LOGINบทที่ 04
สายตาที่เปลี่ยนไป
หลายวันมานี้ ขวัญเรือนพยายามหลบเลี่ยงอิฐ เธอไม่ยอมรับสายของ ไม่ยอมอ่านข้อความ แม้เขาจะมาหาเธอที่บ้านพัก แต่เธอก็ไม่ยอมเปิดประตูให้ ขวัญเรือนยังคงคิดไม่ตกกับปัญหาที่เกิดขึ้น และรู้สึกผิดเป็นอย่างมากกับการกระทำของตัวเอง เธอไม่กล้าสบตากับใครนาน ๆ โดยเฉพาะกับมาลาริน เธอกลัวที่จะเห็นสายตาของลูกที่มองมาอย่างผิดหวัง
กระทั่งวันหนึ่ง ขวัญเรือนได้ตัดสินใจบางอย่าง เธอเข้าไปพบกับอนงค์ที่เรือนใหญ่ ขวัญเรือนบอกกับอนงค์ว่าเธอตั้งครรภ์กับผู้ชายที่คบหากันช่วงหนึ่ง หากอนงค์จะไล่ออก เธอก็ยินดี
“ใครกันเหรอขวัญเรือน?” อนงค์ถามเสียงเรียบ แววตามีความห่วงใย
ขวัญเรือนกลืนน้ำลายลงคอ “ชื่อแมนค่ะ แต่ตอนนี้เราเลิกกันแล้ว ดิฉันไม่อยากกลับไปยุ่งเกี่ยวกับเค้าอีก”
เธอโกหกคำโต เพราะไม่เคยคบหากับแมนเลย ตั้งแต่เกิดเรื่องในตอนนั้น เธอก็ไม่เคยเจอเขาอีก ไม่รู้ว่าอิฐใช้วิธีอะไรจัดการกับแมนในตอนนั้น
“เธอจะปล่อยให้เด็กเกิดมาไม่มีพ่ออย่างนั้นเหรอ”
“ค่ะ” ขวัญเรือนสบตากับอนงค์ ราวกับกำลังยืนยันหนักแน่น
ความเงียบโรยตัวชั่วขณะ อนงค์เพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ อย่างไรนั่นก็คือชีวิตของขวัญเรือน
“เอาเถอะ มันเรื่องของเธอ แต่ฉันก็จะไม่ไล่เธอออกหรอกนะ อยู่ที่นี่แหละ ลารินก็กำลังโต ไม่ต้องหอบลูกพะรุงพะรังไปไหนหรอก”
ยิ่งอนงค์เมตตา ขวัญเรือนก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ เธอก้มกราบอนงค์แทบเท้าทั้งน้ำตา
ขวัญเรือนเดินใจลอยกลับมาบ้านพัก โดยไม่รู้ว่าอิฐเดินตามมาข้างหลัง เขาเห็นเธอตอนเดินเข้าไปในเรือนใหญ่ จึงแอบฟังและได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้ว
“คิดอะไรของเธอขวัญ ทำไมถึงโกหกคุณแม่ไปแบบนั้น”
ขวัญเรือนหันกลับมาด้วยความตกใจ
“เธอบ้าไปแล้วเหรอขวัญ”
“แล้วคุณจะให้ฉันทำยังไง?” ขวัญเรือนย้อนถาม “จะให้ฉันบอกคุณเหรอคะว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของใคร”
อิฐเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ “แต่เราคุยกันแล้วนี่ขวัญ”
“ค่ะ เราคุยกันแล้ว และฉันก็บอกคุณไปแล้วนี่คะว่าจะจัดการปัญหานี้เอง” เสียงของเธอเหมือนคนจะร้องไห้ออกมา
“ขวัญ”
ขวัญเรือนถอยหลังออกห่างจากเขา “ฉันว่าเราสองคนพอแค่นี้เถอะค่ะ เราทำผิดกันมามากพอแล้ว”
เธอตระหนักแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอเป็นเพียงแค่ความสุขชั่วครู่ แต่ความทุกข์ทรมานนั้นยาวนานยิ่งกว่า
“ไม่นะขวัญ ฉันรักเธอนะ” อิฐขยับเข้ามาใกล้ แต่เธอก็ยิ่งถอยห่างออกไป ทำให้เขาชะงักไป
“ฉันขอร้องนะคะคุณอิฐ ฉันอยากกลับไปใช้ชีวิตที่สงบสุข ถ้าจะกรุณา เราอย่าเกี่ยวข้องกันอีกเลยนะคะ”
เธอหันหลังแล้วเดินจากไป ทิ้งเขาไว้เพียงเบื้องหลัง อิฐมองตามแผ่นหลังหญิงสาวที่ลับตาไป เธอไม่ลังเลสักนิด เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองเขาเลย
ขวัญเรือนเปิดประตูเข้ามาในบ้านพัก เธอเห็นมาลารินกำลังนั่งทำการบ้านอยู่ที่โต๊ะตัวเล็กมุมหนึ่ง เด็กหญิงเหลือบมองแม่เล็กน้อย แววตากลมโตนั้นมีรอยความคิดบางอย่าง ดูเหมือนว่าเธอจะได้ยินสิ่งที่แม่คุยกับอิฐแล้ว
เสียงสะอื้นที่ดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้มาลารินไม่อาจนั่งเฉยได้อีกต่อไป เธอลุกไปหาแม่ที่เตียง นั่งลงข้าง ๆ เช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน หลายวันมานี้เธอไม่พูดกับแม่เลย ทำให้แม่ต้องเสียใจแล้ว
“ไม่เป็นไรนะจ๊ะแม่ หนูอยู่ตรงนี้” มาลารินกอดแม่ของเธอเอาไว้ “หนูจะช่วยแม่เลี้ยงน้องเอง แม่จะได้ไม่เหนื่อย หนูพูดจริง ๆ นะ”
ขวัญเรือนพยักหน้าทั้งน้ำตา ลูกสาวของเธอล้มตัวนอนหนุนตักที่เคยหนุนมาตั้งแต่เด็ก แม้ความเจ็บปวดยังไม่จางหาย แต่อ้อมกอดอบอุ่น คำพูดที่จริงใจก็ช่วยปลอบโยนหัวใจที่บอบช้ำของเธอได้เป็นอย่างดี
ในฤดูที่ฝนโปรยปรายลงมา ขวัญเรือนได้ให้กำเนิดเด็กชายมาธาริน แม้ฝนจะตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย แต่ภายในบ้านพักหลังเล็ก ๆ นั้นกลับอบอุ่น เพราะมีสมาชิกใหม่กำเนิดขึ้น
เด็กชายตัวน้อยมีผิวขาวอมชมพู ริมฝีปากเล็กบาง เส้นผมที่อ่อนนุ่มมีสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้ากลมอิ่มตามวัย แม้ยังดูไม่ชัดว่าคล้ายใคร ทว่ายามที่ขวัญเรือนมองเข้าไปในดวงตาไร้เดียงสาคู่นี้ กลับมีเงาของใครบางคนสะท้อนออกมาจนเธอนั้นหวั่นใจ
“ป้าจิตร ฉันคิดว่าจะพาลูกย้ายไปอยู่ที่อื่น”
สมจิตรหันไปมองเด็กชายวัยสามเดือนด้วยความรู้สึกไม่สบายใจนัก
“เอ็งไปเถอะ”
