นางไม่มีไอเทมที่ทำให้มันเชื่อง แต่เพียงแค่นี้ก็มีชีวิตรอดมาหลายปี นางไม่ชอบโลกนั้นแต่ก็ไม่อยากตายจึงได้ดิ้นรนมาหลายปี จนโชคร้ายที่มาเจอกับราชาซอมบี้เข้า ไม่สิไม่นับว่าโชคร้ายเพราะตอนนี้นางได้รับชีวิตใหม่แล้วจริง ๆ นางหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างอารมณ์ดี
เสียงหัวเราะของนาง ทำให้ก้อนแป้งทั้งสองมาเมี่ยงมองอย่างอยากรู้อยากเห็น สองแฝดสบตากันเมื่อเห็นมารดาหัวเราะอยู่คนเดียวกัน หรือท่านแม่จะป่วยหนักจริง ๆ ฟางเหนียงเหลือบมองเด็กน้อยนิดหนึ่ง ก่อนจะไล่ให้ทั้งคู่ไปนั่งรอทานข้าว จากนั้นจึงเดินไปยังเตาไฟ สำรวจมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรู้ว่ามันใช้งานยังไง มันไม่ยากเกินความสามารถหรอก ไม่เช่นนั้นนางจะมีชีวิตในวันสิ้นโลกมาได้ตั้งหลายปีได้อย่างไร นางหยิบวัสดุบางอย่างมาวางพร้อมหินไฟสองก้อนถูกันไปมาจนเกิดประกายไฟ จากนั้นก็เอาเศษไม้เล็ก ๆ มาใส่เมื่อเห็นไฟเริ่มติดเศษไม้แล้ว จึงหยิบท่อนไม้ใหญ่มาวาง ทุกการกระทำคล่องแคล่วราวกับมาหลายครั้งแล้ว จากนั้นจึงมองข้าวของในมิติ ซึ่งมีไม่มากนัก มันเหลือแค่ผักที่กลายพันธุ์ที่กินได้เท่านั้น ผักกาดขาวหัวใหญ่ปรากฏขึ้นบนมือนาง วันนี้ผัดผักแบบง่าย ๆ ไปก่อนพร้อมทั้งเผามันหวานไปด้วย เด็ก ๆ ร่างกายต้องการเนื้อสัตว์แต่เวลานี้นางไม่มีจริง ๆ ฟางเหนียงผัดผักง่าย ๆ เครื่องปรุงรสไม่มี ทำให้มีเพียงรสชาติหวานของผักเท่านั้น เพียงไม่นานก็ทำเสร็จเรียบร้อยจึงได้ยกมาให้เด็กน้อย ซึ่งรออยู่บนพื้นอย่างเรียบร้อย โต๊ะอาหารบ้านนี้ไม่มีน่าจะกินข้าวที่พื้นกัน ทันทีที่เห็นอาหารบนโต๊ะเด็กน้อยก็ ตาวาวอย่างตื่นเต้น น่าเสียดายที่ไม่มีข้าวสวยด้วย แต่วันสิ้นโลกข้าวมันก็หมดไปนานแล้ว ที่นางปลูกไว้ก็ต้นใหญ่ที่กลายพันธุ์ อีกทั้งนางยังไม่ได้เกี่ยวเก็บเมล็ดข้าว ดังนั้นคงต้องให้นางมีเวลาไปจัดการข้าวของในมิติเสียก่อน เจ้าก้อนแป้งน้อยกินอาหารตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อยแม้จะไม่มีข้าวก็ตาม เด็กน้อยกินอย่างไม่ปริปากบ่น และยังมีแบ่งมาให้นางกินด้วย เจ้าก้อนแป้งน้อยน่ารักขนาดนี้ จะเป็นลูกนางจริง ๆ หรือ ฟางเหนียงร่วมกินอาหารไปกับเด็ก ๆ ด้วยเพราะร่างนี้อ่อนแอเกินไปต้องบำรุงเยอะ ๆ แล้วหากปล่อยไว้อย่างนี้แรงฆ่าไก่ก็คงไม่มี!หลังจากเจ้าก้อนแป้งกินจนอิ่มแล้ว จึงไปเล่นกันอยู่หน้าบ้าน ฟางเหนียงได้มีโอกาสสำรวจใบหน้าตัวเอง ใบหน้าที่ยังอ่อนเยาว์เดาได้ว่าน่าจะยี่สิบปีเท่านั้น ใบหน้านี้งดงามไม่น้อย เพียงแต่ตอนนี้ยังซีดเซียวทำให้เหมือนผีดิบไปจริง ๆ เมื่อดูใบหน้าจนพอใจแล้ว นางจึงถือโอกาสเดินสำรวจแถวบ้านที่มีพื้นที่ประมาณสองจุดสี่หมู่ (1ไร่) เท่านั้น
