แชร์

บทที่ 13

ผู้เขียน: มู่เหลียง
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-02-14 09:57:06

สิ้นเสียงจากคนด้านนอก ก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์หลายสิบคน ตรงเข้ามาในห้อง พร้อมกับคอยเฝ้าอยู่ด้านนอกเรือน

“เกิดอะไรขึ้น พวกเจ้าเป็นใคร อย่าเข้ามานะ!” ฉือฟางอินร้องถามออกไปด้วยความร้อนรน

“ใจเย็นก่อนขอรับฮูหยิน มิต้องตกใจไป พวกเราคือคนของท่านแม่ทัพฉือหย่งหลิง มีหน้าที่คอยคุ้มกันคุณชายน้อยและฮูหยินขอรับ”

“เช่นนั้นหรือ แล้วที่ด้านนอกนั่น”

“กลุ่มโจรกบฏขอรับ พวกมันคงทราบข่าวแล้วว่า หั้วชินอ๋องและท่านแม่ทัพ จะต้องพากองกำลังออกไปไกลจากเมืองอี้ของเรานานหลายเดือน พวกมันถึงได้บุกเข้ามา เพื่อปล้นเสบียงของชาวบ้านและหวังที่จะยึดเมืองอี้ขอรับ”

“แล้วข้าต้องทำเช่นไร”

“เชิญทางนี้ขอรับ”

ฉือฟางอินที่อุ้มเฉียนเอ๋อร์อยู่ ถูกคนของฉือหย่งหลิงพาตัวออกไปที่ด้านหลังของเรือน และเดินลึกเจ้าไปทางด้านหลังจวน ที่มีหลุมหลบภัยซ่อนเอาไว้

“พวกเจ้าจะให้ข้ากับเฉียนเอ๋อร์ หลบอยู่ในนี้หรือ”

“ขอรับ ข้างล่างนี่เป็นห้องลับที่ท่านแม่ทัพ สั่งใหพวกข้าน้อยทำเอาไว้ขอรับ ในนั้นพอจะมีเสบียงและสิ่งอำนวยความสะดวก พอให้ท่านกับคุณชาย หลบอยู่ในนั้นสักพักขอรับ”

“แล้วข้ากับลูกต้องอยู่ในนั้นนานแค่ไหน”

“จนกว่าพวกข้าน้อยจะมารับพวกท่านขอรับ”

“แล้วมันนานเท่าไรกันเล่า”

“ฮูหยินโปรดวางใจ ขอให้ท่านอยู่ในนี้จนกว่าสถานการณ์ด้านนอกจะปลอดภัย แล้วพวกข้าน้อยจะมารับท่านด้วยตัวเองขอรับ”

“หากถึงวันนั้น แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร ว่าเป็นพวกเจ้าจริงๆ มิใช่พวกโจรกบฏนั่น”

“สัญญาณขอรับ หากว่าคนด้านนอกประตู ผิวปากจังหวะ สาม สอง สาม เมื่อไหร่ นั่นคือคนของท่านแม่ทัพขอรับ แต่หากมีเหตุการณ์สุดวิสัยเกิดขึ้น เชิญฮูหยินตามมาทางนี้ขอรับ”

ฉือฟางอินที่กำลังตั้งใจฟังชายตรงหน้ากล่าว พยักหน้าพร้อมทั้งกระชับอ้อมกอดเฉียนเอ๋อร์ แล้วเดินตามชายผู้นั้นไปอย่างว่าง่าย

“หากมีคนอื่นที่มิใช่คนของเราบุกมาถึงที่นี่ นี่จะเป็นประตูทางออกทะลุไปยังป่าหลังจวนขอรับ หากมีผู้ใดที่มิใช่ข้าและคนของท่านแม่ทัพ พยายามจะเจ้ามาในห้องลับนี้ ให้ท่านพาคุณชายเฟิ่งเฉียน หนีออกไปทางนี้ได้ทันขอรับ เมื่อท่านออกไปแล้ว ให้ท่านเดินตรงไปอีกสักหน่อย ท่านจะเห็นทางแยกเป็นสองทาง โดยมีต้นไม้ต้นหนึ่งคั่นกลางเอาไว้

หลังจากนั้น ให้ท่านหาสัญลักษณ์รูปนกบนใบไม้ หากพบว่าอยู่ตรงกับเส้นทางใด ให้เดินไปยังเส้นทางนั้น ท่านก็จะได้พบกับหมู่บ้านลับหมู่บ้านหนึ่ง คนที่นั่นจะพาท่านไปยังที่ปลอดภัยขอรับ”

“ข ข้า เข้าใจแล้ว”

เมื่อคนทั้งหมดเข้าใจตรงกันทั้งหมดแล้ว คนของฉือหย่งหลิงก็ได้ทำการตรวจตรา ความเรียบร้อยภายในห้องลับอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าฮูหยินและคุณชายจะปลอดภัย เมื่อตรวจตราอย่างละเอียด เสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ขอตัวลากลับไปทำหน้าที่ของตน เฉียนเอ๋อร์ในตอนนั้น ก็หลับใหลไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนกับในตอนนี้ จนมารดาของเขาอุ้มเขาเดินทางมาถึงต้นไม้ ที่มีสัญลักษณ์รูปนกบนใบไม้แล้ว ฉือฟางอืนช่างใจอยู่เพียงครู่ จากนั้นจึงเดินหาใบไม้ที่มีสัญลักษณ์รูปนก เพียงไม่นานฉือฟางอินก็หาใบไม้ใบนั้นเจอ และยิ้มออกมาทันทีที่พบมัน พร้อมกับกล่าวกับเจ้าตัวอ้วนในอ้อมกอดอย่างระคนยินดีว่า

“เฉียนเอ๋อร์ ครั้งนี้แม่ของเจ้า จะไม่ตัดสินใจผิดพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง”

หญิงสาวเดินไปตามทิศทางเดียวกันกับ ใบไม้ที่มีสัญลักษณ์รูปนกใบนั้น อย่างไม่ต้องรีรอสิ่งใดอีก เพราะในคราแรกที่นางฟื้นขึ้นมา ด้วยความดีใจที่ได้ย้อนเวลากลับมา พร้อมทั้งได้เจอกับเฉียนเอ๋อร์ทันทีที่นางลืมตา นางจึงได้ไม่สังเกตสิ่งต่างๆ รอบข้าง จึงคิดไปว่าตนเองนั้นไม่ได้ย้อนกลับมา ในวันที่นางตายไปเมื่อชาติที่แล้ว แต่เป็นวันที่นางหนีออกจากห้องลับห้องนั้นต่างหาก

ซึ่งในวันนั้น ให้หลังจากที่คนของฉือหย่งหลิงออกไปไม่นาน ก็มีเสียงทุบประตูจากด้านนอกดังขึ้น ไร้ซึ่งเสียงสัญญาณผิวปากที่คนของฉือหย่งหลิงได้บอกเอาไว้ เช่นนั้นก็แน่นอนแล้วว่ากลุ่มคนที่อยู่ด้านนอกนั้น ไม่ใช่พวกเดียวกับคนของฉือหย่งหลิง ฉือฟางอินจึงพยายามตั้งสติของตนเองจากความกลัวที่มี รีบเร่งพาตนเองและเฉียนเอ๋อร์ไปที่ประตูลับแล้วหนีออกไป

แต่ทว่าในตอนนั้นฉือฟางอินได้ตัดสินใจพลาดไป เพราะแทนที่จะพาตนเองเดินไปให้ถึงทางแยก เพื่อหาสัญลักษณ์รูปนกบนใบไม้ ตามที่คนของฉือหย่งหลิงบอกไว้ แต่ในหัวของนางกลับหวนคิดถึงคำพูดของซือไท่อี้ขึ้นมาเสียก่อน เพราะในวันเดียวกันนั้นเอง เป็นที่นางจะต้องหนีไปกับเขา ฉือฟางอินจึงตัดสินใจเลือกที่จะเดินไปยังป่าอีกฟากแทน ที่เป็นที่นัดหมายของซือไท่อี้แทน

การตัดสินใจผิดพลาดในวันนั้น นำพาให้ตัวนางต้องตายในอีกเจ็ดวันต่อมา และยังทำให้เฉียนเอ๋อร์ต้องตายอย่างทรมาน อยู่ในป่าอย่างโด่ดเดี่ยว เพราะระหว่างทางที่กำลังหนีนั้น พวกเขาก็ได้ถูกไล่ล่าจากโจรกบฏ ที่บังเอิญผ่านมาเจอพวกเขาระหว่างการหลบหนี ซือไท่อี้จึงออกอุบายให้ฉือฟางอิน ส่งเฉียนเอ๋อร์ไปให้กับนางบำเรอที่ซือไท่อี้หลอกว่าเป็นน้องสาวของเขา

