แชร์

บทที่ 12

ผู้เขียน: มู่เหลียง
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-02-14 09:41:27

ฉือฟางอินได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี จากคนทั้งจวนสกุลฉือ หญิงสาวถูกย้ายมายังเรือนหลังใหม่ ซึ่งเป็นเรือนที่ฉือหย่งหลิงสร้างเอาไว้สำหรับทารกน้อย ที่กำลังจะออกมาลืมตาดูโลก ตามคำแนะนำจากท่านหมอ ว่าสุขภาพเด็กจะดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับอาหารการกินและความเป็นอยู่ของมารดา อาจเป็นเพราะคำแนะนำเหลานี้ จึงทำให้ระยะหลังมานี้ฉือหย่งหลิงถึงได้เพลาการหาเรื่องนางลง ชายหนุ่มมักจะแวะเวียนมาถามไถ่ อาการของหญิงสาวจากคนรับใช้อยู่เป็นประจำ

ครั้นเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น จนฉือฟางอินเริ่มจะเดินเหินลำบากและอาการเท้าบวมตามมา ในกลางดึกของทุกคืน และในบางคืนก็ค้างอยู่ที่นั่น โดยที่ฉือฟางอินเพิ่งจะรู้ตัวก็ในคืนหนึ่งที่นาง เกิดปวดเบาขึ้นมาในตอนดึก ตามประสาคนมีครรภ์แก่ เมื่อนางจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะเคลิ้มหลับต่อ ฉือฟางอินกลับได้ยินเสียงคนเปิดประตูเข้ามา โดยที่ไม่ได้เอ่ยขออนุญาตกับนางก่อนอย่างคนรับใช้คนอื่นๆ

คนที่เข้ามานั้นก็คือฉือหย่งหลิง ที่มักจะเข้าสัมผัสท้องของนาง และนวดเท้าที่บวมให้เสมอ โดยที่ฉือฟางอินไม่เคยรู้มาก่อน แม้จะรู้ตัวว่าหลายเดือนที่ผ่านมานี้ หลายสิ่งหลายอย่างที่ชายหนุ่มทำให้กับนาง  เขาอาจจะทำไปเพราะต้องการให้เด็กที่อยู่ครรภ์ ได้รับแต่สิ่งดีๆ โดยมีนางเป็นคนที่ส่งผ่านไปถึง แต่การที่เขาแอบเข้ามาในห้องของนางเพื่อมาทำเช่นนี้

ก็พาให้ภายในใจของฉือฟางอิน เกิดกระแสความรู้สึกหนึ่งเกิดขึ้นมา แม้พยายามจะห้ามใจเท่าไหร่ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธใจตนเองได้ว่านางมีความรู้สึกดีให้กับฉือหย่งหลิงเข้าแล้ว และกลายเป็นว่าทุกคืนนางจะไม่สามารถข่มตาหลับได้เลย หากฉือหย่งหลิงยังไม่เข้ามาในห้อง เพียงฝ่ามืออุ่นๆ ของเขาสัมผัสลงบนหน้าท้อง และได้กลิ่นจากกายจากเขาเพียงเท่านั้น นางก็รู้สึกอุ่นซ่านไปถึงหัวใจ และสามารถหลับลงได้ในทันที ทั้งที่ก่อนหน้านี้นางไม่จำเป็นต้องได้รับสัมผัสจากเขา นางก็สามารถนอนหลับได้อย่างง่ายดายมาตลอด

จนมีบางครั้งที่ฉือฟางอินเผลอคิดไปว่า ระหว่างนางกับเขายังพอมีโอกาสหันหน้าคุยกัน แล้วเริ่มความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาได้หรือไม่ แต่ทว่าทุกสิ่งที่นางคิดนั้นราวความฝัน ที่ไม่มีวันเป็นจริงไปได้เมื่อถึงเวลาที่นางคลอดทารกในครรภ์ออกมา ฉือหย่งหลิงคนที่ทำให้นางหวั่นไหวคนนั้นก็หายไปในทันที เหลือไว้เพียงฉือหย่งหลิงคนเดิม ที่ทำสิ่งแย่ๆ กับนางมาตลอดมา

ฉือฟางอินได้อยู่พักฟื้นที่เรือนของเขาได้เพียงสามวัน หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ออกปากให้นาง กลับไปอยู่ที่เรือนไม้หลังเก่าท้ายจวนตามเดิม ราวกับว่าเก้าเดือนที่ผ่านมานั้น ไม่ได้มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นระหว่างนางและเขาเลยแม่แต่น้อย ทั้งที่เตรียมใจเอาไว้แล้วว่าการกระทำดีๆ ที่ฉือหย่งหลิงทำให้ตนนั้น เขาทำไปก็เพราะเด็กที่อยู่ในท้องของนาง แต่สุดท้ายแล้ว นางกลับไม่สามารถทำใจให้เข้มแข็ง เหมือนเมื่อครั้งที่นางไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาได้