เมื่อตัดสินใจดีแล้ว ขวัญเรือนก็ไปแจ้งให้อนงค์ทราบ แม้อนงค์จะไม่เห็นด้วยเพราะไม่อยากให้ขวัญเรือนพาลูกที่เพิ่งคลอดออกไป แต่ขวัญเรือนก็ตัดสินใจแน่วแน่ อนงค์จึงไม่ว่าอะไร
เสียงของคนรับใช้คุยกันว่าขวัญเรือนกำลังจะย้ายออกจากบ้าน ลอยเข้าหูของอิฐ เขานั้นนิ่งไปพักใหญ่ สีหน้าเรียบนิ่ง แต่แววตากลับสั่นไหวอย่างควบคุมไม่อยู่ เขามุ่งหน้าไปยังบ้านพักที่อยู่ด้านหลังทันที
อิฐก้าวพรวดเข้ามาในบ้านพักของขวัญเรือน สายตาเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธเมื่อเห็นเธอกำลังจัดกระเป๋าเสื้อผ้า
“คุณอิฐ!” ขวัญเรือนเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ
“เธอจะไปไหน?” เขาถามเสียงต่ำ แต่ก้องไปทั่วห้อง
อิฐเหลือบมองเด็กชายตัวน้อยที่นอนหลับอยู่บนเบาะ หัวใจของเขากระตุกวูบ
“ฉันกำลังจะย้ายออกจากที่นี่” ขวัญเรือนเอ่ยโดยไม่มองหน้า
“ฉันก็ไม่ได้มายุ่งกับเธอแล้วไง ไม่ไปได้มั้ยขวัญ?”
ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา อิฐไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับขวัญเรือน ทำเหมือนทุกอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ลึกลงในใจของเขากลับเอาแต่คิดถึงเธอ ในค่ำคืนบางครั้ง อิฐมักจะเดินมาที่บ้านพักหลังเล็กอย่างเงียบ ๆ เขามักจะแอบยืนอยู่ตรงมุมหนึ่ง ฟังเสียงหัวเราะแผ่วของเด็กเล็กที่ลอดออกมา บางครั้งเขาก็ได้ยินเสียงร้องไห้โยเยพร้อมกับเสียงขวัญเรือนที่กล่อมลูก นั่นทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมา และรู้สึกผูกพันกับเด็กคนนั้น แม้จะยังไม่เคยเห็นหน้าเลยก็ตาม
“ฉันจำเป็นต้องไป” ขวัญเรือนกล่าวเสียงเรียบ
แววตาที่ว่างเปล่าของเธอทำเอาเขาปวดใจ อิฐเข้าไปกอดหญิงสาว เธอดิ้นรนออกจากอ้อมแขนเขาทันที เสียงของของพวกเขาทำให้เด็กชายตัวน้อยตื่นขึ้นมา ขยับตัวพลางร้องไห้ออกมาด้วยความตกใจ
ขวัญเรือนรีบเข้าไปอุ้มลูกไว้แนบอก ลูบหลังเบา ๆ ให้ลูกเงียบลง อิฐยืนนิ่งมองภาพนั้น ดวงตากลมใสของเด็กน้อยที่จ้องมองอย่างสงสัยทำเอาหัวใจของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง ยิ่งไม่อยากให้ขวัญเรือนและลูกจากไปไหน
“ขวัญ ฉันขอร้องล่ะ อย่าไปเลยนะ”
“ฉันจำเป็นต้องไปจริง ๆ ค่ะคุณอิฐ”
“ฉันรักเธอนะขวัญ”
ขวัญเรือนชะงัก เธอกอดลูกน้อยแน่นขึ้น แม้หัวใจสั่นไหว แต่เธอก็จะไม่เดินกลับไปทางเดิมอีก
“กรี๊ด!!”
เสียงกรี๊ดแหลมบาดหูดังขึ้นจากด้านหน้าห้อง ทำให้เด็กชายตัวน้อยผวาเฮือกแล้วร้องลั่นด้วยความตกใจกว่าเดิม อิฐและขวัญเรือนก็ตกใจจนหน้าซีด
ประตูไม้ถูกผลักเข้ามาอย่างแรง ชลธิชาปรากฏตัวขึ้น ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความโกรธ ก่อนหน้านี้เธอเห็นพ่อเดินมาทางนี้จึงเดินตามมา ไม่คาดคิดว่าจะมาได้ยินพ่อบอกรักผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่แม่ของเธอ
“คุณพ่อทำแบบนี้ได้ยังไง!” เสียงของเธอดังลั่นไปทั่วบริเวณ
มาลารินที่กำลังกลับมาจากเรือนใหญ่หยุดชะงัก หัวใจร่วงหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“เต้ยจะฟ้องคุณแม่!” ชลธิชาวิ่งออกไปจากตรงนั้น
อิฐกำลังจะวิ่งตามออกไป แต่เสียงร้องไห้ของเด็กชายยังคงดังลั่นทำให้เขาหันกลับมา ขณะที่ขวัญเรือนพยายามปลอบลูกชายที่ยังร้องไห้ไม่หยุด
ขณะชลธิชาวิ่งร้องไห้เหมือนคนไร้สติ มาลารินก็โผล่มาจากที่หนึ่ง ดึงแขนของชลธิชาเพื่อหยุดอีกฝ่ายเอาไว้
“เธอ!” ชลธิชาแผดเสียงลั่น “ปล่อยฉันนะ!”
“คุณเต้ยคะ พวกเรากำลังจะไปจากที่นี่ ขอร้องคุณเต้ยนะคะ อย่าบอกใครเรื่องนี้เลย” มาลารินเอ่ยอย่างเว้าวอน เสียงของเธอสั่นเครือเหมือนคนจะร้องไห้ออกมา
“หมายความว่ายังไง?” ชลธิชานิ่วหน้า ความโกรธแล่นขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ “นี่เธอรู้เรื่องนี้มาตลอดใช่มั้ย!”
ชลธิชากระผมมาลารินจนอีกฝ่ายหน้าหงาย มือเล็ก ๆ ทุบตีมาลารินพัลวัน มาลารินไม่กล้าสู้ ได้แต่พยายามยกมือขึ้นบังหน้าตัวเองเอาไว้
“เต้ย!” เสียงของชวลิตดังขึ้นอย่างเดือดดาลเพราะสิ่งที่เห็น เขาก้าวเข้ามาพยายามแยกน้องสาวออกจากมาลาริน “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
“เต้ยไม่หยุด! ฮือ ๆๆ พี่ต้นรู้มั้ยว่าพ่อของเรากับแม่ของมันแอบคบกันลับหลังทุกคน แล้วมันก็รู้เรื่องนี้ มันช่วยแม่ของมันปิดบังพวกเรา!”
ชวลิตชะงักอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน แต่เขาก็ยังคงยืนยันคำเดิมให้น้องสาวปล่อยมือจากมาลารินก่อน
“เต้ย ปล่อยมือก่อน”
ชลธิชาสบสายตาที่จริงจังของพี่ชาย เธอจึงยอมปล่อยมือ แต่สายตายังคงมองจิกมาลารินราวกับจะฉีกอีกฝ่ายออกเป็นชิ้น ๆ
“ที่เต้ยพูด จริงหรือเปล่าลาริน?”
มาลารินนิ่งไปครู่หนึ่ง แต่สายตาของชวลิตยังคงมาอย่างคาดคั้น เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วเธอจึงยอมรับทั้งน้ำตา แม้ว่าจะทำให้สายตาที่ชวลิตมองเธอเปลี่ยนไปก็ตาม...
บทที่ 35เพียงเสี้ยววินาที “กรี๊ด!” มาลารินกรีดร้องลั่น เธอดิ้นรนขัดขืนขณะที่ชวลิตพยายามดึงทึ้งเสื้อผ้าของเธอ เธอทั้งหยิก ทั้งทุบ ทั้งตี ดึงทึ้งศีรษะของเขาอย่างแรง แต่เขากลับไม่สนใจ ยังคงซุกไซ้ใบหน้าลงไปดูดเม้มซอกคอ มือหนาบีบเคล้นไปทั่วร่างของเธอ กึก! เธออ้าปากกัดเขาที่บ่าสุดแรง ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำ เขาหลับตาแน่นอดทนต่อคมฟันของเธอที่กดลงลึกมาบนบ่าแกร่ง เธอรวบแรงเฮือกสุดท้ายผลักเขาสุดแรง จนร่างหนานั้นเสียหลักไปเล็กน้อย มาลารินรีบลุกหนีจากโซฟา ทว่าเธอรู้ดีว่าไม่อาจพื้นเงื้อมมือของคนใจร้ายอย่างเขาได้ สายตาเหลือบเห็นแจกันเซรามิกวางอยู่ มือบางรีบหยิบมันขึ้นมาแล้วเขวี้ยงมันลงพื้น เพล้ง! แจกันสีขาวแตกเป็นเสี่ยง ๆ อยู่บนพื้น มันแทบไม่ต่างจากหัวใจของมาลารินที่ถูกเขาฉีกออกจากกันในตอนนี้ ชวลิตนั้นชะงักไปเล็กน้อย เขามองเศษแจกันที่แตกกระจาย ดวงตาคมเหลือบมองเธอที่ก้มลงไปหยิบเศษแจกันที่แตกขึ้นมา เธอหันปลายแหลมคมเข้าที่ลำคอของตัวเอง “คิดจะทำอะไร?” คิ้วหนากระตุก นัยน์ตาของเขามีแววตระหนก ทว่าชวลิตก็พยายามเก็บซ่อนมันเอาไว้
บทที่ 34ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย?มาลารินมองมือของชวลิตที่จับมือของเธอไว้แน่น ทุกย่างก้าวที่เขานำพาเธอไป หัวใจก็เต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมาถึงรถเขาเปิดประตูฝั่งผู้โดยสาร ดันเธอเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว ส่วนเขาอ้อมไปฝั่งคนขับ ติดเครื่องยนต์แล้วขับรถออกไปโดยไม่รอรีบรรยากาศภายในรถเงียบงันจนมาลารินรู้สึกอึดอัด เหลือบสายตามองคนที่อยู่ข้าง ๆ เห็นเลือดสีแดงเป็นรอยยาวจากหางคิ้วจนถึงขมับ ความทรงจำเมื่อครู่ย้อนกลับเข้ามา มาลารินไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนที่เอาแต่พร่ำบอกว่าเกลียดเธอถึงพุ่งเข้ามากอดเธอไว้อย่างนั้น ดวงตาคู่คมจ้องมองไปยังท้องถนนเบื้องหน้า แววตาของเขาเรียบนิ่งยากจะคาดเดา และหางตาของเขาก็รับรู้ถึงสายตาของคนข้างกายที่เอาแต่จับจ้องเขาอยู่ “มองอะไร?” เขาเหลือบมองเธอเล็กน้อย มาลารินยกมือขึ้นแตะเบา ๆ ที่หางคิ้วของตัวเองเป็นสัญญาณบอกเขา ชวลิตเหลือบมองตัวเองผ่านกระจกมองหลัง เห็นเลือดไหลเป็นทางยาว เขาใช้มือเช็ดมันลวก ๆ อย่างไม่ใส่ใจ “คุณต้องทำแผลนะ” “ช่างมัน...” มาลารินไม่พูดอะไรอีก เธอมองออกไปด้านนอก สองข้างทางเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เธอไม่รู
บทที่ 33สัญชาตญาณ ในช่วงบ่าย ณ วัดหลวงเก่าแก่กลางเมือง แม้ว่าแดดจะแผดเผาสักเพียงใด ทว่าผู้คนยังหลั่งไหลเข้ามาในงานศพอย่างต่อเนื่อง ทั้งคนในเครื่องแบบ ข้าราชการ นักการเมือง รวมถึงกลุ่มนักธุรกิจต่าง ๆ นั้นก็ร่วมส่งอนงค์เป็นครั้งสุดท้าย ท่ามกลางคนมากมายนั้น มาลารินยืนปะปนอยู่กับผู้คน เธอสวมเดรสสีดำเรียบสนิท ใบหน้าราบเรียบ ทว่าดวงตานั้นมีร่องรอยความเศร้าชัดเจน “นั่นลารินหรือเปล่า” เสียงหนึ่งดึงขึ้นจากกลุ่มคนรับใช้ที่บ้านสุรีย์ฉายที่รวมตัวกันอยู่บริเวณหนึ่ง สมจิตรหันไปตามสายตาของพวกหล่อน เมื่อเห็นมาลารินเธอก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ตั้งแต่สมจิตรส่งข้อความบอกมาลารินเรื่องอนงค์ไป หลายคืนที่ผ่านมาเธอก็ไม่เคยเห็นมาลารินปรากฏตัวที่งานศพสักคืน จนกระทั่งวันสุดท้ายนี้ เธอรอลุ้นทุกวินาทีให้มาลารินมา และมาลารินก็มาจริง ๆ มือของมาลารินกำดอกไม้จันทน์ไว้แน่น เธอก้าวขึ้นบันได้เมรุจนมาถึงหน้าโลงศพที่วางบนแท่น เธอยกขึ้นไหว้ช้า ๆ ก่อนโน้มตัววางดอกไม้จันทน์หน้าเตาเผา หลับตาพูดในใจ “เดินทางปลอดภัยนะคะคุณท่าน...” เธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นัย
บทที่ 32ความจริงอันเจ็บปวดบรรยากาศในเรือนกระจกเงียบลง ๆ ลมอ่อนจากช่องระบายอากาศพัดเอากลิ่นหอมของดอกไม้ลอยวนอยู่ในอากาศ คล้ายกับมวลความรู้สึกบางอย่างนั้นก่อตัวขึ้นมาในใจของพวกเขาอย่างไม่อาจควบคุม สายตาคู่คมของชวลิตจ้องมองไปยังใบหน้าสวยหวานของเธอ ผมยาวสลวยพลิ้วไหวเบา ๆ คลอเคลียข้างแก้มใส ทำให้เธอดูอ่อนโยนงดงามราวกับภาพวาดจนเขาไม่อาจละสายตา ดวงตาที่สะท้อนภาพของมาลารินนั้นเปล่งประกาย ชวลิตรู้สึกว่าหญิงสาวดูดีขึ้นมาก ๆ ร่างกายที่เคยผอมบางของเธอนั้นดูมีน้ำมีนวลขึ้นกว่าเมื่อก่อน ผิวพรรณก็ดูสดใส นัยน์ตาคู่สวยก็ดูสุกสกาวกว่าเมื่อก่อน การได้เห็นเธอเป็น ๆ มากกว่ามองดูผ่านรูปถ่าย มันรู้สึกดีมากจริง ๆ และตอนนี้มันมีคำถามเกิดขึ้นในใจของเขา อยากถามว่าเธอสบายดีไหม เธอเป็นอย่างไรบ้าง และมีเรื่องอยากจะถามอีกมากมาย ทว่าเขาเพียงแค่ยืนนิ่ง ไม่มีสักคำพูดใดที่จะเอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากของเขา เธอเองก็ไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้คาดหวังว่าเจอเขา พอได้เจอดวงตาคู่นี้ก็สั่นไหวอยู่ไม่น้อย แต่เธอก็พยายามเก็บมันเอาไว้ให้ลึกสุดใจ ขณะที่เธอสังเกตว่าเขานั้นเปลี่ยนไป ใบหน้าของชว
บทที่ 31ที่ที่ไม่อยากกลับไปที่สุด รถแท็กซี่คันหนึ่งเคลื่อนตัวมาจอดบริเวณด้านหลังของบ้านหลังใหญ่ที่รอบล้อมด้วยรั้วปูนสีขาว หญิงสาวก้าวลงมาจากรถพร้อมกับน้องชายวัยสิบขวบ ประตูเหล็กบานเล็กที่อยู่ตรงหน้า หวนให้เธอนึกถึงเรื่องราวที่อยู่อีกฝั่งของบานประตูนั้น สถานที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ทำให้วันที่เดินจากมา เธอก็ไม่คิดที่อยากจะหวนกลับมาอีก หลายเดือนมานี้ นับตั้งแต่ออกมาจากบ้านสุรีย์ฉาย มาลารินไม่เคยได้รับโทรศัพท์จากสมจิตรอีกเลย กระทั่งเมื่อวานที่อีกฝ่ายโทรมาหาเธอ คำพูดคำจาแปลก ๆ เกี่ยวกับอนงค์ทำให้เธอไม่อาจวางใจลงได้ เธอเป็นห่วงอนงค์อย่างสุดซึ้ง จึงตัดสินใจลางาน และมาธารินหยุดเรียนเพื่อจะมาเยี่ยมอนงค์สักครั้ง ประตูเหล็กบานเล็กเปิดออก สมจิตรยืนรออยู่ เมื่อได้เห็นสองพี่น้องหญิงชราก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “เอ็งสบายดีจริง ๆ สินะลาริน” สมจิตรลูบศีรษะมาลารินเบา ๆ เมื่อได้เห็นแววตาที่สว่างไสวกว่าเมื่อก่อนก็ทำให้เธอเบาใจ สิ่งที่สมจิตรปรารถนามีเพียงให้สองพี่น้องประสบพบกับความสุขเท่านั้น “ไม่เจอนาน เอ็งสูงขึ้นแล้วนะธาริน” “ใช่ครับย
บทที่ 30สังหรณ์ใจ ผ่านมากว่าสองสัปดาห์สำหรับการเรียนรู้งานจากมาลาริน วันนี้เป็นครั้งแรกที่มาลารินจะให้พีรพลฝึกรับสายจากลูกค้าจริง “ทำใจให้สบายนะคะ” มาลารินเอ่ยกับเขายิ้ม ๆ “ทำใจให้สบายนี่ ฟังดูแปลก ๆ นะคุณ” พีรพลเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ เขาหยิบหูฟังแบบครอบหูขึ้นมาสวมใส่ ท่าทางมั่นใจเต็มร้อย “แต่ผมสบาย ๆ อยู่แล้ว” “โอเค” มาลารินพยักหน้าเบา ๆ เธอกดปุ่มเริ่มระบบการทำงานให้กับเขา และสายแรกดังเข้ามาทันที “สวัสดีครับ บริษัท...พีรพลรับสาย ยินดีให้บริการครับ” น้ำเสียงที่ชัดเจนฟังดูมั่นใจของพีรพลดังไปตามสาย “จ่ายตังค์ค่าเน็ตไปแล้ว ทำไมยังใช้งานไม่ได้วะ!” น้ำเสียงห้วนจัดของลูกค้าดังตอบกลับมาอย่างไม่สบอารมณ์ ทำให้พีรพลสะดุ้งเล็กน้อย แต่เขายังเก็บอาการ “ไม่ทราบว่าผมเรียนสายกับคุณผู้ชายอะไรครับ” พีรพลถามกลับไปอย่างสุภาพ “มึงไม่แหกตาดูเลยหรือไง กูโทรไปชื่อกูก็ต้องขึ้นดิ!” ลูกค้าที่อยู่ปลายสายเริ่มหยาบคาย พีรพลหันมาสบตามาลารินอย่างขอความช่วยเหลือ แน่นอนว่าเธอฟังสายไปพร้อมกับเขา เธอหยิบหูฟังขึ้นมาแล้วกดโอนสายของลูกค้ามาที่







