บทที่ 05
มืดมน
เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอิฐกับตรีอัปสรลุกลามใหญ่โต พวกเขาทะเลาะกันอย่างหนักเป็นครั้งแรก จนในที่สุดอิฐเอ่ยปากขอหย่ากับเธอ ทำให้ตรีอัปสรกรีดร้องลั่นราวกับคนเสียสติ
ชลธิชาตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่เคยเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันมาก่อน เธอร้องไห้ด้วยความกลัวและเสียใจ โดยมีชวลิตคอยปลอบโยน
“พี่ต้น ฮือ ๆๆ เต้ยเกลียดพวกมันสองคน ฮือ ๆๆ”
ในใจของชวลิตก็เจ็บปวดและเสียใจไปไม่น้อยกว่าชลธิชาเลย แต่เขาก็ต้องเข้มแข็งแล้วกอดน้องสาวเอาไว้
“คุณเป็นคนผิดนะอิฐ! ทำไมถึงพูดแบบนี้” เสียงของตรีอัปสรดังลั่นไปทั่วบ้าน
อิฐก้มหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย “ผมผิดจริง ๆ ตรี...”
“ฉันจะคุยกับคุณแม่เรื่องนี้” ตรีอัปสรยกมือขึ้นปาดน้ำตา “คุณแม่ไม่เอาพวกมันไว้แน่”
ตรีอัปสรหันหลังออกจากบ้าน วิ่งไปที่เรือนใหญ่ เธอจะไปคุยกับอนงค์ เพื่อจัดการเรื่องนี้ให้จบสิ้นเสียที
“คุณแม่ต้องจัดการเรื่องนี้ให้ตรีนะคะ” ตรีอัปสรเอ่ยทั้งน้ำตา
อนงค์นั่งนิ่งอยู่ภายในห้องนอนของเธอ หลังจากรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเธอก็เป็นลมล้มไปทันที ไม่คิดว่าลูกชายที่เธอรักดั่งแก้วตาดวงใจจะทำเรื่องน่าผิดหวังเช่นนี้ได้ อีกทั้งรู้สึกโกรธตัวเองที่เมตตาขวัญเรือน สุดท้ายอีกฝ่ายก็เลี้ยงไม่เชื่อง
“ถ้าที่บ้านตรีรู้เรื่องนี้ คุณแม่เชื่อเถอะค่ะ ว่าคุณพ่อคุณแม่ตรีไม่ยอมแน่นอน พวกเค้าจะต้องฟ้องร้องเรื่องนี้ และหุ้นบริษัทก็จะถอนออกทั้งหมด”
อนงค์สูดหายใจลึก แม้สีหน้ายังคงเรียบนิ่ง แต่ภายในใจของเธอนั้นกำลังคุกรุ่น
“อืม...แม่จะจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสมแน่นอน” อนงค์เอ่ยเสียงเรียบ แววตาเย็นชา ไม่หลงเหลือความเมตตาใด ๆ แล้ว
ขวัญเรือนเดินเข้ามาที่เรือนใหญ่ ตั้งใจจะมากราบขอโทษอนงค์กับตรีอัปสรก่อนจะไป ซึ่งเธอไม่ได้คาดหวังว่าจะให้พวกเขายกโทษให้ ขณะที่เดินเข้ามาด้านใน กำลังจะก้าวขึ้นบันได เสียงฝีเท้าเบา ๆ ก็ดังขึ้นจากข้างบน เธอเห็นตรีอัปสรยืนอยู่ตรงบนบันไดชั้นบนสุด
ดวงตาที่แดงก่ำของตรีอัปสรผ่านการร้องไห้มา มองขวัญเรือนด้วยความเกลียดชัง คนที่ถือเกียรติถือศักดิ์ศรีอย่างเธอมากที่สุด รู้สึกเสียหน้าที่ถูกคนรับใช้ต่ำต้อยลักลอบมีความสัมพันธ์กับสามีของตัวเอง
ขวัญเรือนค่อย ๆ ก้าวขึ้นมาบนบันไดขั้นบน เมื่ออยู่ตรงหน้าตรีอัปสรแล้ว เธอก็คุกเข่าลงกับพื้นยกมือพนมไหว้อีกฝ่าย
เพียะ!