และบ้านก็เป็นกระท่อมที่ทรุดโทรม หากฝนตกลมแรงคงได้ปลิวหายไปกับพายุฝนเป็นแน่ ห่างออกไปเป็นเพื่อนบ้าน ซึ่งนางก็ไม่รู้ว่าเป็นใครอีกเช่นเคย “แม่นางฟาง เจ้าอยู่นี่เอง ข้านำเงินเดือนงวดนี้ของพี่ฟาง- เหยียนอวี้มาให้” ฟางเหนียงมองบุรุษที่สวมใส่ชุดข้าราชการ ซึ่งนั่งเกวียนม้าเข้ามาหานาง พร้อมยื่นถุงใส่เงินอันเล็กมาให้ มองด้วยตาเปล่าก็ดูหนักไม่น้อย “เดือนนี้จะเยอะหน่อย เห็นว่าพี่ฟางเหยียนอวี้ได้เลื่อนขั้น” บุรุษผู้ส่งเงินเดือนเอ่ยบอก เมื่อเห็นสายตาที่มองมา เขาแปลกใจเล็กน้อยกับท่าทางของนาง ปกติเมื่ออีกฝ่ายเห็นตนจะวิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ และยังชอบส่งสายตาเชิญชวนมาให้อย่างเปิดเผย หากไม่ใช่เพราะตนนับถือพี่ฟางเหยียนอวี้คงรับไมตรีนี้ไปแล้ว แต่ยิ่งเห็นแบบนี้ยิ่งสงสารพี่ฟางเหยียนอวี้ที่ได้สตรีเช่นนี้มาเป็นภรรยา “ขอบคุณท่านมาก” ฟางเหนียงเอ่ยบอก พร้อมรับถุงเงินมาเก็บอย่างเงียบ ๆ เวลานี้นางไม่รู้จักคนตรงหน้ายิ่งกระโดกกระดากไม่ได้ หากมีคนรู้ว่านางไม่ใช่ฟางเหนียงแม่ของเจ้าก้อนแป้งนั่น อาจถูกนำตัวไปเผาก็เป็นได้ แต่สายตาที่ดูถูกที่มองมานั่นก็ทำให้สับสนไม่น้อย ไม่รู้ว่าเจ้าของร่างเดิมมีนิสัยอย่างไร “เจ้าเหมือนจะเปลี่ยนไป” ตงห่าวพูดขึ้นอย่างสับสน ท่าทางสงบของนางเวลานี้ ทำให้คิดว่าตัวเองตาฝาดไปเสียอีก “ข้าเปลี่ยนไปยังไง แล้วเมื่อก่อนข้าเป็นเช่นไรหรือ” ฟางเหนียงถือโอกาสสอบถาม ทว่าสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็พอจะทำให้นางเดาได้ เพราะผ่านโลกที่โสมมและเห็นแก่ตัวมามาก ทำให้นางอ่านสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายออก “เมื่อก่อนข้าอาจทำให้ท่านลำบากใจ ตอนนี้ข้าสำนึกผิดแล้ว ท่านก็อย่าถือโทษโกรธข้าเลยนะ” ฟางเหนียงเอ่ยบอก แสดงท่าทางจริงใจและสำนึกผิดจริง ๆ"ไปไหน""สถานที่ล่าสัตว์วันนั้น"ถ้าเป็นเรื่องนี้ละก็นางไม่ปฏิเสธแน่อยู่แล้ว"เอาสิ"การล่าสัตว์ขององค์ชายรองกับองค์ชายรัชทายาทนั้นเกิดขึ้นระหว่างเสด็จเยี่ยมราษฎร ระหว่างรับเรื่องร้องทุกข์ของชาวบ้าน วันหนึ่งพวกเขาก็ชวนกันไปล่าสัตว์ฆ่าเวลาป่านนี้อยู่ระหว่างเมืองหลวงกับเมืองเหวินทางตะวันออก ป่าหนาทึบเป็นอันดับสองจากป่ารอบเมืองทั้งหมดหลี่เจิ้นหัวออกมากับนางสองคน ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ใช้รถม้าหรือพาหนะใดเพราะไม่อยากสะดุดตา แม้จะมีคนเชื่อว่าเป็นฝีมือองค์ชายรองแต่พระองค์ยืนกรานว่าไม่รู้เรื่อง หากอยากให้คนร้ายดิ้นไม่หลุดก็ต้องหาหลักฐานมาให้ได้"เจ้าคิดไว้ในใจแล้วหรือยัง!""เรื่องอะไร!" เขาตะโกนถามกลับ การวิ่งฝ่าสายลมทำให้พวกเขาไม่ค่อยได้ยินเสียงกันและกัน"จะสืบอย่างไร…" พูดได้ไม่ถึงครึ่งประโยคฉินหลิวซีก็ส่ายหน้า ทำมือเป็นสัญญาได้ไปคุยกันหลังถึงที่หมาย คุยกันตอนนี้ให้ตายอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องเดินทางกันอยู่นานในที่สุดก็ถึงป่าระหว่างสองเมืองเสียที พวกเขาตามร่องรอยมาถึงจุดเกิดเหตุ ทั้งรอยเท้าและของตกหายไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ก
โจวเมิ่งอิ๋งคร่ำครวญถึงความน่าสงสารราวโชคชะตากลั่นแกล้งของบุตรสาว ไม่มีแก่ใจมารับรองแขกด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ดีที่มีอนุคนสนิทอยู่ข้างกายคอยปลอบใจฟังจากน้ำเสียงคงทุกข์ใจเหลือประมาณ หลี่เจิ้นหัวรู้เรื่องที่ตัวเองสามารถทำได้แล้ว"ทีนี้ข้าจะลงมืออย่างไรดีนะ…"บรรยากาศในห้องค่อนข้างอับชื้น พี่หญิงต้อนรับนางเป็นอย่างดีแม้จะหน้าซีดเซียวกว่าปกติก็ตาม"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พี่หญิงดูผอมลงไปหรือไม่ กินข้าวไม่อร่อยอย่างนั้นหรือ""อยากที่เจ้าเห็น ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ดังนั้นเลยเชื่อว่าอีกไม่นานคงดีขึ้น"แต่ดูเหมือนความเชื่อของนางจะทรยศนางทีละนิด แต่ละวันที่ผ่านไปขื่นขมนักสีหน้าของหลี่เมิ่งเหยาอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอน ถึงจะบอกว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างไร แต่สถานการณ์แบบนี้คงยิ้มไม่ออก"เรื่องนี้จัดการไม่ได้ง่าย ๆ แต่หากต้องการให้ข้าช่วยเหลืออะไรพี่หญิงอย่าได้เกรงใจนะเจ้าคะ""ฉินหลิวซี ถ้าซาบซึ้งน้ำใจเจ้าจริง ๆ" หลี่เมิ่งเหยาน้ำตารื้น พอรู้ว่านางอาจต้องโทษเหล่ามิตรสหายก็พากันหนีหน้า ส่วนหนึ่งก็คงเพราะคำสั่งของบิดามารดามิให้มาข้อง
