LOGINบทที่ 06
หน้าด้านหน้าทน
แสงไฟอบอุ่นจากโคมระย้าสาดส่องไปทั่วห้องโถงใหญ่ บรรยากาศในงานเลี้ยงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และเสียงพูดคุยของแขกที่มาเยือน ทั้งญาติผู้ใหญ่ คนในครอบครัว และเพื่อนพี่น้องของชวลิตที่ต่างมาร่วมกันสังสรรค์ต้อนรับการกลับมาอย่างเป็นทางการของเขา
เมื่อหลายปีก่อน ชวลิตไปเรียนต่อด้านธุรกิจและด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หลังเรียนจบเขาก็ได้รับหน้าที่ดูแลสาขาย่อยของบริษัทใหญ่ในต่างแดน และตอนนี้บริษัทที่ไทยนั้นมีโปรเจคใหญ่ เขาจึงกลับมาช่วยงานที่นี่
ชวลิตในวัยยี่สิบแปดย่างยี่สิบเก้า บุคลิกสุขุม สง่า ท่าทางเป็นผู้ใหญ่ของเขาเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ชายหนุ่มดึงดูดความสนใจของผู้คนได้โดยไม่ต้องพยายาม
ในขณะที่เขายืนโดดเด่นอยู่ในแสงไฟ ท่ามกลางผู้คนรุมล้อม มาลารินกลับซ่อนตัวอยู่ในมุมเงียบ ๆ ตรงหลังม่านสีขาว เธอไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาในงาน แต่แค่อยากจะมาเห็นเขาสักครั้ง แค่นิดเดียวก็ยังดี...
“นี่แกเข้ามาได้ยังไง!”
มาลารินหันกลับไปด้วยความตกใจเมื่อเห็นนวล หญิงรับใช้คนสนิทของตรีอัปสรที่กำลังจ้องเธอด้วยสายตาถมึงทึง
“คุณท่านให้มาช่วยงานค่ะ” มาลารินตอบเสียงแผ่ว
นวลหรี่ตามองมาลารินอย่างสงสัย “แล้วแกมายืนทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ ตรงนี้ คิดจะมาขโมยของหรือไง มานี่เลย!”
นวลกระชากแขนมาลาริน ลากอีกฝ่ายออกมาจากตรงนั้น ผ่านทางเดินที่เงียบสงัดมายังห้องนั่งเล่นที่มีใครบางคนนั่งอยู่บนวีลแชร์
ตรีอัปสรเงยหน้าขึ้น สบตากับมาลารินที่มองมาด้วยตกใจ เกือบสิบปีแล้วที่เธอไม่ได้รับอนุญาตให้ไปเฉียดกรายใกล้กับบ้านของอิฐ จึงไม่ได้เคยได้พบกับตรีอัปสรอีกเลย จึงไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงกลายเป็นแบบนี้
“แก! อีขวัญเรือน!”
ตรีอัปสรแผดเสียงลั่น เห็นใบหน้าของมาลารินแล้วมีภาพของขวัญเรือนซ้อนทับขึ้นมา ความโกรธแล่นมาเป็นริ้ว ๆ
“คุณตรีคะ นี่ไม่ใช่ขวัญเรือนค่ะ แต่เป็นลูกสาวของมัน” นวลรีบเข้ามาบอกตรีอัปสร
ตรีอัปสรตวัดสายตามองหญิงรับใช้คนสนิท “แล้วแกพามันมาทำไม?”
