เช้าวันรุ่งขึ้น...
พื้นที่ด้านหน้าจวนสกุลชวี่ เต็มไปด้วยเหล่าคนรับใช้กำลังช่วยกันขนข้าวของ ของคุณหนูใหญ่ฟางอิน ที่ตอนนี้ได้เปลี่ยนสถานะกลายเป็นฮูหยินของจวนสกุลฉือไปแล้วขนรถ พร้อมกับสินเดิมของมารดา เพื่อให้ทันเวลาที่นางจะต้องออกเดินทาง
“อินเอ๋อร์ เจ้าไปอยู่ที่นั่นรักษาสุขภาพให้ดี หากเจ้ามีปัญหาอะไร ให้คนมาบอกพ่อได้ทุกเมื่อ เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ”
ฉือฟางอินพูดตอบรับเสียงสั่น พร้อมกับโผเข้าหาอ้อมกอดของบิดา นับเป็นรกอดแรกในรอบหลายปี ระหว่างสองพ่อลูก ภายในใจของนางยังคงสามารถไม่ให้อภัยเขาได้ทั้งหมด แต่หลายวันที่ผ่านมานี้ที่บิดาคอยอยู่เคียงข้างนางไม่ห่างไปไหน ทั้งยังออกหน้าให้นางในทุกเรื่อง ทำให้นางไม่ต้องเผชิญเรื่องราวต่างๆ เพียงลำพัง
ก็ทำให้ฉือฟางอินได้ทบทวนอะไรหลายๆ ในความสัมพันธ์ ระหว่างพ่อลูก แท้ที่จริงแล้วท่าทีโกรธเกลียดบิดา และทำราวกับว่าชาตินี้ทั้งชาติพวกเขาคงไม่มีวัน กลับมาเป็นพ่อลูกที่รักใคร่กันได้เหมือนเดิมอีกแล้วนั้น การกระทำเหล่าเป็นเพียงการกระทำ ที่ฉือฟางอินทำขึ้นมาเพื่อปกป้องความรู้สึกเสียใจตนเอง ภายในใจลึกๆ ของนางนั้น ยังคงโหยหาอ้อมกอดของบิดาอยู่เสมอ ตลอดหลายวันมานี้ หากไม่มีบิดาอยู่เคียงข้าง นางก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าตนเองนั้น จะสามารถผ่านเรื่องเลวร้ายนี้ไปคนเดียวได้หรือไม่
เมื่อปลอบประโลมบุตรสาว และส่งนางขึ้นรถม้าที่เตรียมไว้แล้ว แม่ทัพชวี่ก็หันมาสั่งเสียกับฉือหย่งหลิง ให้เขาดูแลบุตรสาวแทนบิดาอย่างเขา แม้ชายหนุ่มจะไม่ได้รักใคร่ในตัวนาง แต่ในฐานะที่ทั้งสองแต่งงานเป็นสามีภรรยากันแล้ว เขาที่เป็นบิดาและพ่อตา ก็อยากจะให้คนทั้งคู่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน อย่าได้ทำร้ายจิตใจกันให้ต้องทุกข์ใจ
“ข้าขอฝากบุตรสาวของข้า ให้เจ้าดูแลแทนข้าด้วยนะ โดยเนื้อแท้แล้ว อินเอ๋อร์มิใช่คนเลวร้ายอะไร นางจะไม่ทำให้เจ้าลำบากอย่างแน่นอน”
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
"เรียกข้าว่าท่านพ่อตาเถิด"
"ขอรับท่านพ่อตา"
หลังจากนั้น ขบวนรถม้านำโดยฉือหย่งหลิง ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่แคว้นฟู่ จวบจนวันนั้นก็เป็นเวลาปีกว่าแล้ว ที่ฉือฟางอินได้เข้ามาเป็นฮูหยินใหญ่ ในจวนสกุลฉือของฉือหย่งหลิง แต่ทว่ายะระเวลาปีกว่าที่ผ่านมานั้น ฉือฟางอินกลับไม่ได้รับการปรนนิบัติ อย่างสมฐานะฮูหยิน ของจวนสกุลฉือเลยสักครั้ง เรือนที่เขาให้นางอยู่ก็เป็นเพียงเรือนไม้เก่าๆ ไม่มีแม้กระทั่งคนรับใช้คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกาย กลายเป็นว่าฉือฟางอิน ต้องทำทุกอย่างด้วยตนเอง ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาเหยียบที่นี่ ต้องเตรียมที่หลับที่นอนเอง ทั้งต้องทำอาหารกินด้วยตัวเอง ไปจนถึงทำความสะอาดเรือนและชุดที่นางสวมใส่ โชคยังดีที่ตั้งแต่นางยังเล็ก มารดาของนางได้สอนวิชางานบ้านงานเรือนนางมาเป็นอย่างดี
