Share

บทที่ 39

last update Last Updated: 2025-02-21 09:59:40

โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง! หงิง หงิง

“ชู่ว เจ่าเจา เจ้ากำลังทำให้เฉียนเอ๋อร์ตื่นนะ”

ฉือฟางอินส่งเสียงปราบหมาน้อยเจ่าเจา ที่นางไปรับกลับมาเลี้ยงไว้ที่เรือนเมื่อหลายวันก่อน ตอนที่นางไปทำสัญญารับซื้อดอกไม้ป่าจากชาวบ้านที่อยู่ด้านนอก โดยมีท่านหมอฉิวหว่านอี้เป็นธุระจัดการให้ ทำให้ทุกเช้ามืดที่เรือนหลังนี้ จะมีเสียงแหลมเล็กของเจ้าเจ่าเจาส่งเสียงเห่าร้องขออาหารในทุกๆ วัน

“เอ้า กินเสีย กินให้อิ่ม วันนี้ข้าจะพาออกไปข้างนอก”

วันนี้ฉือฟางอินมีภารกิจที่ต้องออกไปทำนอกเรือน นั่นก็คือการไปรับดอกไม้รอบใหม่ ที่จะมาส่งที่โรงหมอของหมู่บ้าน แต่ก่อนหน้านั้นนางจะต้องแวะไปดูชาวบ้านลงมือปลูกต้นหม่อนเสียก่อน นับจากวันที่นางได้วางแผน ที่จะเกิดกิจการที่ย่านการค้าเมืองอี้ นี่ก็เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้ว ที่ฉือฟางอินใช้ความสามารถที่นางมี คัดแยกชนิดของผ้าให้เหมาะสมกับด้ายที่จะใช้ปัก จากนั้นก็มานั่งวาดลายผ้าที่จะปักคร่าวๆ ลงบนกระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า เพื่อให้ได้รูปที่สวยและสมส่วนมากที่สุด จากนั้นก็เอากระดาษเหล่านั้นมาเทียบลงบนผ้า แล้วจัดการใช้ดิ้นด้ายชั้นดีค่อยๆ ปักลงบนผ้าอย่างใจเย็น ฉือฟางอินอดทนนั่งหลังขดหลังแข็ง ปักลายลงบนผ้าผืนน้อยใหญ่หลายผืน จนตอนนี้นางมีผ้าที่เสร็จพร้อม ที่จะนำไปวางขายที่ร้านค้าเก็บไว้ในหีบได้สองหีบใหญ่แล้ว

ส่วนน้ำมันหอมระเหยที่มีขั้นตอนการทำ ระเอียดมากว่าการปักผ้าหลายเท่านั้น เวลาร่วมเดือนที่ผ่านมานี้ จึงยังเป็นเพียงขั้นตอนการนำดอกไม้ที่รับซื้อมาจากชาวบ้าน มาแยกชนิดและตากแห้งพร้อมกับจดบันทึกชื่อ ลักษณะ และกลิ่นของพวกมันเอาไว้ก่อน และนอกจากนี้นางก็ไม่ลืมที่จะเก็บเมล็ดพันธุ์ของพวกมันเอาไว้ สำหรับเพาะพันธุ์ไว้เปรียบเทียบกลิ่น ว่าดอกไม้ชนิดเดียวกันที่กำเติบโตกันคนละที่ จะมีกลิ่นหอมต่างกันหรือไม่

 เผื่อในอนาคตนางจะได้ซื้อที่ดินสักผืน เอาไว้ปลูกดอกไม้เหล่านี้ สำหรับเอาไว้ทำน้ำมันหอมระเหยโดยเฉพาะ โดยไม่ต้องไปเบียดเบียนดอกไม้ที่ขึ้นอยู่ในป่า การปลูกต้นหม่อนของชาวบ้านในวันนี้ เป็นความคิดที่ฉือฟางอินเสนอให้กับชาวบ้าน เพื่ออยากตอบแทนพวกเขา ที่ช่วยดูแลนางกับเฉียนเอ๋อร์เป็นอย่างดี ตลอดระยะเวลาที่นางอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ ฉือฟางอินจึงได้คิดวิธีสร้างรายได้ให้กับพวกเขา ด้วยการให้พวกเขาปลูกต้นหม่อนเอาไว้เลี้ยงหนอนไหม บนผืนดินข้างผืนดินที่ชาวบ้านใช้ปลูกฝ้าย เพื่ออนาคตพวกเขาจะได้ทอผ้าจากตัวไหม และนำผ้าเหล่านั้นมาขายให้กับนาง เพื่อที่นางจะได้นำผ้าเหล่านั้นมาปักลาย เป็นสินค้านำไปวางขายในร้านค้ากิจการของนาง ส่วนที่เหลือก็ส่งไปขายยังแคว้นข้างเคียง เพื่อนำรายได้มาสู่หมู่บ้าน

“ฮูหยิน ท่านมาแล้วหรือเจ้าคะ”

“เป็นอย่างไรบ้าง ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีหรือไม่”

“เจ้าค่ะ นี่ก็ปลูกไปได้เกือบครึ่งแล้วเจ้าค่ะ”

 ฉือฟางอินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ออกมาทันที หลังได้ยินว่าการปลูกต้นหม่อน ที่ได้เริ่มขึ้นไปแล้วนั้น ไม่ได้มีปัญหาอะไรให้ต้องกังวลใจ แม้การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมนี้ ยังจะต้องใช้เวลาอีกนานหลายเดือน แต่นางเชื่อว่าต้นหม่อน ที่ถูกปลูกลงในผืนดินกว้างใหญ่ผืนนี้ จะนำมาพาประโยชน์ และเงินทองมาให้กับชาวบ้านทุกคนได้อย่างแน่นอน และสิ่งสำคัญที่ต้องทำ ระหว่างที่รอต้นหม่อนเจริญเติบโตน นั่นก็คือการส่งจดหมายไปหาบิดาของนาง เพื่อขอให้บิดาช่วยไปพบท่านผู้นำสกุลเล่อ สกุลที่สืบทอดการเลี้ยงไหม ที่มีคุณภาพดีมากที่สุดในแคว้นหลู เพื่อทำสัญญาจองไข่หนอนไหมของพวกเขาเอาไว้ล่วงหน้า

เมื่อไหร่ที่ต้นหม่อนเติบโต พร้อมที่จะเป็นอาหารให้กับหนอนไหมแล้ว นางจะให้บิดาช่วยส่งไข่หนอนไหมพวกนั้นมาให้ ฉือฟางอินได้แต่หวังว่านับจากนี้ ไปจนกว่าเหล่าต้นหม่อนจะโตเต็มที่ สถานการณ์วุ่นวายที่เมืองอี้จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติได้เร็ววัน และดูเหมือนว่าคำภาวนาของฉือฟางอิน จะเป็นจริงเร็วกว่าที่คิดเอาไว้ เพราะหลังจากนั้นได้เพียงสิบห้าวัน จินซีจ่าวก็กลับเข้ามาในหมู่บ้านพร้อมกับขาวดีว่า บัดนี้ กองกำลังสำรองของหั้วชินอ๋อง ได้มีชัยเหนือกบฏชายแดน ที่หมายจะยึดเมืองอี้แล้ว เมืองอี้ในตอนนี้จึงกลับเข้าสู่สภาวะปกติ เวลานี้จึงอยู่ในระหว่างรอให้ทางการ จัดการความเรียบร้อยที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน

จึงเป็นโอกาสอันดี เนื่องจากหลายวันก่อนจินซือโจว ได้นำสัญญาเช่าที่ดิน มาให้นางเขียนและ ชื่อประทับรอยนิ้วมือเรียบร้อยแล้ว วันนี้จึงเป็นวันที่นางจะต้องบอกรูปแบบร้านค้าให้กับจินซือจ่าว เพื่อไปรายงานแก่ช่างที่รออยู่

“ฮูหยินอยากได้อาคารแบบไหนหรือขอรับ”

“ข้าอยากได้อาคารสองชั้นขนาดสองคูหา ด้านล่างกั้นแบ่งเป็นสองห้องใหญ่ ส่วนด้านบนไม่ต้องกั้น แบบนี้ เจ้าพอจะเข้าใจใช่หรือไม่”

ในคราแรกความต้องการของฉือฟางอินนั้น นางอยากได้แค่พื้นที่ที่จะการสร้างร้านค้ากิจการของตัวเอง ขนาดเพียงหนึ่งคูหาเท่านั้น แต่ทว่าเมื่อมาคำนวณค่าเช่าพื้น ที่ต้องจ่ายทุกเดือนแล้ว ช่างไม่คุ้มค่ากับพื้นที่เพียงหนึ่งคูหาเอาเสียเลย นางจึงได้เปลี่ยนความคิดขยายพื้นที่ร้านค้า ออกมาเป็นแบบที่เพิ่งอธิบายให้จินซีจ่าวฟังไปเมื่อครู่นี้แทน

“เข้าใจขอรับ”

“ดี เช่นนั้นก็เอาแต่เพียงเท่านี้ก่อนเถิด ในส่วนของภายในกับของที่ใช้ตกแต่ง ข้าขอใช้เวลาคิดอีกสักหน่อย”

“ได้ขอรับ เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน”

“อื้อ! แอ๊!”