โดยอ้างว่าหากทั้งสามคน ต้องหนีไปด้วยกันทั้งที่มีเด็กเช่นนี้ จะต้องถูกไล่ตามทันเป็นแน่ ซือไท่อี้จึงให้ต่างคนต่างแยกกันหนี ให้นางบำเรอคนนั้น พาแยกเฉียนเอ๋อร์ออกจากนาง โกหกว่าไม่ไกลจากตรงนี้ มีบ้านเครือญาติห่างๆ ของพวกเขาอยู่ ให้นางบำเรอนางนั้นพาเฉียนเอ๋อร์ไปหลบอยู่ที่นั่นก่อน แล้วเมื่อทั้งนางและซือไท่อี้ไปถึงที่หมายแล้ว รอให้เรื่องโจรกบฏสงบลง หลังจากนั้นเขาจะพานางมารับเฉียนเอ๋อร์ไปอยู่ด้วยกัน

ทันทีที่ได้ฟังภายในใจของฉือฟางอิน ไม่เห็นด้วยกับแผนการของซือไท่อี้เลยแม้แต่น้อย นางเป็นแม่ของเฉียนเอ๋อร์ จะให้นางแยกจากเขาได้อย่างไร ในเมื่อซือไท่อี้บอกว่าที่นั่นเป็นที่ปลอดภัย เหตุใดไม่พากันหนีไปหลบภัยอยู่ที่นั่นด้วยกันทั้งหมด แต่ทว่าก่อนที่นางจะได้พูดอะไรออกไป จู่ๆ ก็มีลูกธนูดอกหนึ่งยิงเฉียดหน้านางไป พร้อมกับเสียงตะโกนของคนกลุ่มหนึ่ง ดังมาจากไล่หลังขึ้นมาเสียก่อน ซือไท่อี้จึงอาศัยจังหวะชุลมุนนี้ ส่งสายตาให้นางบำเรอของเขาแย่งเฉียนเอ๋อร์ไปจากมือนาง แล้ววิ่งหายไปอีกทางหนึ่ง

นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงในอีกเจ็ดวันต่อมา ที่ฉือฟางอินต้องถูกทรมานจนตายอยู่ที่หอนางโรม ที่ซือไท่อี้บังคับพานางไปถึงได้สำเร็จ นางก็ไม่เคยทราบข่าวความเป็นไปของเฉียนเอ๋อร์อีกเลย จนกระทั้งก่อนสิ้นลมหายใจสุดท้าย นางภาวนาขอให้บุตรชายยังปลอดภัย ขอให้มีคนของฉือหย่งหลิงมาพบเจ้าตัวน้อย พาเขากลับสู่อ้อมอกผู้เป็นพ่อ แล้วมีชีวิตอยู่ไปจนเติบใหญ่

แต่ความจริงที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้เข้าใกล้คำสวดภาวนาของนางเลยสักนิด เพราะนางบำเรอคนนั้น ได้ทิ้งทารกน้อยเอาไว้กลางป่า แล้วหนีหายไปยังที่ปลอดภัยเพียงคนเดียว ปล่อยให้เฉียนเอ๋อร์ต้องนอนหนาวตาย อยู่ในห่อผ้าตั้งแต่คืนแรกที่เขาถูกแยกออกไป เมื่อนางย้อนเวลากลับมา แล้วพบว่าบุตรชายยังคงนอนหลับ อยู่ในอ้อมกอดของตนเอง นั่นจึงหมายความว่า เวลาที่ฉือฟางอินย้อนกลับมานั้น เป็นวันที่นางจะต้องหนีไปกับซือไท่อี้ วันเดียวกับที่จวนสกุลฉือถูกกลุ่มโจรกบฏบุกเข้ามาในจวนนั่นเอง

“ไปกันเถิดเฉียนเอ๋อร์ แม่จะพาเจ้าไปยังที่ปลอดภัย”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทส่งท้าย

    “นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 63

    “ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 62

    เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 61

    “แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 60

    “อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 59

    “เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status