“คือนวลเห็นว่ามันเข้ามาทำลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ใกล้งาน ทำตัวน่าสงสัย เลยพามาให้คุณตรีจัดการค่ะ” นวลรีบอธิบาย
“ไปให้พ้นหน้าฉัน!” ตรีอัปสรตวาดลั่น ตวัดสายตาไปยังมาลารินที่ยืนอยู่ตัวสั่น
มือของตรีอัปสรคว้าของใกล้ตัวอย่างไร้สติ มาลารินรีบหันหลับออกไป ยังไม่ทันจะก้าวออกไปไกล แจกันเซรามิกสีขาวก็บิดเฉียดศีรษะเธอไปในระยะที่เส้นผมแทบปลิว
เสียงแจกันกระทบกับผนัง ก่อนจะกลิ้งหล่นลงแตกกระจายกับพื้น มาลารินใจหายวาบ และชวลิตก็ก้าวเข้ามา เขาหยุดชะงักเมื่อเห็นเศษแจกันแตกกระจายบนพื้น พลันเขาก็สบสายตากับมาลารินที่ยืดหน้าซีด
ดวงตาของมาลารินที่ฉายแววหวาดหวั่นทำให้บางอย่างในใจของเขาสะดุดเพียงชั่วครู่ ก่อนสายตาจะแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา และมาลารินที่เพิ่งได้สติก็รีบออกไปจากตรงนั้น แม้ว่าจะหันหลังไปแล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกได้ถึงสายตาอันเย็นเยียบของชวลิตที่มองมา และแน่นอนว่าเธอรู้ว่าเขายังคงมองเธอด้วยความเกลียดชังไม่ต่างจากเดิม
“คุณแม่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” ชวลิตคุกเข่าข้าง ๆ กุมมือสั่นเทาของผู้เป็นแม่เอาไว้ เขามองเห็นความเจ็บปวดที่สะท้อนออกมาผ่านดวงตาคู่นี้ของตรีอัปสร
“แม่เกลียดพวกมัน...” น้ำเสียงของเธอบ่งบอกถึงความรวดร้าว เรื่องราวในอดีตยังคงเป็นบาดแผลที่รักษาไม่หาย มันกัดกินหัวใจของเธอจนแทบมองหาความสุขไม่ได้เลย
“เกิดอะไรขึ้นครับพี่นวล ทำไมผู้หญิงคนนั้นเธอมาพบคุณแม่?” ชวลิตหันมาทางหญิงรับใช้คนสนิทของแม่เขา
“นวลเห็นมันมาทำลับ ๆ ล่อ ๆ แถวงานเลี้ยงน่ะค่ะ ท่าทางไม่น่าไว้ใจ ไม่รู้จะมาขโมยของหรือเปล่า นวลก็เลยพามาให้คุณตรีจัดการการค่ะ”
ชวลิตถอนหายใจเบา ๆ กล่าวกับนวลอย่างตำหนิเล็กน้อย “เรื่องแค่นี้บอกป้าจิตรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรบกวนคุณแม่หรอก”
นวลหน้าเจื่อน ก้มลงอย่างรู้สึกผิด
“ช่างเถอะต้น” ตรีอัปสรเอ่ยเบา ๆ แล้วโบกมือไล่นวลให้ออกไป “ว่าแต่ต้นเข้ามาทำอะไร น่าจะอยู่ในงานนะ”
“มีคนถามหาคุณแม่น่ะครับ คุณแม่ออกไปหน่อยดีมั้ย อยู่แต่ข้างในเฉาแย่เลยนะครับ”
ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเกือบสิบปีก่อน ตรีอัปสรก็เดินไม่ได้ เธอเริ่มเก็บตัว ไม่ค่อยพบเจอผู้คน เพราะไม่อยากเห็นสายตาของใครต่อใครที่มองเธออย่างสงสาร
“ไม่เฉาหรอกน่า ต้นกลับมาแล้วนี่นา” มือเรียวสองทาบแก้มสองข้างของลูกชาย “ปีนี้เต้ยก็จะเรียนจบกลับมาแล้ว ทีนี้พวกเราก็จะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วนะลูก”
ชวลิตพยักหน้าเบา ๆ ด้วยรอยยิ้ม เขาเอียงศีรษะซบลงที่ตักของแม่ เหมือนอย่างที่ชอบทำในวัยเด็ก
มือบางของตรีอัปสรลูบศีรษะลูกชายเบา ๆ แม้เธอจะฝืนยิ้มออกมา แต่แววตาไม่อาจเก็บซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ได้เลย จากเรื่องราวเลวร้ายในอดีต เธอต้องกลายเป็นคนพิการ สูญเสียสามีไปจากไม่มีวันกลับ ลูกของเธอทั้งสองคนต้องกำพร้าพ่อ เรื่องราวทั้งหมดนี้ ตรีอัปสรมองว่าต้นเหตุมาจากผู้หญิงสารเลวที่ชื่อขวัญเรือนนั่น