เป็นเฉียนเอ๋อร์ที่ก่อนหน้านี้ กำลังนั่งจ้องผู้ใหญ่คุยกันตาแป๋วอยู่บนตักของฉือฟางอิน พอได้ยินจินซีจ่าวกล่าวลามารดาแล้วทำท่าจะลุกออกไปจากเรือน พลันเจ้าก้อนหมั่นโถว ก็ส่งเสียงร้องคุยกับจินซีจ่าวขึ้นมาดังลั่น

“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าก็อยากบอกลาท่านน้าซีจ่าวเหมือนกันหรือ”

“อื้อ อู้วว วา อูวว”

“ฮ่าฮ่าฮ่า น่าเอ็นดูมากเลยขอรับคุณชายน้อย เอาไว้ครั้งหน้า ข้าน้อยจะแวะมาเล่นด้วยนะขอรับ วันนี้ข้าต้องไปทำธุระให้มารดาของท่านก่อน”

“อื้อ แอ๊!”

เด็กน้อยส่งเสียงราวกับว่าเข้าใจ พร้อมกับยกมือขึ้นมาโบกไปมา เหมือนเป็นการบอกลาจินซีจ่าวอย่างไรอย่างนั้น ผู้ใหญ่ทั้งสองที่ได้เห็นท่าทางเช่นนั้น ก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ เฉียนเอ๋อร์ในตอนนี้ ใกล้จะเข้าสู่เดือนที่ห้าเต็มที เขาสามารถพลิกคว่ำตัวไปมาเองได้ และยังรู้จักความมากขึ้น จนมารดาอย่างนางอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่า เด็กวัยเท่านี้จะเข้าใจในสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดได้จริงนะหรือ

ส่วนเรื่องการกินนั้นไม่ต้องพูดถึง ทุกวันนี้อาหารแต่ละมื้อที่ฉือฟางอินต้องกินทุกวัน ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารที่กินเพื่อบำรุงน้ำนมทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างนั้น นางก็เต็มใจที่จะกินอาหารเหล่านั้น เพื่อที่จะให้น้ำนมของนางมีมากพอ สำหรับให้เฉียนเอ๋อร์ได้กินในทุกวัน สิบวันต่อมาหลังจากที่ขอเวลาไปคิด เรื่องของจำเป็นภายในร้านค้า และของที่จะใช้ตกแต่งทั้งหมด วันนี้ก็ถึงเวลาที่ฉือฟางอินจะต้องเอารายชื่อของทั้งหมด พร้อมกับเงินจำนวนหนึ่งมาให้จินซีจ่าวที่บ้านของเขา

“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าดูลูกเจี๊ยบพวกนี้สิ พวกมันตัวอวบอ้วนเหมือนกับเจ้าไม่มีผิด”

“แอ๊! อือๆๆ อู้ววว”

เป็นเพราะว่านางออกจากเรือนมาก่อนจะถึงเวลานัด ฉือฟางอินจึงถือโอกาสใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้ อุ้มพาเฉียนเอ๋อร์เดินชมบรรยากาศระหว่างทางเดิน ที่ต้องผ่านสวนดอกไม้ สวนผักและเล้าไก่ของชาวบ้านไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อนเท่าไหร่นัก เมื่อสองแม่ลูกเดินเล่นกันจนพอใจแล้ว พวกเขาพากันเดินมาที่บ้านท่านผู้นำหมู่บ้าน แต่นั้นก็เหมือนจะเร็วกว่าเวลาที่นัดหมายกับจินซีจ่าวไว้อยู่ดี เพราะเมื่อฉือฟางอินเดินมาจนถึงแล้ว ก็พบว่าที่บ้านของท่านผู้นำในตอนนี้ ได้มีกลุ่มชายฉกรรจ์ประจำหมู่บ้านสามสี่คน กำลังจับกลุ่มพูดคุยอยู่กับจินซือจ่าว และจินซือโจวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด 

บางทีนางอาจจะมาเร็วไปหน่อย ฉือฟางอินจึงตัดสินใจเดินไปชมสวนดอกไม้ของชาวบ้าน ที่อยู่อีกทางหนึ่งเพื่อฆ่าเวลา ระหว่างที่พวกเขายังคงคุยธุระกันอยู่ แต่ทว่าก่อนที่ฉือฟางอินจะได้หันหลังกลับออกไปนั้น หูของนางกลับได้ยินชายฉกรรจ์คนหนึ่ง กล่าวถึงสถานการณ์สงครามชายแดนทางเหนือ ที่ฉือหย่งหลิงกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่นั่นขึ้นมาเสียก่อน

“สถานการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นักขอรับ เพราะค่ายทหารฝั่งของเราถูกซุ่มโจมตีขอรับ”

“เช่นนั้นหรือ แล้วท่านอ๋องกับท่านแม่ทัพปลอดภัยดีหรือไม่”

“ท่านอ๋องปลอดภัยดีขอรับ แต่ว่าท่านแม่ทัพ...”

“ท่านแม่ทัพเป็นอะไร!”

“จากสารที่ทางนั้นส่งมา ข่าวว่าท่านแม่ทัพได้รับบาดเจ็บหนักเลยทีเดียวขอรับ”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทส่งท้าย

    “นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 63

    “ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 62

    เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 61

    “แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 60

    “อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 59

    “เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status