로그인บทที่ 04
สายตาที่เปลี่ยนไป
หลายวันมานี้ ขวัญเรือนพยายามหลบเลี่ยงอิฐ เธอไม่ยอมรับสายของ ไม่ยอมอ่านข้อความ แม้เขาจะมาหาเธอที่บ้านพัก แต่เธอก็ไม่ยอมเปิดประตูให้ ขวัญเรือนยังคงคิดไม่ตกกับปัญหาที่เกิดขึ้น และรู้สึกผิดเป็นอย่างมากกับการกระทำของตัวเอง เธอไม่กล้าสบตากับใครนาน ๆ โดยเฉพาะกับมาลาริน เธอกลัวที่จะเห็นสายตาของลูกที่มองมาอย่างผิดหวัง
กระทั่งวันหนึ่ง ขวัญเรือนได้ตัดสินใจบางอย่าง เธอเข้าไปพบกับอนงค์ที่เรือนใหญ่ ขวัญเรือนบอกกับอนงค์ว่าเธอตั้งครรภ์กับผู้ชายที่คบหากันช่วงหนึ่ง หากอนงค์จะไล่ออก เธอก็ยินดี
“ใครกันเหรอขวัญเรือน?” อนงค์ถามเสียงเรียบ แววตามีความห่วงใย
ขวัญเรือนกลืนน้ำลายลงคอ “ชื่อแมนค่ะ แต่ตอนนี้เราเลิกกันแล้ว ดิฉันไม่อยากกลับไปยุ่งเกี่ยวกับเค้าอีก”
เธอโกหกคำโต เพราะไม่เคยคบหากับแมนเลย ตั้งแต่เกิดเรื่องในตอนนั้น เธอก็ไม่เคยเจอเขาอีก ไม่รู้ว่าอิฐใช้วิธีอะไรจัดการกับแมนในตอนนั้น
“เธอจะปล่อยให้เด็กเกิดมาไม่มีพ่ออย่างนั้นเหรอ”
“ค่ะ” ขวัญเรือนสบตากับอนงค์ ราวกับกำลังยืนยันหนักแน่น
ความเงียบโรยตัวชั่วขณะ อนงค์เพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ อย่างไรนั่นก็คือชีวิตของขวัญเรือน
“เอาเถอะ มันเรื่องของเธอ แต่ฉันก็จะไม่ไล่เธอออกหรอกนะ อยู่ที่นี่แหละ ลารินก็กำลังโต ไม่ต้องหอบลูกพะรุงพะรังไปไหนหรอก”
ยิ่งอนงค์เมตตา ขวัญเรือนก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ เธอก้มกราบอนงค์แทบเท้าทั้งน้ำตา
ขวัญเรือนเดินใจลอยกลับมาบ้านพัก โดยไม่รู้ว่าอิฐเดินตามมาข้างหลัง เขาเห็นเธอตอนเดินเข้าไปในเรือนใหญ่ จึงแอบฟังและได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้ว
“คิดอะไรของเธอขวัญ ทำไมถึงโกหกคุณแม่ไปแบบนั้น”
ขวัญเรือนหันกลับมาด้วยความตกใจ
“เธอบ้าไปแล้วเหรอขวัญ”
“แล้วคุณจะให้ฉันทำยังไง?” ขวัญเรือนย้อนถาม “จะให้ฉันบอกคุณเหรอคะว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของใคร”
อิฐเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ “แต่เราคุยกันแล้วนี่ขวัญ”
“ค่ะ เราคุยกันแล้ว และฉันก็บอกคุณไปแล้วนี่คะว่าจะจัดการปัญหานี้เอง” เสียงของเธอเหมือนคนจะร้องไห้ออกมา
“ขวัญ”
ขวัญเรือนถอยหลังออกห่างจากเขา “ฉันว่าเราสองคนพอแค่นี้เถอะค่ะ เราทำผิดกันมามากพอแล้ว”
เธอตระหนักแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอเป็นเพียงแค่ความสุขชั่วครู่ แต่ความทุกข์ทรมานนั้นยาวนานยิ่งกว่า
“ไม่นะขวัญ ฉันรักเธอนะ” อิฐขยับเข้ามาใกล้ แต่เธอก็ยิ่งถอยห่างออกไป ทำให้เขาชะงักไป
“ฉันขอร้องนะคะคุณอิฐ ฉันอยากกลับไปใช้ชีวิตที่สงบสุข ถ้าจะกรุณา เราอย่าเกี่ยวข้องกันอีกเลยนะคะ”
