Home / โรแมนติก / เกลียดเธอที่สุด / บทที่ 06 หน้าด้านหน้าทน

Share

บทที่ 06 หน้าด้านหน้าทน

Author: ชารี
last update Last Updated: 2025-09-15 17:33:55

บทที่ 06

หน้าด้านหน้าทน

         แสงไฟอบอุ่นจากโคมระย้าสาดส่องไปทั่วห้องโถงใหญ่ บรรยากาศในงานเลี้ยงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และเสียงพูดคุยของแขกที่มาเยือน ทั้งญาติผู้ใหญ่ คนในครอบครัว และเพื่อนพี่น้องของชวลิตที่ต่างมาร่วมกันสังสรรค์ต้อนรับการกลับมาอย่างเป็นทางการของเขา

         เมื่อหลายปีก่อน ชวลิตไปเรียนต่อด้านธุรกิจและด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หลังเรียนจบเขาก็ได้รับหน้าที่ดูแลสาขาย่อยของบริษัทใหญ่ในต่างแดน และตอนนี้บริษัทที่ไทยนั้นมีโปรเจคใหญ่ เขาจึงกลับมาช่วยงานที่นี่

         ชวลิตในวัยยี่สิบแปดย่างยี่สิบเก้า บุคลิกสุขุม สง่า ท่าทางเป็นผู้ใหญ่ของเขาเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ชายหนุ่มดึงดูดความสนใจของผู้คนได้โดยไม่ต้องพยายาม

         ในขณะที่เขายืนโดดเด่นอยู่ในแสงไฟ ท่ามกลางผู้คนรุมล้อม มาลารินกลับซ่อนตัวอยู่ในมุมเงียบ ๆ ตรงหลังม่านสีขาว เธอไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาในงาน แต่แค่อยากจะมาเห็นเขาสักครั้ง แค่นิดเดียวก็ยังดี...

         “นี่แกเข้ามาได้ยังไง!”

         มาลารินหันกลับไปด้วยความตกใจเมื่อเห็นนวล หญิงรับใช้คนสนิทของตรีอัปสรที่กำลังจ้องเธอด้วยสายตาถมึงทึง

         “คุณท่านให้มาช่วยงานค่ะ” มาลารินตอบเสียงแผ่ว

         นวลหรี่ตามองมาลารินอย่างสงสัย “แล้วแกมายืนทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ ตรงนี้ คิดจะมาขโมยของหรือไง มานี่เลย!”

         นวลกระชากแขนมาลาริน ลากอีกฝ่ายออกมาจากตรงนั้น ผ่านทางเดินที่เงียบสงัดมายังห้องนั่งเล่นที่มีใครบางคนนั่งอยู่บนวีลแชร์

         ตรีอัปสรเงยหน้าขึ้น สบตากับมาลารินที่มองมาด้วยตกใจ เกือบสิบปีแล้วที่เธอไม่ได้รับอนุญาตให้ไปเฉียดกรายใกล้กับบ้านของอิฐ จึงไม่ได้เคยได้พบกับตรีอัปสรอีกเลย จึงไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงกลายเป็นแบบนี้

“แก! อีขวัญเรือน!”

ตรีอัปสรแผดเสียงลั่น เห็นใบหน้าของมาลารินแล้วมีภาพของขวัญเรือนซ้อนทับขึ้นมา ความโกรธแล่นมาเป็นริ้ว ๆ

“คุณตรีคะ นี่ไม่ใช่ขวัญเรือนค่ะ แต่เป็นลูกสาวของมัน” นวลรีบเข้ามาบอกตรีอัปสร

ตรีอัปสรตวัดสายตามองหญิงรับใช้คนสนิท “แล้วแกพามันมาทำไม?”

“คือนวลเห็นว่ามันเข้ามาทำลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ใกล้งาน ทำตัวน่าสงสัย เลยพามาให้คุณตรีจัดการค่ะ” นวลรีบอธิบาย

“ไปให้พ้นหน้าฉัน!” ตรีอัปสรตวาดลั่น ตวัดสายตาไปยังมาลารินที่ยืนอยู่ตัวสั่น

มือของตรีอัปสรคว้าของใกล้ตัวอย่างไร้สติ มาลารินรีบหันหลับออกไป ยังไม่ทันจะก้าวออกไปไกล แจกันเซรามิกสีขาวก็บิดเฉียดศีรษะเธอไปในระยะที่เส้นผมแทบปลิว

เสียงแจกันกระทบกับผนัง ก่อนจะกลิ้งหล่นลงแตกกระจายกับพื้น มาลารินใจหายวาบ และชวลิตก็ก้าวเข้ามา เขาหยุดชะงักเมื่อเห็นเศษแจกันแตกกระจายบนพื้น พลันเขาก็สบสายตากับมาลารินที่ยืดหน้าซีด

ดวงตาของมาลารินที่ฉายแววหวาดหวั่นทำให้บางอย่างในใจของเขาสะดุดเพียงชั่วครู่ ก่อนสายตาจะแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา และมาลารินที่เพิ่งได้สติก็รีบออกไปจากตรงนั้น แม้ว่าจะหันหลังไปแล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกได้ถึงสายตาอันเย็นเยียบของชวลิตที่มองมา และแน่นอนว่าเธอรู้ว่าเขายังคงมองเธอด้วยความเกลียดชังไม่ต่างจากเดิม

“คุณแม่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” ชวลิตคุกเข่าข้าง ๆ กุมมือสั่นเทาของผู้เป็นแม่เอาไว้ เขามองเห็นความเจ็บปวดที่สะท้อนออกมาผ่านดวงตาคู่นี้ของตรีอัปสร

“แม่เกลียดพวกมัน...” น้ำเสียงของเธอบ่งบอกถึงความรวดร้าว เรื่องราวในอดีตยังคงเป็นบาดแผลที่รักษาไม่หาย มันกัดกินหัวใจของเธอจนแทบมองหาความสุขไม่ได้เลย

“เกิดอะไรขึ้นครับพี่นวล ทำไมผู้หญิงคนนั้นเธอมาพบคุณแม่?” ชวลิตหันมาทางหญิงรับใช้คนสนิทของแม่เขา

“นวลเห็นมันมาทำลับ ๆ ล่อ ๆ แถวงานเลี้ยงน่ะค่ะ ท่าทางไม่น่าไว้ใจ ไม่รู้จะมาขโมยของหรือเปล่า นวลก็เลยพามาให้คุณตรีจัดการการค่ะ”

ชวลิตถอนหายใจเบา ๆ กล่าวกับนวลอย่างตำหนิเล็กน้อย “เรื่องแค่นี้บอกป้าจิตรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรบกวนคุณแม่หรอก”

นวลหน้าเจื่อน ก้มลงอย่างรู้สึกผิด

“ช่างเถอะต้น” ตรีอัปสรเอ่ยเบา ๆ แล้วโบกมือไล่นวลให้ออกไป “ว่าแต่ต้นเข้ามาทำอะไร น่าจะอยู่ในงานนะ”

“มีคนถามหาคุณแม่น่ะครับ คุณแม่ออกไปหน่อยดีมั้ย อยู่แต่ข้างในเฉาแย่เลยนะครับ”

ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเกือบสิบปีก่อน ตรีอัปสรก็เดินไม่ได้ เธอเริ่มเก็บตัว ไม่ค่อยพบเจอผู้คน เพราะไม่อยากเห็นสายตาของใครต่อใครที่มองเธออย่างสงสาร

“ไม่เฉาหรอกน่า ต้นกลับมาแล้วนี่นา” มือเรียวสองทาบแก้มสองข้างของลูกชาย “ปีนี้เต้ยก็จะเรียนจบกลับมาแล้ว ทีนี้พวกเราก็จะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วนะลูก”

ชวลิตพยักหน้าเบา ๆ ด้วยรอยยิ้ม เขาเอียงศีรษะซบลงที่ตักของแม่ เหมือนอย่างที่ชอบทำในวัยเด็ก

มือบางของตรีอัปสรลูบศีรษะลูกชายเบา ๆ แม้เธอจะฝืนยิ้มออกมา แต่แววตาไม่อาจเก็บซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ได้เลย จากเรื่องราวเลวร้ายในอดีต เธอต้องกลายเป็นคนพิการ สูญเสียสามีไปจากไม่มีวันกลับ ลูกของเธอทั้งสองคนต้องกำพร้าพ่อ เรื่องราวทั้งหมดนี้ ตรีอัปสรมองว่าต้นเหตุมาจากผู้หญิงสารเลวที่ชื่อขวัญเรือนนั่น