ตรีอัปสรตบขวัญเรือนจนอีกฝ่ายหน้าหัน แต่ถึงอย่างนั้นขวัญเรือนก็พนมมือก้มกราบอีกฝ่ายแทบเท้า ตรีอัปสรชักเท้าหนีด้วยความเกลียด เธอไม่มีทางให้อภัยผู้หญิงสารเลวคนนี้
“คุณตรีคะ ดิฉันขอโทษค่ะ” ขวัญเรือนจับข้อเท้าของอีกฝ่ายไว้
“เอามือสกปรกของแกออกไป!”
ตรีอัปสรสะบัดข้อเท้าของตัวเองออกจากขวัญเรือนอย่างแรง ทำให้อีกฝ่ายเสียหลักลื่นไถลลงไป ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจ ยืนอึ้งขณะร่างของขวัญเรือนกลิ้งตกลงบันไดก่อนจะนอนแน่นิ่งกับพื้นด้านล่าง ดวงตาปิดสนิท เลือดสีแดงฉานค่อย ๆ ไหลออกมาจากศีรษะเป็นวงกว้าง
“แม่!”
มาลารินหวีดร้องสุดเสียง เธอวิ่งเข้ามาขณะที่คนอื่น ๆ ต่างก็กรูเข้ามาเช่นเดียวกัน
“แม่! อย่าเป็นอะไรนะแม่!”
มาลารินประคองแม่เอาไว้ ใบหน้าขวัญเรือนซีดเซียว กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง เรื่องราวเหล่านั้นติดอยู่ในใจของเธอมาโดยตลอด...
“ฮือ ๆๆ แม่ตื่นสิ...”
มาลารินสะดุ้งเฮือกขึ้นมาในความมืดสลัว เธอหอบหายใจถี่ เหงื่อซึมทั่วแผ่นหลัง มือข้างหนึ่งกำผ้าห่มแน่น นัยน์ตาสะท้อนความหวาดกลัวออกมา
“ลาริน...ฝันร้ายเหรอ?”
เด็กชายวัยสิบขวบตื่นขึ้นมาด้วย มือเล็ก ๆ แตะตัวพี่สาวเบา ๆ มาธารินนั้นรู้สึกได้ถึงอาการสั่นเทา
“ไม่เป็นไร ธารินนอนต่อเถอะ ยังไม่เช้าเลย”
มาลารินล้มตัวลงนอนเคียงข้างน้องชาย กระชับผ้าห่มคลุมกาย พยายามข่มตานอนให้หลับ แต่ฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนมาเกือบสิบปี จึงเป็นเรื่องยากที่จะข่มตานอนลงได้ง่าย ๆ
เมื่อสิบสามปีก่อน ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในบ้านสุรีย์ฉาย จากเด็กหญิงวัยสิบขวบ ตอนนี้มาลารินกลายเป็นหญิงสาวเต็มตัวในวัยยี่สิบสองย่างยี่สิบสาม เธอยังคงใช้ชีวิตอยู่ในบ้านพักหลังเล็กหลังเดิม ภายในรั้วบ้านสุรีย์ฉาย ทว่าตอนนี้มีเพียงแค่เธอกับน้องชายเท่านั้น ไม่มีแม่อยู่อีกแล้ว
จากเรื่องราวในวันนั้น แม่ของเธอตัดสินใจจบชีวิตของตัวเอง ราวกับต้องการชดใช้ความผิดกับการกระทำของตัวเอง ทิ้งเธอกับน้องชายเอาไว้
การไม่มีแม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว มาลารินรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเธอ...
