Share

บทที่ 10

last update Последнее обновление: 2025-02-14 09:39:57

หลังจากได้ฟังคำทำนายของผู้มีวิชาทั้งสองแล้ว สีหน้าของฉือหย่งหลิงก็ส่อแววไม่สู้ดีนัก เพราะนับตั้งแต่เขาจำความได้ การทำนายอนาคตของผู้หยั่งรู้ ในพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษของจวนสกุล ได้ถูกเหล่าผู้สืบเชื้อสายทั้งคนที่เชื่อ และคนที่ไม่เชื่อคำทำนายพิสูจน์ความจริงกันมาแล้ว

โดยผู้ใดที่เชื่อและทำตามนั้น พวกเขาล้วนมีชีวิตที่ผาสุข ส่วนผู้ใดที่ไม่เชื่อและคิดจะต่อต้านคำทำนาย คนเหล่านั้นต่างมีจุดจบที่ไม่ได้เลยสักคน ซึ่งตัวของฉือหย่งหลิงเอง ครั้งหนึ่งเขาก็เคยคิดสงสัยความจริงในข้อนี้มาก่อน จนกระทั้งเมื่อห้าปีที่แล้ว ในตอนที่เขามีอายุได้สิบเจ็ดหนาว ท่านโหรจากราชสำนัก ได้ทำนายทายทักตัวเขาเอาไว้ว่า 

ภายในปีนั้น สกุลฉือจะต้องหาทางจัดพิธีสมรสให้ได้ มิเช่นนั้น ทั้งใต้เท้าฉือและฮูหยินฉือจะต้องมีอันเป็นไป แต่ด้วยความที่ทั้งสองคนไม่ได้อยากจะบังคับ ฝืนใจบุตรชายเพียงคนเดียวอย่างฉือหย่งหลิง ให้ต้องมาแบกรับหน้าที่นี้ ทั้งสองคนจึงตัดสินใจไม่ทำตามคำทำนาย โดยเชื่อว่าหากพวกเขา ยังคงประพฤติตนเป็นคนดีไม่ทำร้ายผู้อื่น ไม่ทำให้สกุลฉือเสื่อมเสีย ดวงวิญญาณบรรพบุรุษทั้งหลาย คงจะพอให้อภัยพวกเขา ที่ไม่ทำตามคำทำนายในครั้งนั้นได้

แต่ทว่าหลังจากวันพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษ ในปีนั้นไปได้เพียงหนึ่งเดือน ใต้เท้าฉือและฮูหยินฉือ รวมไปถึงฉือหย่งหลิงได้ถูกลอบทำร้าย ระหว่างทางกลับจากงานพิธีล่าสัตว์ประจำปี ใต้เท้าฉือที่เห็นว่าตนเองกำลังจะพลาดท่า เหตุเพราะผู้ร้ายมีจำนวนมากกว่า เขาจึงคิดอุบายหลอกล่อ ใช้ตนเองพาผู้ร้ายทั้งหมดตามเขาไป เป็นการสละชีวิตและถ่วงเวลา ให้ฮูหยินฉือพาฉือหย่งหลิงหนีไป

ส่วนฮูหยินฉือในท้ายที่สุดแล้ว ตัวนางเองก็ต้องสละชีวิตเพื่อช่วยบุตรชายเอาไว้เช่นกัน เมื่อหนึ่งในกลุ่มผู้ร้ายจับได้ว่าบนรถม้าที่ใต้เท้าฉือ กำลังบังคับพาภรรยาและบุตรชายหนีพวกมันอยู่นั้น แท้จริงกลับไม่มีผู้ใดนั่งอยู่ด้านในเลยสักคน ชายผู้นั้นจึงตัดสินใจ บังคับม้าหันหลังกลับไปทางเดิม  และตามหาฮูหยินฉือและฉือหย่งหลิงจนพบ

 เมื่อรู้ตัวแล้วว่าหากไม่ทำอะไรสักอย่าง ทั้งนางและลูกจะต้องถูกชายคนร้าย สังหารทั้งคู่อย่างแน่นอน ฉือฮูหยินจึงใช้โอกาสครั้งสุดท้าย พาบุตรชายวิ่งไปทางหน้าผา และใช้เวลาที่เหลืออยู่น้อยนิดสั่งเสียกับฉือหย่งหลิงว่า ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นหลังจากนี้ เขาจะต้องมีชีวิตอยู่ เพื่อรักษาสกุลฉือเอาไว้

จากนั้นนางจึงยื่นมือไปถอดเสื้อคลุมของฉือหย่งหลิงออก  แล้วนำมาคลุมกับท่อนไม้ใหญ่ เสร็จแล้วจึงผลักฉือหย่งหลิงลงไปในซอกหน้าผาแคบให้เขาซ่อนตัว เมื่อเห็นชายคนร้ายขี่ม้าใกล้เข้ามา จนเห็นในระยะสายตา ฉือฮูหยินจึงหันมาสั่งให้บุตรชายหลับตาลง

“หลิงเอ๋อร์ลูกแม่ หากชาติหน้ามีจริง ขอให้เราทั้งสามคน ได้เกิดมาเป็นพ่อแม่ลูกกันอีกด้วยเถิด ขออย่าได้พลัดพรากกันเช่นนี้อีกเลย”

          นางมองบุตรชายด้วยความอาวรเพียงคู่ กอดท่อนไม้ที่คลุมด้วยชุดของบุตรชายไว้แน่น จากนั้นก็กระโดดลงหน้าผาไป เพื่อให้ชายคนร้ายมองเห็นและเข้าใจว่า นางและบุตรชายได้กระโดดหน้าผา ปิดชีวิตตนเองไปด้วยกัน ฉือหย่งหลิงที่ลืมตาขึ้นมา ทันเห็นชายชุดของมารดาปลิวลงหน้าผาไป ก็เข้าใจได้ในทันทีว่า ที่มารดาสั่งให้ตนเองหลับตานั้น ก็เพราะนางตั้งใจจะสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยชีวิตเขา

 ยามที่เขาได้ยินเสียงฝีเท้า ของคนร้ายใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ด้วยความโกรธแค้น เขาอยากที่จะลุกขึ้นไปฆ่าคนผู้นั้นเสียให้ตายคามือ แต่ทว่าสภาพของเขาตอนในตอนนั้น แม้แต่จะขยับตัวก็ยังทำไม่ได้ จึงทำได้เพียงกล้ำกลืนความเจ็บปวดทั้งกายใจเอาไว้ และหมดสติไปทั้งอย่างนั้น

กว่าที่คนของบิดาที่รอดชีวิตเพียงคนเดียว จะกระเสือกกระสนพาตนเองไปหาหั้วชินอ๋อง ผู้เป็นทั้งนายเหนือหัวและสหายสนิทของใต้เท้าฉือ แล้วออกตามหาฉือหย่งหลิง ก็ใช้เวลาเกือบสามวันกว่าจะพบ และต้องใช้เวลานับปี กว่าที่จะรักษาจิตใจของฉือหย่งหลิง ให้กลับมาเป็นปกติได้

หลังจากที่รักษาตนเองจนหายดีแล้ว ฉือหย่งหลิงจึงตั้งใจศึกษาเล่นเรียน ทั้งเรื่องราชสำนักและเรื่องวรยุทธ เพื่อที่จะได้ขึ้นเป็นประมุขสกุลฉือต่อจากบิดาโดยเร็ว พร้อมทั้งปฏิญาณกับตนเองว่า ชาตินี้ทั้งชาติเขาอุทิศชีวิตของตนที่เหลืออยู่ ตามหาคนร้ายกลุ่มนั้นให้เจอ แล้วตัดหัวพวกมันมาเส้นไหว้ ที่หน้าหลุมศพของบิดาและมารดาให้ได้ เพื่อเป็นการแก้แค้นให้ได้

ลำพังแค่ตลอดห้าปีมานี้ ที่ฉือหย่งหลิงยังคงหาตัวคนร้ายไม่พบก็ทำให้เขาเคร่งเครียดมากขึ้นทุกวันอยู่แล้ว การทำนายอนาคตอันเลวร้าย ที่สกุลฉือไม่พบเจอมาตลอดหลังจากที่บิดามารจากไป กลับย้อนกลับมาอีกครั้ง ให้ต้องเคร่งเครียดมากขึ้นไปอีก คืนวันนั้นฉือหย่งหลิงจึงตัดสินใจ ไปพบฉือฟางอินที่เรือนของนาง เพื่อพูดคุยเรื่องคำทำนายวันนี้ด้วยตัวเอง นับเป็นการมาเยือนที่เรือนของนางครั้งแรก ตั้งแต่ที่ฉือฟางอินเข้ามาเป็นฮูหยินจวนสกุลฉือ

“ท่านหมายความว่าไรนะ! จะให้ข้ากับท่านมีลูกด้วยกันอย่างนั้นหรือ”

“ใช่”

“ตั้งแต่คืนเข้าหอจนถึงตอนนี้ท่านทำอะไรไว้กับข้าบ้าง ท่านลืมไปแล้วหรือ วันนี้กลับมาบอกว่าให้ข้ามีลูกให้ท่าน ท่านบ้าไปแล้วหรือย่างไร”

“ข้ามิได้ลืม แต่สิ่งนี้ มัน…มันจำเป็น”

“เฮอะ จำเป็นอย่างนั้นหรือ มิน่าเชื่อ ว่าแม่ทัพใหญ่ที่ใครต่างยกยองชื่นชม วันนี้จะมากล่าววาจาเคร่งเครียด เรื่องคำทำนายไร้สาระเช่นนี้ได้ น่าขันสิ้นดี”

“ฟางอิน! ระวังปากของเจ้าด้วย”

“รึไม่จริง! ทบทวนการกระทำของตนเองดูหน่อยเถิด กับข้าท่านยังปฏิบัติเช่นนี้ หากเด็กเกิดมา มิแย่เอาหรือ สุดท้ายท่านก็ทำเพื่อความสบายตนเอง เห็นแก่ตัวเป็นที่สุด”

ปากคอช่างเราะร้ายนักฉือหย่งหลิงคิดในใจ ยามที่ได้ยินวาจาค่อนแคะออกมาจากปากของฉือฟางอิน เขาอยากจะเอามือยื่นไปบีบปาก เสียให้น้ำคาคลอเพราะความเจ็บปวด เผื่อนางจะได้หลาบจำเสียบ้าง ฝึกเพลงดาบนับร้อยกระบวนท่า ก็ยังไม่เหนื่อยเท่าเจรจากับนางเพียงหนึ่งเค่อ หากยังเถียงกันไปมาเช่นนี้ก็คงไม่จบไม่สิ้น เช่นนั้น ก็คงมีเพียงหนทางเดียว

“หากเจ้าไม่เชื่อก็ตามใจเจ้า ข้าเองก็มิได้อยากจะมีพันธะ ผูกติดอยู่กับเข้าไปตลอดชีวิต จริงสิ เจ้าเองก็ดูจะไม่ชอบบิดาของเจ้าเองด้วยใช่หรือไม่เช่นนั้น หากอนาคตบิดาของเจ้าตายไป หรือสกุลชวี่ของเจ้าล่มสลาย เจ้าก็คงไม่รู้สึกอะไรอย่างนั้นสินะ”

 “ไม่ตอบแสดงว่าจริง เช่นนั้น ก็ลืมเรื่องวันนี้ไปเสียเถิด จวนสกุลฉือสายหลัก ก็เหลือข้าเพียงคนเดียวอยู่แล้ว หากจะผลัดเปลี่ยนไปให้สายรองขึ้นมาสืบเชื้อสายแทนก็คงจะไม่เป็นไร”

เมื่อกล่าวจบ ชายหนุ่มก็เดินออกจากเรือนไป ทิ้งก้อนพายุลูกใหญ่อันหนักอึ้ง เอาไว้ให้นางต้องเผชิญอยู่เพียงลำพัง ราวกับอ่านใจฉือฟางอินได้ว่า บิดาของนางนั้น คือบุคคลสำคัญต่อชีวิต และจิตใจของนางมากที่สุด เพียงคนเดียวในชีวิตตอนนี้ เพราะเพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น ที่ฉือฟางอินได้แบกลับก้อนพายุนั้นไว้ เช้าวันรุ่งขึ้นหญิงสาวก็ได้มาขอพบเขาที่เรือน พร้อมกับตอบตกลง ที่จะมีทายาทให้กับสกุลฉือ

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทส่งท้าย

    “นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 63

    “ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 62

    เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 61

    “แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 60

    “อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 59

    “เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status