บทที่ 2
“เสด็จแม่ ออกมาเถอะพ่ะย่ะค่ะ ลูกมิทำอันตรายท่านหรอก ออกมาเถิด ออกมา” ไท่จื่อลากกระบี่ที่เต็มไปด้วยโลหิตเกี่ยวผ้าม่านออกดูว่ามีคนแอบซ่อนอยู่ด้านหลังหรือไม่ เสียงกรีดร้องของเหล่านางกำนัลดังระงมไปทั้งตำหนัก
กลางดึกคืนหนึ่งพระจันทร์กลายเป็นสีเลือด องค์รัชทายาทนำทหารบุกเข้าวังหลวง สังหารฮองเต้กลางแท่นบรรทม
เจียวเอินจวิ้น นางเป็นฮองเฮาและเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดไท่จื่อ นั่งเอาหน้าซุกตรงหว่างขาตัวสั่นงันงก กลั้นลมหายใจและเสียงสะอื้น เกรงกลัวคนที่ถือกระบี่สังหารจะได้ยิน
หีบใบโตถูกเปิดออก นัยน์ตาองค์ไท่จื่อวาววับ ในที่สุดก็เจอเป้าหมาย กระชากร่างสตรีสูงศักดิ์ลอยลิ่วออกมากระแทกพื้นด้านนอก
อั้ก “ฮื่อ หลงเอ๋อร์ เหตุใดจึงทำเช่นนี้” ร่างบางกระแทกพื้นลงอย่างแรง เจียวเอินจวิ้นทั้งเจ็บทั้งจุกไปทั้งร่างกาย แต่ที่เจ็บยิ่งกว่าคือใจของนาง นางช้อนตาแดงกล่ำเต็มไปด้วยน้ำและความเจ็บปวด มองโอรสเพียงคนเดียวของพระนาง
“ยังไงบัลลังก์ก็เป็นของเจ้า เปิ่งกงทำทุกอย่างเพื่อเจ้ามาตลอด”
ไท่จื่อยิ้มเยาะ สายตาเต็มไปด้วยความเหี้ยมเกรียม
“ข้ารอไม่ไหว เสด็จพ่อยังแข็งแรง ในเมื่อเสด็จแม่สร้างอำนาจมาให้ข้าแล้ว สงเคราะห์ข้าอีกอย่างเถิด มอบลมหายใจของท่านให้ข้าเถอะ” ไท่จื่อบักกระบี่คมลงบนอกฮองเฮาไม่ลังเลเลยซักนิด อำนาจ ความยิ่งใหญ่ ให้เขารออีกงั้นเหรอ ไม่มีวัน แค่เสด็จพ่อกับเสด็จแม่สิ้นลมหายใจไป ข้าก็ได้ขึ้นนั่งบนบัลลังก์มังกร ง่ายราวพลิกฝ่ามือ
“ข้าขอบคุณท่านที่ทำให้ข้ามีอำนาจ จนสามารถทำการใหญ่สำเร็จลุล่วง ลาก่อนเสด็จแม่” ไท่จื่อ ชักกระบี่ออกจากอกที่เคยดื่มกินนม ยืนมองร่างของสตรีสูงศักดิ์ที่ค่อยๆ หายใจรวยริน เขาจะยืนดูจนแน่ใจว่านางสิ้นใจแล้วจริงๆ
เจียวเอินจวิ้นกระอักเลือดทันทีที่ปลายกระบี่หลุดออกจากร่าง ไม่มีแม้แรงที่จะเอ่ยปากอ้อนวอนขอชีวิต เหตุใดโอรสที่นางอุ้มท้อง เลี้ยงมาด้วยสองมือ สร้างฐานอำนาจให้เขาบีนป่ายจึงลงมือสังหารนางโดยที่แววตามิรู้สึกผิดอันใดเลย
“ไม่! แฮ่กๆ “
“คุณหนูเจ้าค่ะ” ฮวาเจียวรีบพุ่งตัวจากฟูกนอนไปกอดร่างคุณหนูเล็กทันทีที่ได้ยินเสียงกรี๊ดร้อง
“ฝันร้าย แค่ฝันร้ายเจ้าค่ะ ข้าอยู่นี่แล้ว ข้าอยู่ข้างๆ คุณหนูแล้วเจ้าค่ะ” ฮวาเจียวโอบกอดร่างน้อยๆ ที่ตัวสั่นเทาเอาไว้ ลูบหลังแผ่วเบาๆ ปลอบประโลม
“อื่อ ข้าไม่เป็นไรแล้ว พี่ฮวาเจียวไปนอนต่อเถอะ” จูไป๋เสวี่ย ผละออกจากอ้อมกอดสาวใช้ เมื่อตั้งสติได้ว่าเมื่อกี้นางเพียงฝันไปเท่านั้น เด็กน้อยในวัย 10 หนาว ฝันร้ายบ่อยครั้ง จนสาวใช้ต้องปูฟูกนอนข้างเตียงมาตั้งแต่จำความได้
ฝันร้าย มันคือฝันร้ายที่ตามหลอกหลอน อดีตชาติก่อนของนาง ก่อนที่จะสิ้นใจ นางเกิดใหม่ แต่ยังจำชาติที่แล้วได้ทุกอย่าง จูไป๋เสวี่ยปาดน้ำตาออกจากใบหน้าน้อย
“คุณหนูนอนต่อนะเจ้าค่ะ ข้าจะนั่งตรงนี้จนกว่าท่านจะหลับ” ฮวาเจียวกดร่างน้อยลงกับเตียงนอน คุกเข่าลงข้างเตียง กุ้มมือคุณหนูของนางเอาไว้แน่น
จูไป๋เสวี่ย นอนลงตามแรงกดอย่างว่าง่าย ค่อยๆ หลับตา ลมหายใจสม่ำเสมอจนเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
บทที่3
เหมันต์ฤดู พัดผ่านอีกคร่า ดรุณีน้อยนั่งเท้าคางที่มุมหน้าต่างมองหิมะแรกยามเช้าตรู่
จูไป๋เสวี่ยเข้าสู่วัย 17 หนาว ที่ผ่านมาฝันร้ายตามมาหลอกหลอนไม่เลิกรา,เลิกร้าง เป็นนางเองที่ยังจำฝังใจ ใครเลยจะลืมสายตาเย็นชาจากเลือดในอกตนเองได้ลง ตราบาปที่นางเคยฆ่าชิงพรากพลาญชีวิตผู้อื่น ทำให้นางจำอดีตชาติเลวร้ายที่ตนเองทำเอาไว้ทั้งหมด
“คุณหนูเจ้าค่ะ ถูกหิมะจนผมชื้นหมดแล้ว เข้าไปอาบน้ำสระผมแช่น้ำให้ตัวอุ่นเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะไม่สบาย”
ไป๋เสวี่ยเอี้ยวตัวมาส่งยิ้มหวานให้สาวใช้ประจำตัว ฮวาเจียวเป็นดั่งคนรู้ใจ เหมือนพี่สาวที่ดูแลนางมาตั้งแต่จำความได้ จูไป๋เสวี่ยมีพี่ชายทั้งหมดสี่คน พี่ใหญ่ อายุ21 เป็นองค์รักษ์เกราะทอง พี่รองอายุ 20เปิดโรงหมอรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ไม่ไกลจวนสกุลจูเท่าไหร่ ส่วนพี่สามและพี่สี่ช่วยบิดาดูแลโรงเตี้ยมและเหลาอาหาร อายุ18-19ตามลำดับ เกิดหัวปีท้ายปี เท่านี้ก็บ่งบอกแล้วว่าบิดาของนางรักมารดามากขนาดไหน หากไม่เพราะวันที่คลอดนาง จูฮูหยินตกเลือดจนเกือบเสียชีวิต นางคงมีน้องๆ วิ่งตามหลังอีกเป็นขบวณ
สกุลจู เป็นเพียงคนค้าขายเปิดโรงเตี้ยมและเหลาอาหาร อยู่หัวเมืองติดกับแคว้นฉู่ แม้จะห่างไกลเมืองจากเมืองหลวงแต่ก็เป็นเมืองค้าขายเพราะติดชายแดน ทำให้โรงเตี๊ยมและเหลามีผู้คนใช้บริการมากมาย
จูไป๋เสวี่ย ได้อยู่อย่างสงบสุขท่ามกลางพี่ชายทั้งสี่ บิดารมารดารักใคร่กลมเกลียว จวนสกุลจูไม่ใหญ่โตมากนักมีบ่าวรับใช้ไม่กี่คนเท่านั้นจึงง่ายต่อการควบคุมและดูแล งานในจวนก็ไม่ได้ยุ่งยากหรือมากมายเท่าไรเพราะนายแต่ล่ะคนก็ใช้ชีวิตเรียบง่าย หากใครว่างงานก็สามารถไปช่วยงานที่โรงเตี๊ยมได้เบี้ยหวัดเพิ่ม
“พี่ฮวาเจียว วันนี้ข้าจะไปโรงหมอของพี่รอง ให้คนเตรียมรถม้าให้ที” ไป๋เสวี่ยเดินเข้าห้องอาบน้ำที่สาวใช้คนสนิทเตรียมไว้รอ
“เจ้าค่ะ” ฮวาเจียว นำเสื้อผ้าชุดใหม่มาพาดเตรียมรอไว้ที่ราว มองแผ่นหลังคุณหนูเล็กเดินผ่านเข้าห้องอาบน้ำ ทุกย่างก้าวล้วนน่ามอง เวลาเยื้องกรายดุหงส์สยายปีก กริยางดงามจับตาราวสตรีสูงศักดิ์ ใบหน้าเล็กเพียงฝ่ามือ ผิวขาวเนียนราวหิมะ แก้มชมพูอิ่มเอิบรับกับริมฝีปากบางราวกลีบดอกไม้ ทุกครั้งที่นางออกไปช่วยงานที่โรงหมอของคุณชายรอง หรือไปที่โรงเตี๊ยมเพื่อนช่วยงานนายท่าน เหล่าคุณชายทั้งหลายจะมาแอบยืนมองไม่กันวางตา ก็ใครจะอดใจไหวกัน ขนาดนางเป็นหญิงเห็นกันมาตั้งแต่อยู่ในห่อผ้าอ้อม ยังอดตกตะลึงในความงามนี้ไม่ได้
เทียบหมั้นหมายมีมาไม่ขาดสายตั้งแต่วันเข้าพิธีปักปิ่น แต่นายท่านปฏิเสธไปหมด นายท่านทั้งรักทั้งหลงบุตรสาวคนเดียว ไม่ใช่แค่นายท่าย คุณชายทั้งสี่ก็หวงน้องสาวไม่ต่างกัน จึงไม่มีคุณชายบ้านใดได้เข้าใกล้ชิดหรือเข้ามาสานสัมพันธ์ได้โดยไม่ถูกขัดขวาง อีกทั้งคุณหนูของนางก็ไม่ได้สนใจใครเลย
‘ลูกสาวคนเดียวข้าเลี้ยงได้ ข้าจะให้นางแต่งกับคนที่นางรักเท่านั้น’ คือคำที่นายท่านประกาศ ตอนที่แม่สื่อมาค่อนแคะว่าอายุเริ่มมากหากเล่นตัวจะไม่มีชายใดมาสู่ขอ
ตอนพิเศษ2“โอ๊ยๆ เบาฮูหยิน เบาๆ เดี๋ยวเนื้อข้าหลุด” แม่ทัพที่คุมทหารนับแสน ถูกภรรยาหยิบเข้าที่สีข้างก็ร้องโอดโอย ราวกับถูกกระบี่ฟันเขาแค่ล้อเล่นไหม ใครจะยกลูกให้คนอื่นยืมได้อย่างไรเล่า ตั้งใจปั้นมาขนาดนี้“เจ้าจะเดินทางไปรับเสด็จจูล่งฮองเต้ที่เมืองหน้าด่านที่ลี่เจียงหรือเปล่า” หลังจากฟัดพุงกลมๆ แก้มนิ่มๆ จนพอใจ ก็ส่ง ทารกน้อยหลิวไป๋อิงคืนให้บิดาของนางหลิวเสวี่ยอวี้รับบุตรสาวมานั่งลงบนตักแกร่ง“ไม่ล่ะ ข้าไม่อยากให้เสวี่ยเอ๋อร์อยู่กับเด็กๆ ตามลำพัง อีกอย่างนางตั้งครรภ์อยู่ เกิดเจ้าสามแสบชนหกล้มไปจะทำอย่างไร ข้าไม่ไว้ใจคนอื่นให้ดูแลแทน”เฉิงตงกลอกตามองบน เหตุผลมันก็พอฟังขึ้นอยู่ แต่ไม่ใช่เพราะความรักฮูหยิน ที่มากจนเกินไปหรืออย่างไร ทำให้เสี่ยวไป๋ท้องไม่เคยว่าง ตั้งแต่เดินทางมาอยู่แคว้นฉู่ จนย่างเข้าปีที่ 5 แล้วไม่เคยได้กลับไปเยี่ยมครอบครัวที่แคว้นเว่ยเลย จนทำให้จูล่งฮองเต้ถึงกับต้องเสด็จมาเยี่ยมพระขนิษฐาด้วยพระองค์เองถึงแคว้นฉู่“ข้าอยู่ได้ สามแสบก็ใช่ไม่รู้ความ ข้าปรามอะไรก็ฟังตลอด มีเพียงตอนอยู่กับท่านพี่เท่านั้น ที่พูดอะไรก็ทำเป็นหูทวนลม” ตลอด 5 ปีที่อยู่แคว้นฉู่ นางไม่เคยได้กลับบ้า
ตอนพิเศษ1เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังลั่นไปทั้งสวนดอกไม้ สี่พ่อลูกกำลังวิ่งปลุกปล้ำกันมันมาอย่างสนุกสนาน“ท่านพี่ ถ้าต้นดอกไม้ข้าหัก ข้าจะให้ท่านไปนอนที่เรือนรับรอง” ฮูหยินเล็ก จูไป๋เสวี่ย ตะโกนปรามแม่ทัพและเด็กชายแฝดทั้งสาม ตอนนี้เด็กแฝดทั้งสามอายุได้ 4 หนาวแล้ว ชอบเล็กกันรุนแรงจนบ่าวไพร่ พี่เลี้ยงสู้แรงไม่ไหว นอกจากบิดาเท่านั้นที่รับมือนั้นได้ วันหยุดจึงมักจะมาเล่นกันที่สวนปลดปล่อยพลังกันอย่างอย่างบ้าคลั่งหลิวเสวี่ยอวี้ผินหน้ามามองภรรยาด้วยความรู้สึกผิด แต่จะให้เขาทำยังไง เด็กทั้งสามคนซนเหลือเกิน วิ่งจับคนนั้นคนนี้วิ่งหนี วิ่งจับคนนี้คนนั้นวิ่งหนี พอจับสองคนอีกคนก็กระโดดขี่คอ แฝดสามยังเด็กนักบางครั้งจึงไม่รู้น้ำหนักมือของตนเอง พลั้งมือลงแรงมากเกินไปทำเอาบ่าวไพร่เจ็บตัว จนไม่มีใครกล้าเล่นด้วย มีเพียงเขาคนเดียวที่รับมือไหว“สมน้ำหน้า อยากมีสิบคนใช่ไหม ข้าจะคลอดให้ท่านเลี้ยงให้ครบเลย” จูไป๋เสวี่ยขำเครือ เมื่อเห็น สามีถูกเด็กแสบทั้งสามคนตะลุมบอน“ข้าว่าอีกไม่นานหรอกสวนดอกไม้ของเจ้าต้องเหลือแต่ชื่อ” เฉิงตง สอดมือใต้รักแร้ทารกน้อยวัย 1 ขวบเศษ หลิวไป๋อิง นางช่างน่ารักน่าชังเหลือเกิน จนเฉิงตงอดไม่ไ
บทที่37ขุนนางทั้งหลายจากเดิมไม่คิดที่จะให้บุตรสาวแต่งกับแม่ทัพหลิวเพราะคิดว่าภายใต้หน้ากากเหล็กนั้นคือบุรุษอัปลักษณ์ อีกทั้งองค์หญิงฉู่เฉียวหมายปองอยู่คิดกันแค่เพียงว่าองค์หญิงอยากแต่งเพราะเป็นสหายมาตั้งแต่เยาว์วัยและอำนาจทหารที่สกุลหลิวถืออยู่ จึงไม่มีขุนนางคนไหนมาทาบทามไปเป็นเขย แต่หลังจากงานเลี้ยง พอได้เห็นใบหน้าและความมั่นคงของสกุลหลิวแล้ว ก็อยากให้บุตรสาวแต่งเข้าจวนแม่ทัพ ส่งเทียบเชิญไปงานเลี้ยงมาไม่ได้หยุดหย่อน หรือไม่ก็สั่งให้บุตรสาวไปเดินผ่านให้แม่ทัพเห็นสักครั้ง หากแม่ทัพถูกตาต้องใจก็จะได้แต่งเข้าจวน ยิ่งข่าวลือที่ว่าแม่ทัพรักมั่นต่อองค์หญิงเท่าไร สาวงามในเมืองหลวงยิ่งเพ้อฝันอยากแต่งเข้าจวนแม่ทัพ เพราะอยากได้สามีที่รักมั่นกับตนเองแบบนั้นบ้าง แต่ก็ถูกแม่ทัพพูดจาหักหน้าตรงๆ จนเสียหน้าไปหลายราย“ท่านพี่ไม่คิดที่จะไปตามเทียบเชิญบ้างเลยเหรอ ข้าเห็นวันก่อนเสนาบดีฝ่ายขวาก็ส่งเทียบเชิญให้ท่านไปงานเลี้ยงวันเกิด”“ไม่ล่ะ ข้าขี้เกียจปั้นหน้า เดิมแต่ก่อนตัวข้าก็แทบไม่เคยอยู่เมืองหลวงนาน ไม่ตรวจตราตามหัวเมืองชายแดน ก็ไปแอบดูเจ้าที่เมืองหยิ่งตู่” ริมฝีปากหนาก้มลงจุมพิตหน้าท้องขาวนวลที่ขึ้
บทที่36ขบวนราชบุตรเขยและองค์หญิงแห่งแคว้นเว่ยเดินทางมาถึงเมืองหลวงของแคว้นฉู่ในที่สุด ชาวเมืองออกมายืนขนาบสองข้างถนนจนแน่นขนัด ถนนสองข้างทางประดับประดาไปด้วยกระดาษสีแดงและสีทองขบวนรถขับเคลื่อนไปถึงประตูวังหลวง ฮองเต้แคว้นฉู่ และเหล่าขุนนางเตรียมงานเลี้ยงรอไว้ต้อนรับอย่างดีเป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็นใบหน้าของแม่ทัพหลิวเสวี่ยอวี้ชัดๆ เพราะที่ผ่านมาเห็นแค่ครึ่งหน้าเท่านั้น แต่พอล่ะสายตามายังสตรีที่เดินเคียงข้างมาแม้กระทั่งฮองเต้ยังตกตลึงไม่คิดว่าองค์หญิงจูไป๋เสวี่ยจะงดงามได้ถึงเพียงนี้ด้านองค์หญิงฉู่เฉียวที่แต่งตัวงดงามกว่าวันไหนๆ รีบมายืนประจำตำแหน่งของตนเอง ลอบเยาะยิ้มสตรีผู้นั้นบังอาจลงมือทำร้ายพระองค์แถมข่มขู่ไม่ให้บอกใคร แล้วเป็นอย่างไรสุดท้ายก็ถูกแม่ทัพหลิวทิ้งไปแต่งงานกับองค์หญิงต่างแคว้น อยากจะเห็นใบหน้าองค์หญิงจูไป๋เสวี่ยนัก ว่าจะต่อกรกับสตรีหยาบช้าอย่างฮูหยินเอกของหลิวเสวี่ยอวี้ได้หรือไม่“ถวายบังคมฝ่าบาท” แม่ทัพหลิวพาองค์หญิงแห่งแคว้นเว่ยเข้าเฝ้าหน้าพระพักตร์เมื่อได้ยินเสียงองค์หญิงฉูเฉียวรีบเงยหน้าขึ้นมอง ขนกายลุกชู่ไปทั้งร่าง รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ เลื่อนหายไป สีหน้าคล้า
บทที่35“น้องเขยมาๆ ดื่มอีกจอก” คุณชายสี่ จูหรงจียกกาสุรามารินเติมให้น้องเขยไม่ให้ขาดตอน จูหรงจีคือคนที่หวงน้องห้ามากที่สุด เดิมทีคิดว่างานจบจะคุยกับพี่ใหญ่ให้ถอนหมั้นกับยกเลิกงานแต่งซะ แต่เพราะความรักและเสียสละของแม่ทัพหลิวทำให้เขายอมปล่อยมือให้น้องแต่งงานในครั้งนี้ คงไม่มีใครดูแลน้องห้าได้ดีเท่าหลิวเสวี่ยอวี้อีกแล้ว“ดื่มๆ” เฉิงตงช่วยดันจอกสุราเข้าปากราชบุตรเขยอีกแรงราชบุตรเขยเดินโซซัดโซเซ เขาโดนมอมสุรา คงกะให้เข้าหอคืนนี้ไม่ไหว พี่ชายทั้งสี่ของฮูหยินเล่นงานเขาแล้ว สหายสุดที่รักก็ร่วมมือด้วย ทั้งๆ ที่เฉิงตงเป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่าเขาคาดหวังกับคืนนี้มากแค่ไหน มันน่าตัดเพื่อนทิ้งจริงๆ ได้แต่คิดในใจ ยกจอกเหล้าขึ้นดื่มอย่างเสียไม่ได้ ทั้งพี่ชายจูไป๋เสวี่ยและสหายคงไม่ปล่อยให้เข้าหอง่ายๆ แน่คืนนี้“ถึงฤกษ์เข้าหอแล้ว พอเถอะท่านแม่ทัพยืนแทบจะไม่ไหวแล้ว” รองแม่ทัพไป๋ชูได้รับสัญญาณมือจากแม่ทัพหลิวก็รีบเข้ามาประคอง เดินประคองร่างคนเมาแทบจะหิ้วปีกไปส่งถึงประตูห้องหอที่เจ้าสาวรออยู่เมื่อประตูห้องหอปิดลง คนที่ต้องให้รองแม่ทัพหิ้วปีกมาเมื่อสักครู่ ก็เดินตัวตรงอย่างมั่นคงไปยังเตียงที่เจ้าสาวนั่งรอ
บทที่34หลิวเสวี่ยอวี้อาการดีวันดีคืนด้วยการดูแลอย่างใกล้ชิดของฮูหยิน จูไป๋เสวี่ยตัดสินใจรับตำแหน่งจากพี่ชาย ในฐานะพระขนิษฐาของฮองเต้อีกทั้งยังเป็นฮูหยินของแม่ทัพแห่งแคว้นฉู่ จะช่วยเสริมสร้างฐานอำนาจจูล่งฮองเต้ได้อย่างมาก ใครจะกล้านางได้รู้ความจริงอันเจ็บปวดอีกอย่างจากเจียวเจี้ย ตอนที่เจียวก้านยังมีชีวิตอยู่เคยคิดพลักดันน้องสาวต่างมารดาของฮองเฮาเจียวเอินจวิ้นเข้าวัง ฮองเต้หลงในตอนนั้นยังดำรงตำแหน่งเป็น ไท่จื่อ รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดีเพราะเจียวก้านมาขอให้ช่วยไปพูดกับฮองเฮาให้ นั้นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้ไทจื่อไม่อาจรอได้อีกต่อไป เพราะหากมีองค์ชายจากตระกูลฮองเฮาเพิ่มขึ้น ตำแหน่งของตนย่อมสั่นคลอนวันนี้เป็นวันที่หลิวเสวี่ยอวี้รอคอย พออาการเริ่มดีขึ้นเขาก็เขียนจดหมายให้บิดามารดาเดินทางมายังวังหลวงแคว้นเว่ย เพราะต้องการจัดพิธีแต่งงานกับพระขนิษฐาของจูล่งฮองเต้ ไม่อยากรอหายแล้วกลับไปแต่งที่แคว้นฉู่แล้ว อยากเข้าหอกับนางสักทีราชบุตรเขยในชุดสีแดง ยืนชะเง้อคอยาวรอเกี้ยวเจ้าสาวที่ตำหนักรับรอง งานแต่งงานครั้งนี้จัดขึ้นในวังหลวง บิดามารดาของเขาขนสินสอดทองหมั้นมาจากแคว้นฉู่ถึง 100 เกวียน บอกแล้วงานแต่