เมื่อกลับมาอยู่ที่เรือนของตนแล้ว ฉือฟางอินก็ต้องเผชิญกับแรงอารมณ์หลังคลอดลำพัง นางเอาแต่ร้องไห้เสียใจกับสิ่งที่ตนเองต้องพบเจอ พร้อมทั้งอาการนอนไม่หลับ เพราะแต่คิดถึงสัมผัสจากฉือหย่งหลิง และลูกน้อยที่ได้ใช้เวลาร่วมกันเพียงสามวัน จนต้องหันไปพึ่งสุราหลังจากที่เลิกดื่มไป เมื่อครั้งที่รู้ตัวว่าตนเองต้องเตรียมตัวตั้งครรภ์

ยามที่สุราที่เรือนหมด ฉือฟางอินก็ออกจากจวน เพื่อไปดื่มสุราที่ร้านข้างนอก เปิดโอกาสให้ซือไท่อี้เข้ามาโน้มน้าว เรื่องที่เขาต้องการให้นาบหนีไปกับเขาได้อีกหน  ประกอบกับที่เวลานั้นฉือฟางอินกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์อ่อนไหว สุดท้ายแล้วจากที่เคยคิดว่า แม้หย่งหลิงจะไม่ได้ยกย่องนางอย่างภรรยา

แต่หากเขาให้เกียรตินางสักหน่อย ในฐานะแม่ของเฉียนเอ๋อร์ นางก็ยินดีที่จะอยู่ที่จวนสกุลชวี่ต่อไป แต่ที่ผ่านมาชายหนุ่มทำราวกับว่า ตัวนางนั้นเป็นเพียงแม่พันธ์ที่ออกลูก เพื่อให้เขาได้รอดพ้นจากคำทำนายอนาคตอันเลวร้าย เมื่อเป็นเช่นนี้ มีหรือที่นางจะยอมทนอยู่ที่นี่ต่อไป สู้ไปตายเอาดาบหน้ายังดีเสียกว่า

“ได้ ข้าจะหนีไปกับท่าน”

ซือไท่อี้ที่ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเขาก็วาวโรจน์ขึ้นมาทันที เพราะในที่สุด แผนที่เขาวางเอาไว้ ก็มาถึงคราวที่จะได้จบลงเสียที หากว่าสตรีตรงหน้ามีหน้าธรรมดา มิได้ไม่ได้งามหยดย้อยพอที่จะเอาตัวไปขายที่หอคณิกา แล้วได้เงินเป็นกอบเป็นกำแล้วล่ะก็ เขาจะไม่อดทนรอปล่อนเวลานานแรมปีเช่นนี้

โชคดีที่ก่อนหน้านี้เขาไปถอดใจไปเสียก่อน ไม่เช่นนั้นก็คงไม่สบโอกาสดีอย่างเช่นนี้ อีกทั้งซือไท่อี้ยังได้ยินมาว่า ไม่กี่วันมานี้หั้วชินอ๋องพึ่งได้รับราชโองการจากฮ่องเต้ ให้นำกองกำลังของเขาไปเข้าร่วม ปราบกบฏ ที่ชายแดนทางเหนือของแคว้น เป็นเหตุให้ฉือหย่งหลิงที่เป็นแม่ทัพใหญ่ ในกองกำลังของหั้วชินอ๋อง จะต้องเดินไปพร้อมกับหั้วชินอ๋องในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน ซือไท่อี้จึงจะใช้โอกาสนี้พาตัวฉือฟางอิน หนีไปให้ได้   

ส่วนทางด้านฉือฟางอินเอง การที่ฉือหย่งหลิงจะต้องออกไปร่วมปรายกบฏในครั้งนี้ ก็เป็นโอกาสของนางที่จะหนีไปจากจวนสกุลฉือเช่นกัน หลังจากที่นางเตรียมทรัพย์สินของมารดา ที่ยังพอมีเหลืออยู่ กับข้าวของจำเป็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ภายในในของหญิงสาวก็รู้สึกวูบโหวงขึ้นมา เมื่อคิดไปว่านับจากวันนี้ไป นางอาจจะไม่ได้เจอกับเฉียนเอ๋อร์อีก

เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางจึงอยากจะเห็นหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่นางจะจากไป ฉือฟางอินจึงเข้าไปขออุ้มเฉียนเอ๋อร์กับแม่นมหลี่ โชคยังดีที่ตลอดมา การที่ฉือหย่งหลิงทำไม่ดีกับนาง ไม่ได้ส่งผลให้คนรับใช้ในจวนสกุลฉือ ปฏิบัติกับนางเช่นนั้นไปด้วย เพียงแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฉือหย่งหลิง พวกเขาก็ต้องรักษาชีวิตของคนเองไว้ก่อน ในตอนนี้ที่ฉือหย่งหลิงไม่อยู่ที่จวน เหล่าคนรับใช้จึงยินดีหากฮูหยินของพวกเขา ต้องการให้ช่วยเหลือสิ่งใด เพราะที่ผ่านมานอกจากกับฉือหย่งหลิงแล้ว ฮูหยินก็ไม่เคยทำไม่มีกับพวกเขาเลยสักครั้งเช่นกัน

“ฮูหยิน ห่อผ้านี้ ท่านจะเอาไปไหนหรือเจ้าคะ” ในขณะที่ฉือฟางอินกำลังมองหน้าเฉียนเอ๋อร์ ที่อยู่ในอ้อมกอดนั้น แม่นมหลี่ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ สังเกตเห็นได้ว่า ที่ไหลของฉือฟางอินข้างหนึ่ง กำลังสะพายห่อผ้าห่อหนึ่งไว้จึงเอ่ยทักขึ้นมา ฉือฟางอินที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจขึ้นมาทันที

“เออะ เอ่อ…ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่กลัวน่ะ”

“กลัวอะไรหรือเจ้าคะ”

“ก กลัว อ เอ่อ ขโมยน่ะ!”

“ขโมยหรือเจ้าคะ? ตายจริง มีโจรเข้ามาในจวนหรือเจ้าคะ”

“ไม่ใช่ๆ แต่คือ เจ้าก็รู้มิใช่หรือ เรือนของข้าทั้งเก่าและอยู่ใกล้กำแพงท้ายจวนที่ทั้งเก่าและผุพัง แล้วอีกอย่างที่ นั่นก็มีข้าอยู่เพียงคนเดียว ข้ากลัวคนนอกจะแอบเข้ามาน่ะ ยิ่งตอนนี้เจ้านายของพวกเจ้าก็ไม่อยู่ ข้าเลยนำของมีค่าติดตัวมาด้วยน่ะ”

ฉือฟางอินโกหกไปคำโต และพยายามทำสีหน้าให้หน้าสงสารที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม่นมหลี่ได้ยินคำอธิบายและนึกภาพตาม นางก็เข้าใจความหมายที่ฉือฟางอินจะสื่อ แม้จะไม่รู้ว่านั่นคือคำโกหก แต่ทว่าสิ่งที่ฉือฟางอินกล่าวนั้น ก็เป็นความจริงอยู่หลายส่วน เพราะเรือนที่ท่านแม่ทัพ อนุญาตให้ฮูหยินอยู่นั้น ทั้งเก่าและอยู่ติดกำแพงท้ายจวนจริงๆ หากเป็นนางที่ต้องอยู่เช่นนั้นคนเดียว นางเองก็คงคิดไม่ตกเรื่องของมีค่าของนางเช่นกัน ด้านฉือฟางอินที่เห็นว่าแม่นมหลี่ไม่ได้ท่าทีสงสัยใจตัวนาง และไม่ได้ถามสิ่งใดอีกก็โล่งใจ หันกลับไปหยอกเย้ากับเฉียนเอ๋อร์ต่อ ‘สามเดือนผ่านไป เจ้าเด็กทารกตัวแดงๆ คนนั้น เติบโตขึ้นมาขนาดนี้เชียวหรือนี่’

พลันขอบตาของนางก็ร้อนผ่าวขึ้นมา เมื่อได้เห็นเจ้าก้อนหมั่นโถวอวบอ้วนส่งยิ้มให้ ทำให้ภายในจิตใจของนาง เกิดความลังเลขึ้นมาเพราะลึกๆ แล้วนางเองก็อยากเห็นเด็กคนนี้ เติบโตไปจนตัวนางแก่เฒ่า อยากให้ได้ยินเขาเรียกนางว่าแม่ ถ้าหากว่านางสามารถอดทนไปถึงตอนนั้น อาจจะดีกว่าการหนีไปเช่นนี้หรือเปล่านะ แต่ทว่าในขณะที่ฉือฟางอิน กำลังจมอยู่กับความคิดของนางอยู่นั้น จู่ๆ ที่ด้านนอกเรือนก็เกิดเสียงเอะอะโวยขึ้นมา

“โจรกบฏ คุ้มกันคุณชายกับฮูหยินด้วย!”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทส่งท้าย

    “นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 63

    “ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 62

    เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 61

    “แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 60

    “อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 59

    “เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status