เป็นเซียนอยู่ดีๆ ดันไปเปลี่ยนชะตาชีวิตของมนุษย์จนเกิดเภทภัย บุรุษที่ช่วยเหลือกลายเป็นทรราชเข่นฆ่าผู้คน นางจึงถูกส่งมาแก้ไขเรื่องที่ตนเองทำผิด เรื่องย่อ : เพราะความสงสารที่เห็นหวงหยางจิ้ง องค์ชายใหญ่ของแคว้นหวง ถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้เซียนสาวที่ทำหน้าที่ตรวจตราดูความเรียบร้อยบนโลกมนุษย์ กระทำการเปลี่ยนชะตาชีวิตอันน่าสงสารนั้น ให้ถูกชินอ๋องต่างแคว้นรับไปเป็นบุตรบุญธรรม แต่ผู้ใดจะรู้ว่านั่นเป็นจุดกำเนิดของทรราช ชายหนุ่มผู้น่าสงสารเปลี่ยนเป็นบุรุษชั่วร้ายอำมหิต เข่นฆ่าผู้คนอย่างกับผักปลา เมื่อมหาเทพได้รับรู้เรื่องราวที่เซียนสาวก่อขึ้น จึงลงโทษให้ย้อนกลับมาจุติเป็นมนุษย์และแก้ไขสิ่งที่ทำผิด แต่เหมือนถูกมหาเทพกลั่นแกล้ง เซียนสาวถูกส่งมาเกิดเป็นเกาเยี่ยนฟาง ชายาชังของหวงหยางจิ้ง ที่เขาฆ่าทิ้งทันทีหลังจากที่มีอำนาจในมือ หวงหยางจิ้ง X เกาเยี่ยนฟาง “ออก! ไป!” “หม่อมฉันไม่ไปที่ใดทั้งนั้น” ร่างเล็กกลัวจะถูกลากออกไปจากจวน จึงรีบคลานไปกอดเสาศาลา หวงหยางจิ้งมองซ้ายมองขวา หันไปเห็นกิ่งไม้ข้างๆ ศาลาจึงหยิบมางัดแงะแขนขาของสตรีหน้าไม่อายคนนี้ออกจากจวน “เฮอะ ถึงขนาดใช้ไม้เขี่ยหม่อมฉันเลยหรือเพคะ” “เนื้อตัวสกปรกของเจ้า ข้าไม่คิดจะแตะให้เสียมือ”
View More“พวกข้ามิยอมทำตามคำสั่งทรราชเช่นเจ้า บัลลังก์ที่เจ้านั่งเป็นบัลลังก์เลือด ได้มาจากการเข่นฆ่าสายเลือดเดียวกัน” เสียงด่าทอของขุนนางในราชสำนักแคว้นหวง สร้างความระคายหูให้กับหวงหยางจิ้งที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เป็นอย่างมาก
“นี่ข้าตาบอดหรือ เหตุใดไม่เห็นว่าบัลลังก์ของข้าเปื้อนเลือด หรือว่าเจ้าเห็น” ตาคมกริบตวัดไปมองขันทีที่ยืนอยู่ข้างกาย
“มะ มะ ไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่เห็นเลือดสักหยด”
“นั่นสิ ข้าว่าท่านเสนาหูตาฝ้าฟาง บัลลังก์ของข้า แม้แต่ฝุ่นก็ยังไม่มี”
“…”
“แบบนี้ต่างหากจึงจะเรียกว่าบัลลังก์เลือด” รอยยิ้มแสยะปรากฏขึ้น พร้อมกับร่างขันทีคนสนิทของฮ่องเต้องค์ก่อน ที่ถูกทหารกดให้แนบหน้าลงกับแท่นบัลลังก์
“ฝ่าบาทโปรดละเว้น โปรดละ อ๊าก อึก!!!” มีดเล่มเล็กถูกโอรสสวรรค์ปักลงมาที่หลังคอของขันทีเฒ่า เลือดสีแดงสาดกระจายไปทั่วแท่นบัลลังก์ สร้างความหวาดกลัวให้เหล่าขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรง จนบางคนถึงกับแข้งขาอ่อน
ทว่าเพชฌฆาตที่พึ่งสังหารคนไป กลับยิ้มหัวเราะอย่างรื่นเริง
ภาพอันน่าสยดสยองที่ฉายอยู่บนม่านชีวิต ทำเอาเหล่าทวยเทพถึงกับเบือนหน้าหนี นี่ยังไม่นับภาพพื้นพิภพเจิ่งนองไปด้วยเลือด ทุกหย่อมหญ้ามีคนล้มตาย บ้านเรือนประชาราษฎร์ถูกห้อมล้อมไปด้วยไฟ เพราะสงครามที่เกิดขึ้นไม่หยุดยั้ง
“เห็นสิ่งที่เจ้าทำหรือไม่ เห็นหรือไม่ว่าแผ่นดินต้องลุกเป็นไฟ เพราะเจ้า!!!” เสียงกัมปนาทของเจ้าแห่งสามพิภพดังขึ้น พร้อมกับสายฟ้าฟาดลงกลางแดนสุขาวดี
อาภรณ์สีขาว ปักลายด้วยดิ้นเงิน ประดับมุกล้ำค่า ถูกเจ้าของสะบัดชายผ้าอย่างไม่ถนอม รองเท้าลวดลายวิจิตรก็ถูกเหยียบย่ำไปตามแรงอารมณ์
เหล่าเทพเซียนทั้งชายหญิงต่างก้มหน้าก้มตา มิมีผู้ใดกล้าปริปากในยามที่องค์มหาเทพเกรี้ยวโกรธ ครั้นอยากจะช่วยเซียนสาวตัวน้อยเพียงใด ก็ต้องหักห้ามใจเอาไว้
“ขะ ขอมหาเทพโปรดเมตตา ข้าทำไปเพราะความสงสาร มิคิดว่าเรื่องจะเลยเถิดไปถึงเพียงนี้” เซียนสาวก้มหมอบด้วยจิตใจสั่นไหว
นางไม่คิดว่าความสงสารของนางในวันนั้น จะนำพาเรื่องเลวร้ายมาสู่โลกพิภพ ทำให้แผ่นดินลุกเป็นไฟ มีผู้คนนับแสนล้มตายกันเกลื่อนเมืองเช่นนี้
หลี่เมิ่ง เป็นเทพเซียนอยู่บนสรวงสวรรค์ นางได้รับหน้าที่จากมหาเทพให้ตรวจตราดูสรรพชีวิต คอยสอดส่องดูแลความปลอดภัยของสามโลก หากว่ามีหมู่มารถือกำเนิดขึ้นบนพิภพโลก มหาเทพจะได้เร่งจัดการได้ทันท่วงที มิให้เกิดความเสียหายร้ายแรง
ทว่ากว่าเก้าร้อยปีที่รับตำแหน่งนี้มา หลี่เมิ่งกลับมิเคยเห็นเหล่ามารปรากฏกายขึ้นบนโลกมนุษย์เลยสักครั้ง
จากเดิมที่ตั้งใจทำงาน ขยันขันแข็ง ตรวจตราดูทุกสิ่ง นานวันเข้าอาการเบื่อหน่ายกลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จึงหันมาเฝ้ามองชีวิตของเหล่ามนุษย์เพื่อความผ่อนคลาย บ้างก็ยิ้มหัวเราะกับโชคชะตาที่แสนตลกขบขัน บ้างก็ร้องไห้กับความสูญเสียของผู้อื่น
กระทั่งหลี่เมิ่งไปสะดุดตาเข้ากับชีวิตขององค์ชายหวงหยางจิ้ง องค์ชายใหญ่ของแคว้นหวง
เอกบุรุษผู้นี้เกิดมาเพียบพร้อมไปด้วยอำนาจวาสนา เงินทอง และยศศักดิ์ ถูกหมายมั่นให้เป็นถึงองค์รัชทายาทของแคว้น
แต่ผู้ใดจะรู้ว่าพออายุได้เพียงสิบเอ็ดหนาว ชีวิตของหวงหยางจิ้งก็เหมือนร่วงหล่นลงสู่ก้นเหว มารดาที่เป็นถึงฮองเฮาของแคว้นต้องโทษหนัก ถูกกักขังในคุกชั่วชีวิต ซ้ำสกุลเดิมของมารดายังถูกฆ่าล้างบาง เหลือเพียงเถ้าธุลี และมลทินแปดเปื้อนให้ผู้คนเล่าลือ