แม้ที่จะไม่มีคนรับใช้คอยหยิบโน้นหยิบนี่ ใส่มือนางเหมือนที่จวนสกุลชวี่ แต่ฉือฟางอินก็สามารถทำทุกอย่างออกมาได้ดี อย่างที่ควรจะเป็น แต่ทว่าเมื่อฉือหย่งหลิงที่เห็นว่านาง ยังคงใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจหรือร้อนรน ที่ต้องทนใช้ชีวิตลำบากอย่างที่เขาตั้งใจเอาไว้ จนอยากที่จะหย่ากับตนเอง แม่ทัพหนุ่มจึงได้เพิ่มหน้าที่ในจวนให้กับนาง ด้วยการให้คนนำชุดที่เขาสวมใส่แล้ว มาให้ฉือฟางอินซักถึงเรือนของนาง พร้อมทั้งยังสั่งให้ฉือฟางอิน ไปทำความสะอาดที่เรือนของเขาด้วยตนเอง ไม่ให้ผู้ใดเข้าไปช่วยแม้แต่คนเดียว ทำราวกับว่านางเป็นคนรับใช้ในจวนของเขาอีกคนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
แน่นอนว่ากระทำนี้ของฉือหย่งหลิง สร้างความไม่พอใจให้กับฉือฟางอินเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมาแม้เขาไม่ชายตาแลนาง ทำราวหับนางไม่มีตัวตนอยู่ในจวนแห่งนี้ แต่เพราะเห็นแก่ว่าอย่างน้อยๆ นางก็แต่งให้กับเขาแล้ว แม้จะไม่ได้สุขสบายเหมือนตอนอยู่ที่บ้าน แต่อย่างน้อยนางก็ยังพอใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่ที่นี่ได้ หญิงสาวถึงได้พยายามมองข้ามเรื่องพวกนี้ไป แต่ในเมื่อนางอุส่าทำถึงขนาดนี้แล้ว เขาก็ยังหาเรื่องมาทรมานกันไม่จบไม่สิ้น นางเองก็จะไม่อยู่เฉยให้เขาได้ทำตามอำเภอใจอีกต่อไป
“ได้ ฉือหย่งหลิง ในเมื่อเป็นคนดีแล้วท่านมิชอบ ต่อไปนี้ ก็อย่าได้อยู่ก็อย่างสงบสุขกันอีกเลย”
หลังจากวันนั้น หญิงสาวก็ได้เปลี่ยนนิสัยตนเอง ราวกับเป็นคนละคน นางเริ่มอาละวาดขว้างปาทำลายข้าวของ และยังฝืนดื่มสุราเพื่อตนเองเมามายทุกวัน ลบภาพคุณหนูผู้สูงศักดิ์ไปจนหมดสิ้น เท่านั้นยังไม่พอ นางยังออกไปเที่ยวเตร่นอกจวน เพื่อให้ตนเองตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน เพราะอยากจะทำให้ฉือหย่งหลิงได้อับอาย ที่เขามีฮูหยินติดสุราไม่เอาการเอางานอยู่ข้างกาย ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ซือไท่อี้พบตัวนาง และคอยตามตื้อหลอกล่อ ให้นางคิดหนีจากฉือหย่งหลิงมานับแต่นั้น
ในคราแรกฉือฟางอินปฏิเสธคำชวนของซือไท่อี้หัวชาฝา เพราะคิดอยากจะอยู่เป็นฮูหยินแสนชัง สร้างความเดือนร้อนให้ฉือหย่งหลิงให้สาแก่ใจ แต่พอวันหนึ่งนางได้มาเปิดดูสินเดิมของมารดา ที่นางเอาติดตัวมาอย่างคนมีสติ ก็ต้องพบว่าของที่อยู่ในนั้น เหลือน้อยเสียจนหน้าใจหาย ฉือฟางอินถึงได้คิดขึ้นมาได้ว่า นางไม่ควรเสียของมีค่าไปมากมาย เพื่อประชดประชันคนที่ไม่เห็นค่านาง ไปอย่างไร้ประโยชน์เช่นนั้น
เมื่อคิดได้เช่นนั้น คำเชิญชวนของซือไท่อี้ก่อนหน้านี้ จึงเริ่มเข้ามามีผลต่อจิตใจของนาง ซึ่งแน่นอนว่าต้องไม่ใช่การหนี โดยการแต่งไปเป็นอนุภรรยาอย่างที่ซือไท่อี้เสนอมา แต่นางจะขอร้องให้ซือไท่อี้ พานางหนีไปที่ท่าเรือสักแห่งหนึ่ง จากนั้นนางจะหาทางพาตนเองกลับไปยังจวนสกุลชวี่ด้วยตนเอง ต่อให้จะต้องถูกอนุเหลียนและชวี่หนิงซื่อเยาะเย้ย ก็ยังดีกว่าต้องทนอยู่กับฉือหย่งหลิงเป็นไหนๆ
แต่ทว่า เรื่องกลับไม่ง่ายที่จะทำเช่นนั้น เมื่อในวันที่จวนสกุลฉือ จะต้องจัดพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษ ในงานวันนั้นได้มีการเชิญโหรจากราชสำนักวังหลวง และร่างทรงชื่อดังประจำแคว้นฟู่ มาร่วมประกอบพิธีในครั้งนี้ด้วย พิธีกราบไว้บรรพบุรุษนั้นผ่านไปได้ด้วยดี แต่พอถึงคราต้องทำนายดวงชะตาในอนาคตของสกุลฉือ โหรประจำราชสำนักวังหลวงและร่างทรง ต่างทำนายเรื่องที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า ออกมาเป็นเรื่องเดียวกันอย่างน่าเหลือเชื่อ
ส่วนเรื่องที่ว่านั้นก็เป็นสาเหตุนำมาซึ่งเจ้าทารกตัวน้อยนามว่าฉือเฟิ่งเฉียน ที่กำลังนอนหลับอย่างสบายใจ อยู่ในอ้อมกอดฉือฟางอินอยู่ตอนนี้ เนื่องจากในวันนั้นผู้หยั่งรู้ทั้งสอง ได้ทำนายว่าหากภายในปีนั้น ฉือหย่งหลิงไม่สามารถมีทายาท สืบสกุลฉือกับสตรีผู้มีชะตาชีวิตร่วมกัน สกุลฉือก็จะถึงคราล่มสลาย รวมไปถึงสตรีร่วมชะตาผู้นั้นและครอบครัวของนางด้วย เมื่อการทำนายออกมาเป็นเช่นนั้น ฉือฟางอินที่ภรรยาเพียงคนเดียวของฉือหย่งหลิง จำต้องถูกตรวจชะตาว่าตัวนางนั้น จะใช่สตรีที่มีชะตาชีวิตต้องกันกับฉือหย่งหลิงหรือไม่
ด้านฉือฟางอินที่รู้อย่างนั้นก็รู้สึกหวั่นใจขึ้นมา เหตุเพราะนางต้องการที่จะหนีไปจากชายหนุ่ม ภายในใจจึงได้แต่ภาวนาให้ชะตาของนาง อย่าได้ตรงตามคำทำนาย ที่ผู้ทั้งสองทำนายเอาไว้เลย แต่ทว่าการภาวนาของหญิงสาวกลับไปเป็นผล เมื่อสุดท้ายแล้วสิ่งที่ผู้หยั่งรู้ประกาศออกมานั้น คือนางมีชะตาชีวิตตรงตามคำทำนายทุกประการ
“นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน
“ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได
“แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล
“อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่
“เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี