หลิวจินหลันกับความรักครั้งที่สอง
บทที่ 6
ความเปลี่ยนแปลง(เล็กน้อย)
พอมาถึงประตูเข้าวังหลวง กู้อิ่นมู่ลงจากหลังม้าด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ก่อนเดินมารอรับหลิวจินหลันที่กำลังลงจากรถม้า
หลังจากแม่นมซุนเลิกม่านหน้ารถขึ้น ชายหนุ่มก็ยื่นมือออกมาเพื่อให้นางจับ
อยู่ข้างนอก กู้อิ่นมู่มีฐานะเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นซีฮั่น แต่เมื่อเข้าวังหลวงฐานะของเขาคือราชบุตรเขย การแต่งตัวจึงแตกต่างจากตอนอยู่ในจวนแม่ทัพ ชายหนุ่มสวมชุดผ้าแพรไหมหรูหรา ถึงจะดูแปลกตาไปสักหน่อย หากก็หล่อเหลาจนไม่อาจละสายตา
หลิวจินหลันเหม่อมองกู้อิ่นมู่ ความหล่อของเขาทำเอาน้ำลายของนางแทบหก!
“องค์หญิง?”
เขาเรียกนาง
นางพลันได้สติ ก่อนจะหลุบมองมือใหญ่ที่ผายอยู่ตรงหน้า
แม่นมซุนอมยิ้ม ในขณะที่มือเล็กวางทับบนมือใหญ่
หลังจากนั้น ทั้งสองก็นั่งเกี้ยวมุ่งหน้าไปยังตำหนักฝูโซ่ว
กู้อิ่นมู่กับหลิวจินหลันประสานมือคุกเข่าคำนับไทเฮาตามกฎระเบียบของวังหลวง เมื่อเงยหน้าขึ้นไทเฮาก็กวักมือเรียกให้นางเข้าไปนั่งข้างๆ
ด้วยเพราะเป็นองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุด หลิวจินหลันเข้าไปนั่งข้างไทเฮาด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม แต่กู้อิ่นมู่ยังคงนั่งอย่างสงบเสงี่ยมบนเบาะหน้าที่ประทับ
ไทเฮากุมมือของหญิงสาว ตบลงบนหลังมือเบาๆ ขณะกล่าว
“ดูเอาเถิด จินหลันของข้าแต่งงานมาตั้งหนึ่งปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีเหลนให้ข้าอุ้มเสียที คงไม่ใช่ว่าเจ้าขาดเสน่ห์ดึงดูดใจสามีหรอกกระมัง”
คำพูดนี้หาได้ตำหนิหลิวจินหลัน แต่ไทเฮาตั้งใจกล่าวกระทบกระเทียบกู้อิ่นมู่ ทั้งยังเป็นการเอ่ยเตือนกลายๆ
พอได้ยินเช่นนี้ นางวาดมือโอบกอดไทเฮาอย่างเอาใจพลางกล่าว “เสด็จย่า หลานกับแม่ทัพกู้ยังรักใคร่กลมเกลียวกันดีเพคะ”
“รักใคร่กลมเกลียวหรือ” ไทเฮากล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “แล้วที่เจ้าต้องจับไข้เป็นเพราะใครกันล่ะ ไม่ใช่เพราะแม่ทัพกู้หรอกหรือ”
หลิวจินหลันสูดหายใจลึก คำพูดทิ่มแทงที่ระบุตัวบุคคลชัดเจน ร้อยทั้งร้อยไทเฮาคงรู้เรื่องที่หลานสาวสุดรักสุดหวงถูกวางยาพิษแล้วอย่างแน่นอน ถูกวางยาพิษไม่เท่าไร จางลู่คนนั้น ป่านนี้จะถูกสั่งเก็บแล้วหรือไม่นะ
ไม่หรอก แม้จะมีนิสัยริษยา แต่จางลู่คงไม่โง่ นางต้องรู้ผลลัพธ์ในสิ่งที่ทำ ตอนนี้คงซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง
หลิวจินหลันสลัดเรื่องน่ากลัวทิ้งแล้วเปลี่ยนเรื่อง “เสด็จย่าเคยได้ยินคำนี้หรือไม่เพคะ สามีภรรยายิ่งทะเลาะเบาะแว้งก็ยิ่งมีลูกดก”
กู้อิ่นมู่เหลือบตามองนางด้วยความตะลึง หากก็ยังทำหน้านิ่ง
หลิวจินหลันยิ้มพรายมองกู้อิ่นมู่
“เฮอะ” ไทเฮาแค่นเสียงขึ้นจมูก “เดิมตั้งใจเรียกเจ้ามาเพื่อตรวจสอบอะไรนิดหน่อย จากนั้นค่อยยุแยงให้พวกเจ้าหย่ากัน อย่างเรื่อง...ความผิดของอนุคนโปรดของแม่ทัพกู้”
“ไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนั้น...”
ทว่ากู้อิ่นมู่กำลังแกตัวว่าจางลู่ไม่ใช่อนุ ทว่ายังไม่ทันได้แก้ตัว ไทเฮาก็กล่าวต่อ
“ช่างเถอะ เห็นพวกเจ้าเปลี่ยนไปมาก ข้าเองก็วางใจนิดหน่อย”
“ก็แค่ปัญหาในมุ้งของสามีภรรยา อีกอย่าง ยิ่งทะเลาะยิ่งลูกดกนะเพคะ” หญิงสาวพูดยิ้มๆ
“เจ้าเด็กคนนี้ พูดจาไร้ยางอาย” ไทเฮาแสร้งทำทีเป็นตำหนิ
เพราะการแก้ตัวอย่างทะเล้นของหลิวจินหลันนอกจากจะทำลายบรรยากาศตึงเครียด ความหายนะที่สาวใช้อุ่นเตียงของเขาทำไว้กับนางก็พลอยถูกลืมไปด้วย
ถึงอย่างนั้น ตอนออกจากตำหนักฝูโซ่ว หลิวจินหลันรู้สึกเหนื่อยใจอย่างบอกไม่ถูก หลายวันมานี้ นางใช้ชีวิตในร่างของหลิวจินหลันอย่างราบรื่น แต่ให้รับมือกับเชื้อพระวงศ์ย่อมอดจะตื่นเต้นไม่ได้
ตอนกำลังขึ้นเกี้ยวออกจากวังหลวง ขันทีคนหนึ่งเข้ามาบอกว่ากู้กุ้ยเฟยต้องการพบทั้งสอง แน่นอนว่าคงเป็นเรื่องตำหนิกู้อิ่นมู่ผู้เป็นหลานชาย
หลิวจินหลันคนก่อนไม่ค่อยชอบกู้กุ้ยเฟย หากจะปฏิเสธเข้าพบย่อมทำได้ ทว่าไหนๆ นางก็ตั้งใจสร้างสายสัมพันธ์ใหม่กับกู้อิ่นมู่จึงอยากให้เขามองนางด้านดีๆ บ้าง ดังนั้นนางจึงติดตามกู้อิ่นมู่มายังตำหนักรับรองเพื่อพบกู้กุ้ยเฟย
เมื่อมาถึง กู้กุ้ยเฟยสอบถามอาการและขอโทษขอโพยหลิวจินหลันเป็นการใหญ่ ทั้งยังตำหนิกู้อิ่นมู่และโทษตัวเองที่สั่งสอนหลานชายไม่ดี
ความจริงใจที่กู้กุ้ยเฟยแสดงออกมาหาได้เสแสร้ง ทว่าวันนี้นางเหนื่อยแล้วจริงๆ หลังจากสนทนากันพอสมควร นางจึงตัดบทและชวนกู้อิ่นมู่กลับ
หากเป็นหลิวจินหลันคนก่อนคงเชิดหน้าแล้วออกจากตำหนักรับรองทันที โดยปล่อยกู้อิ่นมู่ทิ้งไว้ลำพัง แต่ครั้งนี้ หลิวจินหลันใส่ใจกู้อิ่นมู่ ทั้งยังรอกลับพร้อมกัน กู้กุ้ยเฟยเห็นอย่างนั้นถึงกับแสดงสีหน้าประหลาดใจ หากก็ยังคงเก็บอาการ
รอดพ้นจากกู้กุ้ยเฟยมาได้ ทั้งสองก็นั่งเกี้ยวมาถึงหน้าประตูวัง ตรงนี้รถม้าและม้าของจวนแม่ทัพกู้มาคอยท่าได้สักพักแล้ว ระหว่างที่นางส่งมือให้ชายหนุ่มประคองขึ้นรถม้า กู้อิ่นมู่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้พลางพูดกระซิบเชิงเย้าว่า “สามีภรรยายิ่งทะเลาะยิ่งลูกดกหรือ”
หือ!?
ขาที่กำลังขึ้นรถม้าพลันชะงัก หลิวจินหลันเหลือบมองชายหนุ่ม มุมปากบางยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ตลอดหนึ่งปีที่องค์หญิงขึงขังใส่กระหม่อม นับเป็นการทะเลาะหรือไม่”
นางโครงศีรษะแสร้งทำทีเป็นครุ่นคิด จากนั้นถึงขยับใบหน้าเข้าใกล้กู้อิ่นมู่ช้าๆ
“ถ้าแม่ทัพกู้ไม่พูด ข้าคงลืมไปแล้ว”
“อะไรหรือ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถาม
“จากนี้ข้าไม่อนุญาตให้ท่านเลี้ยงอนุหรือมีสาวใช้อุ่นเตียงอีกแล้วละ หากแม่ทัพกู้อยากทะเลาะกับใครสักคน ก็จงมาทะเลาะกับข้าโดยตรงเถิด”
แน่นอน คำว่า ‘ทะเลาะ’ ในความหมายของนางมีนัยยะแฝงอยู่
เมื่อพูดจบ หลิวจินหลันยิ้มละไมแล้วก้าวขึ้นรถม้า
กู้อิ่นมู่อ้าปากแล้วหุบลง ตอนแรกไม่เข้าใจถึงนัยแฝงของคำว่า ‘ทะเลาะ’ แต่เมื่อประโยคที่ว่า ‘ยิ่งทะเลาะยิ่งลูกดก’ ผุดขึ้นมาในหัว บวกกับรอยยิ้มของหลิวจินหลันเมื่อสักครู่ เขาอดหัวเราะเบาๆ มิได้
“ถึงไม่ใช่คำสั่งขององค์หญิง กระหม่อมก็ไม่คิดจะไปทะเลาะกับสตรีอื่นอยู่แล้ว”
เกิดใหม่เป็นฮูหยินของแม่ทัพ(อสูร)นั้นไม่ง่าย บทที่ 38บทพิเศษ วันเวลาล่วงเลยมาอีกเล็กน้อย แม้บาดแผลบนเอวของมู่ฉีหลินยังไม่หายสนิท ทว่าเวลาขยับตัวก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บแต่อย่างใดแล้ว นับตั้งแต่วันที่สุ่ยเซียนพูดความในใจออกมา การใช้ชีวิตของพวกเขายังคงดำเนินไปอย่างปกติ เหมือนการสารภาพครั้งนั้นไม่เคยเกิดขึ้น นั่นทำให้มู่ฉีหลินเกิดความกังวล กลัวว่าความหวานล้ำในวันนั้นอาจจะเป็นแค่ความฝัน และเป็นเขาเองที่ละเหม่อมเพ้อไปฝ่ายเดียว หลังมื้อเย็นของวันนี้ มู่ฉีหลินเดินออกมานอกจวน ภายนอกอาจดูเหมือนแม่ทัพอยู่ในอารมณ์สุนทรีย์ ออกมารับลมกลางคืน แต่แท้จริงชายหนุ่มกำลังคิดไม่ตก ไม่รู้ว่าจะเริ่มสานสัมพันธ์กับฮูหยินของตนอย่างไร อากาศกลางคืนยิ่งดึกยิ่งหนาวเย็น มู่ฉีหลินหมุนปลายเท้า เดินกลับเข้าจวน ภายในห้องนอนของฮูหยินท่านแม่ทัพ สุ่ยเซียนนั่งอ่านหนังสือประโลมโลกตรงโต๊ะกลางห้อง แม้ว่าสายตาของนางจะจดจ่ออยู่บนตัวหนังสือ แต่จิตใจกลับคิดไปเรื่องอื่น หลังจากวันนั้น สุ่ยเซียนกับมู่ฉีหลินก็ยังแยกห้องนอนเหมือนเดิม ไม่มีอะไรต่างออกไป ทั้งที่พวก
เกิดใหม่เป็นฮูหยินของแม่ทัพ(อสูร)นั้นไม่ง่าย บทที่ 37บทส่งท้าย “ม...มู่ฉีหลิน!?” ไม่เพียงถูกโอบกอดด้วยวงแขนอบอุ่น คำสารภาพครั้งที่สองทั้งหนักแน่นทั้งทรงพลัง ทำเอาสุ่ยเซียนถึงกับใจเต้นโครมคราม ตั้งแต่ที่มู่ฉีหลินกลับจวนมา ดูเหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้นมากมาย แม้ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย และถึงจะเข้าใจยาก แต่พอทุกอย่างดำเนินมาถึงตรงนี้ สุ่ยเซียนถึงเพิ่งเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร สุ่ยเซียนยกมือขึ้นผลักอกมู่ฉีหลิน