LOGINบทที่ 05
มืดมน
เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอิฐกับตรีอัปสรลุกลามใหญ่โต พวกเขาทะเลาะกันอย่างหนักเป็นครั้งแรก จนในที่สุดอิฐเอ่ยปากขอหย่ากับเธอ ทำให้ตรีอัปสรกรีดร้องลั่นราวกับคนเสียสติ
ชลธิชาตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่เคยเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันมาก่อน เธอร้องไห้ด้วยความกลัวและเสียใจ โดยมีชวลิตคอยปลอบโยน
“พี่ต้น ฮือ ๆๆ เต้ยเกลียดพวกมันสองคน ฮือ ๆๆ”
ในใจของชวลิตก็เจ็บปวดและเสียใจไปไม่น้อยกว่าชลธิชาเลย แต่เขาก็ต้องเข้มแข็งแล้วกอดน้องสาวเอาไว้
“คุณเป็นคนผิดนะอิฐ! ทำไมถึงพูดแบบนี้” เสียงของตรีอัปสรดังลั่นไปทั่วบ้าน
อิฐก้มหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย “ผมผิดจริง ๆ ตรี...”
“ฉันจะคุยกับคุณแม่เรื่องนี้” ตรีอัปสรยกมือขึ้นปาดน้ำตา “คุณแม่ไม่เอาพวกมันไว้แน่”
ตรีอัปสรหันหลังออกจากบ้าน วิ่งไปที่เรือนใหญ่ เธอจะไปคุยกับอนงค์ เพื่อจัดการเรื่องนี้ให้จบสิ้นเสียที
“คุณแม่ต้องจัดการเรื่องนี้ให้ตรีนะคะ” ตรีอัปสรเอ่ยทั้งน้ำตา
อนงค์นั่งนิ่งอยู่ภายในห้องนอนของเธอ หลังจากรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเธอก็เป็นลมล้มไปทันที ไม่คิดว่าลูกชายที่เธอรักดั่งแก้วตาดวงใจจะทำเรื่องน่าผิดหวังเช่นนี้ได้ อีกทั้งรู้สึกโกรธตัวเองที่เมตตาขวัญเรือน สุดท้ายอีกฝ่ายก็เลี้ยงไม่เชื่อง
“ถ้าที่บ้านตรีรู้เรื่องนี้ คุณแม่เชื่อเถอะค่ะ ว่าคุณพ่อคุณแม่ตรีไม่ยอมแน่นอน พวกเค้าจะต้องฟ้องร้องเรื่องนี้ และหุ้นบริษัทก็จะถอนออกทั้งหมด”
อนงค์สูดหายใจลึก แม้สีหน้ายังคงเรียบนิ่ง แต่ภายในใจของเธอนั้นกำลังคุกรุ่น
“อืม...แม่จะจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสมแน่นอน” อนงค์เอ่ยเสียงเรียบ แววตาเย็นชา ไม่หลงเหลือความเมตตาใด ๆ แล้ว
ขวัญเรือนเดินเข้ามาที่เรือนใหญ่ ตั้งใจจะมากราบขอโทษอนงค์กับตรีอัปสรก่อนจะไป ซึ่งเธอไม่ได้คาดหวังว่าจะให้พวกเขายกโทษให้ ขณะที่เดินเข้ามาด้านใน กำลังจะก้าวขึ้นบันได เสียงฝีเท้าเบา ๆ ก็ดังขึ้นจากข้างบน เธอเห็นตรีอัปสรยืนอยู่ตรงบนบันไดชั้นบนสุด
ดวงตาที่แดงก่ำของตรีอัปสรผ่านการร้องไห้มา มองขวัญเรือนด้วยความเกลียดชัง คนที่ถือเกียรติถือศักดิ์ศรีอย่างเธอมากที่สุด รู้สึกเสียหน้าที่ถูกคนรับใช้ต่ำต้อยลักลอบมีความสัมพันธ์กับสามีของตัวเอง
ขวัญเรือนค่อย ๆ ก้าวขึ้นมาบนบันไดขั้นบน เมื่ออยู่ตรงหน้าตรีอัปสรแล้ว เธอก็คุกเข่าลงกับพื้นยกมือพนมไหว้อีกฝ่าย
เพียะ!
ตรีอัปสรตบขวัญเรือนจนอีกฝ่ายหน้าหัน แต่ถึงอย่างนั้นขวัญเรือนก็พนมมือก้มกราบอีกฝ่ายแทบเท้า ตรีอัปสรชักเท้าหนีด้วยความเกลียด เธอไม่มีทางให้อภัยผู้หญิงสารเลวคนนี้
“คุณตรีคะ ดิฉันขอโทษค่ะ” ขวัญเรือนจับข้อเท้าของอีกฝ่ายไว้
“เอามือสกปรกของแกออกไป!”
ตรีอัปสรสะบัดข้อเท้าของตัวเองออกจากขวัญเรือนอย่างแรง ทำให้อีกฝ่ายเสียหลักลื่นไถลลงไป ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจ ยืนอึ้งขณะร่างของขวัญเรือนกลิ้งตกลงบันไดก่อนจะนอนแน่นิ่งกับพื้นด้านล่าง ดวงตาปิดสนิท เลือดสีแดงฉานค่อย ๆ ไหลออกมาจากศีรษะเป็นวงกว้าง
“แม่!”
มาลารินหวีดร้องสุดเสียง เธอวิ่งเข้ามาขณะที่คนอื่น ๆ ต่างก็กรูเข้ามาเช่นเดียวกัน
“แม่! อย่าเป็นอะไรนะแม่!”
มาลารินประคองแม่เอาไว้ ใบหน้าขวัญเรือนซีดเซียว กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง เรื่องราวเหล่านั้นติดอยู่ในใจของเธอมาโดยตลอด...
“ฮือ ๆๆ แม่ตื่นสิ...”
มาลารินสะดุ้งเฮือกขึ้นมาในความมืดสลัว เธอหอบหายใจถี่ เหงื่อซึมทั่วแผ่นหลัง มือข้างหนึ่งกำผ้าห่มแน่น นัยน์ตาสะท้อนความหวาดกลัวออกมา
“ลาริน...ฝันร้ายเหรอ?”
เด็กชายวัยสิบขวบตื่นขึ้นมาด้วย มือเล็ก ๆ แตะตัวพี่สาวเบา ๆ มาธารินนั้นรู้สึกได้ถึงอาการสั่นเทา
“ไม่เป็นไร ธารินนอนต่อเถอะ ยังไม่เช้าเลย”
มาลารินล้มตัวลงนอนเคียงข้างน้องชาย กระชับผ้าห่มคลุมกาย พยายามข่มตานอนให้หลับ แต่ฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนมาเกือบสิบปี จึงเป็นเรื่องยากที่จะข่มตานอนลงได้ง่าย ๆ
เมื่อสิบสามปีก่อน ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในบ้านสุรีย์ฉาย จากเด็กหญิงวัยสิบขวบ ตอนนี้มาลารินกลายเป็นหญิงสาวเต็มตัวในวัยยี่สิบสองย่างยี่สิบสาม เธอยังคงใช้ชีวิตอยู่ในบ้านพักหลังเล็กหลังเดิม ภายในรั้วบ้านสุรีย์ฉาย ทว่าตอนนี้มีเพียงแค่เธอกับน้องชายเท่านั้น ไม่มีแม่อยู่อีกแล้ว
จากเรื่องราวในวันนั้น แม่ของเธอตัดสินใจจบชีวิตของตัวเอง ราวกับต้องการชดใช้ความผิดกับการกระทำของตัวเอง ทิ้งเธอกับน้องชายเอาไว้
การไม่มีแม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว มาลารินรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเธอ...
ตอนนั้นมาลารินอายุเพียงแค่สิบสามปี รู้สึกมืดมนไร้หนทาง เด็กหญิงไม่รู้เลยว่าชีวิตต่อจากนี้จะเอาอย่างไรดี แม่ไม่อยู่แล้ว เธอไร้ญาติขาดมิตร แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง เมื่ออนงค์ยังคงเมตตาให้เธอกับน้องชายอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไป และยังมีสมจิตร ที่เป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ ที่คอยช่วยดูแลน้องชายเธอมานับตั้งแต่วันที่แม่ไม่อยู่
ดังนั้นบุคคลสองคนที่มีพระคุณกับเธอและน้องชาย มาลารินจะจดจำพวกเขาไปตลอดชีวิต
ตลอดเวลาเกือบสิบปีที่ผ่านมา ภายในรั้วบ้านสุรีย์ฉาย มาลารินต้องทนกับคำพูดเหยียดหยาม สายตาดูถูกของผู้คน พวกเขามองเธอเปลี่ยนไป แต่มาลารินบอกกับตัวเองว่าต้องอดทน เมื่อถึงวันที่เธอพึ่งพิงตัวเองได้ เธอจะพาน้องชายออกไปจากที่นี่ทันที
“เสร็จแล้วลาริน”
มาธารินหันมามองกับพี่สาว พร้อมกับหยิบกระเป๋านักเรียนเตรียมพร้อมไปโรงเรียน
มาลารินจูงมือน้องชายออกไปทางประตูเหล็กที่อยู่ด้านหลัง เป็นที่ที่พวกเธอใช้เข้าออกมาตลอด เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ประตูหน้า ไม่เคยมีใครเห็นหน้าน้องชายของเธอ ยกเว้นอนงค์กับสมจิตร และช่วงหลังอนงค์ย้ายจากเรือนใหญ่มาอยู่เรือนหลังเล็ก มาลารินก็คอยรับใช้อยู่ที่นั่นประจำ จะเข้าไปทำความสะอาดที่เรือนใหญ่นาน ๆ ครั้ง
ผ่านมาหลายปีแล้ว เรือนใหญ่เงียบเหงา บ้านสุรีย์ฉายไร้ชีวิตชีวาไม่เหมือนเมื่อก่อน ทว่าวันนี้จะมีงานเลี้ยงต้อนรับชวลิตกลับมาจากต่างประเทศ คนงานวุ่นวายจนแทบไม่มีใครดูแลแขกทั่วถึง สมจิตรจึงขออนงค์ ให้อนุญาตมาลารินเข้าไปช่วยงาน
“เข้าไปช่วยงานในครัวก็พอ อย่าเดินเข้าไปเพ่นพ่านในงานล่ะ”
อนงค์กำชับกับสมจิตรให้นำความมาบอกกับมาลาริน เธอนั้นพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร ทว่าภายใต้สีหน้าที่เรียบเฉยของมาลาริน เธอกลับเก็บซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ โดยไม่มีใครสังเกตเห็น
เมื่อหลายปีก่อน...
มาลารินยืนลังเลอยู่หลังพุ่มไม้ สายตามองไปยังร่างของชวลิตที่นั่งอยู่บนม้านั่งในสวน มือของเธอกำผ้าพันคอที่ถักด้วยมือแน่น เพราะรู้ว่าเขากำลังจะไปเรียนต่างประเทศ เธอจึงตั้งใจนำมันมาให้เขา
“คุณต้นคะ หนูถักให้คุณต้นค่ะ” มาลารินรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหาเขาอย่างช้า ๆ
ผ้าพันคอสีเทาอ่อนถูกยื่นไปตรงหน้า มือของมาลารินสั่นน้อย ๆ การมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาได้ในตอนนี้ เธอต้องใช้ความกล้าอย่างมากเลยทีเดียว
ชวลิตเงยหน้าขึ้น สายตาเย็นชามองเธอ ก่อนจะแค่นเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ นับถือในความใจกล้าของเธอนัก เขาคว้าผ้าพันคอนั้นมาแล้วโยนมันลงพื้นต่อหน้าเธอ
“คิดว่าฉันจะรับของจากคนอย่างเธอเหรอ?” เสียงของเขาแข็งกระด้าง สายตาที่มองมามีแต่ความเกลียดชัง ไม่หลงเหลือคนที่เคยใจดีอีกแล้ว
มาลารินหน้าซีด มือสั่นเล็กน้อย และยังไม่ทันที่จะก้มเก็บของ ผ้าผืนนั้นก็ถูกเหยียบย่ำซ้ำลงไปด้วยรองเท้าสีดำของเขา
“ฉันเกลียดเธอ จำไว้ให้ขึ้นใจล่ะ”
มาลารินรู้สึกเหมือนมีบางอย่างหนัก ๆ กระแทกเข้ามากลางใจเธออย่างรุนแรง ดวงตาที่หยาดรื้นไปด้วยน้ำใส ๆ มองเขาเดินจากไปจนลับตา เธอก้มลงเก็บผ้าพันคอขึ้นมา ปัดเศษติดที่เปื้อนออก พร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินออกมาอย่างเงียบ ๆ ไม่ว่าจะมองไปทางไหน เธอก็รู้สึกเคว้งขว้าง เดียวดายไปเสียหมด
บทที่ 34ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย?มาลารินมองมือของชวลิตที่จับมือของเธอไว้แน่น ทุกย่างก้าวที่เขานำพาเธอไป หัวใจก็เต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมาถึงรถเขาเปิดประตูฝั่งผู้โดยสาร ดันเธอเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว ส่วนเขาอ้อมไปฝั่งคนขับ ติดเครื่องยนต์แล้วขับรถออกไปโดยไม่รอรีบรรยากาศภายในรถเงียบงันจนมาลารินรู้สึกอึดอัด เหลือบสายตามองคนที่อยู่ข้าง ๆ เห็นเลือดสีแดงเป็นรอยยาวจากหางคิ้วจนถึงขมับ ความทรงจำเมื่อครู่ย้อนกลับเข้ามา มาลารินไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนที่เอาแต่พร่ำบอกว่าเกลียดเธอถึงพุ่งเข้ามากอดเธอไว้อย่างนั้น ดวงตาคู่คมจ้องมองไปยังท้องถนนเบื้องหน้า แววตาของเขาเรียบนิ่งยากจะคาดเดา และหางตาของเขาก็รับรู้ถึงสายตาของคนข้างกายที่เอาแต่จับจ้องเขาอยู่ “มองอะไร?” เขาเหลือบมองเธอเล็กน้อย มาลารินยกมือขึ้นแตะเบา ๆ ที่หางคิ้วของตัวเองเป็นสัญญาณบอกเขา ชวลิตเหลือบมองตัวเองผ่านกระจกมองหลัง เห็นเลือดไหลเป็นทางยาว เขาใช้มือเช็ดมันลวก ๆ อย่างไม่ใส่ใจ “คุณต้องทำแผลนะ” “ช่างมัน...” มาลารินไม่พูดอะไรอีก เธอมองออกไปด้านนอก สองข้างทางเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เธอไม่รู
บทที่ 33สัญชาตญาณ ในช่วงบ่าย ณ วัดหลวงเก่าแก่กลางเมือง แม้ว่าแดดจะแผดเผาสักเพียงใด ทว่าผู้คนยังหลั่งไหลเข้ามาในงานศพอย่างต่อเนื่อง ทั้งคนในเครื่องแบบ ข้าราชการ นักการเมือง รวมถึงกลุ่มนักธุรกิจต่าง ๆ นั้นก็ร่วมส่งอนงค์เป็นครั้งสุดท้าย ท่ามกลางคนมากมายนั้น มาลารินยืนปะปนอยู่กับผู้คน เธอสวมเดรสสีดำเรียบสนิท ใบหน้าราบเรียบ ทว่าดวงตานั้นมีร่องรอยความเศร้าชัดเจน “นั่นลารินหรือเปล่า” เสียงหนึ่งดึงขึ้นจากกลุ่มคนรับใช้ที่บ้านสุรีย์ฉายที่รวมตัวกันอยู่บริเวณหนึ่ง สมจิตรหันไปตามสายตาของพวกหล่อน เมื่อเห็นมาลารินเธอก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ตั้งแต่สมจิตรส่งข้อความบอกมาลารินเรื่องอนงค์ไป หลายคืนที่ผ่านมาเธอก็ไม่เคยเห็นมาลารินปรากฏตัวที่งานศพสักคืน จนกระทั่งวันสุดท้ายนี้ เธอรอลุ้นทุกวินาทีให้มาลารินมา และมาลารินก็มาจริง ๆ มือของมาลารินกำดอกไม้จันทน์ไว้แน่น เธอก้าวขึ้นบันได้เมรุจนมาถึงหน้าโลงศพที่วางบนแท่น เธอยกขึ้นไหว้ช้า ๆ ก่อนโน้มตัววางดอกไม้จันทน์หน้าเตาเผา หลับตาพูดในใจ “เดินทางปลอดภัยนะคะคุณท่าน...” เธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นัย
บทที่ 32ความจริงอันเจ็บปวดบรรยากาศในเรือนกระจกเงียบลง ๆ ลมอ่อนจากช่องระบายอากาศพัดเอากลิ่นหอมของดอกไม้ลอยวนอยู่ในอากาศ คล้ายกับมวลความรู้สึกบางอย่างนั้นก่อตัวขึ้นมาในใจของพวกเขาอย่างไม่อาจควบคุม สายตาคู่คมของชวลิตจ้องมองไปยังใบหน้าสวยหวานของเธอ ผมยาวสลวยพลิ้วไหวเบา ๆ คลอเคลียข้างแก้มใส ทำให้เธอดูอ่อนโยนงดงามราวกับภาพวาดจนเขาไม่อาจละสายตา ดวงตาที่สะท้อนภาพของมาลารินนั้นเปล่งประกาย ชวลิตรู้สึกว่าหญิงสาวดูดีขึ้นมาก ๆ ร่างกายที่เคยผอมบางของเธอนั้นดูมีน้ำมีนวลขึ้นกว่าเมื่อก่อน ผิวพรรณก็ดูสดใส นัยน์ตาคู่สวยก็ดูสุกสกาวกว่าเมื่อก่อน การได้เห็นเธอเป็น ๆ มากกว่ามองดูผ่านรูปถ่าย มันรู้สึกดีมากจริง ๆ และตอนนี้มันมีคำถามเกิดขึ้นในใจของเขา อยากถามว่าเธอสบายดีไหม เธอเป็นอย่างไรบ้าง และมีเรื่องอยากจะถามอีกมากมาย ทว่าเขาเพียงแค่ยืนนิ่ง ไม่มีสักคำพูดใดที่จะเอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากของเขา เธอเองก็ไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้คาดหวังว่าเจอเขา พอได้เจอดวงตาคู่นี้ก็สั่นไหวอยู่ไม่น้อย แต่เธอก็พยายามเก็บมันเอาไว้ให้ลึกสุดใจ ขณะที่เธอสังเกตว่าเขานั้นเปลี่ยนไป ใบหน้าของชว
บทที่ 31ที่ที่ไม่อยากกลับไปที่สุด รถแท็กซี่คันหนึ่งเคลื่อนตัวมาจอดบริเวณด้านหลังของบ้านหลังใหญ่ที่รอบล้อมด้วยรั้วปูนสีขาว หญิงสาวก้าวลงมาจากรถพร้อมกับน้องชายวัยสิบขวบ ประตูเหล็กบานเล็กที่อยู่ตรงหน้า หวนให้เธอนึกถึงเรื่องราวที่อยู่อีกฝั่งของบานประตูนั้น สถานที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ทำให้วันที่เดินจากมา เธอก็ไม่คิดที่อยากจะหวนกลับมาอีก หลายเดือนมานี้ นับตั้งแต่ออกมาจากบ้านสุรีย์ฉาย มาลารินไม่เคยได้รับโทรศัพท์จากสมจิตรอีกเลย กระทั่งเมื่อวานที่อีกฝ่ายโทรมาหาเธอ คำพูดคำจาแปลก ๆ เกี่ยวกับอนงค์ทำให้เธอไม่อาจวางใจลงได้ เธอเป็นห่วงอนงค์อย่างสุดซึ้ง จึงตัดสินใจลางาน และมาธารินหยุดเรียนเพื่อจะมาเยี่ยมอนงค์สักครั้ง ประตูเหล็กบานเล็กเปิดออก สมจิตรยืนรออยู่ เมื่อได้เห็นสองพี่น้องหญิงชราก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “เอ็งสบายดีจริง ๆ สินะลาริน” สมจิตรลูบศีรษะมาลารินเบา ๆ เมื่อได้เห็นแววตาที่สว่างไสวกว่าเมื่อก่อนก็ทำให้เธอเบาใจ สิ่งที่สมจิตรปรารถนามีเพียงให้สองพี่น้องประสบพบกับความสุขเท่านั้น “ไม่เจอนาน เอ็งสูงขึ้นแล้วนะธาริน” “ใช่ครับย
บทที่ 30สังหรณ์ใจ ผ่านมากว่าสองสัปดาห์สำหรับการเรียนรู้งานจากมาลาริน วันนี้เป็นครั้งแรกที่มาลารินจะให้พีรพลฝึกรับสายจากลูกค้าจริง “ทำใจให้สบายนะคะ” มาลารินเอ่ยกับเขายิ้ม ๆ “ทำใจให้สบายนี่ ฟังดูแปลก ๆ นะคุณ” พีรพลเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ เขาหยิบหูฟังแบบครอบหูขึ้นมาสวมใส่ ท่าทางมั่นใจเต็มร้อย “แต่ผมสบาย ๆ อยู่แล้ว” “โอเค” มาลารินพยักหน้าเบา ๆ เธอกดปุ่มเริ่มระบบการทำงานให้กับเขา และสายแรกดังเข้ามาทันที “สวัสดีครับ บริษัท...พีรพลรับสาย ยินดีให้บริการครับ” น้ำเสียงที่ชัดเจนฟังดูมั่นใจของพีรพลดังไปตามสาย “จ่ายตังค์ค่าเน็ตไปแล้ว ทำไมยังใช้งานไม่ได้วะ!” น้ำเสียงห้วนจัดของลูกค้าดังตอบกลับมาอย่างไม่สบอารมณ์ ทำให้พีรพลสะดุ้งเล็กน้อย แต่เขายังเก็บอาการ “ไม่ทราบว่าผมเรียนสายกับคุณผู้ชายอะไรครับ” พีรพลถามกลับไปอย่างสุภาพ “มึงไม่แหกตาดูเลยหรือไง กูโทรไปชื่อกูก็ต้องขึ้นดิ!” ลูกค้าที่อยู่ปลายสายเริ่มหยาบคาย พีรพลหันมาสบตามาลารินอย่างขอความช่วยเหลือ แน่นอนว่าเธอฟังสายไปพร้อมกับเขา เธอหยิบหูฟังขึ้นมาแล้วกดโอนสายของลูกค้ามาที่
บทที่ 29ฝันร้าย สุขภาพของอนงค์ย่ำแย่ลงไปทุกวัน เธอเบื่ออาหาร ทั้งยังนอนหลับไม่สนิท เหม่อลอยอยู่บ่อย ๆ พูดน้อยลงและมักถอนหายใจบ่อยครั้งเวลาอยู่คนเดียว เธอผ่ายผอมจนหนังแทบหุ้มกระดูก และแม้ว่าหมอจะบอกว่าเธอไม่ได้เป็นโรคร้าย แต่อาการอ่อนแรงของอนงค์กลับไม่ทุเลาลงเลย ร่างผอมเกร็งนอนอยู่บนเตียงกว้าง เธอมองเพดานสีขาวนวล อนงค์รู้สึกว่ารอบกายของเธอนั้นเงียบเกินไป กระทั่งเธอได้ยินเสียงประตูห้องค่อย ๆ เปิดออก เสียงฝีเท้านุ่ม ๆ ดังบนพื้นพรม อนงค์ผินหน้าหันไปมองทางประตู ขวัญเรือนเดินเข้ามา หญิงสาวอยู่ในชุดแม่บ้าน สะอาดสะอ้าน ท่าทางของเธอเรียบร้อยและแสดงความอ่อนน้อมต่ออนงค์ “คุณท่านอยากได้อะไรหรือเปล่าคะ?” ขวัญเรือนเดินเข้ามาใกล้ ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาเปล่งประกาย อนงค์นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเธอค่อย ๆ เบิกกว้างเมื่อได้เห็นใบหน้าของขวัญเรือนชัด ๆ ใจเธอสั่นรัว มือเย็นเฉียบลงโดยไม่รู้ตัว “ขวัญเรือน” ริมฝีปากแห้งผากของอนงค์เรียกชื่อของอีกฝ่ายเบา ๆ ดวงตาสะท้อนความหวาดกลัวออกมา “นะ...นี่เธอ” ขวัญเรือนยิ้ม เธอเดินผ่านหน้าอนงค์ออกไปยัง







