“มิมีปากมีเสียงเช่นนี้ สำแดงว่าที่ตัวพี่เอ่ยเป็นอันถูกต้อง” ยักษ์ว่าเช่นนั้น เข้าใจว่านางคงอายหากมีใครมาเห็นเขาและนางล่อนจ้อนกอดกันในสระบัวเช่นนี้ จะว่าพิกลไม่ได้ เพราะเจ้าหล่อนนั้นยังเป็นสาวบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่นั่นเอง
คิดได้เช่นนั้น อสุราหนุ่มจึงร่ายคาถา สร้างต้นไม้ใหญ่รกครึ้มรอบๆ สระบัวในทันที
มธุรสอ้าปากค้าง เมื่ออยู่ดีๆ รอบสระบัวก็ปรากฎต้นไม้ต้นใหญ่ขึ้นรอบๆ กลายเป็นป่าละม่อมขนาดย่อม
เธองเหลียวกลับไปจ้องหน้าอสุราหนุ่มอย่างตกตะลึงพรึงเพริด ไม่เคยรู้เลยว่ายักษ์จะร่างเวทมนตร์คาถาเสกต้นไม้ได้ด้วย นี่เหมือนหล่อนกำลังอ่านแฮรี่ พ็อตเตอร์ของเจ. เค. โรว์ลิ่งอยู่เลยอ่ะ
“เท่านี้ก็มิมีปัญหาแล้วใช่หรือไม่” ยังมิวายก้มหน้าลงมาถามหล่อนด้วยรอยยิ้มพราวเสน่ห์นั่นอีก
“มะ... มันก็ดีอยู่หรอกค่ะ” ก็ทหารของเขายืนอยู่ตรงนู้นนี่หว่า เมื่อเกิดป่ารกทึบรอบสระบัวแบบนี้ ก็คงไม่มีชายคนไหนได้เห็นเรือนร่างของเธออีก “แต่ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย”
ท้ายประโยคสาวเจ้าบ่นอุบอิบ น่าพิกลจริงที่สุวรรณราพณ์ตามใจเธอแบบนี้
“พี่ตามใจเมียทุกคนของพี่นั่นแล” หากแต่คำตอบก็พอทำให้หญิงสาวรู้ว่าทำไม ได้แต่มุ่ยหน้าตามประสาเด็กสาวที่หมั่นไส้ในบุรุษเพศหลายใจเป็นเหลือล้น “แต่จักตามใจเมียที่พี่โปรดปราณที่สุด... มากกว่าคนอื่น”
ท้ายประโยคมิวายเอนมากระซิบข้างริมหูเจ้าหล่อนอีกครา หยอกเย้าให้อีกฝ่ายหน้าแดงแจ๋อีกครั้ง
“... อึก”
“ถ้าอยากให้ตามใจ... ก็ทำให้พึงใจเป็นพอ”
ว่าพลางใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งโอบรัดเอวคอดของสาวเจ้า อีกมือก็เลื่อนขึ้นมาป้องแก้มนวล ดวงหน้างามถูกรั้งให้แหงนขึ้นสบสายตาต่อกัน สุวรรณราพณ์จ้องมองนางอย่างต้องใจ ไล้ปลายนิ้วตั้งแต่ดวงตากลมโตสุกใสดั่งลูกแก้ว ไล้มาที่ปลายจมูกเล็กโด่งรั้นอย่างเด็กสาวแรกแย้ม ลงมาถึงริมฝีปากบางที่เผยอขึ้นอย่างน่ารัก
หลงใหลเหลือเกิน ตั้งแต่ที่ชิงนางมา ก็มิอยากชิดใกล้เมียคนไหนเท่านางอีกเลย
มธุรสใจเต้นรัวเร็ว ทำไมถึงได้จ้องมองอย่างลึกซึ้งเช่นนั้น สัมผัสอย่างตรึงใจ ในสภาพที่ร่างกายล่อนจ้อนกอดกันในสระบัวเช่นนี้
“ขะ... ขอโทษค่ะ หนูว่าหนูแตะขาถึงแล้ว” การใกล้ชิดกับบุรุษเพศนั้นช่างอันตรายต่อหัวใจ เด็กสาวเบือนหน้านี้เอ่ยถ้อยคำแทรก สะบัดดวงหน้างามจากฝ่ามือใหญ่ หลบเลื่อนสายตา พลิกตนหนีหันแผ่นหลังเล็กที่ขาวนวลให้อสุราหนุ่ม
พระพักตร์ดุดันนั้นขมวดคิ้ว นึกพิกลนักที่สาวเจ้าไม่นึกหวั่นไหวกับเขาเลยแม้แต่นิด โดยเฉพาะกับบุรุษที่รูปงามเช่นท่าน กายใหญ่โตองอาจยิ่งกว่าชายชาตรีคนไหนๆ รวมถึงการเกี้ยวพาราสีที่ไม่เป็นรองใคร (แม้จักบอกนางไปว่าไม่ถนัดการเกี้ยวพาราสีใครสักเท่าไหร่ก็ตาม)
ไม่ว่าเมียคนไหนๆ แค่ได้อยู่ใกล้ก็ต้องไหวหวั่น หากแต่นางกลับใจแข็งยิ่ง
ทางด้านมธุรสเองก็กุมทรวงด้านซ้าย สะกดดวงใจที่สั่นรัวยิ่งกว่ากลองชุดให้สงบลง เนื่องจากอีกฝ่ายนั้นเป็นชายเจ้าชู้มากรัก การเผลอไปหวั่นใจนั่นถือเป็นการพลาดพลั้งอย่างร้ายแรง
พยายามมองลงไปใต้ธารน้ำใส ทอดมองดอกบัวบานสีชมพู และใบบัวที่แผ่ใบใหญ่อยู่ชิดใกล้
หมู่มัจฉาลวดลายสวยงามแหวกว่ายมาชิดใกล้กับแน่งน้อยใต้น้ำของหล่อน ตอดต้นขาขาวนวลเล่นอย่างน่าเอ็นดู สาวเจ้าหัวเราะคิกคัก ล้วงมือเล็กลงไปใต้น้ำ พยายามจะแตะปลาตัวน้อย หากแต่เมื่อมือของเธอชิดตัวนุ่มนิ่ม เจ้าตัวเล็กก็ผุดน้ำหนีโดยพลัน
“โถ่” เสียงใสครางอ่อนอย่างผิดหวัง
สุวรรณราพณ์ที่ประคองสาวเจ้าและเห็นปฏิกิริยาทั้งมวลจึงท่องคาถาในจิต ดลใจให้ฝูงปลาแหวกว่ายเข้ามาหานางทั้งฝูง เพียงเพื่อให้หญิงสาวลูบไล้พวกมันตามแต่จะพึงใจ
“โอ้ะ ทำไมอยู่ๆ ก็” สาวเจ้าอุทานเสียงแหวว แต่ต่อมาเมื่อถูกรุมตอดเท้าก็จั๊กจี้จนหัวเราะเสียงหวาน เธอหยอกล้อกับฝูงปลาน้อยเหล่านั้น ราวกับกิริยาของเด็กสาวที่ยังไม่รู้จักโต
ไม่เคยได้ใกล้ชิดปลาแบบนี้มาก่อน อีกอย่างพวกมันยังน่ารัก ไม่เหมือนปลาดุกที่วัดดอนปลาหวายใกล้บ้าน ที่พอฉีกขนมปังแข็งปาไปกลางวง ก็รุมทึ้งเหมือนฝูงซอมบี้ดูน่ากลัวโคตรๆ
แม้จักเป็นกิริยาที่ไม่ว่าชายใดในโลกมนุษย์อาจไม่ชอบใจนัก ท่าทางกระโดกกระเดก บางครั้งก็หยิ่งผยอง คับคล้ายคับคลากับลูกเสือปลาตัวจ้อยที่พยายามขู่ฟ่อใส่พญาเสือโคร่งไม่ปาน
แต่ด้านพญาเสือโคร่งตนนั้นก็คือเขานั่นเอง มันกลับจ้องมองลูกเสือปลาตนนั้นอย่างพึงใจ
แม้จะพยศหนักหนา... แต่ก็น่ารักซะจริงเชียว
ในเมื่อเมียอยากหยอกล้อกับฝูงปลา แม้จะเป็นเรื่องที่เล็กน้อยเพียงใด ก็จะสนองให้โดยที่ไม่หยุดคิดก่อนเลยเชียว
“คุณพระ ทำไมถึงได้ตามอกตามใจนางเช่นนั้น คุณพี่มิเคยเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย...”
หากแต่ในหมู่แมกไม้ไม่ลึกจากสระบัวนัก ปรากฎเป็นร่างเล็กในชุดไทยวิจิตรของตองนวลที่หลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ แอบทอดสายตามองกายล่อนจ้อนของทั้งสามีอมนุษย์ของนางและแม่เด็กสาวที่มาใหม่คนนั้น พร้อมกับขบฟันขาวอย่างเจ็บใจ
ถึงจะบอกว่าเป็นคนโปรด แต่ท่านสุวรรณราพณ์นั้นมิเคยมีพระพักตร์อันอ่อนโยนรักใคร่ให้กับสนมนางใดแม้แต่คนโปรดอย่างนาง ท่านคืออสุรากษัตริย์ผู้เยือกเย็น คาดเดาอารมณ์ไม่เคยได้ บางครั้งก็เหมือนจะมองพวกเหล่าสนมเป็นเพียงวัตถุบำบัดราคะก็เท่านั้น
แต่นั่นก็ไม่แปลกอะไร เพราะพระบิดาของนางก็ไม่เคยปฏิบัติกับเหล่าสนมของท่านเหมือนเป็นเมียเอกเลยสักนิด กษัตริย์ก็คือกษัตริย์ สูงส่งจนไม่อาจหรี่ตาลงมามองสตรีที่เป็นเพียงช้างเท้าหลังอย่างพวกนาง ยามเมื่อโดนสุวรรณราพณ์ตีเมือง ก็ยกนางให้เขาโดยง่าย
แม้ว่าเธอจะเตรียมใจมาดีแล้วหากจะหลงใจไปรักท่านผู้นั้น แต่ทว่าเมื่อสนมผู้มาใหม่กลับได้ความรักไปมากกว่า ไม่ว่าใครก็ต้องริษยาเป็นธรรมดา
แค่หวังอยากให้หันพระพักตร์มามองกันสักนิด มองข้าอย่างหญิงธรรมดาบ้าง มิใช่เป็นเพียงเชลยศึกที่ตกเป็นเมีย
แค่เพียงนี้... ข้าขอมากไปหรือ
หลังจากที่จันทร์ดาได้พบกับแม่ที่แท้จริงของตนเอง แถมกรรณิกาอัปสรกับพระสุวรรณราพณ์ก็คิดจะจับมือกันเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ต่อลูกอีก ต้องยอมรับว่าเธอมีความสุขมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมากทีเดียว “จันทร์ดา เจ้านี่ฝีมือดีจริงหนา” หญิงสาวยิ้มเขินเมื่อมารดาของตนยกผ้าทอมือที่ถูกปักจากขนของครุฑขึ้นมาเชยชม แค่สอนการเย็บปักถักร้อยไม่กี่เดือน นับว่าลูกสาวของเธอหัวไวมากทีเดียว ถึงกับเย็บชุดสไบทรงเครื่องมาให้เลย แถมยังงามจับตาเสียด้วย “เจ้านี่มีพรสวรรค์น่าดู ข้าละภาคภูมิใจเสียจริงๆ” “เป็นเพราะท่านแม่สอนสั่งข้าเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ” ฝ่ายจันทร์ดาเองก็ถ่อมตัวและยกย่องความดีความชอบไปให้แม่ของตนเองแทน กรรณิกาอัปสรที่นั่งอยู่ร่วมกันที่ศาลาริมบึงบัวอดไม่ได้ที่จักแย้มยิ้มปิติยินดี เพราะตอนนี้แม่ลูกได้เข้าใจกันโดยสมบูรณ์ แถมยังสนิทสนมกันเป็นปี่เป็นขลุ่ยอีกด้วย ดูเหมือนจันทร์ดาเองก็ค่อยๆ เปิดใจให้เธอแล้วเช่นเดียวกัน บางคราหญิงสาวก็มองมาราวกับจะสื่อความขอบคุณ ตั้งแต่วันนั้น พระสุวรรณราพณ์ก็เริ่มเข้ามามีบทบาทในทุกกิจกรรมของลูกโดยที่เธอไม่จำเป็นต้องบอก ในตอนนี้เหลือเพียงแค่จันทร์ดาที่ยังคงรักษาเอาไว้ได้ เขาจึงพยายามเข้าหาล