เขาส่งเสียง “อึก!” พร้อมกับสีหน้าเจ็บปวดเล็กน้อย เมื่อเห็นอย่างนั้น สุ่ยเซียนรีบกล่าวขอโทษขอโพย ด้วยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามู่ฉีหลินยังบาดเจ็บอยู่ “ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ” “ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้เจ็บหนักขนาดนั้น อีกอย่าง เป็นข้าต่างหากที่ต้องขอโทษเจ้า...สุ่ยเซียน ข้าขอโทษที่หลอกลวงเจ้า แต่บาดแผลนี้ได้มาจากการปะทะกับกลุ่มโจรพวกนั้นเป็นเรื่องจริง” สุ่ยเซียนไม่ได้ถือสาที่ถูกหลอกลวง ขอแค่เขาไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว กระนั้น ก็ไม่วายถามด้วยความเป็นห่วง “ท่านเจ็บหรือไม่” มู่ฉีหลินส่ายหน้าตอบ
เกิดใหม่เป็นฮูหยินของแม่ทัพ(อสูร)นั้นไม่ง่าย บทที่ 36ความดีของมู่ฉีหลิน ได้รับการตอบแทนแล้ว เป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่าๆ ที่มู่ฉีหลินเดินทางลงใต้ ปราบโจรชั่ว และใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวง การปราบปรามโจรไม่ได้ลำบากด้านฝีมือ แต่เสียเวลากับการเดินทาง และยังยุ่งยากกับการหาที่ซ่อนตัวของพวกมัน สรุปแล้ว มู่ฉีหลินจัดการกลุ่มโจรชั่วได้อย่างเสร็จสรรพ และเป็นไปตามกำหนดการที่วางเอาไว้ ทว่า...ถ้าจะพูดถึงปัญหาคงติดอยู่เรื่องเดียว นั่นคือการได้รับบาดเจ็บระหว่างต่อสู้กับกลุ่มโจรพวกนั้น และเพราะเรื่องนี้เอง ทำให้การกลับเข้าเมืองหลวงครั้งนี้ มู่ฉีหลินไม่ได้นั่งบนหลังอาชาศึกด้วยท่วงท่างามสง่า แต่ได้นั่งๆ นอนๆ อยู่ในรถม้า ทั้งร่างกายและบนใบหน้ายังถูกพันด้วยผ้าพันแผลเต็มไปหมด “แปลกเสียจริง เหตุใดถึงไม่เห็นแม่ทัพอสูรเล่า” “จริงด้วย” “ที่ว่ากันว่า โจรชั่วพวกนั้นเป็นยอดฝีมือในยุทธภพเห็นจะเป็นเรื่องจริง” “ทำไมรึ” “ก็ถ้าไม่เห็นแม่ทัพอสูรนั่งอยู่บนหลังม้าหน้าขบวนอย่างทุกที อาจเป็นไปได้ว่าเขาจะถูกโ
เกิดใหม่เป็นฮูหยินของแม่ทัพ(อสูร)นั้นไม่ง่าย บทที่ 35นั่นเรียกว่าความคะนึงหา ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น ณ คฤหาสน์ตระกูลมู่ ปัง! เสียงทุบโต๊ะดังขึ้น ก่อนที่เสียงโกรธเกรี้ยวของมู่ฮูหยินจะดังตามมาทีหลัง “ทั้งที่เพิ่งแต่งภรรยาไม่นาน ฉีหลินเสนอตัวออกไปปรามโจรชั่ว เดินทางแต่ละครั้งใช้เวลาเป็นเดือนๆ ต่อให้มีปัญหากัน แต่ทำเช่นนี้ไม่เกินไปหน่อยรึ” ในช่วงบ่ายแก่ๆ ทันทีที่มู่ซื่อจื่อผู้เป็นสามีกลับมาถึงคฤหาสน์ บอกกล่าวเรื่องของมู่ฉีหลินบุตรชายคนรอง ซึ่งอาสาออกไปปราบกองโจรที่กำลังเป็นปัญหาในเมืองทางใต้ตอนนี้ให้ภรรยาฟัง มู่ฮูหยินก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทุบโต๊ะอย่างไม่ยั้งกำลัง ทำให้โต๊ะไม้จื่อถานสีดำที่มีความหนาเกิดรอยร้าวเล็กน้อย “ข้าเองก็กังวลใจไม่แพ้ฮูหยิน อัดอั้นอยากรีบกลับมาบอกโดยเร็ว แต่ที่กรมก็มีงานให้สะสางมากมาย อีกอย่าง ดูจากท่าทาง เหมือนฉีหลินต้องการเร่งออกเดินทางเร็วๆ พวกเราควรทำเช่นไรดี” มู่จื่อซื่อบอกและถามภรรยาในประโยคเดียวกัน “ข้าจะไปถามฉีหลินให้รู้เรื่อง” มู่ฮูหยินลุกพรวด “ช้าก่อนท่านแม่”