หลังจากงานเลี้ยงจบ มาลารินต้องอยู่ช่วยเก็บกวาดจนเสร็จ เธอเดินกลับมายังบ้านพักที่อยู่ด้านใน ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า มองขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงจันทร์สีซีดทอดเงาผ่านแนววต้นไม้ริมทางที่เดินผ่านไป สีของกลางคืนยังคงเหมือนเดิม
หญิงสาวถอนหายใจ พลางขยับไหล่ที่เริ่มล้า ขณะที่เท้าย่ำไปบนทางเดินหินกรวด เธอได้กลิ่นควันบุหรี่ลอยมาตามลม ก่อนที่ก้อนหินเล็ก ๆ จะถูกปาเฉียดลงตรงหน้าปลายเท้า
เสียงหินกระทบพื้นกรวด ดังแกร๊ง! มาลารินหยุดชะงัก หัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นชวลิตก้าวออกมาจากเงามืดใต้ต้นไม้ เขาโยนบุหรี่ลงพื้น สายตาคมกริบมองตรงมาที่เธอนั้นยังคงสะท้อนความชิงชังออกมาอย่างชัดเจน
หัวใจของเธอเต้นถี่ หญิงสาวลอบกลืนน้ำลายลงคออยู่หลายอึก นี่เป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งปีที่เธอได้มีโอกาสเผชิญหน้ากับเขา
“นึกว่าจะไสหัวออกไปจากที่นี่แล้วซะอีก นับถือในความหน้าด้านหน้าทนของเธอจริง ๆ”
ชายหนุ่มแสยะยิ้มมุมปาก สายตาเหยียดหยามมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ขณะที่มาลารินยืนนิ่ง ไม่พูดอะไรสักคำ เธอได้แต่ยอมรับอยู่ในใจว่าตัวเองเป็นคนหน้าด้าน หากไม่เป็นแบบนั้นเธอคงใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไปไม่ได้
“วันนี้เธอเข้าไปอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ ในงานเลี้ยง?” เขาขยับเข้ามาใกล้ หรี่ตาลงมองเธออย่างสงสัย “คิดจะอ่อยฉันอย่างนั้นเหรอ?”
มาลารินตกใจ เงยหน้าสบตาเขา “เปล่านะคะ”
“คิดว่าฉันจะเชื่องั้นเหรอ แม่เธอคงสอนมาตั้งแต่เด็กสินะ” เขาเอ่ยอย่างดูถูก “สอนมาดีจริง ๆ”
“กรุณาอย่าเอ่ยถึงแม่ฉันแบบนั้นเลยค่ะ” มาลารินเอ่ยอย่างขอร้อง
“ทำไม? แม่เธอสูงส่งนักหรือไง?” เขามุ่นคิ้ว “ก็แค่ผู้หญิงเลว ๆ ไร้ยางอายคนนึง ต่ำช้าน่ะสิไม่ว่า!”
มาลารินกำมือแน่น ความโกรธสุมอยู่ในอก เธอสบสายตาของเขาราวกับไม่หวั่นเกรง
“ฉันรู้ว่าคุณเกลียดพวกเรา แต่เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว เมื่อไหร่จะจบสักที” มาลารินหยุดพูดเล็กน้อย เธอรู้สึกเหมือนตัวเองจะร้องไห้ออกมา จึงต้องสูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “ถ้าให้พูดกันจริง ๆ ตอนนั้นพ่อคุณกับแม่ของฉันก็ผิดด้วยกันทั้งคู่ และแม่ของฉันเองก็พยายามหยุดแล้ว แต่พ่อของคุณต่างหาก...”
“หุบปาก!”
เขาตวาดลั่น มือหนารวบที่ลำคอระหงจนเธอสะดุ้งเฮือก พยายามดึงมือออกจากเขา
“คิดจะแก้ตัวงั้นเหรอ!” เขาเอ่ยเสียงลอดไรฟัน มือหนาออกแรงบีบคอเธอจนอีกฝ่ายมีสีหน้าลำบาก
“ฮึก! ฉันพูดความจริง และจริง ๆ ทุกคนก็เจ็บปวดกับเรื่องนี้ ฮึก! คุณสูญเสียพ่อ ฉันเองก็สูญเสียแม่ไปเหมือน”
มาลารินพูดออกมาอย่างยากลำบาก ใบหน้าเธอแดงก่ำ แต่กลับสบสายตาเขาราวกับไม่กลัว ทว่านัยน์ตากลับสะท้อนความร้าวลึกออกมา
ชวลิตจ้องมาลารินตาเขม็ง สีหน้าเธอดูย่ำแย่ แต่ไม่คิดร้องขอชีวิต เขาคลายมือออกช้า ๆ เหมือนเพิ่งรู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป
มาลารินทรุดลังกับพื้น หอบหายใจแรง น้ำตาไหลรินออกมาไม่หยุด
“ชีวิตของแม่เธอ จะเทียบกับชีวิตฉันได้ยังไง”
มาลารินเงยหน้ามองเขาผ่านม่านน้ำตา ร่างสูงนั้นค่อย ๆ เดินกลับหายลับไป ทิ้งเธอไว้เพียงเบื้องหลัง พร้อมกับคำพูดเมื่อครู่ที่ดูเหมือนว่ามันติดอยู่ในใจของเธอ
เขานั้นช่างใจร้ายเหมือนเดิมไม่มีผิด...
บทส่งท้าย แสงยามเช้าอาบไล้เข้ามาในห้องนอนเล็ก ๆ ผ่านผ้าม่านสีขาวที่พลิ้วไหวตามแรงลม เสียงนกร้องเบา ๆ อยู่นอกหน้าต่าง ราวกับว่าพวกมันกำลังปลุกคนทั้งคู่ที่อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันทั้งคืนให้ตื่นจากความฝัน มาลารินค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา เธอเห็นใบหน้าของชวลิตอยู่ใกล้แค่คืบ เขายังคงกอดเธอเอาไว้นแน่นหลังจากที่เมื่อคืนนอนคุยกันถึงเรื่องราวมากมายจนหลับไปในอ้อมแขนของเขา เขาเล่าให้เธอฟังว่าของเขาป่วยด้วยโรคร้ายอยู่หลายปี ก่อนจะจากไปเมื่อสองเดือนก่อน ตอนมาลารินได้ยินเรื่องนั้น เธอรู้สึกใจหายไม่น้อย แม้เวลาจะผ่านมานานแล้วก็ตาม แต่เธอยังคงจำใบหน้าและดวงตาของตรีอัปสรได้เป็นอย่างดี เธอหวังอยู่ในใจลึก ๆ ว่าในช่วงสุดท้ายของชีวิตตรีอัปสรนั้นจะจากไปด้วยใจที่ไม่ยึดถือสิ่งใดแล้ว “เสียใจด้วยนะคะ” ชวลิตยิ้มบาง ๆ นัยน์ตาแม้ยังหลงเหลือรอยเศร้าอยู่บ้าง ทว่าที่ผ่านมาเขาคิดว่าตัวเองทำได้ดีที่สุดแล้วเพื่อให้แม่ของเขามีความสุข หลังจากทุกอย่างจบลง ชวลิตเลือกที่จะหันหลังให้กับทุกอย่าง เขาออกจากบ้านสุรีย์ฉายเพื่อมาหามาลารินที่นี่ เมื่อเทียบกับการที่จะได้อยู่กับเธอแล้ว ไ
บทที่ 44หวนคืน 10 ปีผ่านไป...ยามบ่ายแก่ ๆ ณ วัดหลวงแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ที่ลานด้านหน้าเมรุคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่แต่งกายด้วยชุดสีดำ ฟ้าที่เคยโปร่งใสบัดนี้มีเมฆสีเทาเคลื่อนตัวมาบดบังแสงแดดจ้าให้หม่นลงปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า คล้ายว่ากำลังร่วมไว้อาลัยให้แก่ผู้วายชนม์อย่างตรีอัปสรเมื่อหลายปีก่อนนั้น เธอป่วยด้วยโรคร้ายรักษาไม่หาย แต่ยังคงมีชีวิตอยู่ได้หลายปีด้วยกำลังใจของคนในครอบครัว ทว่าเวลาผ่านไปร่างกายของเธอก็ทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เธอต้องลาจากโลกนี้ไปท่ามกลางความเสียใจของทุกคนท่ามกลางผู้คนมากมายนั้น ชวลิตยืนเงียบ ๆ ข้างชลธิชาและญาติสนิทที่ยืนเรียงกัน เวลาล่วงเลยผ่านมานานนับสิบปี ตอนนี้อายุของเขาก้าวล่วงมาถึงวัยสามสิบแปดแล้ว เขายังคงดูโด่น แม้เส้นผมที่เคยดำขลับจะมีสีขาวขึ้นแซมที่ขมับทั้งสองข้าง ร่องลึกบนใบหน้าเผยให้เห็นถึงกาลเวลาที่ล่วงไป แต่นัยน์ตาคู่คมนั้นยังคงเหมือนคนที่แบกบางสิ่งไว้ตลอดเวลาเสียงประกาศให้ผู้คนทอยขึ้นเมรุเพื่อวางดอกไม้จันทน์ ขบวนของผู้คนค่อย ๆ เคลื่อนย้ายไปช้ายังด้านบนของเมรุ กลีบดอกไม้สีเหลืองนวลในมือของแต่ละคนค่อย ๆ วางลงหน้าโลงที่ประดับด้วยด