กว่าจักรู้สึกตัวก็โน้มดวงหน้าลงไป คุกเข่าลงเพื่อให้ร่างใหญ่ได้พอดีกับร่างกายเล็กๆ ของนาง ริมฝีปากของหญิงชายใกล้กันจนเอื้อมถึง แต่น้องคนดีกลับเบี่ยงหน้าหนีในทันใด“ข้าบอกพี่แล้วนะ ว่าข้ามีสามีแล้ว” นางยังคงใจแข็งแม้นดวงใจจักเต้นรัวราวกับกลองทับ ดวงหน้าคมคายจึงผละออกไป พระสุวรรณราพณ์ไม่คิดบังคับใจหล่อน หากพร้อมกลับมาคืนใจเมื่อใด เขาจักรออยู่ที่นี่เสมอ “ข้าอยากมาพูดคุยเรื่องอินทร์มุก... ข้ารู้มาว่าบุตรชายของเจ้าพี่หายตัวไป”“ข้าเองก็จนปัญญาที่จักอบรมบ่มสันดานไอ้ลูกชายคนนี้แล้ว ในคุกหลวงก็เหมือนกับว่าจักลักพาพระสนมเนตรเกล้าไปด้วย มันอาจหลงรักนางเข้าจริงๆ” กรรณิกาอัปสรนึกครุ่นคิดถึงชื่อหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในบทสนทนา เนตรเกล้า... คงเป็นผู้หญิงปากเสียที่จักเข้ามาทำร้ายเธอในตอนนั้น ไม่น่าเชื่อว่าลูกชายเราหลงรักผู้หญิงร้ายกาจตนนั้น “นางถูกคุมขังเพราะเล่นชู้กับพระโอรส พี่กลัดกลุ้มใจเหลือเกิน”อัปสรสาวนึกตกใจ ไม่คิดว่าลูกชายที่เคยตัวเล็กน่ารักเพียงครึ่งข้อขาคนนั้นจักเติบโตมาเกเรอาจหาญเล่นชู้กับผู้หญิงได้ แถมยังเป็นพระสนมของพ่อตนเอง ดูท่าว่าการเอาใจใส่ของเขานั้นจักมีปัญหา ลูกจึงเสียนิสัยไปได้ไกลเช่นน
หากแต่เด็กหนุ่มที่มองจ้องมาทางหล่อนนั้น ชวนให้รู้สึกแปลกๆ ราวกับเขาจ้องมองมาด้วยความใคร่อยากจักรู้ตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย แลไม่ได้ไว้ใจในตัวของหญิงสาวชาวมนุษย์นักไกรสรไม่ได้รับรู้เรื่องราวได้ชัดเจนสักเท่าไร เนื่องจากเจอแม่อีกทีก็ตอนที่พระสุวรรณราพณ์เล่าเรื่องราวทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว รู้แค่เพียงว่ามารดาพานางมาเพื่อต้องการชดเชยความผิดจากอดีตที่ทำต่ออีกฝ่าย เขาไม่ได้มาในตอนที่กรรณิกาเสกดวงตาที่ชิงมากลับไปให้เจ้าจันทร์ หรือแม้แต่เห็นตอนที่อีกฝ่ายอยู่ในฐานะที่น่าอดสู จึงยังคงมีความคลางแคลงในตัวของเจ้าจันทร์อยู่พอสมควรเมื่อนึกถึงอดีต... ภาพของจันทร์ดาก็หวนคืนกลับมา ชวนให้เขารู้สึกเศร้าใจอยู่เล็กน้อย ที่ถึงแม้มารดาของตนจักเป็นฝ่ายเจรจาให้เอง แต่ชายผู้นั้นคือบิดาของจันทร์ดา เขาคงไม่มีวันให้อภัยอสุราตนนั้นที่เคยทำร้ายแม่ เหมือนที่แม่ให้อภัยเขาได้หรอกไกรสรคงไม่กล้าอาจหาญครองรักกับจันทร์ดา ในขณะที่มองดูแม่ที่เคยผิดหวังจากความรักต่ออสุราผู้นั้นได้ หากมีแม่กับผู้หญิงที่สมควรจะรัก เขาคงเลือกแม่ตนเองอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะแม่คือทุกอย่างของเขา แม่ผู้ให้กำเนิด แม่ที่ทำให้เขาเติบใหญ่มาอย่างดีที่สุ
ณ เมืองจันทร์ในเวลานั้น“เจ้าหญิงงั้นรึ! ที่พระราชวังมิมีองค์หญิงอีกต่อไปแล้ว นางโดนราชายักษ์จับกินจนมิเหลือแม้แต่กระดูก แลเจ้าเองก็มิใช่องค์หญิง เจ้าตาบอด นำนังคนบ้านี่ออกไปนอกอาณาเขตราชวัง นี่เป็นรับสั่งจากกษัตริย์!”กว่าจักใช้ปีกน้อยๆ นั้นบินฝ่าเมฆหมอกมาสู่เมืองที่เคยจากมา จำต้องใช้สัญชาตญาณในการเอาตัวรอดสูง เจ้าจันทร์ในร่างนกการเวกตาบอดโผบินแลกลายเป็นร่างหญิงสาวในชุดไทยวิจิตร หากแต่ดวงตาที่บอดสนิททั้งสองข้างนั้น พร้อมทั้งท่าทางที่ราวกับคนไม่สมประกอบ ทำให้ชาวบ้านที่หลงเหลืออยู่ต่างพากันเข้าใจว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นคนบ้าใบ้สติไม่ดี เจ้าจันทร์นั้นเดินโซเซด้วยตีนเปล่ามาจนถึงหน้าประตูวังตามกลิ่นลมรอบตัว แต่กลับถูกนายทหารไล่ตะเพิดออกมาดูเหมือนว่าเมืองจักถูกซ่อมแซม เกณฑ์ประชาชนที่ยังมีชีวิตรอดมาสร้างเมืองใหม่ แม้จักทุลักทุเลแต่ก็กลับมาแทบจะเหมือนเก่า เพราะกษัตริย์ยักษ์ตนนั้นมิได้คิดจักทำลายไปทั้งเมือง คงต้องขอบใจในวาสนาของลูกสาวที่เป็นตัวตายตัวแทน แลนางคงไม่มีวันกลับมา ว่ากันว่ายักษ์นั้นดุร้าย ป่านนี้คงไม่เหลือแม้แต่ซากเป็นแน่เอาเถอะ ขอแค่เมืองแลพระราชารอดพ้นวิกฤตนี้ไปก็พอใช่ เสด็จพ่อที่ดู