หลังจากงานเลี้ยงจบ มาลารินต้องอยู่ช่วยเก็บกวาดจนเสร็จ เธอเดินกลับมายังบ้านพักที่อยู่ด้านใน ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า มองขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงจันทร์สีซีดทอดเงาผ่านแนววต้นไม้ริมทางที่เดินผ่านไป สีของกลางคืนยังคงเหมือนเดิม

หญิงสาวถอนหายใจ พลางขยับไหล่ที่เริ่มล้า ขณะที่เท้าย่ำไปบนทางเดินหินกรวด เธอได้กลิ่นควันบุหรี่ลอยมาตามลม ก่อนที่ก้อนหินเล็ก ๆ จะถูกปาเฉียดลงตรงหน้าปลายเท้า

เสียงหินกระทบพื้นกรวด ดังแกร๊ง! มาลารินหยุดชะงัก หัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นชวลิตก้าวออกมาจากเงามืดใต้ต้นไม้ เขาโยนบุหรี่ลงพื้น สายตาคมกริบมองตรงมาที่เธอนั้นยังคงสะท้อนความชิงชังออกมาอย่างชัดเจน

หัวใจของเธอเต้นถี่ หญิงสาวลอบกลืนน้ำลายลงคออยู่หลายอึก นี่เป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งปีที่เธอได้มีโอกาสเผชิญหน้ากับเขา

“นึกว่าจะไสหัวออกไปจากที่นี่แล้วซะอีก นับถือในความหน้าด้านหน้าทนของเธอจริง ๆ”

ชายหนุ่มแสยะยิ้มมุมปาก สายตาเหยียดหยามมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ขณะที่มาลารินยืนนิ่ง ไม่พูดอะไรสักคำ เธอได้แต่ยอมรับอยู่ในใจว่าตัวเองเป็นคนหน้าด้าน หากไม่เป็นแบบนั้นเธอคงใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไปไม่ได้

“วันนี้เธอเข้าไปอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ ในงานเลี้ยง?” เขาขยับเข้ามาใกล้ หรี่ตาลงมองเธออย่างสงสัย “คิดจะอ่อยฉันอย่างนั้นเหรอ?”

มาลารินตกใจ เงยหน้าสบตาเขา “เปล่านะคะ”

“คิดว่าฉันจะเชื่องั้นเหรอ แม่เธอคงสอนมาตั้งแต่เด็กสินะ” เขาเอ่ยอย่างดูถูก “สอนมาดีจริง ๆ”

“กรุณาอย่าเอ่ยถึงแม่ฉันแบบนั้นเลยค่ะ” มาลารินเอ่ยอย่างขอร้อง

“ทำไม? แม่เธอสูงส่งนักหรือไง?” เขามุ่นคิ้ว “ก็แค่ผู้หญิงเลว ๆ ไร้ยางอายคนนึง ต่ำช้าน่ะสิไม่ว่า!”

         มาลารินกำมือแน่น ความโกรธสุมอยู่ในอก เธอสบสายตาของเขาราวกับไม่หวั่นเกรง

         “ฉันรู้ว่าคุณเกลียดพวกเรา แต่เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว เมื่อไหร่จะจบสักที” มาลารินหยุดพูดเล็กน้อย เธอรู้สึกเหมือนตัวเองจะร้องไห้ออกมา จึงต้องสูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “ถ้าให้พูดกันจริง ๆ ตอนนั้นพ่อคุณกับแม่ของฉันก็ผิดด้วยกันทั้งคู่ และแม่ของฉันเองก็พยายามหยุดแล้ว แต่พ่อของคุณต่างหาก...”

         “หุบปาก!”

         เขาตวาดลั่น มือหนารวบที่ลำคอระหงจนเธอสะดุ้งเฮือก พยายามดึงมือออกจากเขา

         “คิดจะแก้ตัวงั้นเหรอ!” เขาเอ่ยเสียงลอดไรฟัน มือหนาออกแรงบีบคอเธอจนอีกฝ่ายมีสีหน้าลำบาก

         “ฮึก! ฉันพูดความจริง และจริง ๆ ทุกคนก็เจ็บปวดกับเรื่องนี้ ฮึก! คุณสูญเสียพ่อ ฉันเองก็สูญเสียแม่ไปเหมือน”

มาลารินพูดออกมาอย่างยากลำบาก ใบหน้าเธอแดงก่ำ แต่กลับสบสายตาเขาราวกับไม่กลัว ทว่านัยน์ตากลับสะท้อนความร้าวลึกออกมา

ชวลิตจ้องมาลารินตาเขม็ง สีหน้าเธอดูย่ำแย่ แต่ไม่คิดร้องขอชีวิต เขาคลายมือออกช้า ๆ เหมือนเพิ่งรู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป

มาลารินทรุดลังกับพื้น หอบหายใจแรง น้ำตาไหลรินออกมาไม่หยุด

“ชีวิตของแม่เธอ จะเทียบกับชีวิตฉันได้ยังไง”

มาลารินเงยหน้ามองเขาผ่านม่านน้ำตา ร่างสูงนั้นค่อย ๆ เดินกลับหายลับไป ทิ้งเธอไว้เพียงเบื้องหลัง พร้อมกับคำพูดเมื่อครู่ที่ดูเหมือนว่ามันติดอยู่ในใจของเธอ

เขานั้นช่างใจร้ายเหมือนเดิมไม่มีผิด...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ 34 ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย?

    บทที่ 34ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย?มาลารินมองมือของชวลิตที่จับมือของเธอไว้แน่น ทุกย่างก้าวที่เขานำพาเธอไป หัวใจก็เต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมาถึงรถเขาเปิดประตูฝั่งผู้โดยสาร ดันเธอเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว ส่วนเขาอ้อมไปฝั่งคนขับ ติดเครื่องยนต์แล้วขับรถออกไปโดยไม่รอรีบรรยากาศภายในรถเงียบงันจนมาลารินรู้สึกอึดอัด เหลือบสายตามองคนที่อยู่ข้าง ๆ เห็นเลือดสีแดงเป็นรอยยาวจากหางคิ้วจนถึงขมับ ความทรงจำเมื่อครู่ย้อนกลับเข้ามา มาลารินไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนที่เอาแต่พร่ำบอกว่าเกลียดเธอถึงพุ่งเข้ามากอดเธอไว้อย่างนั้น ดวงตาคู่คมจ้องมองไปยังท้องถนนเบื้องหน้า แววตาของเขาเรียบนิ่งยากจะคาดเดา และหางตาของเขาก็รับรู้ถึงสายตาของคนข้างกายที่เอาแต่จับจ้องเขาอยู่ “มองอะไร?” เขาเหลือบมองเธอเล็กน้อย มาลารินยกมือขึ้นแตะเบา ๆ ที่หางคิ้วของตัวเองเป็นสัญญาณบอกเขา ชวลิตเหลือบมองตัวเองผ่านกระจกมองหลัง เห็นเลือดไหลเป็นทางยาว เขาใช้มือเช็ดมันลวก ๆ อย่างไม่ใส่ใจ “คุณต้องทำแผลนะ” “ช่างมัน...” มาลารินไม่พูดอะไรอีก เธอมองออกไปด้านนอก สองข้างทางเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เธอไม่รู

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ 33 สัญชาตญาณ

    บทที่ 33สัญชาตญาณ ในช่วงบ่าย ณ วัดหลวงเก่าแก่กลางเมือง แม้ว่าแดดจะแผดเผาสักเพียงใด ทว่าผู้คนยังหลั่งไหลเข้ามาในงานศพอย่างต่อเนื่อง ทั้งคนในเครื่องแบบ ข้าราชการ นักการเมือง รวมถึงกลุ่มนักธุรกิจต่าง ๆ นั้นก็ร่วมส่งอนงค์เป็นครั้งสุดท้าย ท่ามกลางคนมากมายนั้น มาลารินยืนปะปนอยู่กับผู้คน เธอสวมเดรสสีดำเรียบสนิท ใบหน้าราบเรียบ ทว่าดวงตานั้นมีร่องรอยความเศร้าชัดเจน “นั่นลารินหรือเปล่า” เสียงหนึ่งดึงขึ้นจากกลุ่มคนรับใช้ที่บ้านสุรีย์ฉายที่รวมตัวกันอยู่บริเวณหนึ่ง สมจิตรหันไปตามสายตาของพวกหล่อน เมื่อเห็นมาลารินเธอก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ตั้งแต่สมจิตรส่งข้อความบอกมาลารินเรื่องอนงค์ไป หลายคืนที่ผ่านมาเธอก็ไม่เคยเห็นมาลารินปรากฏตัวที่งานศพสักคืน จนกระทั่งวันสุดท้ายนี้ เธอรอลุ้นทุกวินาทีให้มาลารินมา และมาลารินก็มาจริง ๆ มือของมาลารินกำดอกไม้จันทน์ไว้แน่น เธอก้าวขึ้นบันได้เมรุจนมาถึงหน้าโลงศพที่วางบนแท่น เธอยกขึ้นไหว้ช้า ๆ ก่อนโน้มตัววางดอกไม้จันทน์หน้าเตาเผา หลับตาพูดในใจ “เดินทางปลอดภัยนะคะคุณท่าน...” เธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นัย

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ ความจริงอันเจ็บปวด

    บทที่ 32ความจริงอันเจ็บปวดบรรยากาศในเรือนกระจกเงียบลง ๆ ลมอ่อนจากช่องระบายอากาศพัดเอากลิ่นหอมของดอกไม้ลอยวนอยู่ในอากาศ คล้ายกับมวลความรู้สึกบางอย่างนั้นก่อตัวขึ้นมาในใจของพวกเขาอย่างไม่อาจควบคุม สายตาคู่คมของชวลิตจ้องมองไปยังใบหน้าสวยหวานของเธอ ผมยาวสลวยพลิ้วไหวเบา ๆ คลอเคลียข้างแก้มใส ทำให้เธอดูอ่อนโยนงดงามราวกับภาพวาดจนเขาไม่อาจละสายตา ดวงตาที่สะท้อนภาพของมาลารินนั้นเปล่งประกาย ชวลิตรู้สึกว่าหญิงสาวดูดีขึ้นมาก ๆ ร่างกายที่เคยผอมบางของเธอนั้นดูมีน้ำมีนวลขึ้นกว่าเมื่อก่อน ผิวพรรณก็ดูสดใส นัยน์ตาคู่สวยก็ดูสุกสกาวกว่าเมื่อก่อน การได้เห็นเธอเป็น ๆ มากกว่ามองดูผ่านรูปถ่าย มันรู้สึกดีมากจริง ๆ และตอนนี้มันมีคำถามเกิดขึ้นในใจของเขา อยากถามว่าเธอสบายดีไหม เธอเป็นอย่างไรบ้าง และมีเรื่องอยากจะถามอีกมากมาย ทว่าเขาเพียงแค่ยืนนิ่ง ไม่มีสักคำพูดใดที่จะเอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากของเขา เธอเองก็ไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้คาดหวังว่าเจอเขา พอได้เจอดวงตาคู่นี้ก็สั่นไหวอยู่ไม่น้อย แต่เธอก็พยายามเก็บมันเอาไว้ให้ลึกสุดใจ ขณะที่เธอสังเกตว่าเขานั้นเปลี่ยนไป ใบหน้าของชว

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ 31 ที่ที่ไม่อยากกลับไปที่สุด

    บทที่ 31ที่ที่ไม่อยากกลับไปที่สุด รถแท็กซี่คันหนึ่งเคลื่อนตัวมาจอดบริเวณด้านหลังของบ้านหลังใหญ่ที่รอบล้อมด้วยรั้วปูนสีขาว หญิงสาวก้าวลงมาจากรถพร้อมกับน้องชายวัยสิบขวบ ประตูเหล็กบานเล็กที่อยู่ตรงหน้า หวนให้เธอนึกถึงเรื่องราวที่อยู่อีกฝั่งของบานประตูนั้น สถานที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ทำให้วันที่เดินจากมา เธอก็ไม่คิดที่อยากจะหวนกลับมาอีก หลายเดือนมานี้ นับตั้งแต่ออกมาจากบ้านสุรีย์ฉาย มาลารินไม่เคยได้รับโทรศัพท์จากสมจิตรอีกเลย กระทั่งเมื่อวานที่อีกฝ่ายโทรมาหาเธอ คำพูดคำจาแปลก ๆ เกี่ยวกับอนงค์ทำให้เธอไม่อาจวางใจลงได้ เธอเป็นห่วงอนงค์อย่างสุดซึ้ง จึงตัดสินใจลางาน และมาธารินหยุดเรียนเพื่อจะมาเยี่ยมอนงค์สักครั้ง ประตูเหล็กบานเล็กเปิดออก สมจิตรยืนรออยู่ เมื่อได้เห็นสองพี่น้องหญิงชราก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “เอ็งสบายดีจริง ๆ สินะลาริน” สมจิตรลูบศีรษะมาลารินเบา ๆ เมื่อได้เห็นแววตาที่สว่างไสวกว่าเมื่อก่อนก็ทำให้เธอเบาใจ สิ่งที่สมจิตรปรารถนามีเพียงให้สองพี่น้องประสบพบกับความสุขเท่านั้น “ไม่เจอนาน เอ็งสูงขึ้นแล้วนะธาริน” “ใช่ครับย

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ 30 สังหรณ์ใจ

    บทที่ 30สังหรณ์ใจ ผ่านมากว่าสองสัปดาห์สำหรับการเรียนรู้งานจากมาลาริน วันนี้เป็นครั้งแรกที่มาลารินจะให้พีรพลฝึกรับสายจากลูกค้าจริง “ทำใจให้สบายนะคะ” มาลารินเอ่ยกับเขายิ้ม ๆ “ทำใจให้สบายนี่ ฟังดูแปลก ๆ นะคุณ” พีรพลเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ เขาหยิบหูฟังแบบครอบหูขึ้นมาสวมใส่ ท่าทางมั่นใจเต็มร้อย “แต่ผมสบาย ๆ อยู่แล้ว” “โอเค” มาลารินพยักหน้าเบา ๆ เธอกดปุ่มเริ่มระบบการทำงานให้กับเขา และสายแรกดังเข้ามาทันที “สวัสดีครับ บริษัท...พีรพลรับสาย ยินดีให้บริการครับ” น้ำเสียงที่ชัดเจนฟังดูมั่นใจของพีรพลดังไปตามสาย “จ่ายตังค์ค่าเน็ตไปแล้ว ทำไมยังใช้งานไม่ได้วะ!” น้ำเสียงห้วนจัดของลูกค้าดังตอบกลับมาอย่างไม่สบอารมณ์ ทำให้พีรพลสะดุ้งเล็กน้อย แต่เขายังเก็บอาการ “ไม่ทราบว่าผมเรียนสายกับคุณผู้ชายอะไรครับ” พีรพลถามกลับไปอย่างสุภาพ “มึงไม่แหกตาดูเลยหรือไง กูโทรไปชื่อกูก็ต้องขึ้นดิ!” ลูกค้าที่อยู่ปลายสายเริ่มหยาบคาย พีรพลหันมาสบตามาลารินอย่างขอความช่วยเหลือ แน่นอนว่าเธอฟังสายไปพร้อมกับเขา เธอหยิบหูฟังขึ้นมาแล้วกดโอนสายของลูกค้ามาที่

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ 29 ฝันร้าย

    บทที่ 29ฝันร้าย สุขภาพของอนงค์ย่ำแย่ลงไปทุกวัน เธอเบื่ออาหาร ทั้งยังนอนหลับไม่สนิท เหม่อลอยอยู่บ่อย ๆ พูดน้อยลงและมักถอนหายใจบ่อยครั้งเวลาอยู่คนเดียว เธอผ่ายผอมจนหนังแทบหุ้มกระดูก และแม้ว่าหมอจะบอกว่าเธอไม่ได้เป็นโรคร้าย แต่อาการอ่อนแรงของอนงค์กลับไม่ทุเลาลงเลย ร่างผอมเกร็งนอนอยู่บนเตียงกว้าง เธอมองเพดานสีขาวนวล อนงค์รู้สึกว่ารอบกายของเธอนั้นเงียบเกินไป กระทั่งเธอได้ยินเสียงประตูห้องค่อย ๆ เปิดออก เสียงฝีเท้านุ่ม ๆ ดังบนพื้นพรม อนงค์ผินหน้าหันไปมองทางประตู ขวัญเรือนเดินเข้ามา หญิงสาวอยู่ในชุดแม่บ้าน สะอาดสะอ้าน ท่าทางของเธอเรียบร้อยและแสดงความอ่อนน้อมต่ออนงค์ “คุณท่านอยากได้อะไรหรือเปล่าคะ?” ขวัญเรือนเดินเข้ามาใกล้ ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาเปล่งประกาย อนงค์นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเธอค่อย ๆ เบิกกว้างเมื่อได้เห็นใบหน้าของขวัญเรือนชัด ๆ ใจเธอสั่นรัว มือเย็นเฉียบลงโดยไม่รู้ตัว “ขวัญเรือน” ริมฝีปากแห้งผากของอนงค์เรียกชื่อของอีกฝ่ายเบา ๆ ดวงตาสะท้อนความหวาดกลัวออกมา “นะ...นี่เธอ” ขวัญเรือนยิ้ม เธอเดินผ่านหน้าอนงค์ออกไปยัง

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status