึงน้ำเสียงและแววตาที่จริงจังของหญิงสาว จึงค่อย ๆ ตบไฟเลี้ยวจอดรถลงที่

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ 42 ไม่อยากให้ดวงตะวันลับฟ้า

    บทที่ 42ไม่อยากให้ดวงตะวันลับฟ้า ผ้าม่านปลิวไหวเบา ๆ ไปกับสายลม ขณะที่แสงอ่อน ๆ ยามเช้าลอดผ่านเข้ามา สาดลงบนเรือนผมยุ่ง ๆ ของมาลาริน ร่างบางเปลือยเปล่าซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา ที่มีอ้อมแขนอันอบอุ่นของเขาโอบล้อมเธอไว้อีกชั้นหนึ่ง มาลารินกระพริบตาช้า ๆ แผ่นหลังบอบบางที่นอนอยู่กับอกเปลือยเปล่าของชายหนุ่ม ทำให้เธอรู้สึกถึงลมหายใจของเขาที่ยังคงเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ หัวใจของเธอเต้นเป็นจังหวะ เมื่อความทรงจำอันเร่าร้อนในค่ำคืนยังแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูของเธอ กลิ่นของอากาศสดชื่นลอยมากับสายลมอ่อนยามเช้า เสียงของใบไม้ไหวตามแรงลม บรรดาเจ้านกส่งเสียงเจื้อยแจ้วพูดคุยกันจนเซ็งแซ่ ทว่าหัวใจของเธอกลับสงบลงเพราะยังคงรู้สึกถึงอ้อมแขนอันอบอุ่นที่โอบกอดเธอไว้ตลอดทั้งคืนเพียงครู่หนึ่ง เปลือยตาของเขาก็ค่อย ๆ เปิดออก เผยให้เห็นแววตาอันบอุ่นที่ยังตื่นไม่เต็มที่นัก เขาชะโงกหน้าขึ้นมามองเธอเล็กน้อย“ตื่นเช้าจัง...” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเบา ๆ พร้อมกระชับวงแขนรอบเอวเธอแน่นขึ้น “ไม่เหนื่อยเหรอ”มาลารินหันมายิ้มให้กับเขา มองใบหน้าหล่อเหลาที่ผมยุ่งฟูดูเป็นธรรมชาติ เธอรู้สึกว่าเช้าวันนี้แสนพิเศษเพ

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ 41 ใต้แสงจันทร์ NC

    บทที่ 41ใต้แสงจันทร์ แสงสุดท้ายยามพระอาทิตย์อัสดงลอดผ่านผ้าม่านที่ปลิวไสวไปกับสายลมยามเย็นที่พัดผ่านเข้ามาภายในห้องนอนที่เงียบสงบ ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา ร่างกายเปลือยเปล่าของมาลารินขยับกายเพียงเล็กน้อย สัมผัสของผ้าปูที่นอนยังอุ่นเหมือนช่วงเวลาที่เร่าร้อนเพิ่งจะผ่านพ้นไปได้ไม่นาน หญิงสาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาภายในห้องที่แสงสีส้มสาดส่องเข้ามาในความมืดที่สลัวลง เมื่อขยับกายลุกขึ้นนั่ง สายตานั้นก็เลื่อนผ่านบานประตูกระจกใสที่เปิดแง้มไว้สู่ระเบียงกว้างที่ทอดยาวออกไปกลางสวนร่มรื่น แสงไฟสีอุ่นจากโคมบนระเบียงทอดลงบนร่างสูงของชวลิตที่กำลังก้มตัวจัดจานบนโต๊ะกลมไม้สัก มีเสียงเพลงสากลที่เขาเปิดทิ้งไว้คลอเคล้าอยู่ในบรรยากาศ ดวงหน้าของเขาภายใต้แสงไฟนั้นดูอบอุ่นและอ่อนโยน หญิงสาวจับจ้องเขาอยู่สักพัก ราวกับต้องการเก็บภาพนั้นตรึงไว้ในความทรงจำให้นานแสนนาน ความมืดค่อย ๆ โรยตัวลงมา แสงสุดท้ายของวันเลือนหายไป มาลารินอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ก้าวออกมาด้านนอก ดวงตาคู่สวยมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นดวงจันทร์เด่นตระหง่านคู่กับดวงดาวที่พร่างพราวระยิบระยับ ท้องฟ้าในคืนนี้งดงามมากจริง ๆ

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ 40 ช่วงเวลาของเรา NC

    บทที่ 40ช่วงเวลาของเราช่วงบ่ายวันหนึ่ง อากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าว ทว่าเมื่อรถคันหรูเคลื่อนตัวเข้ามาจอดบริเวณหน้าบ้านพักสีขาวสองชั้นที่ห้อมล้อมไปด้วยสวนดอกไม้ และร่มไม้ใหญ่เขียวขจี บรรยากาศโดยรอบนั้นก็ต่างจากข้างนอกโดยสิ้นเชิงชวลิตจูงมือมาลารินเข้ามาในบ้านพัก ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยพาเธอมาที่นี่ ทว่าครั้งนี้ความรู้สึกนั้นต่างไปจากครั้งก่อน เขากระชับมือบางแน่น หันมายิ้มให้กับเธอ ช่างเป็นรอยยิ้มที่เธอสดใส แต่กลับซ่อนความหม่นเศร้าไว้ในแววตาบรรยากาศภายในบ้านเต็มไปด้วยความอบอุ่นบางอย่าง ทว่ามันก็คละเคล้าไปกับความเศร้าหมองที่อาจไม่บรรยาย แม้จะอยากอยู่กับปัจจุบันมากเพียงใด แต่เมื่อคิดว่าเวลาที่นับถอยหลังลงเรื่อย ๆ และอาจจะไม่พบเจอกันอีก ก็ทำให้เขาพวกเขาหม่นใจ“ตอนแรกก้องไม่อยากให้ฉันมาเลย” มาลารินเอ่ยขึ้นเบา ๆชวลิตเข้ามาสวมกอดมาลารินจากทางด้านหลัง เขากระชับอ้อมแขนแน่น เกยคางกับบ่าเล็ก ความอบอุ่นแล่นเข้ามาในหัวใจ เขานั้นอยากจะกอดเธอแบบนี้มาตั้งนานแล้ว“ทำไมล่ะ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามเบา ๆ“ที่คุณบอกว่าอยากเจอฉันครั้งสุดท้าย ฟังดูน่ากลัวมาก ๆ เค้าคิดว่าคุณอาจจะทำร้ายฉันน่ะค่ะ”“ฉันคงดูเป็นคนใจร้ายมาก

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status