ตอนนั้นมาลารินอายุเพียงแค่สิบสามปี รู้สึกมืดมนไร้หนทาง เด็กหญิงไม่รู้เลยว่าชีวิตต่อจากนี้จะเอาอย่างไรดี แม่ไม่อยู่แล้ว เธอไร้ญาติขาดมิตร แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง เมื่ออนงค์ยังคงเมตตาให้เธอกับน้องชายอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไป และยังมีสมจิตร ที่เป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ ที่คอยช่วยดูแลน้องชายเธอมานับตั้งแต่วันที่แม่ไม่อยู่
ดังนั้นบุคคลสองคนที่มีพระคุณกับเธอและน้องชาย มาลารินจะจดจำพวกเขาไปตลอดชีวิต
ตลอดเวลาเกือบสิบปีที่ผ่านมา ภายในรั้วบ้านสุรีย์ฉาย มาลารินต้องทนกับคำพูดเหยียดหยาม สายตาดูถูกของผู้คน พวกเขามองเธอเปลี่ยนไป แต่มาลารินบอกกับตัวเองว่าต้องอดทน เมื่อถึงวันที่เธอพึ่งพิงตัวเองได้ เธอจะพาน้องชายออกไปจากที่นี่ทันที
“เสร็จแล้วลาริน”
มาธารินหันมามองกับพี่สาว พร้อมกับหยิบกระเป๋านักเรียนเตรียมพร้อมไปโรงเรียน
มาลารินจูงมือน้องชายออกไปทางประตูเหล็กที่อยู่ด้านหลัง เป็นที่ที่พวกเธอใช้เข้าออกมาตลอด เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ประตูหน้า ไม่เคยมีใครเห็นหน้าน้องชายของเธอ ยกเว้นอนงค์กับสมจิตร และช่วงหลังอนงค์ย้ายจากเรือนใหญ่มาอยู่เรือนหลังเล็ก มาลารินก็คอยรับใช้อยู่ที่นั่นประจำ จะเข้าไปทำความสะอาดที่เรือนใหญ่นาน ๆ ครั้ง
ผ่านมาหลายปีแล้ว เรือนใหญ่เงียบเหงา บ้านสุรีย์ฉายไร้ชีวิตชีวาไม่เหมือนเมื่อก่อน ทว่าวันนี้จะมีงานเลี้ยงต้อนรับชวลิตกลับมาจากต่างประเทศ คนงานวุ่นวายจนแทบไม่มีใครดูแลแขกทั่วถึง สมจิตรจึงขออนงค์ ให้อนุญาตมาลารินเข้าไปช่วยงาน
“เข้าไปช่วยงานในครัวก็พอ อย่าเดินเข้าไปเพ่นพ่านในงานล่ะ”
อนงค์กำชับกับสมจิตรให้นำความมาบอกกับมาลาริน เธอนั้นพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร ทว่าภายใต้สีหน้าที่เรียบเฉยของมาลาริน เธอกลับเก็บซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ โดยไม่มีใครสังเกตเห็น
เมื่อหลายปีก่อน...
มาลารินยืนลังเลอยู่หลังพุ่มไม้ สายตามองไปยังร่างของชวลิตที่นั่งอยู่บนม้านั่งในสวน มือของเธอกำผ้าพันคอที่ถักด้วยมือแน่น เพราะรู้ว่าเขากำลังจะไปเรียนต่างประเทศ เธอจึงตั้งใจนำมันมาให้เขา
“คุณต้นคะ หนูถักให้คุณต้นค่ะ” มาลารินรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหาเขาอย่างช้า ๆ
ผ้าพันคอสีเทาอ่อนถูกยื่นไปตรงหน้า มือของมาลารินสั่นน้อย ๆ การมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาได้ในตอนนี้ เธอต้องใช้ความกล้าอย่างมากเลยทีเดียว
ชวลิตเงยหน้าขึ้น สายตาเย็นชามองเธอ ก่อนจะแค่นเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ นับถือในความใจกล้าของเธอนัก เขาคว้าผ้าพันคอนั้นมาแล้วโยนมันลงพื้นต่อหน้าเธอ