บทที่ 43คำขอสุดท้ายบนท้องถนนที่คลาคล่ำไปด้วยรถยนต์ รถคันหรูของชวลิตเคลื่อนตัวด้วยความเร็วคงที่ผ่านแสงไฟริมถนนที่ทอดยาวเป็นเส้นสีเหลืองสลับกับเงามืดของต้นไม้ข้างทาง ระหว่างทางนั้น มาลารินได้รับสายจากกรฏที่โทรมา เมื่อกดรับสายได้ กรกฏก็คลายความกังวลและความเป็นห่วงลงมาเล็กน้อย ชวลิตหันมายิ้มให้กับมาลาริน เขาดีใจที่หญิงสาวมีเพื่อนที่ดีคนหนึ่งคอยอยู่เคียงข้าง ความคิดของเขาที่เคยมีต่อกรกฏในเมื่อก่อน ต่างจากตอนนี้โดยสิ้นเชิง ตลอดระยะเวลาที่รถเคลื่อนตัวไปนั้น ชวลิตรู้สึกว่ามาลารินมองเขาอยู่เป็นระยะ แม้เธอหลบสายตาทุกครั้งที่เขาหันไป แต่เขากลับรู้สึกว่าเธอได้ทิ้งร่องรอยบางอย่างเอาไว้ในใจของเขา “มีอะไรหรือเปล่า?” เสียงทุ้มเอ่ยถามบางเบา เขายกมือข้างหนึ่งลูบศีรษะของเธออย่างเอ็นดู นัยน์ตาของมาลารินที่เหลือบมองเขา มีแววครุ่นคิดบางอย่างที่คล้ายกับว่าเธอยังวางมันไม่ลง ดูเหมือนจะรบกวนจิตใจของเธอมาโดยตลอด “ฉันมีเรื่องอยากคุยกับคุณน่ะค่ะ” แววตาของชวลิตเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารู้สึกได้ถึงน้ำเสียงและแววตาที่จริงจังของหญิงสาว จึงค่อย ๆ ตบไฟเลี้ยวจอดรถลงที่
บทที่ 42ไม่อยากให้ดวงตะวันลับฟ้า ผ้าม่านปลิวไหวเบา ๆ ไปกับสายลม ขณะที่แสงอ่อน ๆ ยามเช้าลอดผ่านเข้ามา สาดลงบนเรือนผมยุ่ง ๆ ของมาลาริน ร่างบางเปลือยเปล่าซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา ที่มีอ้อมแขนอันอบอุ่นของเขาโอบล้อมเธอไว้อีกชั้นหนึ่ง มาลารินกระพริบตาช้า ๆ แผ่นหลังบอบบางที่นอนอยู่กับอกเปลือยเปล่าของชายหนุ่ม ทำให้เธอรู้สึกถึงลมหายใจของเขาที่ยังคงเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ หัวใจของเธอเต้นเป็นจังหวะ เมื่อความทรงจำอันเร่าร้อนในค่ำคืนยังแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูของเธอ กลิ่นของอากาศสดชื่นลอยมากับสายลมอ่อนยามเช้า เสียงของใบไม้ไหวตามแรงลม บรรดาเจ้านกส่งเสียงเจื้อยแจ้วพูดคุยกันจนเซ็งแซ่ ทว่าหัวใจของเธอกลับสงบลงเพราะยังคงรู้สึกถึงอ้อมแขนอันอบอุ่นที่โอบกอดเธอไว้ตลอดทั้งคืนเพียงครู่หนึ่ง เปลือยตาของเขาก็ค่อย ๆ เปิดออก เผยให้เห็นแววตาอันบอุ่นที่ยังตื่นไม่เต็มที่นัก เขาชะโงกหน้าขึ้นมามองเธอเล็กน้อย“ตื่นเช้าจัง...” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเบา ๆ พร้อมกระชับวงแขนรอบเอวเธอแน่นขึ้น “ไม่เหนื่อยเหรอ”มาลารินหันมายิ้มให้กับเขา มองใบหน้าหล่อเหลาที่ผมยุ่งฟูดูเป็นธรรมชาติ เธอรู้สึกว่าเช้าวันนี้แสนพิเศษเพ
