บทที่ 06
หน้าด้านหน้าทน
แสงไฟอบอุ่นจากโคมระย้าสาดส่องไปทั่วห้องโถงใหญ่ บรรยากาศในงานเลี้ยงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และเสียงพูดคุยของแขกที่มาเยือน ทั้งญาติผู้ใหญ่ คนในครอบครัว และเพื่อนพี่น้องของชวลิตที่ต่างมาร่วมกันสังสรรค์ต้อนรับการกลับมาอย่างเป็นทางการของเขา
เมื่อหลายปีก่อน ชวลิตไปเรียนต่อด้านธุรกิจและด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หลังเรียนจบเขาก็ได้รับหน้าที่ดูแลสาขาย่อยของบริษัทใหญ่ในต่างแดน และตอนนี้บริษัทที่ไทยนั้นมีโปรเจคใหญ่ เขาจึงกลับมาช่วยงานที่นี่
ชวลิตในวัยยี่สิบแปดย่างยี่สิบเก้า บุคลิกสุขุม สง่า ท่าทางเป็นผู้ใหญ่ของเขาเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ชายหนุ่มดึงดูดความสนใจของผู้คนได้โดยไม่ต้องพยายาม
ในขณะที่เขายืนโดดเด่นอยู่ในแสงไฟ ท่ามกลางผู้คนรุมล้อม มาลารินกลับซ่อนตัวอยู่ในมุมเงียบ ๆ ตรงหลังม่านสีขาว เธอไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาในงาน แต่แค่อยากจะมาเห็นเขาสักครั้ง แค่นิดเดียวก็ยังดี...
“นี่แกเข้ามาได้ยังไง!”
มาลารินหันกลับไปด้วยความตกใจเมื่อเห็นนวล หญิงรับใช้คนสนิทของตรีอัปสรที่กำลังจ้องเธอด้วยสายตาถมึงทึง
“คุณท่านให้มาช่วยงานค่ะ” มาลารินตอบเสียงแผ่ว
นวลหรี่ตามองมาลารินอย่างสงสัย “แล้วแกมายืนทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ ตรงนี้ คิดจะมาขโมยของหรือไง มานี่เลย!”
นวลกระชากแขนมาลาริน ลากอีกฝ่ายออกมาจากตรงนั้น ผ่านทางเดินที่เงียบสงัดมายังห้องนั่งเล่นที่มีใครบางคนนั่งอยู่บนวีลแชร์
ตรีอัปสรเงยหน้าขึ้น สบตากับมาลารินที่มองมาด้วยตกใจ เกือบสิบปีแล้วที่เธอไม่ได้รับอนุญาตให้ไปเฉียดกรายใกล้กับบ้านของอิฐ จึงไม่ได้เคยได้พบกับตรีอัปสรอีกเลย จึงไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงกลายเป็นแบบนี้
“แก! อีขวัญเรือน!”
ตรีอัปสรแผดเสียงลั่น เห็นใบหน้าของมาลารินแล้วมีภาพของขวัญเรือนซ้อนทับขึ้นมา ความโกรธแล่นมาเป็นริ้ว ๆ
“คุณตรีคะ นี่ไม่ใช่ขวัญเรือนค่ะ แต่เป็นลูกสาวของมัน” นวลรีบเข้ามาบอกตรีอัปสร
ตรีอัปสรตวัดสายตามองหญิงรับใช้คนสนิท “แล้วแกพามันมาทำไม?”
“คือนวลเห็นว่ามันเข้ามาทำลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ใกล้งาน ทำตัวน่าสงสัย เลยพามาให้คุณตรีจัดการค่ะ” นวลรีบอธิบาย
“ไปให้พ้นหน้าฉัน!” ตรีอัปสรตวาดลั่น ตวัดสายตาไปยังมาลารินที่ยืนอยู่ตัวสั่น
มือของตรีอัปสรคว้าของใกล้ตัวอย่างไร้สติ มาลารินรีบหันหลับออกไป ยังไม่ทันจะก้าวออกไปไกล แจกันเซรามิกสีขาวก็บิดเฉียดศีรษะเธอไปในระยะที่เส้นผมแทบปลิว
เสียงแจกันกระทบกับผนัง ก่อนจะกลิ้งหล่นลงแตกกระจายกับพื้น มาลารินใจหายวาบ และชวลิตก็ก้าวเข้ามา เขาหยุดชะงักเมื่อเห็นเศษแจกันแตกกระจายบนพื้น พลันเขาก็สบสายตากับมาลารินที่ยืดหน้าซีด
ดวงตาของมาลารินที่ฉายแววหวาดหวั่นทำให้บางอย่างในใจของเขาสะดุดเพียงชั่วครู่ ก่อนสายตาจะแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา และมาลารินที่เพิ่งได้สติก็รีบออกไปจากตรงนั้น แม้ว่าจะหันหลังไปแล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกได้ถึงสายตาอันเย็นเยียบของชวลิตที่มองมา และแน่นอนว่าเธอรู้ว่าเขายังคงมองเธอด้วยความเกลียดชังไม่ต่างจากเดิม
“คุณแม่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” ชวลิตคุกเข่าข้าง ๆ กุมมือสั่นเทาของผู้เป็นแม่เอาไว้ เขามองเห็นความเจ็บปวดที่สะท้อนออกมาผ่านดวงตาคู่นี้ของตรีอัปสร
“แม่เกลียดพวกมัน...” น้ำเสียงของเธอบ่งบอกถึงความรวดร้าว เรื่องราวในอดีตยังคงเป็นบาดแผลที่รักษาไม่หาย มันกัดกินหัวใจของเธอจนแทบมองหาความสุขไม่ได้เลย
“เกิดอะไรขึ้นครับพี่นวล ทำไมผู้หญิงคนนั้นเธอมาพบคุณแม่?” ชวลิตหันมาทางหญิงรับใช้คนสนิทของแม่เขา
“นวลเห็นมันมาทำลับ ๆ ล่อ ๆ แถวงานเลี้ยงน่ะค่ะ ท่าทางไม่น่าไว้ใจ ไม่รู้จะมาขโมยของหรือเปล่า นวลก็เลยพามาให้คุณตรีจัดการการค่ะ”
ชวลิตถอนหายใจเบา ๆ กล่าวกับนวลอย่างตำหนิเล็กน้อย “เรื่องแค่นี้บอกป้าจิตรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรบกวนคุณแม่หรอก”
นวลหน้าเจื่อน ก้มลงอย่างรู้สึกผิด
“ช่างเถอะต้น” ตรีอัปสรเอ่ยเบา ๆ แล้วโบกมือไล่นวลให้ออกไป “ว่าแต่ต้นเข้ามาทำอะไร น่าจะอยู่ในงานนะ”
“มีคนถามหาคุณแม่น่ะครับ คุณแม่ออกไปหน่อยดีมั้ย อยู่แต่ข้างในเฉาแย่เลยนะครับ”
ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเกือบสิบปีก่อน ตรีอัปสรก็เดินไม่ได้ เธอเริ่มเก็บตัว ไม่ค่อยพบเจอผู้คน เพราะไม่อยากเห็นสายตาของใครต่อใครที่มองเธออย่างสงสาร
“ไม่เฉาหรอกน่า ต้นกลับมาแล้วนี่นา” มือเรียวสองทาบแก้มสองข้างของลูกชาย “ปีนี้เต้ยก็จะเรียนจบกลับมาแล้ว ทีนี้พวกเราก็จะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วนะลูก”
ชวลิตพยักหน้าเบา ๆ ด้วยรอยยิ้ม เขาเอียงศีรษะซบลงที่ตักของแม่ เหมือนอย่างที่ชอบทำในวัยเด็ก
มือบางของตรีอัปสรลูบศีรษะลูกชายเบา ๆ แม้เธอจะฝืนยิ้มออกมา แต่แววตาไม่อาจเก็บซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ได้เลย จากเรื่องราวเลวร้ายในอดีต เธอต้องกลายเป็นคนพิการ สูญเสียสามีไปจากไม่มีวันกลับ ลูกของเธอทั้งสองคนต้องกำพร้าพ่อ เรื่องราวทั้งหมดนี้ ตรีอัปสรมองว่าต้นเหตุมาจากผู้หญิงสารเลวที่ชื่อขวัญเรือนนั่น
หลังจากงานเลี้ยงจบ มาลารินต้องอยู่ช่วยเก็บกวาดจนเสร็จ เธอเดินกลับมายังบ้านพักที่อยู่ด้านใน ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า มองขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงจันทร์สีซีดทอดเงาผ่านแนววต้นไม้ริมทางที่เดินผ่านไป สีของกลางคืนยังคงเหมือนเดิม
หญิงสาวถอนหายใจ พลางขยับไหล่ที่เริ่มล้า ขณะที่เท้าย่ำไปบนทางเดินหินกรวด เธอได้กลิ่นควันบุหรี่ลอยมาตามลม ก่อนที่ก้อนหินเล็ก ๆ จะถูกปาเฉียดลงตรงหน้าปลายเท้า
เสียงหินกระทบพื้นกรวด ดังแกร๊ง! มาลารินหยุดชะงัก หัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นชวลิตก้าวออกมาจากเงามืดใต้ต้นไม้ เขาโยนบุหรี่ลงพื้น สายตาคมกริบมองตรงมาที่เธอนั้นยังคงสะท้อนความชิงชังออกมาอย่างชัดเจน
หัวใจของเธอเต้นถี่ หญิงสาวลอบกลืนน้ำลายลงคออยู่หลายอึก นี่เป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งปีที่เธอได้มีโอกาสเผชิญหน้ากับเขา
“นึกว่าจะไสหัวออกไปจากที่นี่แล้วซะอีก นับถือในความหน้าด้านหน้าทนของเธอจริง ๆ”
ชายหนุ่มแสยะยิ้มมุมปาก สายตาเหยียดหยามมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ขณะที่มาลารินยืนนิ่ง ไม่พูดอะไรสักคำ เธอได้แต่ยอมรับอยู่ในใจว่าตัวเองเป็นคนหน้าด้าน หากไม่เป็นแบบนั้นเธอคงใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไปไม่ได้
“วันนี้เธอเข้าไปอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ ในงานเลี้ยง?” เขาขยับเข้ามาใกล้ หรี่ตาลงมองเธออย่างสงสัย “คิดจะอ่อยฉันอย่างนั้นเหรอ?”
มาลารินตกใจ เงยหน้าสบตาเขา “เปล่านะคะ”
“คิดว่าฉันจะเชื่องั้นเหรอ แม่เธอคงสอนมาตั้งแต่เด็กสินะ” เขาเอ่ยอย่างดูถูก “สอนมาดีจริง ๆ”
“กรุณาอย่าเอ่ยถึงแม่ฉันแบบนั้นเลยค่ะ” มาลารินเอ่ยอย่างขอร้อง
“ทำไม? แม่เธอสูงส่งนักหรือไง?” เขามุ่นคิ้ว “ก็แค่ผู้หญิงเลว ๆ ไร้ยางอายคนนึง ต่ำช้าน่ะสิไม่ว่า!”
มาลารินกำมือแน่น ความโกรธสุมอยู่ในอก เธอสบสายตาของเขาราวกับไม่หวั่นเกรง
“ฉันรู้ว่าคุณเกลียดพวกเรา แต่เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว เมื่อไหร่จะจบสักที” มาลารินหยุดพูดเล็กน้อย เธอรู้สึกเหมือนตัวเองจะร้องไห้ออกมา จึงต้องสูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “ถ้าให้พูดกันจริง ๆ ตอนนั้นพ่อคุณกับแม่ของฉันก็ผิดด้วยกันทั้งคู่ และแม่ของฉันเองก็พยายามหยุดแล้ว แต่พ่อของคุณต่างหาก...”
“หุบปาก!”
เขาตวาดลั่น มือหนารวบที่ลำคอระหงจนเธอสะดุ้งเฮือก พยายามดึงมือออกจากเขา
“คิดจะแก้ตัวงั้นเหรอ!” เขาเอ่ยเสียงลอดไรฟัน มือหนาออกแรงบีบคอเธอจนอีกฝ่ายมีสีหน้าลำบาก
“ฮึก! ฉันพูดความจริง และจริง ๆ ทุกคนก็เจ็บปวดกับเรื่องนี้ ฮึก! คุณสูญเสียพ่อ ฉันเองก็สูญเสียแม่ไปเหมือน”
มาลารินพูดออกมาอย่างยากลำบาก ใบหน้าเธอแดงก่ำ แต่กลับสบสายตาเขาราวกับไม่กลัว ทว่านัยน์ตากลับสะท้อนความร้าวลึกออกมา
ชวลิตจ้องมาลารินตาเขม็ง สีหน้าเธอดูย่ำแย่ แต่ไม่คิดร้องขอชีวิต เขาคลายมือออกช้า ๆ เหมือนเพิ่งรู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป
มาลารินทรุดลังกับพื้น หอบหายใจแรง น้ำตาไหลรินออกมาไม่หยุด
“ชีวิตของแม่เธอ จะเทียบกับชีวิตฉันได้ยังไง”
มาลารินเงยหน้ามองเขาผ่านม่านน้ำตา ร่างสูงนั้นค่อย ๆ เดินกลับหายลับไป ทิ้งเธอไว้เพียงเบื้องหลัง พร้อมกับคำพูดเมื่อครู่ที่ดูเหมือนว่ามันติดอยู่ในใจของเธอ
เขานั้นช่างใจร้ายเหมือนเดิมไม่มีผิด...
บทที่ 10ทั้งที่เอา...แต่พูดว่าเกลียด “ต้องการสิ ฉันจะไม่ต้องการเธอได้ยังไง...” มาลารินกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อสบสายตาลึกซึ้งคู่นั้นของเขาก็เหมือนจะนำพาเธอสู่ห้วงอดีตที่เคยแนบชิดกันในยามค่ำคืน มือบางแตะที่ต้นขาเขาเบา ๆ สัมผัสนั้นทำเอาชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย เขาลอบลอบน้ำลายลงคอ หัวใจเต้นรัวอย่างห้ามไม่อยู่ หญิงสาวค่อย ๆ ปลดตะขอกางเกงของเขา เธอไม่ได้รีบร้อน ตั้งใจสัมผัสเขาอย่างนุ่มนวล ทว่าแฝงไปด้วยปรารถนาซ่อนลึกอยู่ในจิตใจของเธอมานาน แท่งร้อนใหญ่คลายออกมาช้า ๆ มาลารินใช้ริมฝีปากนุ่มสัมผัสมันอย่างแผ่วเบา เสียงลมหายใจของเขาดังสะท้อนอยู่ในห้องเงียบ ๆ ชายกัดฟันแน่นเมื่อปลายลิ้นเล็ก ๆ ของเธอแตะตรงส่วนหัวหยักบานของเขา “อืม...” ชายหนุ่มครางตำอยู่ในลำคอ มือข้างหนึ่งเลื่อนไปกอบกุมช่อผมของเธอที่มันเป็นหางม้าสูง ขณะที่เธอค่อย ๆ กลืนกินตัวตนของเขาเข้าไปทีละน้อย จังหวะเนิบนาบ แต่แนบแน่น กล้ามเนื้อหน้าท้องเกร็งจ สายตาของเขาที่เคยมองเธออย่างชิงชัง บัดนี้กลับพร่าเลือนไปด้วยไฟแห่งราคะ แม้หญิงสาวจะห่างหายจากเรื่องอย่างว่ามานานนับปี ตั้งแต่เขาไม่มา
บทที่ 09ขวางหูขวางตา ผ่านมากกว่าสองสัปดาห์สำหรับชีวิตการฝึกงาน มาลารินกับกรกฏได้เรียนรู้งานต่าง ๆ ผ่านงานที่พวกเขาได้รับมอบหมาย มาลารินนั้นตั้งใจทำงานอย่างรอบคอบ เธอไม่ใช่คนพูดมากนัก ขณะที่กรกฏค่อนข้างร่าเริง พูดเก่ง และมักชวนมาลารินพูดคุยเสมอ ทำให้ทั้งสองสนิทกันอย่างรวดเร็ว จนทำให้พี่ ๆ ในแผนกแซวว่าพวกเขานั้นเข้ากันได้ดี มาลารินไม่ได้สนใจคำพูดพวกนั้นมากนัก เธอรู้ดีแก่ใจว่าตนกับกรกฏนั้นเป็นเพื่อนกันจริง ๆ ที่สำคัญ กรกฏนั้นมีแฟนอยู่แล้ว เธอกับเขาไม่มีทางเกินเลยกันไปมากกว่านี้แน่ ในช่วงที่ผ่านมานั้น มาลารินก็รู้สึกหายใจหายคอสะดวกขึ้น เพราะการฝึกงานของเธอนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับชวลิตโดยตรง แค่เป็นเด็กฝึกงานภายใต้โครงการที่เขาดูแลอยู่เท่านั้น ไม่ได้เจอเขาเลย แม้จะที่บ้านก็ตาม แต่กระทั่งวันหนึ่งที่มีประชุมใหญ่ เด็กฝึกงานอย่างพวกเธอก็ต้องเข้าร่วมประชุมเพื่อเรียนรู้งานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่อาจจะต้องพบเจอเขาในวันนี้ เสียงพูดคุยในห้องประชุมดังขึ้นอย่างไม่จริงจังนัก เพราะยังไม่ถึงเวลาเริ่ม บรรยากาศผ่อนคลายเมื่อพี่ ๆ ในทีมหันมาหยอกล้อเด็กฝึกงานสองคนที่นั่งอย
บทที่ 08เด็กฝึกงาน หลังจากกลับไทย ชวลิตใช้เวลาพักผ่อนถึงสองสัปดาห์เต็ม ก่อนที่จะเริ่มเข้ามารับตำแหน่งรองกรรมผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ที่เขาจะเขามาช่วยดูแลโครงการใหม่ของบริษัท รถยุโรปคันสีดำแล่นเข้าไปในอาคารสำนักงานใหญ่ของบริษัทสุรีย์ฉาย ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเครือของครอบครัว พนักงานบางส่วนยืนรอต้อนรับด้านหน้า เมื่อร่างสูงกว่าร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรในชุดสูทเรียหรูสีกรมท่าก้าวลงมา เขาก็ดูโดดเด่นได้โดยไม่ต้องพยายาม “ยินดีต้อนรับค่ะ เชิญที่ชั้น 21 ได้เลยค่ะ ดิฉันเตรียมห้องทำงานไว้เรียบร้อยแล้ว” วารี เลขาสาววัยสามสิบปีในชุดสูทสีดำยิ้มอย่างเปิดเผย หล่อนเป็นผู้ชายเขาตั้งแต่ดูแลสาขาที่ลอนดอน เมื่อเขากลับมาที่ไทย ชวลิตจึงให้เอกลับมาช่วยงานที่นี่ด้วย “ครับ” ชวลิตพยักหน้าเบา ๆ เท้าของเขาก้าวเข้าไปในตึกอย่างมั่นคง ภายในล็อบบี้ พนักงานต่างพากันเงยหน้า สายตามองเขาอย่างตื่นเต้น เขาหันมายิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นในหมู่พนักงานหญิงที่ชื่นชมในความหล่อและดูดีในภาพลักษณ์ของเขา ซึ่งสร้างความประทับใจแก่ผู้พบเห็นได้ไม่ยาก
บทที่ 07ก็อาจจะเกลียดน้อยลง เมื่อสองปีก่อน... คืนนั้นลมหนาวพัดผ่านเงาไม้ของเรือนหลังใหญ่ กลิ่นหอมของใบไม้แห้งคลอเคล้ากับเสียงหัวเราะครื้นเครงของกลุ่มเพื่อนของชวลิตที่นั่งอยู่ในด้วยกันในงานปาร์ตี้เล็ก ๆ ริมสระว่ายน้ำ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ชวลิตกลับมาเยี่ยมบ้าน คืนนั้นเขาจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ เพื่อพบปะกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่นัดรวมตัวกัน เครื่องดื่มหลายขวดถูกเปิดส่งต่อกันไม่ขาด เสียงดังคลอไปกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน คืนนั้นแม่บ้านหลายคนป่วย สมจิตรจึงให้มาลารินมาคอยช่วยงานในครัว โดยคืนนั้นมาธารินจึงไปนอนกับอนงค์ที่เรือนหลังเล็ก “ยกอาหารตรงนี้ไปเพิ่มหน่อยลาริน แล้วก็รีบกลับเข้ามาล่ะ อย่าอยู่เกะกะสายตาคุณต้น เสร็จแล้วก็กลับไปพัก พรุ่งนี้ค่อยมาเก็บล้างก็ได้” สมจิตรเอ่ยเสียงเรียบ “จ้ะยาย” แม้มาลารินจะปรากฏในงานเลี้ยงด้วยชุดเรียบ ๆ ผมมัดไว้อย่างลวก ๆ แต่ใบหน้าที่น่ารักจิ้มลิ้มของเธอก็ดูโดดเด่น เสียงแซวจากเพื่อนชายของชวลิตก็ดังขึ้น “โหต้น แม่บ้านที่น่ารักเกิ๊น” เพื่อนของเขาคนหนึ่งเอ่ยขึ้น แต่ชวลิตกลับดูไม่สนใจ
บทที่ 06หน้าด้านหน้าทน แสงไฟอบอุ่นจากโคมระย้าสาดส่องไปทั่วห้องโถงใหญ่ บรรยากาศในงานเลี้ยงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และเสียงพูดคุยของแขกที่มาเยือน ทั้งญาติผู้ใหญ่ คนในครอบครัว และเพื่อนพี่น้องของชวลิตที่ต่างมาร่วมกันสังสรรค์ต้อนรับการกลับมาอย่างเป็นทางการของเขา เมื่อหลายปีก่อน ชวลิตไปเรียนต่อด้านธุรกิจและด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หลังเรียนจบเขาก็ได้รับหน้าที่ดูแลสาขาย่อยของบริษัทใหญ่ในต่างแดน และตอนนี้บริษัทที่ไทยนั้นมีโปรเจคใหญ่ เขาจึงกลับมาช่วยงานที่นี่ ชวลิตในวัยยี่สิบแปดย่างยี่สิบเก้า บุคลิกสุขุม สง่า ท่าทางเป็นผู้ใหญ่ของเขาเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ชายหนุ่มดึงดูดความสนใจของผู้คนได้โดยไม่ต้องพยายาม ในขณะที่เขายืนโดดเด่นอยู่ในแสงไฟ ท่ามกลางผู้คนรุมล้อม มาลารินกลับซ่อนตัวอยู่ในมุมเงียบ ๆ ตรงหลังม่านสีขาว เธอไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาในงาน แต่แค่อยากจะมาเห็นเขาสักครั้ง แค่นิดเดียวก็ยังดี... “นี่แกเข้ามาได้ยังไง!” มาลารินหันกลับไปด้วยความตกใจเมื่อเห็นนวล หญิงรับใช้คนสนิทของตรีอัปสรที่กำลังจ้องเธอด้วยสายตาถมึงทึง “คุณท่านให้มาช่วยงา
บทที่ 05มืดมน เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอิฐกับตรีอัปสรลุกลามใหญ่โต พวกเขาทะเลาะกันอย่างหนักเป็นครั้งแรก จนในที่สุดอิฐเอ่ยปากขอหย่ากับเธอ ทำให้ตรีอัปสรกรีดร้องลั่นราวกับคนเสียสติ ชลธิชาตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่เคยเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันมาก่อน เธอร้องไห้ด้วยความกลัวและเสียใจ โดยมีชวลิตคอยปลอบโยน “พี่ต้น ฮือ ๆๆ เต้ยเกลียดพวกมันสองคน ฮือ ๆๆ” ในใจของชวลิตก็เจ็บปวดและเสียใจไปไม่น้อยกว่าชลธิชาเลย แต่เขาก็ต้องเข้มแข็งแล้วกอดน้องสาวเอาไว้ “คุณเป็นคนผิดนะอิฐ! ทำไมถึงพูดแบบนี้” เสียงของตรีอัปสรดังลั่นไปทั่วบ้าน อิฐก้มหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย “ผมผิดจริง ๆ ตรี...” “ฉันจะคุยกับคุณแม่เรื่องนี้” ตรีอัปสรยกมือขึ้นปาดน้ำตา “คุณแม่ไม่เอาพวกมันไว้แน่” ตรีอัปสรหันหลังออกจากบ้าน วิ่งไปที่เรือนใหญ่ เธอจะไปคุยกับอนงค์ เพื่อจัดการเรื่องนี้ให้จบสิ้นเสียที “คุณแม่ต้องจัดการเรื่องนี้ให้ตรีนะคะ” ตรีอัปสรเอ่ยทั้งน้ำตา อนงค์นั่งนิ่งอยู่ภายในห้องนอนของเธอ หลังจากรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเธอก็เป็นลมล้มไปทันที ไม่คิดว่าลูกชายที่เ