วันนั้น หวังเยี่ยนหลงนึกอยากกลับมาที่เรือนน้อยในรอบหกเดือน ครั้นมาถึงแล้วก็เห็นว่าบรรยากาศเงียบเชียบจึงเอ่ยเรียกเซี่ยฟาน
“เซี่ยฟาน” ไม่มีเสียงผู้ใดตอบกลับมา
“เซี่ยฟาน!” หวังเยี่ยนหลงตะโกนดังขึ้น อารมณ์เริ่มหงุดหงิด เดินไปดูรอบเรือนแต่ก็ยังไม่เห็นใคร ท้องเริ่มร้องโครกครากเพราะทั้งวันยังไม่กินอะไร จนแล้วจนเล่าเกือบครึ่งวันก็ยังไม่เห็นเซี่ยฟานแม้แต่เงา
หวังเยี่ยนหลงจึงระบายอารมณ์ด้วยการทำลายข้าวของที่อยู่ในเรือนจนระเนระนาด แล้วเดินกลับไปที่หอโคมแดง
เวลานั้น เซี่ยฟานเที่ยวเล่นกับเหอชิงหยางในตลาดไม่ได้รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นที่เรือนน้อย
ขณะที่ทั้งสองยืนอยู่หน้าร้านพู่หยก ก็มีสายตาเยือกเย็นมองตาม ความไม่พอใจก่อเกิดขึ้น
“ที่แท้ก็อยู่นี่?” หวังเยี่ยนหลงพึมพำกับตัวเอง รู้สึกหงุดหงิดบอกไม่ถูก คว้าสุรามากรอกดื่มแทนอาหารทุกครั้งที่เห็นเซี่ยฟานยิ้มให้เหอชิงหยาง
“เซี่ยฟาน เจ้าชอบอันไหนหรือ” เหอชิงหยางถามเขา
เช้าวันต่อมา เหลียนเฟินลืมตาตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นใครอยู่ตรงนั้นแล้ว ขอบตายังคงบวมเพราะน้ำตาที่ไหลล้นตลอดทั้งคืน ร่างกายทุกส่วนบอบช้ำ กลางหว่างขาเปรอะเปื้อนน้ำสีขุ่น เขาเกลียดที่เห็นสภาพเช่นนี้ของตัวเองยิ่งนักจึงรีบหาน้ำท่ามาอาบชำระล้างร่องรอยที่เหลืออยู่ เขาขัดถูร่างกายซ้ำไปซ้ำมาจนผิวขาวเริ่มแดง ทว่าสิ่งเหล่านั้นยังคงไม่จางหายไป พลันรู้สึกเหนื่อยล้าจิตใจยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา ทั้งยังสัมผัสได้ถึงปราณมารอ่อน ๆ ในตัว เหลียนเฟินมีพลังเพียงพอที่จะขจัดมันออกไปได้ แต่มีบางสิ่งบางอย่างไม่ถูกต้อง ปราณมารส่วนหนึ่ง
วันต่อมา หวังเยี่ยนหลงออกไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ปล่อยให้เหลียนเฟินนอนหลับเพียงลำพัง ครั้นเมื่อเจ้าตัวตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นใครจึงพอโล่งใจไปบ้าง กระนั้นก็ไม่ลืมสังเกตร่างกายตัวเองกลัวจะมีสิ่งแปลกปลอมดังเช่นตอนนั้น เสื้อผ้าทั้งชุดยังปิดมิดชิดจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะรีบวิ่งออกไปเปิดประตู ทว่า หวังเยี่ยนหลงร่ายอาคมปิดเรือนเอาไว้ ทำให้เขาออกไปที่ใดไม่ได้ จึงถือโอกาสเดินสำรวจในตัวเรือนใบไผ่ ชั้นวางหนังสือด้านในถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ตำราวิชาต่าง ๆ เรียงรายชิดริมฝั่งผนัง ส่วนใหญ่
เช้าวันต่อมา เหลียนเฟินงัวเงียตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนของหวังเยี่ยนหลง ทันทีที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้ถูกควบคุมแล้ว เขารีบพลิกตัวหนีแล้วถีบร่างหวังเยี่ยนหลงไปอีกทาง คนที่นอนหลับอยู่พลันกระเด็นตามแรงไปชนขอนไม้ใหญ่ดังพลั่ก สะดุ้งตื่นในทันที “กล้าดีอย่างไร!” หวังเยี่ยนหลงสบถ “คนชั่วช้า เจ้าทำอะไรข้า ทำไมข้าถึงขัดขืนไม่ได้” เหลียนเฟินโพล่งออกมา สีหน้าโกรธแค้นระคนเสียใจ&
หลังจากวันนั้น หวังเยี่ยนหลงก็เอาแต่วนเวียนวุ่นวายกับเหลียนเฟินไม่จบสิ้นไม่ว่าจะพูดยั่วยุเท่าใดก็ไม่เป็นผล จิตวิญญาณของเหลียนเฟินยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่ปล่อยให้ความแค้นเกาะกุม ปราณมารจึงไม่อาจเข้าครอบงำได้อีก ในเมื่อเวลานี้รู้แล้วว่าเขาเป็นผู้ใดจึงไม่มีเหตุผลต้องปิดบังอีกต่อไป หวังเยี่ยนหลงจึงพาเขากลับมาที่สำนักตระกูลหวัง ระหว่างพรรคมารกลุ่มหนึ่งตาดีมองเห็นหวังเยี่ยนหลงแต่ไกล คนในนั้นรู้ทันทีว่าเป็นหวังเยี่ยนหลง ยิ่งอยู่เพียงลำพังกับชายหนุ่มอายุน้อยกว่าก็คิดว่าตนเองมีแต้มเป็นต่อ หากกำจัดเขาได้ก็คงจะมีชื่อเสียงเลื่องลือว่าสามารถโค่นล้มประมุขสำนักตระกูลหวังได้ จึงรวมหัวกันวางแผนพร้อมลอบโจมตี
ครั้นสำนักสะสางเรื่องพรรคมารได้แล้ว จึงหันมาสืบสวนเรื่องภายในอย่างเคร่งเครียดบาดแผลบนร่างกายเกิดจากคมกระบี่เงิน ร่องรอยอาคมที่บ่งชัดได้ว่ามาจากผู้ที่สอบผ่านขั้นกลางไปแล้ว ศิษย์ที่อยู่ในที่แห่งนี้มีเพียงศิษย์ระดับต้นเท่านั้น “ซิ่นเฉิง เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้อาจารย์ฟังได้หรือไม่” อาจารย์ผู้หนึ่งถามซิ่นเฉิง ซิ่นเฉิงกลับเล่าเรื่องราวบิดเบือนจากความจริงไปมากนักราวกับว่าความทรงจำของเขาถูกใครบางคนควบคุมอยู่ เหลียนเฟินเห็นว่านี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้เขาถูกลงโทษอย่างสมน้ำสมเนื้อ จึงยอมรับว่าทำเรื่องทั้งหมดนั่นแต่โดยดี
“เหลียนเฟิน!” เสียงคุ้นเคยของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น เรียกความสนใจของหวังเยี่ยนหลงได้เป็นอย่างดี “หมิงฮวา ดีใจนักที่ได้เจอเจ้าเสียที” เขาพูดกับนางอย่างเป็นกันเอง “หวังเยี่ยนหลง?” หมิงฮวาไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะยังมีชีวิตอยู่ นับตั้งแต่ปะทะกันครั้งก่อน ไม่มีข่าวของหวังเยี่ยนหลงหลุดออกมาอีกเลย“เจ้าทำอะไรเขา” หมิงฮวาสงสัย หากเป็นโลหิตมารย่อมไม่สามารถทำอันใดกับศิษย์ทุกคนในสำนักได้ พลังของมันรุนแ