“มธุรสวดี งั้นเจ้ายินดีจักกลับไปอยู่กับพี่ใช่หรือไม่ เจ้ารู้ความในใจของพี่แล้ว แลพี่เองก็มิรู้ว่าจักชดเชยความรู้สึกที่เสียไปของเจ้าเช่นไร พี่โป้ปดเจ้า พี่ทำให้เจ้าช้ำอุรา พี่รู้ดี...”“พี่สุวรรณราพณ์ ข้าเคยมีความรักอันดีต่อพี่ ข้ามอบใจให้พี่ แลตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง” ท้าวไกรสิงห์สยายปีกสีชาดด้วยสีหน้าขุ่นหมองราวกับไม่อยากรับฟังสิ่งใดต่อจากนั้นอีกต่อไปแล้ว เขารู้ดีว่านางยังคงมอบดวงใจเฝ้ารักไอ้อสุราตนนั้น แลไม่มีเหตุผลที่จักไม่กลับไป ตลอดมาเขาทำได้เพียงรักแลถนอมนางให้ดีที่สุด“...”“แต่ข้าคงมิอาจตอบตกลงเพื่อกลับไปหาพี่ได้ ข้าค้นพบสถานที่ที่ข้าต้องอยู่แล้ว”“...”“แม้นจักไม่เทียบเท่าที่เคยมอบให้พี่ แต่ข้าไว้เนื้อเชื่อใจที่จักมอบชีวิตให้พี่ไกรสิงห์ แลข้าเอง... ก็มีลูกชายที่ต้องดูแลในฐานะมารดาต่อจากนี้”“...!!”“หากพี่เข้าใจแลกลับไปแต่โดยดี ข้าอาจจักขอมากไป แต่ข้าขอฝากอินทร์มุกแลจันทร์ดาไว้กับพี่ด้วย ข้าอยากให้พี่ดูแล มอบความรักให้พวกเขาราวกับเป็นลูกแท้ๆ ของเรา... ถึงแม้ว่าข้าจักมิได้ตั้งท้องพวกเขามาก็ตาม”“...”“แต่ถ้าหากพี่ยังดึงดันจักฆ่าพี่ไกรสิงห์ ก็เอาชีวิตของข้าไปแท
ความมืดที่กลืนกินสุวรรณราพณ์นั้นทำให้เมื่อครบวันตามกำหนด เขาจึงเคลื่อนทัพด้วยตัวคนเดียว ฝ่ามือกุมดาบทมิฬไว้แน่น ดวงตาวาวโรจน์ ร่างกายถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดจนเห็นเป็นเพียงเรือนกายสีทมิฬ เขาเหาะเหินเดินอากาศไปตามนภา ขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์พร้อมความพยาบาท บีบเค้นอัปสรบนท้องฟ้าเพียงถามหาทางไปวิมานฉิมพลี ด้วยความกลัวเพราะพญายักษ์นั้นเสียสติไปแล้ว เหล่าอัปสรชี้ไปทางเมฆที่เกาะกลุ่มแน่นหนาที่สุด เพียงขว้างศาสตราวุธไปทางกลุ่มเมฆเหล่านั้น ก็เกิดอัสนีบาตรจนกลุ่มเมฆเผยเส้นทางภายในที่เต็มไปด้วยแผ่นดินลอยฟ้า ปกคลุมไปด้วยต้นงิ้วออกดอกสีแดงฉานห้อยระย้าดูงดงามตระการตา แต่บัดนั้นสีแดงจักเป็นสีของโลหิตเหล่าประชาชนเมืองครุฑให้สาสมใจเขาเคลื่อนตัวออกจากเมืองยักษาโดยมิได้แจ้งจักษ์แก่ผู้ใดในเมือง มิว่าจักเป็นราชครูผู้สนิท หรือแม้แต่เหล่าอำมาตย์ผู้ภักดี เมื่อใช้เพลาจนสังวรีราพณ์สามารถกัดกินจิตใจได้เกินครึ่ง เขาจึงใช้แรงอสุรกายทมิฬขับเคลื่อนท่องคาถาเหาะเหินเดินอากาศหวังเพียงได้ฆ่าเผ่าพันธุ์ครุฑให้เหี้ยนแลพาอัปสรสุดที่รักกลับมาแลถ้าหากนางมิกลับมาที่นี่ เขาจักยอมดับดิ้นไปพร้อมกับคำสัตย์สาบานที่ว่ามิว่าชาติไหน ก็จ