หลังจากนั้นชีวิตที่แสนสุขของหยางจิ้งก็เหือดหายไป เขาถูกกลั่นแกล้งจากเหล่าพี่น้องต่างมารดา บิดาที่เคยอุ้มชูก็หมางเมิน จนต้องระเห็จออกมาอยู่นอกวัง ใช้ชีวิตเช่นยาจก ทำงานแลกข้าว ไปที่ใดก็ไม่มีใครนับหน้าถือตา สิ้นไร้ซึ่งศักดิ์ศรีของเชื้อพระวงศ์
เรื่องราวทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของหลี่เมิ่ง ทุกความเศร้า ความเสียใจ ทำให้นางทนมิได้ที่จะเห็นชายผู้นี้ลำบาก นางจึงแอบแปลงกายลงมายังโลกมนุษย์ เพื่อช่วยเปลี่ยนชะตาชีวิตของหยางจิ้ง ให้ได้พบเจอกับชินอ๋องของแคว้นจาง จางปี้ซวน หวังให้ชายหนุ่มได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย
ทว่าผู้ใดจะล่วงรู้ ว่าการพบกันครั้งนั้นของทั้งคู่ จะนำมาซึ่งเภทภัยใหญ่หลวงเช่นนี้
หวงหยางจิ้งเดินทางไปอาศัยอยู่แคว้นจางกับพ่อบุญธรรม ถูกเลี้ยงดู ปลูกฝังให้กลายเป็นบุรุษโหดเหี้ยม เมื่อมีอำนาจและทราบข่าวว่ามารดาสิ้นชีพในคุก เขาก็นำกองกำลังกลับมาสังหารเชื้อพระวงศ์แคว้นหวงจนสิ้น ไม่เว้นแม้แต่พระบิดาผู้ให้กำเนิด
จากนั้นก็ตั้งตนเป็นจักรพรรดิของแผ่นดิน ใครคิดต่อต้านจะต้องถูกแล่เนื้อและแขวนคอไว้หน้าประตูวัง จนได้ชื่อว่าเป็นทรราชของแผ่นดิน
จักรพรรดิหนุ่มก่อสงครามกับทุกแคว้น ยึดเมืองอื่นมาเป็นของตน ทำให้ผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมาก
ด้วยเหตุนี้ องค์มหาเทพจึงมิอาจให้อภัยกับความผิดในครั้งนี้ของหลี่เมิ่งได้
“จะแก้ตัวอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น เพราะหน้าที่ของเจ้าเป็นเพียงผู้ตรวจตรา หาใช่ผู้กำหนดชะตาชีวิต”
“…ข้าขออภัย” หลี่เมิ่งว่าเสียงอ่อน ยอมรับความผิดแต่โดยดี นางเองก็พยายามจะแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ทำอย่างไร เจ้าหมาโง่ของนางก็ไม่อาจกลับมาเป็นเด็กชายผู้น่ารักได้
“รู้สำนึกว่าตนผิด เอ่ยขออภัยในสิ่งที่ทำ ถือเป็นเรื่องดี”
“…” เซียนสาวก้มหน้างุด รอฟังคำของผู้ยิ่งใหญ่
“แต่ในเมื่อเจ้าเป็นคนผูกปัญหานี้ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องแก้มันด้วยตนเอง”
“พระองค์หมายความว่าอย่างไร”
“ข้าจะส่งเจ้าลงไปจุติเป็นมนุษย์”
เพียงได้ยินบัญชาจากองค์เทพ ก็เหมือนมีสายฟ้าผ่าลงมากลางอก เซียนสาวเบิกตาโพล่ง นิ่งงันราวกับรูปปั้น
กว่านางจะบำเพ็ญบารมี จนได้กำเนิดเป็นเทพเซียนอยู่บนสรวงสวรรค์มิใช่เรื่องง่าย แต่นางกลับทำทุกอย่างพังพินาศ
เพราะเจ้าหมาโง่คนเดียวเลย อย่าให้นางได้เจอนะ!
“…”
“ไปแก้ปัญหาที่เจ้าก่อ เมื่อใดที่ผืนแผ่นดินโลกสุขสงบ เมื่อนั้นเจ้าจะได้กลับมา” ดรรชนีผู้เป็นใหญ่แตะลงกลางหน้าผากมน เพียงเท่านั้นทุกอย่างรอบกายของหลี่เมิ่งก็มืดดับลง เฉกเช่นอยู่ในหลุมลึก
จากสวรรค์สู่เหวลึก จากทวยเทพสู่มนุษย์เดินดิน…นี่สิหนา ชะตาของหลี่เมิ่ง
เสียงสะอึกสะอื้นของสตรี เรียกร้องให้คนที่หลับใหลอยู่ในห้วงนิทรา ต้องฝืนความง่วง ลืมตาตื่นขึ้นมาดูว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
“ฟางเอ๋อร์ของพ่อ เจ้าลืมตาแล้ว น้องหญิงลูกเราฟื้นแล้ว”
“ฟางเอ๋อร์ คนดีของแม่”
หลี่เมิ่งยังมีอาการมึนงงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น จึงมิได้ปฏิเสธอ้อมกอดจากสตรีวัยกลางคนตรงหน้า
ได้แต่นิ่งเงียบ ปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด จนเข้าใจว่าตนเองคงได้ลงมาจุติบนโลกมนุษย์ เพื่อแก้ไขปัญหาที่นางก่อ ตามคำสั่งของมหาเทพ
“ฟางเอ๋อร์ลูก เจ้าได้ยินแม่หรือไม่”
“ข้าได้ยิน ท่านคือ…” ตากลมไล่พิจารณาใบหน้าของสตรีและบุรุษมีอายุ ก็จำได้ทันทีว่านางเคยเห็นทั้งคู่ ผ่านม่านฉายชีวิตของหวงหยางจิ้ง
บุรุษหนวดแหลมตรงหน้านาง เป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้นหวง นามว่า เกากั๋วเฉียง มีฮูหยินฉินฮวาเป็นฮูหยินเอก ซึ่งก็คือสตรีที่กอดนางอยู่ ทั้งสองคนเป็นบิดามารดาของ เกาเยี่ยนฟาง
เกาเยี่ยนฟาง!!!
“แม่กับพ่ออย่างไรเล่า เจ้าจำได้หรือไม่”
“ข้า ข้าคือเกาเยี่ยนฟางหรือ” หลี่เมิ่งบีบมือตนเองไว้แน่น ภาวนาไม่ให้องค์เทพส่งนางมาเป็นคุณหนูเกา
แต่เหมือนสวรรค์จะไม่เห็นใจคนกระทำผิดเช่นนาง
“ใช่ลูก เจ้าคือคุณหนูน้อยสกุลเกา เกาเยี่ยนฟางของแม่”
ได้ยินคำตอบคนที่พึ่งฟื้นคืนสติขึ้นมา ก็ตาลอยทำท่าคล้ายจะเป็นลมล้มพับไปอีกครา จนคนในเรือนต้องวิ่งวุ่นเรียกท่านหมอมาตรวจดูอาการ
จะไม่ให้หลี่เมิ่งล้มตึงได้อย่างไร ก็ในเมื่อร่างที่นางมาจุติอยู่ เป็นร่างของเกาเยี่ยนฟาง ชายาแสนชังขององค์ชายใหญ่หวงหยางจิ้ง
…ที่อีกฝ่ายสังหารทิ้งเป็นคนแรก หลังจากมีอำนาจในมือ
มือเล็กดึงแขนของเอกบุรุษให้ตามออกมาด้วยสีหน้าถมึงทึง เท้าเล็กกระทืบลงพื้นระบายความโมโห“หยุด! เจ้าจะพาข้าไปที่ใด”“เป็นใบ้หรือไร เหตุใดไม่ตอบกลับไปเล่า” เยี่ยนฟางเดินมาหยุดที่ตรอกไร้คน พลางหันไปต่อว่าอีกฝ่ายนางทั้งโมโห ทั้งอยากหยิกคนตรงหน้า ไม่ว่าเมื่อใดเจ้าหมาโง่ของนางก็ยืนให้คนอื่นด่า ยอมให้คนอื่นหัวเราะเยาะเพราะเหตุนี้อย่างไรเล่า จึงได้เก็บกด พอมีอำนาจก็ไม่เกรงกลัวผู้ใด ทำร้ายผู้คนอย่างเลือดเย็น“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร” หยางจิ้งหรือจะไม่โกรธ เขาแทบอยากพุ่งเข้าไปบีบคอสตรีชั้นต่ำผู้นั้น แต่ในฐานะเช่นเขา จะทำสิ่งใดได้“ก็ด่าพวกเขากลับไป เอาให้หูดับไปเลยยิ่งดี”“อย่างที่เจ้าด่าข้าอยู่นี่น่ะหรือ”“ข้า- เอ่อ หม่อมฉันมิได้ด่านะเพคะ เพียง เพียงบอกองค์ชายเท่านั้น” เยี่ยนฟางอยากตบปากตนเองนัก ทั้งที่ตั้งใจจะตีสนิทอีกฝ่าย แต่นางกลับลืมตัว ด่าเขาว่าเป็นใบ้เสียอย่างนั้น“บอกว่าข้าเป็นใบ้น่ะหรือ”“หึ หยุดใช้สายตากดดันหม่อมฉันนะเพคะ ทีกับผู้อื่นเหตุใดไม่มองเช่นนี้บ้าง”“ข้ามิได้ทำ”“ทำเพคะ มองอย่างกับจะฆ่าแกงกัน อ๊ะ! จะไปที่ใดเพคะ เมื่อครู่เป็นหม่อมฉันที่ช่วยพระองค์ไว้ องค์ชายควรตอบแทนหม่อมฉั
“อาเป่า เจ้าอยากทานสิ่งใดบอกข้า วันนี้ข้าได้เงินจากพี่ใหญ่และพี่รองมาเต็มถุงเลย”เป็นเวลาเกือบเดือนที่เหล่าคุณชายสกุลเกา รับรู้ว่าน้องสาวล้มป่วย แต่หน้าที่การงานรัดตัว ต้องไปราชการต่างเมือง จึงมิได้มาปลอบใจน้องสาวในทันใดพอเกิงชุนกับจวินอู๋กลับมาเห็นท่าทีของน้องสาวเปลี่ยนไป ก็คิดว่านางคงเสียใจหนักมาก จึงเอาอกเอาใจยกใหญ่ เยี่ยนฟางอยากได้สิ่งใดก็ควักเงินให้ไปซื้ออย่างไม่ลังเล“โอ้โห คุณชายทั้งสองมีเงินทองมากมายเสียจริงขอรับ”“แน่สิ ยังเหลือพี่สามอีกหนึ่งคน ที่ข้ายังไม่ได้ขอ”“เช่นนั้นบ่าวทานเสี่ยวหลงเปาได้หรือไม่ขอรับ กลิ่นหอมมาแต่ไกล”“อาเป่า เจ้าชักจะเกินไปแล้ว” ลี่จูปรามบุตร“เจ้านี่อย่างไรลี่จู ลูกชายเจ้ากินเก่งก็ดีแล้ว ข้าเองก็จะซื้อเสี่ยวหลงเปาไปฝากองค์ชายเช่นกัน”“คะ คุณหนูยังจะไปอีกหรือเจ้าคะ ไปทีไร ก็เจ็บตัวกลับมาทุกครา” ลี่จูว่าเสียงเบา นางกับลูกตามคุณหนูไปจวนองค์ชายมานับครั้งไม่ถ้วน ไปทุกวัน คุณหนูของนางก็ถูกลาก ถูกจับโยนออกมานอกประตูจวนทุกวัน“เอาเถิดๆ อย่างน้อยองค์ชายก็ยอมแตะตัวข้า ก่อนหน้านี้เขาเคยเอาไม้เขี่ยข้าด้วยซ้ำ แสดงว่าเริ่มใจอ่อนแล้ว”“แล้วเหตุใดคุณหนูต้องทำให้องค์
“ปลดจ้าวหนิงจินลงจากตำแหน่งฮองเฮาให้เป็นเพียงสามัญชน และขังไว้ในคุกหลวงจนกว่าจะสิ้นชีวิต ชดใช้ความผิดที่ปลงพระชนม์เชื้อพระวงศ์”นั่นเป็นพระราชโองการที่หยางจิ้งจดจำได้มิเคยลืม ผู้คนทั้งแคว้นต่างก่นด่าว่าเสด็จแม่ของเขาจิตใจอำมหิต สังหารองค์ชายรอง หวงลู่จิว ที่มีอายุได้เพียงเจ็ดหนาว เพราะกลัวว่าองค์ชายรองที่กำเนิดจากสนมขั้นกุ้ยเฟย สนมกงลี่จิน จะมาแย่งตำแหน่งองค์รัชทายาทไปจากหยางจิ้งเหตุการณ์นั้นทำให้ชีวิตของหยางจิ้งพลิกผันจนแทบตั้งรับไม่ทัน เสด็จพ่อที่เคยอุ้มชู กลับไม่เคยมาเหลียวแล จะเดินไปที่ใดก็มีแต่คนทำท่ารังเกียจ แม้แต่พวกขันทีนางในก็ยังกล้าดูแคลนหยางจิ้งในวัยสิบเอ็ดหนาวต้องทนกับคำพูดเสียดสี ดุด่า สาปแช่ง ทั้งยังไม่เคยได้ทานอาหารอิ่มท้องเลยสักวัน บางวันถึงขั้นเป็นข้าวบูดเสียด้วยซ้ำไม่ต้องพูดถึงเรื่องออกงานสำคัญกับเสด็จพ่อและเหล่าพี่น้อง หลังจากเสด็จแม่ได้รับโทษ เขาก็ไม่เคยได้รับเชิญอีก ทั้งยังถูกขับให้ออกมาอยู่จวนนอกวังกับเข่อชิงเพียงสองคนหวงหยางจิ้งในวัยนั้นรู้สึกโกรธมารดาเป็นอย่างมาก ที่ทำให้ตนเองกลายเป็นที่รังเกียจของทุกคน แต่ก็ได้ขันทีเข่อชิงที่คอยสอน และย้ำเตือนว่าอย่างไรเสด
“เรื่องที่พระองค์คิดจะทำ มีเพียงอำนาจของบิดาหม่อมฉันที่ช่วยได้”“…” คิ้วคมขมวดเข้าหากันเป็นปม เรื่องที่เขาคิดจะทำ สตรีนางนี้จะรับรู้ได้อย่างไรกัน“องค์ชายทรงตรองดูให้ดีเถิด เรื่องพระมารดาของพระองค์ ผู้ใดจะกล้ายื่นมือเข้ามาเสี่ยง”“แล้วเหตุใดเจ้าจึงกล้าเสี่ยงเล่า ทั้งที่ก่อนหน้าเจ้ามิยินดีจะเฉียดกายเข้าใกล้ข้าด้วยซ้ำ”“นั่นเพราะ…อย่างไรเสียหม่อมฉันก็แต่งให้ท่านแล้ว หากปล่อยให้องค์ชายทำเรื่องใหญ่ด้วยตนเอง แล้วเกิดผิดพลาดขึ้นมา สกุลเกาคงเดือดร้อนไปด้วย” เยี่ยนฟางลุกขึ้นมายืนประจันหน้ากับสวามี นางมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องตอบตกลงยอมรับความช่วยเหลือจากนางแน่เพราะก่อนหน้านี้หยางจิ้งพยายามตามสืบเรื่องของมารดาและสกุลจ้าว แต่ความกลับไม่คืบหน้า อย่างไรเสียเขาย่อมต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้“งั้นหรือ”“ใช่เพคะ ฮึๆ เอาเป็นว่าเรามานั่งทานมื้อกลางวันไป พูดคุยเรื่องนี้ไปดีหรือไม่ องค์ชายต้องการให้หม่อมฉันช่วยอย่างไร ขอเพียงบอกมาเท่านั้น” ใบหน้าหวานพยักให้บ่าวคนสนิทตั้งโต๊ะอาหารรสเลิศหลายจานจึงถูกยกมาจัดเตรียมอย่างสวยงาม รอเพียงชายหญิงมานั่งทานเท่านั้น“…”“มาเพคะ เชิญองค์ชายนั่งตรงนี้ ว๊าย!” ใจดวงน้อยตกไปอ
น้ำลายอึกใหญ่ถูกกลืนลงคอ ปากเล็กเป่าลมออกจากปาก ยืนทำใจอยู่หน้าประตูจวนหลังเก่า แม้ยามนี้หยางจิ้งจะเป็นเจ้าหมาโง่อยู่ แต่ภาพความโหดเหี้ยมของเขายังติดตานางไม่หาย“ให้บ่าวเคาะประตูเลยหรือไม่เจ้าคะ”“เอาเลย ข้าพร้อมแล้ว” เยี่ยนฟางกระชับปิ่นโตที่เอามาด้วยไว้แน่น รอให้ขันทีคนสนิทขององค์ชายออกมาเปิดประตูสามนายบ่าวยืนรอไม่นาน ประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดออก เมื่อขันทีเฒ่าเห็นว่าผู้ใดมา ก็แสดงสีหน้าไม่พอใจทันที“คำนับท่านขันทีเข่อชิง ข้านำอาหารมาฝากองค์ชาย ไม่ทราบว่าท่านพอจะนำทางข้าไปพบองค์ชายได้หรือไม่เจ้าคะ”“…” สีหน้าโกรธเคืองเปลี่ยนเป็นงุนงงในทันใด ทั้งคำพูด รอยยิ้ม และกิริยาที่อ่อนน้อม ราวเป็นคนละคนกับคุณหนูเล็กสกุลเกาที่เขารู้จัก“ท่านขันทีขอรับ ได้ยินที่คุณหนูของข้าว่าหรือไม่”“เอ่อ ข้าคงต้องนำเรื่องนี้ไปทูลต่อองค์ชายก่อน” เมื่อถูกเด็กอ้วนท้วง ขันทีชราก็หันหลังกลับเข้าไปถามนายเหนือหัวทันทีและคำตอบก็เป็นไปตามที่เขาคาดเอาไว้“ไล่นางกลับไป อย่าให้นางเข้ามาเหยียบในจวนเรา” น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้น ทั้งที่เจ้าตัวยังจดจ่ออยู่กับการวาดภาพทิวเขา“แต่…ครานี้นางมีท่าทีแปลกๆ นะพ่ะย่ะค่ะ ดูไม่เหมือนคุณหนูเ
“ฟางเอ๋อร์ ออกจากห้องได้แล้วหรือ แม่รองเป็นห่วงเจ้านัก นึกว่าเจ้าจะตรอมใจตาย เพราะองค์ชายสามจะแต่งชายาเสียแล้ว” เสียงของผินฟู่โยว ฮูหยินรองของบิดาเยี่ยนฟาง ทำเอาคนถูกทักกลอกตามองบนบุรุษมากภรรยา ย่อมต้องมีปัญหาตามมา ไม่เว้นแม้แต่สกุลเกา ที่มีฮูหยินรองเป็นพวกมักใหญ่ใฝ่สูง อยากทำตนเทียบชั้นกับฮูหยินเอกของสกุล ระรานเหล่าอนุของแม่ทัพเกา จนมีเรื่องปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน“เฮ้อ! ไปกันเถิด”“นับวันยิ่งทำตัวไร้มารยาท ไม่รู้ว่าฮูหยินเอกเลี้ยงดูบุตรสาวอย่างไร สู้เหรินเอ๋อร์ของป้าก็มิได้” เหรินเอ๋อร์ที่ว่า คือผินอี้เหรินหลานสาวของฮูหยินรอง ที่มาอาศัยอยู่เรือนสกุลเกามาตั้งแต่เล็กๆด้วยเหตุที่ว่าฮูหยินเอกมีบุตรชายมาแล้วถึงสองคน ฮูหยินรองเองก็คลอดบุตรชายอีกสองคน แม่ทัพเกาจึงอยากได้บุตรสาวช่างออดช่างอ้อน ผินฟู่โยวจึงพยายามอย่างหนักเพื่อเอาใจสามี ทว่าก็ไม่ทันฮูหยินเอกที่คลอดเยี่ยนฟางมาก่อนนางจึงได้แต่พาหลานสาวมาเลี้ยงดู หวังให้สามีหันมาสนใจ แต่เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ แม้เกากั๋วเฉียงจะเมตตา ให้ทุกอย่างที่ต้องการ แต่ก็ไม่เท่าบุตรสาวคนเล็ก“…”“ท่านป้า อย่าทำให้คุณหนูโมโหเลยเจ้าค่ะ”“เจ้าก็ดูเถิดเหรินเอ๋อร์
Comments