“คิดว่าฉันจะรับของจากคนอย่างเธอเหรอ?” เสียงของเขาแข็งกระด้าง สายตาที่มองมามีแต่ความเกลียดชัง ไม่หลงเหลือคนที่เคยใจดีอีกแล้ว
มาลารินหน้าซีด มือสั่นเล็กน้อย และยังไม่ทันที่จะก้มเก็บของ ผ้าผืนนั้นก็ถูกเหยียบย่ำซ้ำลงไปด้วยรองเท้าสีดำของเขา
“ฉันเกลียดเธอ จำไว้ให้ขึ้นใจล่ะ”
มาลารินรู้สึกเหมือนมีบางอย่างหนัก ๆ กระแทกเข้ามากลางใจเธออย่างรุนแรง ดวงตาที่หยาดรื้นไปด้วยน้ำใส ๆ มองเขาเดินจากไปจนลับตา เธอก้มลงเก็บผ้าพันคอขึ้นมา ปัดเศษติดที่เปื้อนออก พร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินออกมาอย่างเงียบ ๆ ไม่ว่าจะมองไปทางไหน เธอก็รู้สึกเคว้งขว้าง เดียวดายไปเสียหมด
บทที่ 10ทั้งที่เอา...แต่พูดว่าเกลียด “ต้องการสิ ฉันจะไม่ต้องการเธอได้ยังไง...” มาลารินกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อสบสายตาลึกซึ้งคู่นั้นของเขาก็เหมือนจะนำพาเธอสู่ห้วงอดีตที่เคยแนบชิดกันในยามค่ำคืน มือบางแตะที่ต้นขาเขาเบา ๆ สัมผัสนั้นทำเอาชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย เขาลอบลอบน้ำลายลงคอ หัวใจเต้นรัวอย่างห้ามไม่อยู่ หญิงสาวค่อย ๆ ปลดตะขอกางเกงของเขา เธอไม่ได้รีบร้อน ตั้งใจสัมผัสเขาอย่างนุ่มนวล ทว่าแฝงไปด้วยปรารถนาซ่อนลึกอยู่ในจิตใจของเธอมานาน แท่งร้อนใหญ่คลายออกมาช้า ๆ มาลารินใช้ริมฝีปากนุ่มสัมผัสมันอย่างแผ่วเบา เสียงลมหายใจของเขาดังสะท้อนอยู่ในห้องเงียบ ๆ ชายกัดฟันแน่นเมื่อปลายลิ้นเล็ก ๆ ของเธอแตะตรงส่วนหัวหยักบานของเขา “อืม...” ชายหนุ่มครางตำอยู่ในลำคอ มือข้างหนึ่งเลื่อนไปกอบกุมช่อผมของเธอที่มันเป็นหางม้าสูง ขณะที่เธอค่อย ๆ กลืนกินตัวตนของเขาเข้าไปทีละน้อย จังหวะเนิบนาบ แต่แนบแน่น กล้ามเนื้อหน้าท้องเกร็งจ สายตาของเขาที่เคยมองเธออย่างชิงชัง บัดนี้กลับพร่าเลือนไปด้วยไฟแห่งราคะ แม้หญิงสาวจะห่างหายจากเรื่องอย่างว่ามานานนับปี ตั้งแต่เขาไม่มา
บทที่ 09ขวางหูขวางตา ผ่านมากกว่าสองสัปดาห์สำหรับชีวิตการฝึกงาน มาลารินกับกรกฏได้เรียนรู้งานต่าง ๆ ผ่านงานที่พวกเขาได้รับมอบหมาย มาลารินนั้นตั้งใจทำงานอย่างรอบคอบ เธอไม่ใช่คนพูดมากนัก ขณะที่กรกฏค่อนข้างร่าเริง พูดเก่ง และมักชวนมาลารินพูดคุยเสมอ ทำให้ทั้งสองสนิทกันอย่างรวดเร็ว จนทำให้พี่ ๆ ในแผนกแซวว่าพวกเขานั้นเข้ากันได้ดี มาลารินไม่ได้สนใจคำพูดพวกนั้นมากนัก เธอรู้ดีแก่ใจว่าตนกับกรกฏนั้นเป็นเพื่อนกันจริง ๆ ที่สำคัญ กรกฏนั้นมีแฟนอยู่แล้ว เธอกับเขาไม่มีทางเกินเลยกันไปมากกว่านี้แน่ ในช่วงที่ผ่านมานั้น มาลารินก็รู้สึกหายใจหายคอสะดวกขึ้น เพราะการฝึกงานของเธอนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับชวลิตโดยตรง แค่เป็นเด็กฝึกงานภายใต้โครงการที่เขาดูแลอยู่เท่านั้น ไม่ได้เจอเขาเลย แม้จะที่บ้านก็ตาม แต่กระทั่งวันหนึ่งที่มีประชุมใหญ่ เด็กฝึกงานอย่างพวกเธอก็ต้องเข้าร่วมประชุมเพื่อเรียนรู้งานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่อาจจะต้องพบเจอเขาในวันนี้ เสียงพูดคุยในห้องประชุมดังขึ้นอย่างไม่จริงจังนัก เพราะยังไม่ถึงเวลาเริ่ม บรรยากาศผ่อนคลายเมื่อพี่ ๆ ในทีมหันมาหยอกล้อเด็กฝึกงานสองคนที่นั่งอย
บทที่ 08เด็กฝึกงาน หลังจากกลับไทย ชวลิตใช้เวลาพักผ่อนถึงสองสัปดาห์เต็ม ก่อนที่จะเริ่มเข้ามารับตำแหน่งรองกรรมผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ที่เขาจะเขามาช่วยดูแลโครงการใหม่ของบริษัท รถยุโรปคันสีดำแล่นเข้าไปในอาคารสำนักงานใหญ่ของบริษัทสุรีย์ฉาย ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเครือของครอบครัว พนักงานบางส่วนยืนรอต้อนรับด้านหน้า เมื่อร่างสูงกว่าร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรในชุดสูทเรียหรูสีกรมท่าก้าวลงมา เขาก็ดูโดดเด่นได้โดยไม่ต้องพยายาม “ยินดีต้อนรับค่ะ เชิญที่ชั้น 21 ได้เลยค่ะ ดิฉันเตรียมห้องทำงานไว้เรียบร้อยแล้ว” วารี เลขาสาววัยสามสิบปีในชุดสูทสีดำยิ้มอย่างเปิดเผย หล่อนเป็นผู้ชายเขาตั้งแต่ดูแลสาขาที่ลอนดอน เมื่อเขากลับมาที่ไทย ชวลิตจึงให้เอกลับมาช่วยงานที่นี่ด้วย “ครับ” ชวลิตพยักหน้าเบา ๆ เท้าของเขาก้าวเข้าไปในตึกอย่างมั่นคง ภายในล็อบบี้ พนักงานต่างพากันเงยหน้า สายตามองเขาอย่างตื่นเต้น เขาหันมายิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นในหมู่พนักงานหญิงที่ชื่นชมในความหล่อและดูดีในภาพลักษณ์ของเขา ซึ่งสร้างความประทับใจแก่ผู้พบเห็นได้ไม่ยาก
บทที่ 07ก็อาจจะเกลียดน้อยลง เมื่อสองปีก่อน... คืนนั้นลมหนาวพัดผ่านเงาไม้ของเรือนหลังใหญ่ กลิ่นหอมของใบไม้แห้งคลอเคล้ากับเสียงหัวเราะครื้นเครงของกลุ่มเพื่อนของชวลิตที่นั่งอยู่ในด้วยกันในงานปาร์ตี้เล็ก ๆ ริมสระว่ายน้ำ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ชวลิตกลับมาเยี่ยมบ้าน คืนนั้นเขาจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ เพื่อพบปะกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่นัดรวมตัวกัน เครื่องดื่มหลายขวดถูกเปิดส่งต่อกันไม่ขาด เสียงดังคลอไปกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน คืนนั้นแม่บ้านหลายคนป่วย สมจิตรจึงให้มาลารินมาคอยช่วยงานในครัว โดยคืนนั้นมาธารินจึงไปนอนกับอนงค์ที่เรือนหลังเล็ก “ยกอาหารตรงนี้ไปเพิ่มหน่อยลาริน แล้วก็รีบกลับเข้ามาล่ะ อย่าอยู่เกะกะสายตาคุณต้น เสร็จแล้วก็กลับไปพัก พรุ่งนี้ค่อยมาเก็บล้างก็ได้” สมจิตรเอ่ยเสียงเรียบ “จ้ะยาย” แม้มาลารินจะปรากฏในงานเลี้ยงด้วยชุดเรียบ ๆ ผมมัดไว้อย่างลวก ๆ แต่ใบหน้าที่น่ารักจิ้มลิ้มของเธอก็ดูโดดเด่น เสียงแซวจากเพื่อนชายของชวลิตก็ดังขึ้น “โหต้น แม่บ้านที่น่ารักเกิ๊น” เพื่อนของเขาคนหนึ่งเอ่ยขึ้น แต่ชวลิตกลับดูไม่สนใจ