เธอหันหลังแล้วเดินจากไป ทิ้งเขาไว้เพียงเบื้องหลัง อิฐมองตามแผ่นหลังหญิงสาวที่ลับตาไป เธอไม่ลังเลสักนิด เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองเขาเลย
ขวัญเรือนเปิดประตูเข้ามาในบ้านพัก เธอเห็นมาลารินกำลังนั่งทำการบ้านอยู่ที่โต๊ะตัวเล็กมุมหนึ่ง เด็กหญิงเหลือบมองแม่เล็กน้อย แววตากลมโตนั้นมีรอยความคิดบางอย่าง ดูเหมือนว่าเธอจะได้ยินสิ่งที่แม่คุยกับอิฐแล้ว
เสียงสะอื้นที่ดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้มาลารินไม่อาจนั่งเฉยได้อีกต่อไป เธอลุกไปหาแม่ที่เตียง นั่งลงข้าง ๆ เช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน หลายวันมานี้เธอไม่พูดกับแม่เลย ทำให้แม่ต้องเสียใจแล้ว
“ไม่เป็นไรนะจ๊ะแม่ หนูอยู่ตรงนี้” มาลารินกอดแม่ของเธอเอาไว้ “หนูจะช่วยแม่เลี้ยงน้องเอง แม่จะได้ไม่เหนื่อย หนูพูดจริง ๆ นะ”
ขวัญเรือนพยักหน้าทั้งน้ำตา ลูกสาวของเธอล้มตัวนอนหนุนตักที่เคยหนุนมาตั้งแต่เด็ก แม้ความเจ็บปวดยังไม่จางหาย แต่อ้อมกอดอบอุ่น คำพูดที่จริงใจก็ช่วยปลอบโยนหัวใจที่บอบช้ำของเธอได้เป็นอย่างดี
ในฤดูที่ฝนโปรยปรายลงมา ขวัญเรือนได้ให้กำเนิดเด็กชายมาธาริน แม้ฝนจะตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย แต่ภายในบ้านพักหลังเล็ก ๆ นั้นกลับอบอุ่น เพราะมีสมาชิกใหม่กำเนิดขึ้น
เด็กชายตัวน้อยมีผิวขาวอมชมพู ริมฝีปากเล็กบาง เส้นผมที่อ่อนนุ่มมีสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้ากลมอิ่มตามวัย แม้ยังดูไม่ชัดว่าคล้ายใคร ทว่ายามที่ขวัญเรือนมองเข้าไปในดวงตาไร้เดียงสาคู่นี้ กลับมีเงาของใครบางคนสะท้อนออกมาจนเธอนั้นหวั่นใจ
“ป้าจิตร ฉันคิดว่าจะพาลูกย้ายไปอยู่ที่อื่น”
สมจิตรหันไปมองเด็กชายวัยสามเดือนด้วยความรู้สึกไม่สบายใจนัก
“เอ็งไปเถอะ”
เมื่อตัดสินใจดีแล้ว ขวัญเรือนก็ไปแจ้งให้อนงค์ทราบ แม้อนงค์จะไม่เห็นด้วยเพราะไม่อยากให้ขวัญเรือนพาลูกที่เพิ่งคลอดออกไป แต่ขวัญเรือนก็ตัดสินใจแน่วแน่ อนงค์จึงไม่ว่าอะไร
เสียงของคนรับใช้คุยกันว่าขวัญเรือนกำลังจะย้ายออกจากบ้าน ลอยเข้าหูของอิฐ เขานั้นนิ่งไปพักใหญ่ สีหน้าเรียบนิ่ง แต่แววตากลับสั่นไหวอย่างควบคุมไม่อยู่ เขามุ่งหน้าไปยังบ้านพักที่อยู่ด้านหลังทันที
อิฐก้าวพรวดเข้ามาในบ้านพักของขวัญเรือน สายตาเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธเมื่อเห็นเธอกำลังจัดกระเป๋าเสื้อผ้า
“คุณอิฐ!” ขวัญเรือนเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ
“เธอจะไปไหน?” เขาถามเสียงต่ำ แต่ก้องไปทั่วห้อง
อิฐเหลือบมองเด็กชายตัวน้อยที่นอนหลับอยู่บนเบาะ หัวใจของเขากระตุกวูบ
“ฉันกำลังจะย้ายออกจากที่นี่” ขวัญเรือนเอ่ยโดยไม่มองหน้า
“ฉันก็ไม่ได้มายุ่งกับเธอแล้วไง ไม่ไปได้มั้ยขวัญ?”
ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา อิฐไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับขวัญเรือน ทำเหมือนทุกอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ลึกลงในใจของเขากลับเอาแต่คิดถึงเธอ ในค่ำคืนบางครั้ง อิฐมักจะเดินมาที่บ้านพักหลังเล็กอย่างเงียบ ๆ เขามักจะแอบยืนอยู่ตรงมุมหนึ่ง ฟังเสียงหัวเราะแผ่วของเด็กเล็กที่ลอดออกมา บางครั้งเขาก็ได้ยินเสียงร้องไห้โยเยพร้อมกับเสียงขวัญเรือนที่กล่อมลูก นั่นทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมา และรู้สึกผูกพันกับเด็กคนนั้น แม้จะยังไม่เคยเห็นหน้าเลยก็ตาม
“ฉันจำเป็นต้องไป” ขวัญเรือนกล่าวเสียงเรียบ
แววตาที่ว่างเปล่าของเธอทำเอาเขาปวดใจ อิฐเข้าไปกอดหญิงสาว เธอดิ้นรนออกจากอ้อมแขนเขาทันที เสียงของของพวกเขาทำให้เด็กชายตัวน้อยตื่นขึ้นมา ขยับตัวพลางร้องไห้ออกมาด้วยความตกใจ
ขวัญเรือนรีบเข้าไปอุ้มลูกไว้แนบอก ลูบหลังเบา ๆ ให้ลูกเงียบลง อิฐยืนนิ่งมองภาพนั้น ดวงตากลมใสของเด็กน้อยที่จ้องมองอย่างสงสัยทำเอาหัวใจของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง ยิ่งไม่อยากให้ขวัญเรือนและลูกจากไปไหน
“ขวัญ ฉันขอร้องล่ะ อย่าไปเลยนะ”
“ฉันจำเป็นต้องไปจริง ๆ ค่ะคุณอิฐ”
“ฉันรักเธอนะขวัญ”
ขวัญเรือนชะงัก เธอกอดลูกน้อยแน่นขึ้น แม้หัวใจสั่นไหว แต่เธอก็จะไม่เดินกลับไปทางเดิมอีก
“กรี๊ด!!”
เสียงกรี๊ดแหลมบาดหูดังขึ้นจากด้านหน้าห้อง ทำให้เด็กชายตัวน้อยผวาเฮือกแล้วร้องลั่นด้วยความตกใจกว่าเดิม อิฐและขวัญเรือนก็ตกใจจนหน้าซีด
ประตูไม้ถูกผลักเข้ามาอย่างแรง ชลธิชาปรากฏตัวขึ้น ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความโกรธ ก่อนหน้านี้เธอเห็นพ่อเดินมาทางนี้จึงเดินตามมา ไม่คาดคิดว่าจะมาได้ยินพ่อบอกรักผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่แม่ของเธอ
“คุณพ่อทำแบบนี้ได้ยังไง!” เสียงของเธอดังลั่นไปทั่วบริเวณ
มาลารินที่กำลังกลับมาจากเรือนใหญ่หยุดชะงัก หัวใจร่วงหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“เต้ยจะฟ้องคุณแม่!” ชลธิชาวิ่งออกไปจากตรงนั้น
อิฐกำลังจะวิ่งตามออกไป แต่เสียงร้องไห้ของเด็กชายยังคงดังลั่นทำให้เขาหันกลับมา ขณะที่ขวัญเรือนพยายามปลอบลูกชายที่ยังร้องไห้ไม่หยุด
ขณะชลธิชาวิ่งร้องไห้เหมือนคนไร้สติ มาลารินก็โผล่มาจากที่หนึ่ง ดึงแขนของชลธิชาเพื่อหยุดอีกฝ่ายเอาไว้
“เธอ!” ชลธิชาแผดเสียงลั่น “ปล่อยฉันนะ!”
“คุณเต้ยคะ พวกเรากำลังจะไปจากที่นี่ ขอร้องคุณเต้ยนะคะ อย่าบอกใครเรื่องนี้เลย” มาลารินเอ่ยอย่างเว้าวอน เสียงของเธอสั่นเครือเหมือนคนจะร้องไห้ออกมา
“หมายความว่ายังไง?” ชลธิชานิ่วหน้า ความโกรธแล่นขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ “นี่เธอรู้เรื่องนี้มาตลอดใช่มั้ย!”
ชลธิชากระผมมาลารินจนอีกฝ่ายหน้าหงาย มือเล็ก ๆ ทุบตีมาลารินพัลวัน มาลารินไม่กล้าสู้ ได้แต่พยายามยกมือขึ้นบังหน้าตัวเองเอาไว้
“เต้ย!” เสียงของชวลิตดังขึ้นอย่างเดือดดาลเพราะสิ่งที่เห็น เขาก้าวเข้ามาพยายามแยกน้องสาวออกจากมาลาริน “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
“เต้ยไม่หยุด! ฮือ ๆๆ พี่ต้นรู้มั้ยว่าพ่อของเรากับแม่ของมันแอบคบกันลับหลังทุกคน แล้วมันก็รู้เรื่องนี้ มันช่วยแม่ของมันปิดบังพวกเรา!”
ชวลิตชะงักอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน แต่เขาก็ยังคงยืนยันคำเดิมให้น้องสาวปล่อยมือจากมาลารินก่อน
“เต้ย ปล่อยมือก่อน”
ชลธิชาสบสายตาที่จริงจังของพี่ชาย เธอจึงยอมปล่อยมือ แต่สายตายังคงมองจิกมาลารินราวกับจะฉีกอีกฝ่ายออกเป็นชิ้น ๆ
“ที่เต้ยพูด จริงหรือเปล่าลาริน?”
มาลารินนิ่งไปครู่หนึ่ง แต่สายตาของชวลิตยังคงมาอย่างคาดคั้น เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วเธอจึงยอมรับทั้งน้ำตา แม้ว่าจะทำให้สายตาที่ชวลิตมองเธอเปลี่ยนไปก็ตาม...
บทส่งท้าย แสงยามเช้าอาบไล้เข้ามาในห้องนอนเล็ก ๆ ผ่านผ้าม่านสีขาวที่พลิ้วไหวตามแรงลม เสียงนกร้องเบา ๆ อยู่นอกหน้าต่าง ราวกับว่าพวกมันกำลังปลุกคนทั้งคู่ที่อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันทั้งคืนให้ตื่นจากความฝัน มาลารินค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา เธอเห็นใบหน้าของชวลิตอยู่ใกล้แค่คืบ เขายังคงกอดเธอเอาไว้นแน่นหลังจากที่เมื่อคืนนอนคุยกันถึงเรื่องราวมากมายจนหลับไปในอ้อมแขนของเขา เขาเล่าให้เธอฟังว่าของเขาป่วยด้วยโรคร้ายอยู่หลายปี ก่อนจะจากไปเมื่อสองเดือนก่อน ตอนมาลารินได้ยินเรื่องนั้น เธอรู้สึกใจหายไม่น้อย แม้เวลาจะผ่านมานานแล้วก็ตาม แต่เธอยังคงจำใบหน้าและดวงตาของตรีอัปสรได้เป็นอย่างดี เธอหวังอยู่ในใจลึก ๆ ว่าในช่วงสุดท้ายของชีวิตตรีอัปสรนั้นจะจากไปด้วยใจที่ไม่ยึดถือสิ่งใดแล้ว “เสียใจด้วยนะคะ” ชวลิตยิ้มบาง ๆ นัยน์ตาแม้ยังหลงเหลือรอยเศร้าอยู่บ้าง ทว่าที่ผ่านมาเขาคิดว่าตัวเองทำได้ดีที่สุดแล้วเพื่อให้แม่ของเขามีความสุข หลังจากทุกอย่างจบลง ชวลิตเลือกที่จะหันหลังให้กับทุกอย่าง เขาออกจากบ้านสุรีย์ฉายเพื่อมาหามาลารินที่นี่ เมื่อเทียบกับการที่จะได้อยู่กับเธอแล้ว ไ
บทที่ 44หวนคืน 10 ปีผ่านไป...ยามบ่ายแก่ ๆ ณ วัดหลวงแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ที่ลานด้านหน้าเมรุคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่แต่งกายด้วยชุดสีดำ ฟ้าที่เคยโปร่งใสบัดนี้มีเมฆสีเทาเคลื่อนตัวมาบดบังแสงแดดจ้าให้หม่นลงปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า คล้ายว่ากำลังร่วมไว้อาลัยให้แก่ผู้วายชนม์อย่างตรีอัปสรเมื่อหลายปีก่อนนั้น เธอป่วยด้วยโรคร้ายรักษาไม่หาย แต่ยังคงมีชีวิตอยู่ได้หลายปีด้วยกำลังใจของคนในครอบครัว ทว่าเวลาผ่านไปร่างกายของเธอก็ทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เธอต้องลาจากโลกนี้ไปท่ามกลางความเสียใจของทุกคนท่ามกลางผู้คนมากมายนั้น ชวลิตยืนเงียบ ๆ ข้างชลธิชาและญาติสนิทที่ยืนเรียงกัน เวลาล่วงเลยผ่านมานานนับสิบปี ตอนนี้อายุของเขาก้าวล่วงมาถึงวัยสามสิบแปดแล้ว เขายังคงดูโด่น แม้เส้นผมที่เคยดำขลับจะมีสีขาวขึ้นแซมที่ขมับทั้งสองข้าง ร่องลึกบนใบหน้าเผยให้เห็นถึงกาลเวลาที่ล่วงไป แต่นัยน์ตาคู่คมนั้นยังคงเหมือนคนที่แบกบางสิ่งไว้ตลอดเวลาเสียงประกาศให้ผู้คนทอยขึ้นเมรุเพื่อวางดอกไม้จันทน์ ขบวนของผู้คนค่อย ๆ เคลื่อนย้ายไปช้ายังด้านบนของเมรุ กลีบดอกไม้สีเหลืองนวลในมือของแต่ละคนค่อย ๆ วางลงหน้าโลงที่ประดับด้วยด
บทที่ 43คำขอสุดท้ายบนท้องถนนที่คลาคล่ำไปด้วยรถยนต์ รถคันหรูของชวลิตเคลื่อนตัวด้วยความเร็วคงที่ผ่านแสงไฟริมถนนที่ทอดยาวเป็นเส้นสีเหลืองสลับกับเงามืดของต้นไม้ข้างทาง ระหว่างทางนั้น มาลารินได้รับสายจากกรฏที่โทรมา เมื่อกดรับสายได้ กรกฏก็คลายความกังวลและความเป็นห่วงลงมาเล็กน้อย ชวลิตหันมายิ้มให้กับมาลาริน เขาดีใจที่หญิงสาวมีเพื่อนที่ดีคนหนึ่งคอยอยู่เคียงข้าง ความคิดของเขาที่เคยมีต่อกรกฏในเมื่อก่อน ต่างจากตอนนี้โดยสิ้นเชิง ตลอดระยะเวลาที่รถเคลื่อนตัวไปนั้น ชวลิตรู้สึกว่ามาลารินมองเขาอยู่เป็นระยะ แม้เธอหลบสายตาทุกครั้งที่เขาหันไป แต่เขากลับรู้สึกว่าเธอได้ทิ้งร่องรอยบางอย่างเอาไว้ในใจของเขา “มีอะไรหรือเปล่า?” เสียงทุ้มเอ่ยถามบางเบา เขายกมือข้างหนึ่งลูบศีรษะของเธออย่างเอ็นดู นัยน์ตาของมาลารินที่เหลือบมองเขา มีแววครุ่นคิดบางอย่างที่คล้ายกับว่าเธอยังวางมันไม่ลง ดูเหมือนจะรบกวนจิตใจของเธอมาโดยตลอด “ฉันมีเรื่องอยากคุยกับคุณน่ะค่ะ” แววตาของชวลิตเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารู้สึกได้ถึงน้ำเสียงและแววตาที่จริงจังของหญิงสาว จึงค่อย ๆ ตบไฟเลี้ยวจอดรถลงที่
บทที่ 42ไม่อยากให้ดวงตะวันลับฟ้า ผ้าม่านปลิวไหวเบา ๆ ไปกับสายลม ขณะที่แสงอ่อน ๆ ยามเช้าลอดผ่านเข้ามา สาดลงบนเรือนผมยุ่ง ๆ ของมาลาริน ร่างบางเปลือยเปล่าซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา ที่มีอ้อมแขนอันอบอุ่นของเขาโอบล้อมเธอไว้อีกชั้นหนึ่ง มาลารินกระพริบตาช้า ๆ แผ่นหลังบอบบางที่นอนอยู่กับอกเปลือยเปล่าของชายหนุ่ม ทำให้เธอรู้สึกถึงลมหายใจของเขาที่ยังคงเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ หัวใจของเธอเต้นเป็นจังหวะ เมื่อความทรงจำอันเร่าร้อนในค่ำคืนยังแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูของเธอ กลิ่นของอากาศสดชื่นลอยมากับสายลมอ่อนยามเช้า เสียงของใบไม้ไหวตามแรงลม บรรดาเจ้านกส่งเสียงเจื้อยแจ้วพูดคุยกันจนเซ็งแซ่ ทว่าหัวใจของเธอกลับสงบลงเพราะยังคงรู้สึกถึงอ้อมแขนอันอบอุ่นที่โอบกอดเธอไว้ตลอดทั้งคืนเพียงครู่หนึ่ง เปลือยตาของเขาก็ค่อย ๆ เปิดออก เผยให้เห็นแววตาอันบอุ่นที่ยังตื่นไม่เต็มที่นัก เขาชะโงกหน้าขึ้นมามองเธอเล็กน้อย“ตื่นเช้าจัง...” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเบา ๆ พร้อมกระชับวงแขนรอบเอวเธอแน่นขึ้น “ไม่เหนื่อยเหรอ”มาลารินหันมายิ้มให้กับเขา มองใบหน้าหล่อเหลาที่ผมยุ่งฟูดูเป็นธรรมชาติ เธอรู้สึกว่าเช้าวันนี้แสนพิเศษเพ
บทที่ 41ใต้แสงจันทร์ แสงสุดท้ายยามพระอาทิตย์อัสดงลอดผ่านผ้าม่านที่ปลิวไสวไปกับสายลมยามเย็นที่พัดผ่านเข้ามาภายในห้องนอนที่เงียบสงบ ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา ร่างกายเปลือยเปล่าของมาลารินขยับกายเพียงเล็กน้อย สัมผัสของผ้าปูที่นอนยังอุ่นเหมือนช่วงเวลาที่เร่าร้อนเพิ่งจะผ่านพ้นไปได้ไม่นาน หญิงสาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาภายในห้องที่แสงสีส้มสาดส่องเข้ามาในความมืดที่สลัวลง เมื่อขยับกายลุกขึ้นนั่ง สายตานั้นก็เลื่อนผ่านบานประตูกระจกใสที่เปิดแง้มไว้สู่ระเบียงกว้างที่ทอดยาวออกไปกลางสวนร่มรื่น แสงไฟสีอุ่นจากโคมบนระเบียงทอดลงบนร่างสูงของชวลิตที่กำลังก้มตัวจัดจานบนโต๊ะกลมไม้สัก มีเสียงเพลงสากลที่เขาเปิดทิ้งไว้คลอเคล้าอยู่ในบรรยากาศ ดวงหน้าของเขาภายใต้แสงไฟนั้นดูอบอุ่นและอ่อนโยน หญิงสาวจับจ้องเขาอยู่สักพัก ราวกับต้องการเก็บภาพนั้นตรึงไว้ในความทรงจำให้นานแสนนาน ความมืดค่อย ๆ โรยตัวลงมา แสงสุดท้ายของวันเลือนหายไป มาลารินอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ก้าวออกมาด้านนอก ดวงตาคู่สวยมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นดวงจันทร์เด่นตระหง่านคู่กับดวงดาวที่พร่างพราวระยิบระยับ ท้องฟ้าในคืนนี้งดงามมากจริง ๆ
บทที่ 40ช่วงเวลาของเราช่วงบ่ายวันหนึ่ง อากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าว ทว่าเมื่อรถคันหรูเคลื่อนตัวเข้ามาจอดบริเวณหน้าบ้านพักสีขาวสองชั้นที่ห้อมล้อมไปด้วยสวนดอกไม้ และร่มไม้ใหญ่เขียวขจี บรรยากาศโดยรอบนั้นก็ต่างจากข้างนอกโดยสิ้นเชิงชวลิตจูงมือมาลารินเข้ามาในบ้านพัก ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยพาเธอมาที่นี่ ทว่าครั้งนี้ความรู้สึกนั้นต่างไปจากครั้งก่อน เขากระชับมือบางแน่น หันมายิ้มให้กับเธอ ช่างเป็นรอยยิ้มที่เธอสดใส แต่กลับซ่อนความหม่นเศร้าไว้ในแววตาบรรยากาศภายในบ้านเต็มไปด้วยความอบอุ่นบางอย่าง ทว่ามันก็คละเคล้าไปกับความเศร้าหมองที่อาจไม่บรรยาย แม้จะอยากอยู่กับปัจจุบันมากเพียงใด แต่เมื่อคิดว่าเวลาที่นับถอยหลังลงเรื่อย ๆ และอาจจะไม่พบเจอกันอีก ก็ทำให้เขาพวกเขาหม่นใจ“ตอนแรกก้องไม่อยากให้ฉันมาเลย” มาลารินเอ่ยขึ้นเบา ๆชวลิตเข้ามาสวมกอดมาลารินจากทางด้านหลัง เขากระชับอ้อมแขนแน่น เกยคางกับบ่าเล็ก ความอบอุ่นแล่นเข้ามาในหัวใจ เขานั้นอยากจะกอดเธอแบบนี้มาตั้งนานแล้ว“ทำไมล่ะ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามเบา ๆ“ที่คุณบอกว่าอยากเจอฉันครั้งสุดท้าย ฟังดูน่ากลัวมาก ๆ เค้าคิดว่าคุณอาจจะทำร้ายฉันน่ะค่ะ”“ฉันคงดูเป็นคนใจร้ายมาก