บทที่ 41ใต้แสงจันทร์ แสงสุดท้ายยามพระอาทิตย์อัสดงลอดผ่านผ้าม่านที่ปลิวไสวไปกับสายลมยามเย็นที่พัดผ่านเข้ามาภายในห้องนอนที่เงียบสงบ ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา ร่างกายเปลือยเปล่าของมาลารินขยับกายเพียงเล็กน้อย สัมผัสของผ้าปูที่นอนยังอุ่นเหมือนช่วงเวลาที่เร่าร้อนเพิ่งจะผ่านพ้นไปได้ไม่นาน หญิงสาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาภายในห้องที่แสงสีส้มสาดส่องเข้ามาในความมืดที่สลัวลง เมื่อขยับกายลุกขึ้นนั่ง สายตานั้นก็เลื่อนผ่านบานประตูกระจกใสที่เปิดแง้มไว้สู่ระเบียงกว้างที่ทอดยาวออกไปกลางสวนร่มรื่น แสงไฟสีอุ่นจากโคมบนระเบียงทอดลงบนร่างสูงของชวลิตที่กำลังก้มตัวจัดจานบนโต๊ะกลมไม้สัก มีเสียงเพลงสากลที่เขาเปิดทิ้งไว้คลอเคล้าอยู่ในบรรยากาศ ดวงหน้าของเขาภายใต้แสงไฟนั้นดูอบอุ่นและอ่อนโยน หญิงสาวจับจ้องเขาอยู่สักพัก ราวกับต้องการเก็บภาพนั้นตรึงไว้ในความทรงจำให้นานแสนนาน ความมืดค่อย ๆ โรยตัวลงมา แสงสุดท้ายของวันเลือนหายไป มาลารินอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ก้าวออกมาด้านนอก ดวงตาคู่สวยมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นดวงจันทร์เด่นตระหง่านคู่กับดวงดาวที่พร่างพราวระยิบระยับ ท้องฟ้าในคืนนี้งดงามมากจริง ๆ
บทที่ 40ช่วงเวลาของเราช่วงบ่ายวันหนึ่ง อากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าว ทว่าเมื่อรถคันหรูเคลื่อนตัวเข้ามาจอดบริเวณหน้าบ้านพักสีขาวสองชั้นที่ห้อมล้อมไปด้วยสวนดอกไม้ และร่มไม้ใหญ่เขียวขจี บรรยากาศโดยรอบนั้นก็ต่างจากข้างนอกโดยสิ้นเชิงชวลิตจูงมือมาลารินเข้ามาในบ้านพัก ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยพาเธอมาที่นี่ ทว่าครั้งนี้ความรู้สึกนั้นต่างไปจากครั้งก่อน เขากระชับมือบางแน่น หันมายิ้มให้กับเธอ ช่างเป็นรอยยิ้มที่เธอสดใส แต่กลับซ่อนความหม่นเศร้าไว้ในแววตาบรรยากาศภายในบ้านเต็มไปด้วยความอบอุ่นบางอย่าง ทว่ามันก็คละเคล้าไปกับความเศร้าหมองที่อาจไม่บรรยาย แม้จะอยากอยู่กับปัจจุบันมากเพียงใด แต่เมื่อคิดว่าเวลาที่นับถอยหลังลงเรื่อย ๆ และอาจจะไม่พบเจอกันอีก ก็ทำให้เขาพวกเขาหม่นใจ“ตอนแรกก้องไม่อยากให้ฉันมาเลย” มาลารินเอ่ยขึ้นเบา ๆชวลิตเข้ามาสวมกอดมาลารินจากทางด้านหลัง เขากระชับอ้อมแขนแน่น เกยคางกับบ่าเล็ก ความอบอุ่นแล่นเข้ามาในหัวใจ เขานั้นอยากจะกอดเธอแบบนี้มาตั้งนานแล้ว“ทำไมล่ะ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามเบา ๆ“ที่คุณบอกว่าอยากเจอฉันครั้งสุดท้าย ฟังดูน่ากลัวมาก ๆ เค้าคิดว่าคุณอาจจะทำร้ายฉันน่ะค่ะ”“ฉันคงดูเป็นคนใจร้ายมาก