บทที่ 06หน้าด้านหน้าทน แสงไฟอบอุ่นจากโคมระย้าสาดส่องไปทั่วห้องโถงใหญ่ บรรยากาศในงานเลี้ยงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และเสียงพูดคุยของแขกที่มาเยือน ทั้งญาติผู้ใหญ่ คนในครอบครัว และเพื่อนพี่น้องของชวลิตที่ต่างมาร่วมกันสังสรรค์ต้อนรับการกลับมาอย่างเป็นทางการของเขา เมื่อหลายปีก่อน ชวลิตไปเรียนต่อด้านธุรกิจและด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หลังเรียนจบเขาก็ได้รับหน้าที่ดูแลสาขาย่อยของบริษัทใหญ่ในต่างแดน และตอนนี้บริษัทที่ไทยนั้นมีโปรเจคใหญ่ เขาจึงกลับมาช่วยงานที่นี่ ชวลิตในวัยยี่สิบแปดย่างยี่สิบเก้า บุคลิกสุขุม สง่า ท่าทางเป็นผู้ใหญ่ของเขาเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ชายหนุ่มดึงดูดความสนใจของผู้คนได้โดยไม่ต้องพยายาม ในขณะที่เขายืนโดดเด่นอยู่ในแสงไฟ ท่ามกลางผู้คนรุมล้อม มาลารินกลับซ่อนตัวอยู่ในมุมเงียบ ๆ ตรงหลังม่านสีขาว เธอไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาในงาน แต่แค่อยากจะมาเห็นเขาสักครั้ง แค่นิดเดียวก็ยังดี... “นี่แกเข้ามาได้ยังไง!” มาลารินหันกลับไปด้วยความตกใจเมื่อเห็นนวล หญิงรับใช้คนสนิทของตรีอัปสรที่กำลังจ้องเธอด้วยสายตาถมึงทึง “คุณท่านให้มาช่วยงา
บทที่ 05มืดมน เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอิฐกับตรีอัปสรลุกลามใหญ่โต พวกเขาทะเลาะกันอย่างหนักเป็นครั้งแรก จนในที่สุดอิฐเอ่ยปากขอหย่ากับเธอ ทำให้ตรีอัปสรกรีดร้องลั่นราวกับคนเสียสติ ชลธิชาตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่เคยเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันมาก่อน เธอร้องไห้ด้วยความกลัวและเสียใจ โดยมีชวลิตคอยปลอบโยน “พี่ต้น ฮือ ๆๆ เต้ยเกลียดพวกมันสองคน ฮือ ๆๆ” ในใจของชวลิตก็เจ็บปวดและเสียใจไปไม่น้อยกว่าชลธิชาเลย แต่เขาก็ต้องเข้มแข็งแล้วกอดน้องสาวเอาไว้ “คุณเป็นคนผิดนะอิฐ! ทำไมถึงพูดแบบนี้” เสียงของตรีอัปสรดังลั่นไปทั่วบ้าน อิฐก้มหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย “ผมผิดจริง ๆ ตรี...” “ฉันจะคุยกับคุณแม่เรื่องนี้” ตรีอัปสรยกมือขึ้นปาดน้ำตา “คุณแม่ไม่เอาพวกมันไว้แน่” ตรีอัปสรหันหลังออกจากบ้าน วิ่งไปที่เรือนใหญ่ เธอจะไปคุยกับอนงค์ เพื่อจัดการเรื่องนี้ให้จบสิ้นเสียที “คุณแม่ต้องจัดการเรื่องนี้ให้ตรีนะคะ” ตรีอัปสรเอ่ยทั้งน้ำตา อนงค์นั่งนิ่งอยู่ภายในห้องนอนของเธอ หลังจากรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเธอก็เป็นลมล้มไปทันที ไม่คิดว่าลูกชายที่เ