เกิดใหม่เป็นฮูหยินของแม่ทัพ(อสูร)นั้นไม่ง่าย บทที่ 34หวั่นไหว และ อาการของความเสียใจ สุ่ยเซียนรู้สึกว่ากำลังถูกมู่ฉีหลินหลบหน้าอยู่? ตั้งแต่วันที่เซี่ยงจวิ้นมาเพื่อตัดความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิง ในตอนนั้นมู่ฉีหลินยื่นมือออกมาทำท่าจะคว้าสุ่ยเซียน สายตาสื่อคล้ายต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง สุ่ยเซียนตั้งใจว่าหลังกลับเข้าจวนจะถามมู่ฉีหลินให้รู้ความ รวมถึงบอกกล่าวความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเซี่ยงจวิ้นที่คลี่คลายแล้ว การพูดคุยกันอย่างเปิดอก บอกกล่าวเรื่องราวอย่างตรงไปตรงมา เป็นการแสดงออกอย่างบริสุทธิ์ใจในแบบของนาง ทว่า มู่ฉีหลินกลับหนีออกจากจวนไปดื้อๆ หลังจากนั้นก็เหมือนว่าจะคาดกันตลอด มู่ฉีหลินตื่นเช้ากว่าปกติ และออกจากจวนไปก่อนที่นางจะออกจากห้อง หากเช้าวันไหนบังเอิญเจอกันกลางห้องโถง เขาเพียงแค่ทักทายนางด้วยการพยักศีรษะพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ในช่วงเย็น มู่ฉีหลินจะกลับเย็นกว่าปกติ ซ้ำยังบอกว่ากินมื้อเย็นมาจากบ้านเฉินเจี๋ยซูแล้วเนื่องจากมีเรื่องสำคัญต้องปรึกษา สำหรับสุ่ยเซียน ดูอย่างไรเขาก็ตั้งใจหลบหน้านางไม่ใช่หรือ จากความสงสัยเริ่มกลายเป็
เกิดใหม่เป็นฮูหยินของแม่ทัพ(อสูร)นั้นไม่ง่าย บทที่ 33แผนของเฉินเจี๋ยซู แม้ไม่อยากคิด แต่ก็เคยสงสัยว่าหากสุ่ยเซียนกับเซี่ยงจวิ้นตกลงปลงใจด้วยกันจริงๆ ตนจะยอมรับเรื่องนี้ได้มากน้อยแค่ไหน ถึงสุ่ยเซียนไม่เคยบอกว่าเลือกทางนั้น ลำพังแค่เพียงเรื่องเข้าใจผิดระหว่างมู่ฉีหลินกับนาง เหมารวมเอาความใส่ใจที่นางมอบให้มาคิดเข้าข้างตัวเองว่าเป็นความรัก นั่นก็เพียงพอทำให้มู่ฉีหลินรู้ว่าตนเองไม่ได้เข้มแข็งเลยสักนิด ความรู้สึกที่มาไกลทำให้มู่ฉีหลินเจ็บปวดและอับอายทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับสุ่ยเซียน ยิ่งต้องมาทนเห็นนางออกไปพบเซี่ยงจวิ้นก็ยิ่งยอมรับไม่ได้ จึงเป็นฝ่ายหนีออกจากจวนทางประตูหลังเพื่อหลบไปอยู่ที่ไหนสักแห่ง รู้ตัวอีกที มู่ฉีหลินก็มาหยุดอยู่หน้าบ้านของเฉินเจี๋ยซูเสียแล้ว ตั้งแต่มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่มั่นคง เฉินเจี๋ยซูก็ย้ายออกจากตระกูลใหญ่เพื่อมาอยู่คนเดียว ด้วยการซื้อบ้านหลังเล็กในตรอกที่เงียบสงบ ถึงกระนั้น ชายหนุ่มตัวคนเดียวและรักสันโดษอย่างเฉินเจี๋ยซูหาได้ขาดตกบกพร่องเรื่องอาหารการกินแต่อย่างใด เพราะมารดาของเขามักจะทำอาหารและส่งมาให้ลูกชายอยู่เ