เหตุการณ์นี้ทั้งสองนัดแนะกันเองโดยไม่ได้บอกผู้ติดตามพวกเขาจึงไม่ได้ถูกลงโทษที่ละเลยหน้าที่ และโชคดีที่แม่ทัพหลี่ซึ่งเดินทางไปด้วยมาช่วยไว้ทันด้วยเหตุนี้จึงบังเกิดความสงสัยขึ้นในหมู่ชาวเมือง ว่าเป็นฉากที่ถูกจัดไว้หรือเปล่า"เพราะอย่างนี้จึงไม่มีใครสนใจเจ้าของร้านเครื่องประทินโฉมแล้วสินะ…"เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่กว่าเห็น ๆ ก็ดี เพราะข้าก็ไม่ได้อยากเป็นจุดสนใจมากนักในตอนนี้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ ยังวางใจไม่ได้"ต้องไปหาเจิ้นหัวหน่อยแล้ว"ฉินหลิวซีไปที่หอกระจายข่าวแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดขึ้นกว่าปกติ นางรู้แล้วว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น แต่ไม่นึกว่าจะส่งผลกระทบถึงสกุลหลี่มากกว่าที่คิด"เพราะพี่หญิงเป็นพระคู่หมั้นขององค์ชายรัชทายาทอย่างนั้นหรือ…?"หรือจะไม่ใช่กันนะคุยกับตัวเองยังไม่จบก็พบว่ายืนอยู่หน้าห้องทำงานของหลี่เจิ้นหัวเสียแล้ว นางเคาะประตูสองครั้งอีกฝั่งก็เอ่ยอนุญาต"หลิวซี~" พอเห็นหน้านางอีกคนก็โอดครวญเสียงอ่อนอย่างน่าสงสาร ท่ามกลางม้วนกระดาษสู่ท่วมหัว"ดูเหมือนเจ้าจะมี
ร้านที่ไม่มีใครรู้ที่มาแน่ชัด รู้แต่ว่าสกุลหลี่เป็นผู้จัดจำหน่ายให้เสมือนคนกลางหลี่ซีเหยาเหยียดยิ้มนึกอยากขัน สินค้านี้มีอยู่ในร้านของบ้านอยู่แล้ว นางเป็นผู้เอามาให้เช่นนี้ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยหากสังเกตและไตร่ตรองดูสักนิดจะรู้ว่าบรรจุภัณฑ์นี้ไม่ได้วางขายในปัจจุบัน มันเป็นตลับแบบใหม่ที่ยังไม่ได้วางหน้าร้านที่ไหน"นี่เป็น…สินค้าจากร้านของข้าเอง เป็นกระปุกชาดและตลับแป้งลายใหม่ที่ยังไม่ได้วางจำหน่ายที่ไหน ข้ามอบมันให้พี่หญิงเป็นคนแรก"ทันทีที่ฉินหลิวซีพูดจบเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย"เป็นไปไม่ได้ สามัญชนชั้นต่ำอย่างเจ้าจะเป็นเจ้าของสิ่งนี้ได้อย่างไร อย่ามาแอบอ้างนะ เจ้าต้องไปแอบซื้อที่ไหนมาแน่ ๆ แล้วไปแอบเปลี่ยนตลับทีหลังใช่ไหมล่ะ" หลี่ซีเหยาอย่างไม่ยอม นางเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนมารดาที่เป็นอนุสั่งให้สาวใช้มาพาตัวออกไปเพราะเริ่มจะทำขายหน้า อีกทั้งแม่ทัพยังมองนางด้วยแววตากรุ่นโกรธอีกด้วย หากไม่รีบจัดการนางก็จะโดนลงโทษหลังจบงานนี้แน่สถานการณ์สงบลงแต่เรื่องของฉินหลิวซียังเป็นที่พูดถึงตัวตนของเจ้าขอ
"บุตรสาวคนเล็กของข้าอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับคุณชายหลี่ เรียนรู้งานฝีมือตั้งแต่ยังเล็กจนชำนาญ พิณ หมาก อักษร ล้วนเป็นเลิศ…"เซียนโอสถน้อยรู้สึกกระดากใจเกินจะฟังจึงเดินหนีออกมา รู้หรอกว่าหลี่เจิ้นหัวคงไม่เอาด้วยแต่นางก็ไม่ชอบใจอยู่ดีถึงจะไม่พอใจแต่ถ้านางโวยวายหรืออาละวาดขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ รังแต่จะสร้างความไม่พอใจให้ฮูหยินท่านที่มีต่อนางเพิ่มมากขึ้นฉินหลิวซีกลับมานั่งที่โต๊ะ น้าหญิงกับน้าเขยทำตัวไม่ถูกกับงานเช่นนี้จึงเลือกโต๊ะที่ไม่ค่อยโดดเด่น นางเข้าใจว่าทั้งสองคงอึดอัดจึงไม่ห้าม แต่ว่านางร่วมโต๊ะด้วยไม่ได้ ในบัตรเชิญบอกไว้ว่าให้นางนั่งร่วมโต๊ะกับเจ้าของงานโคมไฟแดงประดับต้นไม้สว่างวาบขึ้นจากเดิมพร้อม ๆ กัน ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมองหน้าเรือนรับรองที่มีทางเดินหินอ่อนทอดยาวออกมาถึงสวน ฉินหลิวซีเห็นหลี่เมิ่งเหยาออกมาแล้วจึงขอตัวท่านหญิงหลี่ออกมาพร้อมกับสหายท่านหญิงคนอื่น ๆ ฉินหลิวซีรู้สึกคุ้นหน้าพวกนางเกือบทุกคนเพราะเคยเจอกันมาก่อนแล้ว นางรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ถ้าได้ร่วมโต๊ะกับคนที่คุ้นเคยกันมันดีต่อความรู้สึกนางมากกว่าที่ต้องร่วมโต๊ะกับคนแ
"จริงสิ พี่หญิงเชิญเจ้าไปงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนาง เจ้าพอจะมีเวลาหรือไม่""งานวันคล้ายวันเกิดของพี่หญิงหรือ ต่อให้ข้าไม่ว่างก็จะไปแน่"ฉินหลิวซีได้รับความช่วยเหลือจากพี่หญิงของหลี่เจิ้นหัวมาไม่น้อย แค่ไปร่วมงานแค่นี้ทำไมนางจะทำไม่ได้แล้ว"ถ้าพี่หญิงได้ยินคงดีใจ""งานเริ่มวันไหน""วันมะรืนปลายยามโหย่ว นี่บัตรเชิญของเจ้า น้าหญิงกับน้าเขยเจ้าสามารถมาเข้าร่วมในฐานะผู้ติดตามได้""นางคงตื่นเต้น"ฉินหลิวซีคิดภาพออกเลยว่าชิวหลานจะพูดอะไรหรือแสดงท่าทีประมาณไหนหลังจากได้ยินเรื่องนี้ น้าหญิงของนางร่าเริงมากตั้งแต่มาเมืองหลวง คุ้มค่าแล้วที่พาทั้งคู่มาเปิดหูเปิดตาฉินหลิวซีตั้งใจสร้างชื่อเสียงและตัวตนของตนเอาไว้ที่นี่ ในอนาคตไม่รู้ว่าลูกหลานสกุลชิวกับท่านพ่อท่านแม่จะย้ายมาที่เมืองหลวงหรือไม่ แต่หากพวกเขามาสิ่งที่นางสร้างไว้จะต้องเป็นประโยชน์แน่"ข้าเองก็ตั้งตารอวันนั้น"หลี่เจิ้นหัวมองนาง สายตาแสดงความรู้สึกอย่างไม่ปิดบัง หญิงสาวไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเฝ้ารออะไร แต่แววตาของเขานั้นทำให้นางอยากสร้างความประทับใจที่จะได้พบกันยามค่ำคืนให้พิเศษขึ