ระหว่างที่มือกำลังฝนหมึก ในหัวของฉือฟางอินก็ได้ไล่เลียงเรื่องราวเมื่อชีวิตที่แล้วไปพลาง เพราะหากเวลาในอดีตกับปัจจุบันสอดคล้องกัน เช่นนั้นก็แสดงว่าเวลานี้สินเดิม ของมารดาที่นางนำติดตัวออกมาจากจวนสกุลฉือ เวลานี้ก็คงจะพอเหลือให้นางได้ใช้อยู่ที่หมู่บ้านนี้ ได้อย่างสบายมือไปได้อีกนาน แต่ถึงอย่างนั้น นางก็จะต้องคิดเผื่ออนาคตไว้ด้วย
เช่นนั้น ช่วงเวลาที่นางกับเฉียนเอ๋อร์ยังต้องอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านหั้วห่าวแห่งนี้ นางจะต้องหาทาใช้ของมีค่าเงินที่เหลืออยู่จำนวนนี้ ต่อยอดให้พวกมันได้งอกเงยขึ้นมา เพื่อที่จะได้ใช้เป็นใบเบิกทางให้นางกับเฉียนเอ๋อร์ ได้ทำสิ่งต่างๆ ในอนาคตได้ง่ายขึ้น ใช่แล้ว มีเงินเท่ากับมีอำนาจ เพราะเงินสามารถบันดาลทุกสิ่งมาให้กับนางได้ หรือไหว้วานให้ใครทำสิ่งใดให้ก็ย่อมได้
“เสร็จเสียที”
การทำบัญชีในครั้งนี้ ฉือฟางอินไม่เพียงแต่จดบันทึกเงินและของมีค่าที่มีอยู่ในย่ามเท่านั้น แต่รวมไปถึงเงินและของมีค่า ที่นางซ่อนเอาไว้ใต้เรือนไม้หลังเก่า ที่จวนสกุลฉืออยู่อีกจำนวนหนึ่ง มารดาของนางถึงจะไม่ได้เกิดมาในสกุลร่ำรวย แต่นางมีความขยันและความพยายามทุกวิถีทาง ถึงได้เก็บเงินและของมีค่ามากมาย เตรียมเอาไว้ให้กับบุตรสาวอย่างฉือฟางอิน และเป็นโชคดีของนาง ที่ถึงแม้ตนเองจะไม่ลงลอยกับบิดา แต่เขาก็ยกสินเดิมของท่านแม่ให้นางมาทั้งหมด
แม้ในอดีตนางจะเคยใช้เงินมากมาย สุรุ่ยสุร่ายไปกับการดื่มสุรา ประชดประชันฉือหย่งหลิง แต่นั่นก็เป็นเพียงเศษเสี้ยว จากสินเดิมของท่านแม่เท่านั้น เมื่อคิดมาถึงตรงนี้แล้ว ฉือฟางอินก็ได้แต่ถอนใจ กับความคิดโง่เขลาของตนเอง ดีที่ว่าภายหลังนางเกิดคิดได้ ว่าการประชดประชันคนผู้นั้น ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา
จึงทำให้นางเปลี่ยนความคิด เลือกที่จะหนีไปกับซือไท่อี้แทน เมื่อย้อนเรื่องราวมาถึงตรงนี้ ภายในใจของฉือฟางอินก็เกิดความรู้สึกวูบโหวงขึ้นมาอีกครั้ง หากชีวิตที่แล้วตนเองมีสตินึกถึงตนเองและลูกมากกว่านี้ ชีวิตที่แล้วของนางกับเฉียนเอ๋อร์ ก็คงไม่ต้องพบกับจุดจบเช่นนั้น แต่เอาเถิด ในเมื่อนั่นคืออดีตที่ผ่านไปแล้ว นางควรจำเรื่องในอดีตไว้เป็นบทเรียน เพื่อที่จะได้ไม่กลับไปทำผิดพลาดอีก
เมื่อทำบัญชีเสร็จเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ฉือฟางอินจะต้องทำต่อจากนี้ก็คือคิดหาวิธี ทำให้พวกมันเพิ่มจำนวนขึ้น ให้มากพอที่จะทำให้นางมีฐานะมั่นคง ให้สมกับที่นางเป็นถึงฮูหยินในจวนแม่ทัพใหญ่ ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่านางทำไป เพื่อต้องการยืนเคียงข้างฉือหย่งหลิงแต่อย่างใด แต่เพราะฉือฟางอินหวนคิดถึงคำพูด ของมารดาเคยกล่าวเอาไว้ ว่าอนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน และจะหวังพึ่งพาผู้ใดไปตลอดชีวิตไม่ได้ แม้แต่กับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี
ซึ่งนั่นคำสอนนั้นของมารดา ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้แม้นางจะยังมีฐานะเป็นฮูหยิน แต่ในอนาคตนางจะไม่ได้อยู่ในสถานะนี้แล้วก็เป็นได้ วันหนึ่งฉือหย่งหลิงอาจตอบรับความรู้สึก ที่จินซือจูมีให้ ยอมรับนางเข้ามาเป็นภรรยาอีกคน วันนั้นนางก็คงเดินไปขอหย่ากับเขา หรือว่าวันหนึ่งนางทำสิ่งใด ให้ฉือหย่งหลิงไม่พอใจ จนถึงขั้นขออย่ากับนางขึ้นมา คนที่รับผลกระทบในเรื่องนี้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งก็คือเฉียนเอ๋อร์ เพราะฉะนั้น นางจะต้องสร้างความมั่นคงให้ตัวเอง เพื่อเป็นที่พึ่งพิงให้กับเฉียนเอ๋อร์ในอนาคตให้ได้
จากประสบการณ์การและความรู้ ที่ได้สั่งสมมาจากสังคมชนชั้นสูง การที่สตรีชนชั้นสูงนางหนึ่ง จะสามารถมีฐานะมั่นคงได้ด้วยตัวเอง สตรีผู้นั้นจะต้องมีกิจการ ที่สามารถสร้างรายได้ทางตรง ให้กับตัวเองโดยไม่ผ่านสามี ในอดีตฉือฟางอินมักจะใช้ความสนิทสนม ที่นางมีต่อเหล่าคุณหนูในจวนขุนนางทั้งหลาย
ติดสอยห้อยตามพวกนาง ไปยังกิจการที่มารดาของพวกนางอยู่บ่อยครั้ง ฉือฟางอินจึงสบโอกาส เรียนรู้วิธีการค้าขายมา ความมีแล้วเงินลงทุนก็มีแล้ว สิ่งที่ฉือฟางอินต้องทำต่อไป ก็คือการหาสถานที่ และสินค้า ที่จะมาเป็นสินค้าในร้านของนาง และสถานที่ที่นางจะนำสินค้าของนางไปขายนั้น ก็คงจะหนีไม่พ้นที่ย่านการค้าของเมืองอี้ ซึ่งเป็นศูนย์รวมเอาร้านค้า และกิจการทั้งหมดของเมืองอี้เอาไว้
ย่านการค้านี้จะแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งคือพื้นที่ของตลาดไว้สำหรับให้ชาวบ้าน ที่มีอาชีพค้าขายมาจับจองพื้นที่ ตั้งแผง ขายสินค้าอุปโภค และบริโภคในชีวิตประจำวัน ให้กับชาวบ้านทั่วไปได้มาจับจ่าย ส่วนอีกฝั่งเป็นพื้นที่เอาไว้ให้ครอบครัวของคหบดี และครอบครัวของชนชั้นสูง จ่ายส่วยรายเดือนกับหั้วชินอ๋อง
เช่าทำกิจการโรงน้ำชา โรงเตี๊ยม โรงละคร ร้านเหลาสุราและภัตตาคารอาหารต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าฐานะของนางนั้น จัดอยู่ในกลุ่มชนชนชั้นสูง เพราะฉะนั้นแล้วของที่จะนำมาวางขาย ในพื้นที่ที่มีเหล่าชนชั้นคนมีจะกิน มาเดินเที่ยวเสียส่วนใหญ่นั้น ฉือฟางอินจะต้องคิดค้นหาสินค้าที่มีคุณภาพดีพอ ที่จะทำให้เหล่าชนชั้นสูง ยอมจ่ายเงินเพื่อแลกกับสินค้าของนางให้ได้
“แล้วสินค้าอะไรกันนะ ที่จะทำให้คนเหล่านั้นยอมเสียเงินให้กับข้า”
ฉือฟางอินเอนกอดอกอย่างใช้ความคิด ในเมื่อนางต้องอยู่ที่หมู่บ้านหั้วห่าวต่อไปอีกนานนับเดือน ของที่จะนำไปวางขายที่ร้านค้า ก็คงจะต้องเริ่มต้นจากที่นี่ แล้วที่แห่งนี้มีสิ่งใดที่นำมาเป็นสินค้าคุณภาพได้กันล่ะ ในเมื่อสิ่งที่นางเห็น มีเพียงแต่วิถีชีวิตของชาวบ้าน สตรีทำงานบ้าน บุรุษออกไปล่าสัตว์หาของป่า ไม่มีสิ่งใดมากไปกว่านี้
‘เร็วสิ ฟางอิน เจ้าต้องคิดให้ออก ว่าเจ้าจะทำอะไรได้บ้างในหมู่บ้านนี้ อืม... ไหนลองคิดย้อนดูสิ ว่าเจ็ดวันที่ผ่านมาเจ้าเห็นละรู้สิ่งใดอีก เริ่มจากย้อนจากวันนี้ไปจนถึงวันแรกก็แล้วกันวันนี้ข้าตื่นมาด้วยอาการมึนงงเล็กน้อยจากฤทธิ์สุรา และต้องดื่มน้ำแกงสมุนไพรขับฤทธิ์สุราออกทั้งวัน เพราะเมื่อคืนวาน ข้าต้องเข้าพิธีร่ำสุราถวายเทพซาฮวา ใช่แล้วข้าทำเช่นนั้นไป
ซึ่งก่อนหน้าจะมีงานเลี้ยง ข้าก็ไม่ได้ช่วยพวกชาวบ้านทำสิ่งใด เพราะพวกเขาไม่ยอมให้ทำ แล้วก่อนหน้านั่นล่ะ ก่อนหน้านั้น อ๋อ นึกออกแล้วช่วยสอนพวกเขาปักผ้าสำหรับใส่มางานเลี้ยงน่ะสิ เอ๊ะ! ปักผ้าอย่างนั้นหรือ’
หากจำไม่ผิดจินซีหลันเคยบอกว่า สตรีที่แดนตะวันออก ไม่นิยมงานเย็บปักถักร้อย เพราะชาวบ้านที่นี่ ทุ่มเวลาไปกับการฟื้นฟูดินแดนเสียส่วนใหญ่ พวกเขาจึงไม่ได้พิถีพิถันกับชุดและอาภรณ์ที่พวกเขาสวมใส่เท่าใดนัก
จะมีก็ช่วงหลังมานี้ ที่หลายสิ่งหลายพื้นที่ในแดนตะวันออกนี้เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว เหล่าสตรีชนชั้นสูงทั้งหลายจึงได้มีเวลาหันมาสนใจของสวยๆ งามๆ กันขึ้นมาบ้าง แต่ทว่าของพวกนั้นก็ยังเป็นสินค้าจากต่างแคว้น ที่พ่อค้านายหน้าจากแคว้นนั้นๆ นำเข้ามาขายที่นี่อยู่ดี
“ดีล่ะ เช่นนั้น ข้าจะเปิดกิจการขายผ้าเนื้อดี พร้อมกับปักลายสวยงามหายาก ที่เคยได้ร่ำเรียนฝึกฝนมาลงไป ให้สตรีชนชั้นสูงที่แดนตะวันออกแคว้นหลูนี้ มาซื้อผ้าที่ร้านของข้าที่ย่านการค้าเมืองอี้!”
“นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน
“ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได
“แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล
“อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่
“เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี